วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วันที่ 14 เมื่อพระเจ้าดูเหมือนห่างไกล

พระเจ้าทรงซ่อนพระองค์ให้พ้นประชากรของพระองค์ แต่ข้าพเจ้าวางใจในพระองค์ และหวังพึ่งพระองค์
อิสยาห์ 8:17 (ประชานิยม)

พระเจ้ามีจริง ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม

การนมัสการพระเจ้าในเวลาที่สิ่งต่าง ๆ ในชีวิตดำเนินไปอย่างดีเยี่ยมนั้นเป็นเรื่องง่ายคือเมื่อพระองค์ประทานอาหาร เพื่อน ครอบครัว สุขภาพ และสถานการณ์ที่เป็นสุขแต่สถานการณ์ต่าง ๆ ไม่ได้ดีเสมอไป แล้วคุณจะนมัสการพระเจ้าในเวลานั้นได้อย่างไร คุณจะทำอะไรเมื่อพระองค์ดูเหมือนอยู่ห่างไกล

มิตรภาพมักจะถูกทดสอบด้วยการพรากจากและความเงียบ คุณถูกแยกด้วยระยะทางหรือคุณไม่สามารถคุยกัน ในมิตรภาพคุณกับพระเจ้า คุณจะไม่รู้สึกว่าพระองค์ทรงอยู่ใกล้ตลอดเวลา ฟีลิป แยงซีเขียนไว้อย่างฉลาดว่า "ความสัมพันธ์ทุกรูปแบบต้องมีช่วงเวลาของความใกล้ชิดและช่วงเวลาของความห่างไกล และในความสัมพันธ์กับพระเจ้า ไม่ว่าจะสนิทสนมเพียงไร ลูกตุ้มก็จะเหวี่ยงจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง" นั่นคือเวลาที่การนมัสการทำได้ยาก

เพื่อให้มิตรภาพของคุณเติบโตเป็นผู้ใหญ่ พระเจ้าจะทรงทดสอบมันด้วยช่วงเวลาที่ดูเหมือนพรากจากกัน เวลาที่รู้สึกราวกับว่าพระเจ้าได้ทอดทิ้งหรือลืมคุณไปแล้ว คุณรู้สึกเหมือนพระเจ้าอยู่ไกลออกไปเป็นล้านกิโลเมตร นักบุญยอห์นแห่งกางเขนเรียกช่วงเวลาแห่งความแห้งแล้ง ความสงสัย และความเหินห่างฝ่ายวิญญาณเช่นนี้ว่าเป็น "คืนอันมืดมิดของจิตใจ" เฮ็นรี่ นูเวนเรียกมันว่า "พันธกิจแห่งการไม่สถิตอยู่" เอ. ดับเบิลยู โทเซอร์ เรียกมันว่า "พันธกิจแห่งค่ำคืน" คนอื่น ๆ เรียกว่า "ฤดูหนาวแห่งหัวใจ"

นอกเหนือจากพระเยซูแล้ว ดาวิดคงจะมีมิตรภาพใกล้ชิดกับพระเจ้ามากกว่าใคร ๆ พระเจ้าทรงพอพระทัยที่จะเรียกท่านว่า "คนที่เราชอบใจ" (1 ซามูเอล 13:14; กิจการ 13:22) แต่ดาวิดมักจะบ่นเรื่องที่พระเจ้าทรงดูเหมือนไม่สถิตอยู่ด้วย "ข้าแต่พระเจ้า ไฉนพระองค์ประทับยืนอยู่ห่างไกลและทรงซ่อนพระองค์เสียในเวลาที่ข้าพระองค์ต้องการพระองค์มากที่สุด" (สดุดี 10:1 LB) "พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย เหตุใดพระองค์ทรงเมินเฉยที่จะช่วยข้าพระองค์ และต่อถ้อยคำคร่ำครวญของข้าพระองค์" (สดุดี 22:1) "ไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย" (สดุดี 42:2 และดู 44:23; 74:11; 88:14; 89:49)

แน่นอนพระเจ้ามิได้ทรงละทิ้งดาวิดจริง ๆ และพระองค์ก็มิได้ทรงละทิ้งคุณ พระองค์ทรงสัญญาเสมอ ๆ ว่า "เราจะไม่ละท่านหรือทอดทิ้งท่านเลย" (เฉลยธรรมบัญญัติ 31:8; สดุดี 37:28; ยอห์น 14:16-18; ฮีบรู 13:5) แต่พระเจ้ามิได้ทรงสัญญาว่า "ท่านจะรู้สึกได้ว่าเราสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา" ที่จริง พระเจ้าทรงยอมรับว่า บางครั้งพระองค์ทรงซ่อนพระพักตร์ของพระองค์จากเรา (อิสยาห์ 45:15) มีหลายครั้งที่พระองค์ดูเหมือน "หายไปจากการปฏิบัติการ" ในชีวิตคุณ

ฟลอยด์ แมคคลังอธิบายเรื่องนี้ว่า "เช้าวันหนึ่ง คุณตื่นมาแล้วความรู้สึกฝ่ายวิญญาณทั้งหมดของคุณก็หายไป คุณอธิษฐานแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณสำทับมารแต่มันไม่ทำอะไรเปลี่ยนไป คุณทำกิจกรรมฝ่ายวิญญาณ… คุณให้เพื่อนอธิษฐานเพื่อคุณ… คุณสารภาพบาปทุกอย่างที่คุณนึกได้ แล้วก็ไปขอการยกโทษจากทุกคนที่คุณรู้จัก คุณอดอาหาร… แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณเริ่มสงสัยว่า ความหดหู่ฝ่ายวิญญาณนี้จะคงอยู่นานสักแค่ไหน เป็นวัน เป็นเดือน แล้วมันจะหายไปไหม… คุณรู้สึกเหมือนคำอธิษฐานของคุณกระทบเพดานแล้วก็ตกลงมา คุณร้องด้วยความรู้สึกสุดแสนสิ้นหวังว่า "นี่ผมเป็นอะไรไป"

ความจริงคือไม่มีอะไรผิดปกติในตัวคุณ นี่เป็นองค์ประกอบปกติของการทดสอบและการทำให้มิตรภาพของคุณกับพระเจ้าเติบโต คริสเตียนทุกคนต้องผ่านสถานการณ์แบบนี้อย่างน้อยหนึ่งครั้ง และส่วนมากก็มักจะหลายครั้ง มันเจ็บปวดและน่าหวาดวิตก ทว่ามันสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาความเชื่อของคุณ การรู้ความจริงข้อนี้ทำให้โยบมีความหวัง เมื่อท่านไม่สามารถรู้สึกถึงการสถิตอยู่ของพระเจ้าในชีวิตท่าน ท่านกล่าวว่า "ข้าเดินไปทางตะวันออก แต่พระองค์มิได้สถิตที่นั่น ข้าเดินไปทางตะวันตก แต่ข้าก็ไม่สามารถพบพระองค์ ข้าไม่เห็นพระองค์ทางเหนือ เพราะพระองค์ทรงซ่อนอยู่ ข้าหันไปทางใต้ แต่ข้าหาพระองค์ไม่พบ ทว่าพระองค์ทรงทราบทางที่ข้าไป เมื่อพระองค์ทรงทดสอบข้าเหมือนทองคำในไฟแล้ว พระองค์จะทรงประกาศว่าข้าไม่ผิด" (โยบ 23:8-10 NLT)

เมื่อพระเจ้าดูเหมือนอยู่ห่างไกล คุณอาจรู้สึกว่าพระองค์ทรงพิโรธต่อคุณ หรือทรงตีสอนคุณเพราะความบาปบางอย่าง ถูกแล้วครับ ความบาปทำให้เราขาดจากสามัคคีธรรมที่สนิทสนมกับพระเจ้าจริง เราทำให้พระวิญญาณของพระเจ้าเสียพระทัย และดับการสามัคคีธรรมของเรากับพระองค์โดยการไม่เชื่อฟัง การขัดแย้งกับคนอื่น การยุ่งจนไม่มีเวลา มิตรภาพกับโลก และความบาปอื่น ๆ (สดุดี 51; เอเฟซัส 4:29-30; 1เธสะโลนิกา 5:19; เยเรมีย์ 2:32; 1 โครินธ์ 8:12; ยากอบ 4:4)

แต่บ่อยครั้ง ความรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งหรือห่างเหินจากพระเจ้านี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับความบาป มันเป็นการทดสอบความเชื่อ ซึ่งเราทุกคนต้องพบ นั่นคือ คุณจะรัก วางใจ เชื่อฟัง และนมัสการพระเจ้าต่อไปหรือไม่ แม้ว่าคุณจะไม่รู้สึกถึงการสถิตอยู่ของพระองค์หรือมองไม่เห็นหลักฐานการทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตคุณ

ความผิดพลาดที่คริสเตียนกระทำมากที่สุดในการนมัสการทุกวันนี้คือ การแสวงหาประสบการณ์แทนที่จะแสวงหาพระเจ้า พวกเขาแสวงหาความรู้สึกบางอย่าง และถ้ามันเกิดขึ้น พวกเขาก็จะสรุปว่า พวกเขาได้นมัสการแล้ว ผิดแล้วครับ ที่จริง พระเจ้ามักจะเอาความรู้สึกของเราไปเพื่อเราจะไม่พึ่งพามัน การแสวงหาความรู้สึกแม้กระทั่งความรู้สึกใกล้ชิดกับพระคริสต์ไม่ใช่การนมัสการ

เมื่อคุณเป็นคริสเตียนทารก พระเจ้าประทานความรู้สึกมากมายแก่คุณเพื่อยืนยัน และมักจะตอบคำอธิษฐานที่แสนจะเป็นเด็กและเห็นแก่ตัว เพื่อคุณจะรู้ว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ แต่เมื่อคุณเติบโตในความเชื่อ พระองค์จะทรงตัดคุณจากการพึ่งพาสิ่งเหล่านั้น

การที่พระเจ้าสถิตอยู่ทุกหนทุกแห่งกับการสำแดงการสถิตอยู่ของพระองค์นั้นไม่เหมือนกัน สิ่งหนึ่งเป็นข้อเท็จจจริง อีกสิ่งหนึ่งมักจะเป็นความรู้สึก พระเจ้าทรงสถิตอยู่เสมอ แม้แต่เวลาที่คุณไม่รู้สึกถึงพระองค์ และการสถิตอยู่ของพระองค์ก็ลึกซึ้งเกินกว่าจะวัดด้วยอารมณ์เพียงอย่างเดียว

ใช่ครับ พระองค์ต้องการให้คุณสัมผัสถึงการสถิตอยู่ของพระองค์ แต่สิ่งที่พระองค์ทรงใส่พระทัยมากกว่าที่คุณรู้สึกถึงพระองค์คือ การที่คุณวางใจในพระองค์ ความเชื่อต่างหากที่ทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยไม่ใช่ความรู้สึก

สถานการณ์ที่จะขยายความเชื่อของคุณมากที่สุด เวลาที่ชีวิตล่มสลาย และมองหาพระเจ้าไม่พบ เรื่องนี้เกิดขึ้นกับโยบ ในวันเดียวท่านสูญเสียทุกสิ่ง ครอบครัวของท่าน ธุรกิจของท่าน สุขภาพของท่าน และทุกสิ่งที่ท่านเป็นเจ้าของ ที่น่าท้อใจที่สุดคือ พระเจ้ามิได้ตรัสอะไรเลยตลอดสามสิบเจ็ดบท

คุณจะสรรเสริญพระเจ้าอย่างไรเมื่อคุณไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในชีวิตคุณ และพระเจ้าทรงเงียบ คุณจะรักษาความสัมพันธ์ท่ามกลางวิกฤตโดยไม่มีการสื่อสารได้อย่างไร ตาคุณจะจ้องมองที่พระเยซูได้อย่างไรในเมื่อมันเต็มไปด้วยน้ำตา คุณทำสิ่งที่โยบทำคือ "แล้วโยบก็กราบลงถึงดินนมัสการ และกล่าวว่า ข้าพเจ้ามาจากครรภ์มารดาของข้าพเจ้าตัวเปล่า และข้าพเจ้าจะกลับไปตัวเปล่า พระเจ้าประทาน และพระเจ้าทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระเจ้า" (โยบ 1:20-21)

บอกพระเจ้าอย่างที่คุณรู้สึก เทหัวใจของคุณแด่พระเจ้า เททุกอารมณ์ที่คุณรู้สึกออกมา โยบทำสิ่งนี้เมื่อท่านกล่าวว่า "ข้าพระองค์ไม่อาจเงียบได้ ข้าพระองค์โกรธและขมขื่นใจข้าพระองค์จำต้องพูด" (โยบ 7:11 TEV) ท่านร้องออกมาเมื่อพระเจ้าดูเหมือนอยู่ห่างไกล "โอ ข้าอยากจะอยู่อย่างเก่าก่อน… อย่างข้าเมื่อครั้งยังหนุ่มแน่นอยู่ เมื่อมิตรภาพอันสนิทสนมของพระเจ้าอวยพรเรือนของข้า" (โยบ 29:2, 4 NIV) พระเจ้าสามารถรับมือความสงสัย ความโกรธ ความกลัว ความเสียใจ ความสับสน และคำถามของคุณได้

คุณรู้หรือไม่ว่าการยอมรับต่อพระเจ้าว่าคุณรู้สึกสิ้นหวังสามารถเป็นการแสดงออกถึงความเชื่อได้ ขณะที่ดาวิดยังวางใจพระเจ้า แต่ก็รู้สึกสิ้นหวังในเวลาเดียวกัน ท่านได้เขียนว่า "ข้าพเจ้าถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง" (สดุดี 116:10 NCV) เรื่องนี้ฟังดูเหมือนขัดแย้งกัน ผมวางใจพระเจ้า แต่ผมถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง ความจริงแล้ว การพูดตรง ๆ ของดาวิดเปิดเผยความเชื่ออันลึกซึ้งของท่าน ประการแรก ท่านเชื่อในพระเจ้า ประการที่สอง ท่านเชื่อว่าพระเจ้าจะฟังคำอธิษฐานของท่าน ประการที่สาม ท่านเชื่อว่าพระเจ้าจะยอมให้ท่านพูดสิ่งที่ท่านรู้สึก และยังคงรักท่าน

จดจ่อกับความจริงที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ใด รวมทั้งพระลักษณะที่ไม่เปลี่ยนแปลงของพระองค์ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรและคุณจะรู้สึกอย่าางไร จงยึดมั่นในพระลักษณะที่ไม่เปลี่ยนแปลงของพระเจ้า นั่นคือพระองค์ทรงประเสริฐ พระองค์รักฉัน พระองค์ทรงมีแผนการที่ดีสำหรับชีวิตของฉัน วี. เรย์มอนด์ เอ็ดแมนกล่าวไว้ว่า "อย่าได้สงสัยอยู่ในความมืดมนเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงบอกคุณในความสว่าง"

เมื่อชีวิตของโยบพังทลายลง และพระเจ้าทรงเงียบ โยบยังพบสิ่งที่ท่านสามารถสรรเสริญพระเจ้าได้คือ

๐ พระองค์ทรงประเสริฐและทรงรัก (โยบ 10:12)
๐ พระองค์ทรงมหิทธิฤทธิ์ (โยบ 42:2; 37:5, 23)
๐ พระองค์ทรงเห็นรายละเอียดทุกอย่างในชีวิตท่าน (โยบ 23:10; 31:4)
๐ พระองค์ทรงควบคุมอยู่ (โยบ 34:13)
๐ พระองค์ทรงมีแผนการสำหรับชีวิตของท่าน (โยบ 19:25)
๐ พระองค์จะช่วยท่านให้รอด (โยบ 23:12)

วางใจว่าพระเจ้าจะรักษาพระสัญญาของพระองค์ ระหว่างช่วงเวลาแห่งความแห้งแล้งฝ่ายวิญญาณ คุณต้องพึ่งพาพระสัญญาของพระองค์ด้วยความอดทน ไม่ใช่พึ่งอารมณ์ความรู้สึกของคุณ และตระหนักว่า พระองค์จะทรงนำคุณสู่ความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มิตรภาพที่ตั้งอยู่บนความรู้สึกนั้นตื้นจริง ๆ

ดังนั้น อย่าทุกข์ร้อนเพราะปัญหา สถานการณ์ต่าง ๆ ไม่สามารถเปลี่ยนพระลักษณะของพระเจ้าได้ พระคุณของพระเจ้ายังกระทำกิจเต็มขนาด พระองค์ยังทรงอยู่ฝ่ายคุณ แม้ในเวลาที่คุณไม่รู้สึกเช่นนั้น ในสถานการณ์ที่ไม่น่าวางใจ โยบยังยึดมั่นในพระดำรัสของพระเจ้า ท่านกล่าวว่า "ข้ามิได้พรากไปจากพระบัญญัติแห่งริมพระโอษฐ์ของพระองค์ ข้าตีราคาพระวจนะแห่งพระโอษฐ์ของพระองค์สูงกว่าอาหารประจำวันของข้า" (โยบ 23:12 NIV)

การวางใจในพระดำรัสของพระเจ้าเช่นนี้ทำให้โยบยังคงสัตย์ซื่อแม้จะไม่มีอะไรที่เข้าใจได้ ความเชื่อของท่านเข้มแข็งท่ามกลางความเจ็บปวด "แม้พระองค์ทรงประหารข้า ข้าจะยังรอคอยพระองค์" (โยบ 13:15)

เมื่อคุณรู้สึกว่าถูกพระเจ้าทอดทิ้ง แต่ยังคงวางใจพระองค์แม้จะค้านกับความรู้สึกของคุณเอง คุณก็นมัสการพระองค์ระดับที่ลึกที่สุด

ระลึกถึงสิ่งที่พระเจ้าได้กระทำในชีวิตคุณ ถ้าพระเจ้ามิได้กระทำสิ่งอื่นเพื่อคุณ คุณก็ยังสมควรสรรเสริญพระองค์ต่อไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ เพราะสิ่งที่พระเยซูได้ทรงทำเพื่อคุณบนไม้กางเขน พระบุตรของพระเจ้าสิ้นพระชนม์เพื่อคุณ นี่คือเหตุผลสำคัญที่สุดของการนมัสการ

น่าเสียดาย เราลืมรายละเอียดอันทารุณของการถวายบูชาอย่างทนทุกข์ทรมานซึ่งพระเจ้าทรงกระทำเพื่อเรา ความคุ้นเคยก่อให้เกิดความเฉยเมย แม้กระทั่งก่อนการตรึงกางเขน พระบุตรของพระเจ้าก็ยังถูกจับเปลือยพระกาย ถูกโบยตีจนกระทั่งผู้คนแทบจำไม่ได้ ถูกเฆี่ยน เยาะเย้ย และดูหมิ่น ต้องสวมมงกุฏหนาม และถูกถ่มน้ำลายรดด้วยความรังเกียจ พระองค์ทรงถูกปฏิบัติแย่ยิ่งกว่าเป็นสัตว์ ทรงถูกทำร้ายและเยาะเย้ย

แล้วเมื่อพระองค์แทบหมดสติเพราะเสียเลือด พระองค์ก็ทรงถูกบังคับให้แบกกางเขนใหญ่ขึ้นเนินเขา ถูกตรึงบนนั้น และถูกปล่อยให้ตายอย่างช้า ๆ และทรมานอย่างร้ายกาจขณะที่เลือดของพระองค์ไหลออก พวกระรานก็ยืนใกล้ ๆ และตะโกนคำหยาบหยามล้อเลียนความเจ็บปวดของพระองค์ และท้าทายคำตรัสที่พระองค์อ้างว่าทรงเป็นพระเจ้า

จากนั้น เมื่อพระเยซูทรงแบกรับความบาปและความผิดทั้งสิ้นของมนุษย์ไว้ที่พระองค์เอง พระเจ้าก็ทรงหันพระพักตร์จากภาพที่น่าเกลียดนั้นและพระเยซูทรงร้องด้วยความรู้สึกสุดแสนสิ้นหวังว่า "พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย" พระเยซูน่าจะช่วยพระองค์เอง แต่ถ้าทำเช่นนั้น พระองค์ก็ไม่สามารถช่วยคุณได้

คำพูดไม่สามารถบรรยายความมึดมนของช่วงเวลานั้น ทำไมพระเจ้าทรงอนุญาตและทนดูการทารุณอันน่ากลัวและชั่วร้ายนั้น ทำไม ก็เพื่อคุณจะสามารถรอดพ้นจากการต้องอยู่ในนรกตลอดนิรันดรกาล และเพื่อคุณจะสามารถร่วมในพระสิริของพระองค์ตลอดไป พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเยซูคริสต์ทรงปราศจากบาปแต่พระเจ้าทรงให้พระองค์มีส่วนร่วมในบาปของเรา เพื่อให้ร่วมสัมพันธ์กับพระองค์ ทำให้เรามีส่วนในความชอบธรรมของพระเจ้า" (2 โครินธ์ 5:21 ประชานิยม)

พระเยซูทรงสละทุกสิ่งเพื่อคุณจะสามารถมีทุกสิ่ง พระองค์สิ้นพระชนม์เพื่อคุณจะสามารถมีชีวิตอยู่ตลอดไป เพียงเท่านี้ก็สมควรที่เราจะขอบพระคุณและสรรเสริญพระองค์ตลอดไป คุณไม่ควรสงสัยอีกว่าคุณจะมีเรื่องอะไรที่จะขอบพระคุณพระเจ้า

วันที่ 14 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: พระเจ้ามีจริง ไม่ว่าฉันจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม

ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "เราจะไม่ละท่านหรือทอดทิ้งท่านเลย" ฮีบรู 13:5

คำถามสำหรับการพิจารณา: ฉันจะจดจ่อที่การสถิตอยู่ของพระเจ้าได้อย่างไรโดยเฉพาะในเวลาที่ฉันรู้สึกว่าพระองค์ทรงอยู่ห่างไกล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น