[พระเจ้า] ทรงรื้อฟื้นความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์โดยทางพระคริสต์ และได้ประทานพันธกิจแห่งการรื้อฟื้นความสัมพันธ์นี้แก่เรา
2 โครินธ์ 5:18 (GWT)
ความสัมพันธ์เป็นสิ่งคุ้มค่าแก่การรื้อฟื้นเสมอ
เพราะชีวิตทั้งชีวิตเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ที่จะรัก พระเจ้าจึงต้องการให้เราให้คุณค่าแก่ความสัมพันธ์ และทุ่มเทเพื่อรักษาความสัมพันธ์ไว้ แทนที่จะทิ้งขว้างไปทันทีที่เกิดความแตกร้าว ความเจ็บปวด หรือความขัดแย้ง ที่จริง พระคัมภีร์บอกเราว่า พระเจ้าประทานพันธกิจการรื้อฟื้นความสัมพันธ์แก่เรา (2 โครินธ์ 5:18) ด้วยเหตุนี้ เนื้อหามากมายในพระคัมภีร์ใหม่จึงเน้นเรื่องการสอนให้เราปรองดองกัน เปาโลเขียนว่า "ถ้าท่านได้สิ่งใดก็ตามจากการติดตามพระคริสต์ ถ้าความรักของพระองค์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตท่าน ถ้าการอยู่ในชุมชนของพระวิญญาณมีความหมายสำหรับท่าน… จงเห็นพ้องกัน รักกัน และเป็นเพื่อนที่จิตใจผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง" (ฟีลิปปี 2:1-2 Msg) เปาโลสอนว่า ความสามารถของเราในการปรองดองกับคนอื่นคือเครื่องหมายของความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ (โรม 15:5)
เนื่องจากพระคริสต์ต้องการให้ครอบครัวของพระองค์เป็นที่รู้จักในเรื่องความรักที่เรามีต่อกัน (ยอห์น 13:35) สามัคคีธรรมที่แตกร้าวจึงเป็นคำพยานที่เสื่อมเสียสำหรับคนไม่เชื่อ นี่คือเหตุผลที่เปาโลรู้สึกละอายอย่างยิ่งที่สมาชิกคริสตจักรในเมืองโครินธ์แตกแยกกันเป็นกลุ่ม ๆ และถึงกับพากันขึ้นโรงขึ้นศาล ท่านเขียนว่า "ข้าพเจ้าเขียนมาเช่นนี้ก็เพื่อจะให้ท่านละอายใจ จะต้องมีคนเฉลียวฉลาดสักคนหนึ่งอยู่ในพวกท่านอย่างแน่นอน ที่จะจัดการในเรื่องไม่ลงรอยกันนี้ให้เรียบร้อยลงไปได้" (1 โครินธ์ 6:5 ประชานิยม) ท่านตกใจที่ไม่มีใครในคริสตจักรเป็นผู้ใหญ่พอที่จะแก้ไขความขัดแย้งอย่างสงบ ในจดหมายฉบับเดียวกัน ท่านกล่าวว่า "ข้าพเจ้าถือว่าเร่งด่วนมาก ท่านต้องปรองดองกัน" (1 โครินธ์ 1:10 Msg)
ถ้าคุณต้องการพระพรของพระเจ้าในชีวิต และต้องการเป็นที่รู้จักในฐานะลูกของพระเจ้า คุณต้องเรียนรู้ที่จะเป็นผู้สร้างสันติ พระเยซูตรัสว่า "คนที่สร้างสันติก็เป็นสุขเพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาทั้งหลายว่าเป็นลูก" (มัทธิว 5:9 2002) สังเกตว่า พระเยซูมิได้ตรัสว่า "คนที่รักสันติก็เป็นสุข" เพราะว่าทุกคนรักสันติ และพระองค์มิได้ตรัสว่า "คนที่สงบก็เป็นสุข" คือคนที่ไม่ถูกสิ่งใดรบกวนเลย แต่พระเยซูตรัสว่า "คนที่สร้างสันติก็เป็นสุข" คือคนเหล่านั้นที่พยายามแก้ไขความขัดแย้ง ผู้สร้างสันติมีน้อยเพราะว่าการสร้างสันติเป็นงานหนัก
เนื่องจากคุณถูกสร้างมาเพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของพระเจ้า และวัตถุประสงค์ประการที่สองของชีวิตในโลกของคุณคือ การเรียนรู้ที่จะรักและสัมพันธ์กับคนอื่นการสร้างสันติจึงเป็นทักษะสำคัญที่สุดที่คุณจะฝึกได้ น่าเสียดาย พวกเราส่วนใหญ่ไม่เคยได้รับการสอนวิธีแก้ไขความขัดแย้ง
การสร้างสันติไม่ใช่การหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง การวิ่งหนีปัญหา การแสร้งทำเป็นไม่มีปัญหา หรือการกลัวที่จะพูดถึงมัน ล้วนแล้วแต่เป็นความขี้ขลาดโดยแท้ พระเยซูองค์สันติราช ไม่เคยกลัวความขัดแย้ง บางครั้งพระองค์ทรงเริ่มต้นความขัดแย้งเพื่อผลดีสำหรับทุกคน บางครั้งเราจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง แต่บางครั้งเราก็จำเป็นต้องสร้างมันขึ้นมา และบางครั้งเราต้องแก้ไขมัน นั่นคือเหตุผลที่เราต้องอธิษฐานขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำทุกลมหายใจ
การสร้างสันติไม่ใช่การยอมอ่อนข้อต่อทุกสถานการณ์ การเอาแต่ยอมแพ้ ทำตัวเหมือนพรมเช็ดเท้า และปล่อยให้คนอื่นทับถมคุณอยู่เรื่อยไปไม่ใช่สิ่งที่พระเยซูต้องการ พระองค์ไม่ยอมถอยในหลาย ๆ เรื่อง และทรงยืนหยัดจุดยืนของพระองค์ต่อสู้ความชั่ว
วิธีฟื้นความสัมพันธ์
ในฐานะผู้เชื่อพระเจ้า "ทรงเรียกให้เราจัดการความสัมพันธ์ท่ามกลางพวกเรา" (2 โครินธ์ 5:18 Msg) ขั้นตอนเจ็ดประการต่อไปนี้เป็นขั้นตอนตามพระคัมภีร์ในการรื้อฟื้นสามัคคีธรรม
อธิษฐานกับพระเจ้าก่อนจะพูดคุยกับคนนั้น จงปรึกษาปัญหานี้กับพระเจ้า ถ้าคุณอธิษฐานเรื่องความขัดแย้งนี้ก่อน แทนที่จะไปนินทาให้เพื่อนฟัง คุณมักจะพบว่าพระเจ้าจะทรงเปลี่ยนใจคุณ หรือไม่พระองค์ก็ทรงเปลี่ยนอีกฝ่ายโดยที่คุณไม่ต้องช่วยเลย ความสัมพันธ์ของคุณจะราบรื่นกว่าถ้าคุณจะอธิษฐานเพื่อพวกเขามากขึ้น
เหมือนอย่างที่ดาวิดใช้บทเพลงสดุดีของท่าน จงใช้การอธิษฐานเพื่อระบายความรู้สึกขึ้นสู่เบื้องบน จงบอกพระเจ้าถึงความไม่พอใจของคุณ ร้องต่อพระองค์ พระองค์ไม่เคยประหลาดพระทัยหรือหงุดหงิดเพราะความโกรธ ความเจ็บปวด ความหวั่นไหว หรืออารมณ์ความรู้สึกอื่น ๆ ของคุณ ดังนั้นจงทูลพระองค์อย่างที่คุณรู้สึกจริง ๆ ความขัดแย้งส่วนใหญ่มีรากเหง้ามาจากความต้องการที่ไม่ได้รับการตอบสนอง และความต้องการเหล่านี้บางอย่างมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ตอบสนองได้ เมื่อคุณคาดหวังใครก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน คู่ครอง เจ้านาย หรือสมาชิกครอบครัว ให้สนองความต้องการที่พระเจ้าเท่านั้นสามารถช่วยได้ คุณก็กำลังพาตัวเองไปหาความผิดหวังและความขมขื่น ไม่มีใครสามารถตอบสนองความต้องการทุกอย่างของคุณได้นอกจากพระเจ้า
อัครทูตยากอบสังเกตว่า หลายครั้งความขัดแย้งของเรามีสาเหตุเพราะขาดการอธิษฐาน "อะไรเป็นสาเหตุของสงครามและอะไรเป็นสาเหตุของการทะเลาะวิวาทกันในพวกท่าน… ท่านทั้งหลายอยากได้แต่ไม่ได้… ท่านไม่มี เพราะท่านไม่ได้ขอพระเจ้า" (ยากอบ 4:1-2) แทนที่จะพึ่งพระเจ้า เรากลับพึ่งคนอื่นที่จะทำให้เรามีความสุข แล้วพอพวกเขาทำไม่ได้ เราก็โกรธเขา พระเจ้าตรัสว่า "ทำไมเจ้าไม่มาหาเราก่อน"
เป็นฝ่ายเริ่มคืนดีก่อนเสมอ ไม่สำคัญว่าคุณจะเป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิด พระเจ้าทรงคาดหวังว่าคุณต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อน อย่าคอยอีกฝ่ายหนึ่ง จงไปหาเขาก่อน การรื้อฟื้นความสัมพันธ์ที่แตกร้าวนั้นสำคัญมาก พระเยซูตรัสสั่งว่า เรื่องนี้สำคัญยิ่งกว่าการนมัสการเป็นกลุ่มเสียอีก พระองค์ตรัสว่า "ถ้าท่านเข้าไปในสถานนมัสการ กำลังจะถวายเครื่องบูชาแล้วทันใดนั้นท่านนึกได้ว่ามิตรสหายคนหนึ่งโกรธเคืองท่านอยู่ จงละเครื่องบูชาไว้ ออกไปทันที ไปหาสหายคนนั้นและแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ให้ถูกต้อง แล้วจึงค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า" (มัทธิว 5:23-24 Msg)
เมื่อความสัมพันธ์ตึงเครียดหรือแตกร้าว จงเตรียมการพบปะเพื่อสร้างสันติทันที อย่าซื้อเวลา แก้ตัว หรือสัญญาว่า "เดี๋ยวสักวันหนึ่งผมจะจัดการเรื่องนั้น" จงกำหนดเวลาพบปะส่วนตัวให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ การรอช้ามีแต่จะทำให้ความขุ่นเคืองฝังลึก และทำให้ปัญหาเลวร้ายลง ในเรื่องความขัดแย้งนั้น เวลาไม่ช่วยเยียวยาอะไรเลย รังแต่จะทำให้เจ็บปวดมากขึ้น
การลงมืออย่างรวดเร็วยังช่วยลดความเสียหายฝ่ายวิญญาณของคุณ พระคัมภีร์กล่าวว่า ความบาปรวมทั้งความขัดแย้งที่ไม่ได้แก้ไขนั้น จะขัดขวางสามัคคีธรรมระหว่างเรากับพระเจ้า และทำให้คำอธิษฐานของเราไม่ได้รับคำตอบ (1 เปโตร 3:7; สุภาษิต 28:9) นอกจากนั้นยัง ทำให้เรารู้สึกแย่ เพื่อนของโยบเตือนท่านว่า "เป็นการกระทำที่โง่เขลาและไร้ความคิดที่จะให้ความขุ่นเคืองทับถมตนเองจนตาย" และ "ท่านมีแต่ทำร้ายตัวเองด้วยความโกรธ" (โยบ 5:2; 18:4 TEV)
ความสำเร็จของการพูดคุยเพื่อสันติมักจะขึ้นอยู่กับการเลือกเวลาและสถานการณ์ที่ในการพบปะ อย่าพบกันเมื่อฝ่ายหนึ่งเหนื่อยล้า หรือรีบ หรือจะถูกรบกวน เวลาที่ดีที่สุดคือ เมื่อคุณทั้งสองอยู่ในสภาพร่างกายจิตใจที่ดีที่สุด
เห็นใจความรู้สึกของพวกเขา จงใช้หูมากกว่าปาก ก่อนจะพยายามแก้ไขความไม่ลงรอยใด ๆ ก็ตาม คุณต้องฟังความรู้สึกของคนอื่นก่อน เปาโลแนะนำว่า "อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่น ๆ ด้วย" (ฟีลิปปี 2:4) คำว่า "เห็นแก่" เป็นภาษากรีก สโกพอส ซึ่งผันมาเป็นคำว่ากล้องส่องทางไกลและกล้องจุลทรรศน์ในภาษาอังกฤษ มันหมายถึงการสนใจอย่างใกล้ชิด จงจดจ่อที่ความรู้สึกของพวกเขา ไม่ใช่ที่ข้อเท็จจริง จงเริ่มต้นที่ความเห็นอกเห็นใจ ไม่ใช่ที่หนทางแก้ปัญหา
อย่าพยายามพูดให้ความรู้สึกในตอนแรกของเขาหันเหไปเป็นอื่น ให้คุณเพียงแต่ฟังและปล่อยให้พวกเขาระบายความรู้สึกโดยไม่แก้ตัว จงพยักหน้าว่าคุณเข้าใจแม้คุณจะไม่เห็นด้วย ความรู้สึกไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องหรือสมเหตุผลเสมอไป ที่จริง ความขุ่นเคืองทำให้เราประพฤติหรือคิดอย่างโง่เขลา ดาวิดยอมรับว่า "เมื่อความคิดของข้าพระองค์ขมขื่นและความรู้สึกของข้าพระองค์เจ็บ ข้าพระองค์ก็โง่เขลาอย่างกับสัตว์" (สดุดี 73:21-22 TEV) เวลาบาดเจ็บเราทุกคนก็ทำตัวราวกับสัตว์
ในทางตรงข้าม พระคัมภีร์กล่าวว่า "สติปัญญาของมนุษย์ทำให้เขาอดทน และที่มองข้ามความผิดไปเสียก็เป็นศักดิ์ศรีแก่เขา" (สุภาษิต 19:11 NIV) ความอดทนมาจากสติปัญญา และสติปัญญามาจากมุมมองของคนอื่น การฟังเป็นการกล่าวว่า "ผมเห็นคุณค่า ความคิดเห็นของคุณ ผมสนใจความสัมพันธ์ของเรา และคุณสำคัญสำหรับผม" คำคมนี้ ก็เป็นจริงคือ ผู้คนไม่สนใจว่าคุณจะรู้อะไร จนกว่าเขาจะรู้ว่าคุณสนใจเขา
ในการรื้อฟื้นสามัคคีธรรมนั้น "เราต้องรับ ภาวะ ที่จะใส่ใจต่อความสงสัยและความกลัวของคนอื่น… ให้เราเอาใจคนอื่น ไม่ใช่ตัวเองและทำสิ่งที่ดีสำหรับเขา" (โรม 15:2 LB) มันเป็นความเสียสละที่จะอดทนรับความโกรธของคนอื่น โดยเฉพาะเมื่อมันไม่มีสาเหตุแต่โปรดระลึกว่า นี่คือสิ่งที่พระเยซูได้ทรงทำเพื่อคุณ พระองค์ทรงทนต่อความโกรธที่ไร้สาเหตุและมุ่งร้าย เพื่อช่วยคุณให้รอด "พระคริสต์มิได้ทรงสนองความรู้สึกของพระองค์เอง… ตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า คำพูดเยาะเย้ยของบรรดาผู้ที่เยาะเย้ยท่าน ตกอยู่แก่ข้าพระองค์" (โรม 15:3 NJB)
สารภาพเรื่องที่คุณเป็นฝ่ายผิดในความขัดแย้งนั้น ถ้าคุณจริงจังต่อการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ คุณควรเริ่มต้นด้วยการยอมรับความผิดหรือบาปของคุณก่อน พระเยซูตรัสว่า นี่เป็นวิธีที่จะมองสิ่งต่าง ๆ ชัดเจนขึ้น "เอาท่อนซุงออกจากนัยน์ตาของตนเองเสียก่อนเกิด แล้วจะมองเห็นได้ชัดเจนพอที่จะเขี่ยผงออกจากนัยน์ตาของพี่น้องได้" (มัทธิว 7:5 ประชานิยม)
เนื่องจากเราทุกคนมีจุดบอด คุณอาจจำเป็นต้องขอบุคคลที่สามให้ช่วยประเมิณการกระทำของคุณเอง ก่อนที่จะพบกับคนที่คุณขัดแย้งด้วย และขอพระเจ้าทรงเปิดเผยแก่คุณว่า ปัญหานี้เป็นความผิดของคุณมากแค่ไหน ถามว่า "ผมคือผู้ก่อปัญหาหรือเปล่า ผมไม่สมเหตุสมผล หรืออ่อนไหวเกินไปหรือเปล่า" พระคัมภีร์กล่าวว่า "ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่มีบาป เราก็หลอกตัวเอง" (1 ยอห์น 1:8 2002)
การสารภาพเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการคืนดี บ่อยครั้ง วิธีที่เราจัดการกับความขัดแย้งกลับทำให้เจ็บปวดยิ่งกว่าปัญหาเริ่มแรกเสียอีก แต่เมื่อคุณเริ่มถ่อมใจยอมรับความผิดของคุณ มันก็จะละลายความโกรธของอีกฝ่าย และปลดอาวุธที่เขาจะใช้โจมตี เพราะพวกเขาคงคาดว่าคุณจะปกป้องตัวเอง อย่าแก้ตัวหรือโทษคนอื่น จงยอมรับเรื่องที่คุณเป็นฝ่ายผิดในความขัดแย้งนี้ด้วยความจริงใจ ยอมรับผิดชอบความผิดพลาดของคุณ และขอการยกโทษ
โจมตีปัญหา ไม่ใช่โจมตีคนนั้น คุณไม่สามารถแก้ปัญหาได้ถ้าคุณพยายามแก้ตัวซึ่งคุณต้องเลือกเอา พระคัมภีร์กล่าวว่า "คำตอบที่อ่อนหวานช่วยละลายความโกรธเกรี้ยวให้หายไป แต่คำกักขฬะเร้าโทสะ" (สุภาษิต 15:1) คุณไม่สามารถอธิบายให้เขาเข้าใจได้ถ้าคุณโกรธ ดังนั้นจงเลือกคำพูดของคุณอย่างฉลาด คำตอบที่นุ่มนวล ดีกว่าการพูดประชดประชันเสมอ
ในการแก้ไขความขัดแย้ง วิธีที่คุณพูดมีความสำคัญพอ ๆ กับสิ่งที่คุณพูด ถ้าคุณพูดแบบรุกราน อีกฝ่ายก็จะตอบสนองแบบตั้งรับ พระเจ้าตรัสบอกเราว่า "คนที่ฉลาดและเป็นผู้ใหญ่มีชื่อเสียงเรื่องความเข้าใจของเขา ยิ่งคำพูดของเขาไพเราะเท่าใด เขาก็ยิ่งจูงใจได้ดีเท่านั้น" (สุภาษิต 16:21 TEV) การเหน็บแนมไม่เคยใช้ได้ผล คุณจะจูงใจใครไม่ได้เลย เมื่อคุณหยาบคาย
ระหว่างสงครามเย็น ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าอาวุธบางชนิดมีอำนาจทำลายล้างสูงมากจนไม่ควรจะนำมาใช้ เวลานี้อาวุธเคมีและชีวภาพถูกห้าม และคลังอาวุธนิวเคลียร์ก็ถูกลดจำนวนและถูกทำลาย เพื่อเห็นแก่สามัคคีธรรม คุณจะต้องทำลายอาวุธนิวเคลียร์ทางความสัมพันธ์ อันได้แก่ การกล่าวโทษ การดูหมิ่น การเปรียบเทียบ การตั้งฉายา การดูถูก การเหยียดหยาม และการเหน็บแนม เปาโลสรุปไว้ดังนี้ "อย่าพูดให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจเมื่อสนทนากัน แต่จงใช้วาจาที่จะช่วยกันส่งเสริมเขาให้ดีขึ้นในด้านที่เขาบกพร่อง เพื่อวาจาที่ท่านกล่าวออกไปจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ฟัง" (เอเฟซัส 4:29 ประชานิยม)
ร่วมมือให้มากที่สุด เปาโลกล่าว่า "จงทำทุกสิ่งเท่าที่จะทำได้ตามหน้าที่ของท่านเพื่อที่จะได้อยู่กับคนทั้งปวงอย่างสงบสุข" (โรม 12:18 ประชานิยม) สันติภาพมักจะมีราคาค่างวด บางครั้งเราต้องยอมทิ้งความเย่อหยิ่ง มันมักเรียกร้องให้เราสละความเห็นแก่ตัวของเรา เพื่อเห็นแก่สามัคคีธรรม จงพยายามสุดความสามารถเพื่อจะประนีประนอมปรับตัวเข้ากับคนอื่น และเลือกสิ่งที่พวกเขาต้องการ (โรม 12:10; ฟีลิปปี 2:3) พระคัมภีร์ฉบับถอดความฉบับหนึ่งกล่าวถึง "ผู้เป็นสุข" ประการที่เจ็ดของพระเยซูว่า "ท่านจะเป็นสุขเมื่อท่านสามารถแสดงให้คนอื่นเห็นวิธีที่จะร่วมมือแทนที่จะแข่งขันหรือต่อสู้ นั่นคือเวลาที่ท่านค้นพบว่าแท้จริงท่านเป็นใคร รวมทั้งฐานะของท่านในครอบครัวของพระเจ้า" (มัทธิว 5:9 Msg)
เน้นที่การคืนดี ไม่ใช่การแก้ปัญหา มันไม่สมเหตุสมผลที่จะคาดหวังว่า ทุกคนต้องเห็นตรงกันทุกเรื่อง การคืนดีเน้นที่ความสัมพันธ์ ขณะที่การแก้ปัญหาเน้นที่ปัญหา เมื่อเราจดจ่อที่การคืนดี ปัญหาก็จะหมดความสำคัญ และมักจะไม่เกี่ยวข้อง
เราสามารถฟื้นฟูความสัมพันธ์ใหม่ได้แม้แต่ในเวลาที่เราไม่สามารถแก้ไขความเห็นที่ไม่ตรงกัน คริสเตียนมักจะมีความไม่เห็นพ้องที่เกิดจากเหตุผลอันชอบธรรมและจริงใจแต่เราสามารถเห็นไม่ตรงกันโดยไม่ต้องขัดแย้ง เพชรเม็ดเดียวดูต่างกันเมื่อมองคนละมุมพระเจ้าทรงคาดหวังความเป็นหนึ่ง ไม่ใช่ความเหมือน และเราสามารถเดินไปด้วยกันได้โดยไม่ต้องเห็นตรงกันในทุกเรื่อง
นี่ไม่ได้หมายความว่า คุณจะเลิกหาคำตอบ คุณอาจจะต้องคุยกันหรือแม้กระทั่งโต้แย้งกันต่อไป แต่คุณทำด้วยวิญญาณของการปรองดอง การคืนดีหมายความว่าคุณฝังขวานของคุณ แต่ไม่จำเป็นต้องฝังปัญหา
จากบทนี้ คุณจะต้องติดต่อกับใครบ้าง คุณต้องฟื้นฟูความสัมพันธ์กับใคร อย่าคอยแม้วินาทีเดียว เวลานี้จงหยุดทำสิ่งอื่น และคุยกับพระเจ้าเกี่ยวกับคนนั้น แล้วหยิบโทรศัพท์และเริ่มกระบวนการเจ็ดขั้นตอนนี้ เรียบง่าย แต่ไม่ใช่สิ่งที่ทำง่าย มันต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์ นั่นคือเหตุผลที่เปโตรวิงวอนว่า "จงทุ่มเทการอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างสันติ" (1 เปโตร 3:11 NLT) แต่เมื่อคุณทุ่มเทเพื่อสันติคุณกำลังทำสิ่งที่พระเจ้าจะทรงทำ นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าทรงเรียกผู้สร้างสันติว่า ลูกของพระองค์ (มัทธิว 5:9)
วันที่ 20 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: ความสัมพันธ์เป็นสิ่งคุ้มค่าแก่การรื้อฟื้นเสมอ
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "จงทำทุกสิ่งเท่าที่จะทำได้ตามหน้าที่ของท่าน เพื่อจะได้อยู่กับคนทั้งปวงอย่างสงบสุข" โรม 12:18 (ประชานิยม)
คำถามสำหรับการพิจารณา: ฉันต้องรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับใครในวันนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น