วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

วันที่ 10 หัวใจแห่งการนมัสการ

จงถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า…และจงให้อวัยวะเป็นเครื่องใช้ในความชอบธรรมถวายแด่พระเจ้า
โรม 6:13

หัวใจแห่งการนมัสการคือการยอมจำนน

การยอมจำนนเป็นคำซึ่งไม่เป็นที่นิยม เช่นเดียวกับคำว่า ยอมเชื่อฟัง เพราะเป็นคำที่แสดงถึงการพ่ายแพ้และไม่มีใครอยากเป็น ผู้แพ้ คำว่ายอมจำนนกระตุ้นให้เรานึกถึงภาพชวนหม่นหมองของการยอมรับความพ่ายแพ้ในการสู้รบ ถูกทำโทษในเกม หรือยอมต่อฝ่ายตรงข้ามที่เข้มแข็งกว่า คำนี้มักจะใช้ในบริบทที่ไม่ดี อาชญากรที่ถูกจับยอมจำนนต่อเจ้าหน้าที่

ในวัฒนธรรมที่แข่งขันในปัจจุบันนี้ เราถูกสอนไม่ให้ล้มเลิกหรือยอมแพ้ ดังนัั้นเราไม่ค่อยได้ยินเกี่ยวกับการยอมจำนน ถ้าการชนะคือทุกสิ่ง การยอมจำนนก็เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ เราอยากจะพูดถึงชัยชนะ การประสบความสำเร็จ การได้เปรียบ และการพิชิตมากกว่าจะพูดถึงการยอมแพ้ การยอมอยู่ในโอวาท การเชื่อฟัง และการยอมจำนน แต่การยอมจำนนต่อพระเจ้าคือหัวใจของการนมัสการ เป็นการตอบสนองตามธรรมชาติต่อความรักและพระเมตตาอัศจรรย์ของพระเจ้า เราถวายตัวเราเองแด่พระองค์ ไม่ใช่เพราะความกลัวหรือเป็นหน้าที่ แต่เพราะเรารัก "เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน" (1 ยอห์น 4:9-10, 19)

หลังจากที่ใช้สิบเอ็ดบทแรกของพระธรรมโรมอธิบายให้เราเข้าใจถึงพระคุณอันเหลือเชื่อของพระเจ้า เปาโลก็วิงวอนให้เรายอมจำนนหมดทั้งชีวิตของเราต่อพระเจ้าในการนมัสการ "ดังนั้น พี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อคิดถึงความรักความเมตตาที่พระเจ้าทรงมีต่อเราอย่างมากมาย ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านให้ถวายตัวแด่พระองค์ เป็นเหมือนเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่รับใช้การงานของพระองค์ และทำให้พระองค์พอพระทัย นี่แหละเป็นการนมัสการอย่างถูกต้อง ที่ท่านควรจะถวายแด่พระองค์" (โรม 12:1 ประชานิยม)

การนมัสการแท้ หรือการทำให้พระเจ้าพอพระทัย เกิดขึ้นเมื่อคุณถวายตัวคุณแด่พระเจ้า สังเกตว่าคำกริยาคำแรกและคำสุดท้ายที่เปาโลบอกให้เราทำนั้นเหมือนกันคือถวาย

ถวายตัวคุณแด่พระเจ้าคือการนมัสการที่แท้จริง

การกระทำที่แสดงออกถึงการยอมจำนนส่วนตัวนี้ มีชื่อเรียกอีกหลายแบบ ได้แก่ การชำระตัวถวาย การยอมรับพระเยซูเป็นเจ้านายของคุณ การรับกางเขนของคุณ แบกการตายต่อตัวเอง การยอมจำนนต่อพระวิญญาณ สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่คุณจะเรียกมันว่าอะไร แต่อยู่ที่คุณจะลงมือปฏิบัติหรือไม่ พระเจ้าต้องการชีวิตของคุณ ทั้งหมดในชีวิตคุณ แม้แต่เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ก็ยังไม่พอ

มีอุปสรรคสามประการที่ขัดขวางไม่ให้เรายอมจำนนทั้งหมดต่อพระเจ้า ได้แก่ ความกลัว ความเย่อหยิ่ง และความสับสน เราไม่รู้ว่า พระเจ้าทรงรักเรามากเพียงไร เราต้องการควบคุมชีวิตของเราเอง และเราเข้าใจความหมายของการยอมจำนนผิดไป

ฉันไว้วางใจพระเจ้าได้ไหม ความวางใจเป็นองค์ประกอบสำคัญของการยอมจำนน คุณจะไม่ยอมจำนนต่อพระเจ้านอกเสียจากคุณจะไว้ใจพระองค์ แต่คุณจะไม่สามารถไว้ใจพระองค์จนกว่าคุณรู้จักพระองค์ดีขึ้น ความกลัวขัดขวางเราไม่ให้ยอมจำนน แต่ความรักขจัดความกลัว ยิ่งคุณรู้ว่าพระเจ้าทรงรักคุณมากเพียงไร การยอมจำนนก็ยิ่งง่ายขึ้นเท่านั้น

คุณรู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้าทรงรักคุณ พระองค์ประทานหลักฐานแก่คุณหลายอย่าง พระเจ้าตรัสว่าพระองค์ทรงรักคุณ (สดุดี 145:9) คุณไม่เคยอยู่นอกสายพระเนตรของพระองค์เลย (สดุดี 139:3) พระองค์ทรงห่วงใยทุกรายละเอียดในชีวิตคุณ (มัทธิว 10:30) พระองค์ประทานความสามารถให้คุณเพลิดเพลินกับความสุขทุกชนิดได้ (1 ทิโมธี 6:17ข) พระองค์ทรงมีแผนการที่ดีสำหรับชีวิตคุณ (เยเรมีย์ 29:11) พระองค์ทรงยกโทษบาปให้คุณ (สดุดี 86:5) และพระองค์ทรงอดทนต่อคุณด้วยความรัก (สดุดี 145:8) พระเจ้าทรงรักคุณอย่างไม่มีขีดจำกัด มากเกินกว่าที่คุณสามารถจินตนาการได้

การแสดงออกที่ดีที่สุดของพระองค์คือการยอมเสียสละพระบุตรของพระองค์เพื่อคุณ "แต่พระเจ้าทรงแสดงให้เห็นแล้วว่า พระองค์ทรงรักเรามากแค่ไหน คือว่า ที่พระเยซูทรงตายเพื่อเราทั้ง ๆ ที่เราเป็นคนบาปอยู่" (โรม 5:8 ประชานิยม) ถ้าคุณต้องการรู้ว่า คุณสำคัญต่อพระเจ้ามากแค่ไหน ก็ให้ดูพระคริสต์ขณะที่พระกรของพระองค์เหยียดออกบนกางเขน ตรัสว่า "เรารักเจ้ามากขนาดนี้ เรายอมตายดีกว่าอยู่โดยไม่มีเจ้า"

พระเจ้าไม่ใช่นายทาสที่โหดร้าย หรือนักเลงที่ใช้กำลังทารุณเพื่อบังคับเราให้ยอมเชื่อฟัง พระองค์ไม่พยายามหักหาญความสมัครใจของเรา พระเจ้าทรงเป็นคู่รักและผู้ปลดแอก และการยอมจำนนต่อพระองค์จะนำมาซึ่งเสรีภาพ ไม่ใช่พันธนาการ เมื่อเรายอมจำนนทั้งชีวิตต่อพระเยซู เราจะพบว่าพระองค์มิได้ทรงเป็นทรราชย์แต่เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ใช่เจ้านายแต่เป็นพี่ ไม่ใช่เผด็จการแต่เป็นสหาย

ยอมรับข้อจำกัดต่าง ๆ ของเรา อุปสรรคประการที่สอง ที่ขัดเจนไม่ให้เรายอมจำนนหมดทั้งชีวิตคือความเย่อหยิ่งของเรา เราไม่อยากยอมรับว่า เราเป็นเพียงสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น และไม่ได้มีอำนาจควบคุมทุกสิ่ง การล่อลวงที่เก่าแก่ที่สุดคือ "เจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า" (ปฐมกาล 3:5) ความปราถนานี้เองคือ ที่จะควบคุมทุกสิ่ง กลายเป็นต้นเหตุของความเคลียดมากมายในชีวิตของเรา ชีวิตคือการต่อสู้ แต่ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้คือ การต่อสู้ของเรานั้น แท้จริงแล้วก็เหมือนกับยาโคบคือการต่อสู้กับพระเจ้า เราอยากเป็นพระเจ้าและไม่มีทางที่เราจะชนะการต่อสู้นี้ได้

เอ. ดับเบิลยู โทเซอร์กล่าวว่า "เหตุผลที่คนจำนวนมากยังคงมีปัญหา ยังคงแสวงหาและยังคงก้าวหน้าไปเพียงน้อยนิด ก็เพราะพวกเขายังไม่ยอมจำนนอย่างราบคาบ เรายังพยายามออกคำสั่ง และขัดจังหวะของพระเจ้าภายในเรา"

เราไม่ใช่พระเจ้า และจะไม่มีวันเป็นได้ เราเป็นมนุษย์ และเมื่อเราพยายามเป็นพระเจ้า เราก็จะกลายเป็นเหมือนซาตานผู้ปราถนาสิ่งเดียวกัน

เรายอมรับความเป็นมนุษย์ของเราในทางสติปัญญา แต่ไม่ใช่ในทางอารมณ์ เมื่อเราเผชิญข้อจำกัดของตัวเอง เราก็ตอบสนองด้วยความหงุดหงิด ความโกรธ และความขุ่นเคือง เราอยากจะสูงขึ้น (หรือเตี้ยลง) ฉลาดขึ้น แข็งแรงขึ้น มีความสามารถมากขึ้น สวยขึ้นและรวยขึ้น เราอยากได้ทุกอย่างและทำทุกอย่าง แล้วเราก็หัวเสียเมื่อมันไม่เป็นเช่นนั้น พอเราเห็นว่าพระเจ้าประทานให้คนอื่นมีลักษณะบางอย่างที่เราไม่มี เราก็ตอบสนองด้วยความอิจฉาริษยา และสงสารตัวเอง

การยอมจำนนหมายถึงอะไร การยอมจำนนต่อพระเจ้าไม่ใช่การทำตัวไม่สนใจใยดีอะไร ปล่อยไปตามเวรตามกรรม หรือเป็นข้อแก้ตัวสำหรับความเกียจคร้าน มันไม่ใช่การยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ แต่อาจจะหมายถึงตรงกันข้าม คือหมายถึงการถวายชีวิตของคุณเป็นเครื่องบูชา หรือการทนทุกข์เพื่อเปลี่ยนสิ่งที่จำเป็นต้องเปลี่ยน พระเจ้ามักจะเรียกคนที่ยอมจำนนให้มาต่อสู้เป็นตัวแทนของพระองค์ การยอมจำนนไม่ใช่เรื่องสำหรับคนขี้ขลาด หรือคนแหย และเช่นเดียวกัน มันไม่ได้หมายถึงการเลิกคิดอย่างมีเหตุมีผล พระเจ้าไม่ได้ประทานสมองมาเพื่อให้มันเปล่าประโยชน์ พระเจ้าไม่ต้องการหุ่นยนต์มารับใช้พระองค์ การยอมจำนนไม่ใช่การเก็บบุคลิกภาพของคุณ พระเจ้าต้องการใช้บุคลิกภาพอันเป็นเอกลักษณ์ของคุณ การยอมจำนนจะเสริมบุคลิกภาพนั้นขึ้นไม่ใช่บั่นทอนมันลง ซี. เอส. ลุยส์ ให้ข้อสังเกตว่า "ยิ่งเราให้พระเจ้าทรงควบคุมมากเท่าไร เราก็ยิ่งเป็นตัวเราที่แท้จริงมากขึ้นเท่านั้น เพราะว่าพระองค์ทรงสร้างเรา พระองค์ทรงประดิษฐ์มนุษย์ทั้งสิ้นที่แตกต่างกันตามที่ประสงค์ให้คุณและผมเป็น… และเมื่อผมหันมาพึ่งพระคริสต์ เมื่อผมมอบตัวเองให้แก่บุคลิกภาพของพระองค์ ผมก็เริ่มมีบุคลิกภาพแท้จริงของผมเองเป็นครั้งแรก"

การเชื่อฟังคือการแสดงออกที่ดีที่สุดของการยอมจำนน ไม่ว่าพระองค์ทรงขออะไรจากคุณ คุณก็จะพูดว่า "ได้พระเจ้าข้า" การพูดว่า "ไม่ได้หรอก พระเจ้าข้า" เป็นคำพูดที่ขัดแย้งในตัวเอง คุณไม่สามารถเรียกพระเยซูว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าของคุณขณะที่คุณปฏิเสธที่จะเชื่อฟังพระองค์ หลังจากค่ำคืนที่จับปลาไม่ได้สักตัว เปโตรได้เป็นแบบอย่างของการยอมจำนน เมื่อพระเยซูตรัสบอกให้ท่านลองอีกครั้ง "พระอาจารย์เจ้าข้า ข้าพระองค์ทั้งหลายทอดอวนคืนยังรุ่งไม่ได้อะไรเลย แต่ข้าพระองค์จะหย่อนอวนลงตามพระดำรัสของพระองค์" (ลูกา 5:5) คนที่ยอมจำนนจะเชื่อฟังคำตรัสของพระเจ้าแม้ว่ามันจะไม่สมเหตุสมผล

อีกแง่มุมหนึ่งของชีวิตที่ยอมจำนนทั้งหมดคือการวางใจ อับราฮัมติดตามการทรงนำของพระเจ้าโดยไม่รู้ว่าพระองค์จะพาไปที่ไหน นางฮันนาห์รอคอยเวลาที่เหมาะเจาะของพระเจ้าโดยไม่ทราบว่าเมื่อใด มารีย์คาดหวังการอัศจรรย์โดยไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร โยเซฟวางใจพระประสงค์ของพระเจ้าโดยไม่รู้ว่าทำไม เหตุการณ์ต่าง ๆ จึงเป็นเช่นนั้น คนเหล่านี้ได้ยอมจำนนทั้งหมดต่อพระเจ้า

คุณรู้ว่าคุณยอมจำนนต่อพระเจ้า เมื่อคุณพึ่งพระองค์ให้ทรงจัดการกับสิ่งต่าง ๆ แทนที่จะพยายามบงการคนอื่น ยัดเยียดแผนการของคุณ และควบคุมสถานการณ์ คุณปล่อยมือและยอมให้พระเจ้าทำงาน คุณไม่จำเป็นต้อง "ควบคุม" อยู่ตลอดเวลา พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงยอมจำนนต่อพระเจ้า และเพียรรอคอยพระองค์" (สดุดี 37:7ก GWT) แทนที่จะพยายามมากขึ้น คุณควรวางใจมากขึ้น คุณยังรู้ว่าตนเองยอมจำนนเมื่อคุณไม่ตอบสนองต่อคำวิจารณ์และรีบปกป้องตัวเอง หัวใจที่ยอมจำนนแสดงออกชัดเจนที่สุดในความสัมพันธ์ เมื่อคุณยอมจำนนคุณจะไม่กีดกันคนอื่นออกไป คุณจะไม่เรียกร้องสิทธิและคุณจะไม่เห็นแก่ตัว

สำหรับคนจำนวนมาก เรื่องที่ยากที่สุดในการยอมจำนนคือเรื่องเงิน คนจำนวนมากคิดว่า "ผมอยากจะอยู่เพื่อพระเจ้า แต่ผมก็อยากหาเงินให้ได้มากพอที่จะอยู่อย่างสบายและเกษียณได้ในวันหนึ่งข้างหน้า" การเกษียณอายุไม่ใช่เป้าหมายของชีวิตที่ยอมจำนน เพราะว่ามันพยายามแย่งความสนใจหลักไปจากพระเจ้า พระเยซูตรัสว่า "ท่านจะปฏิบัติพระเจ้าและจะปฏิบัติเงินทองพร้อมกันไม่ได้" (มัทธิว 6:24) และ "ทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย" (มัทธิว 6:21)

ตัวอย่างสำคัญที่สุดของการยอมจำนนตนเองคือพระเยซู ในคืนก่อนการตรึงกางเขน พระเยซูทรงยอมจำนนต่อแผนการของพระเจ้า พระองค์ทรงอธิษฐานว่า "พระบิดา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้สำหรับพระองค์ ขอช่วยเอาจอกแห่งความทุกข์ทรมานนี้ พ้นไปจากลูกด้วยเถิด แต่ขอให้เป็นตามความต้องการของพระองค์ ไม่ใช่ความต้องการของลูก" (มาระโก 14:36 อ่านเข้าใจง่าย)

พระเยซูมิได้ทรงอธิษฐานว่า "พระเจ้า ถึงพระองค์สามารถยกความเจ็บปวดนี้ไป ก็ขอทรงโปรดทำเช่นนั้นเถิด" พระองค์ทรงยืนยันว่าพระเจ้าสามารถทำได้ทุกสิ่ง แต่พระองค์ทรงอธิษฐานว่า "พระเจ้า ถ้าเป็นความพอใจอย่างที่สุดของพระองค์ที่จะยกความทุกข์ทรมานนี้ออกไป ก็ขอทรงโปรดทำเช่นนั้น แต่ถ้ามันจะทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จนั่นก็เป็นสิ่งที่ข้าพระองค์ต้องการด้วย"

การยอมจำนนที่แท้จริงคือการกล่าวว่า "พระบิดา ถ้าปัญหา ความเจ็บปวด โรคภัยหรือสถานการณ์นี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้พระประสงค์และพระสิริของพระองค์สำเร็จในชีวิตข้าพระองค์ หรือในชีวิตคนอื่น ก็ขอทรงโปรดอย่านำสิ่งนั้นออกไป" ความเป็นผู้ใหญ่ระดับนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ ในกรณีของพระเยซู พระองค์ทรงทุกข์ใจอย่างมากเรื่องแผนการของพระเจ้า จนเหงื่อของพระองค์หยดออกมาเป็นเลือด การยอมจำนนเป็นสิ่งที่ยาก ในกรณีของเรา มันเป็นสงครามอันรุนแรงต่อสู้กับธรรมชาติเห็นแก่ตัวของเรา

พระพรแห่งการยอมจำนน พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนอย่างยิ่งเกี่ยวกับประโยชน์ที่คุณจะได้รับ เมื่อคุณยอมจำนนหมดทั้งชีวิตต่อพระเจ้า ประการแรก คุณจะสัมผัสกับสันติสุข "จงหยุดวิวาทกับพระเจ้า เมื่อท่านเห็นพ้องกับพระองค์ ท่านก็จะมีสันติสุขในที่สุด และสิ่งต่าง ๆ จะเป็นไปด้วยดีสำหรับท่าน" (โยบ 22:21 NLT) ต่อมา คุณจะมีเสรีภาพ "จงมอบตัวของท่านให้แก่ทางของพระเจ้า และเสรีภาพจะไม่สิ้นสุด… บัญญัติ [ของพระองค์] ทำให้ท่านมีอิสระที่จะอยู่อย่างเปิดเผยในเสรีภาพของพระองค์" (โรม 6:17 Msg) ประการที่สอง คุณจะได้รับฤทธิ์เดชของพระเจ้าในชีวิต พระคริสต์สามารถพิชิตการทดลองที่ไม่ยอมรามือง่าย ๆ รวมทั้งปัญหาที่ท่วมท้นเมื่อคุณมอบสิ่งเหล่านี้แด่พระองค์

ขณะที่โยชูวากำลังจะเข้าสู่สงครามครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของท่าน (โยชูวา 5:13-15) ท่านได้เผชิญหน้ากับพระเจ้า ได้ทรุดลงกราบนมัสการต่อพระพักตร์พระองค์ และยอมจำนนแผนการของท่าน การยอมจำนนครั้งนั้นนำไปสู่ชัยชนะอันน่าทึ่งที่เมืองเยรีโค นี่อาจดูเหมือนขัดแย้งกัน คือการยอมจำนนนำมาซึ่งชัยชนะ การยอมจำนนจะทำให้คุณเข้มแข็งขึ้นไม่ใช่อ่อนแอลง เมื่อยอมจำนนต่อพระเจ้าแล้วคุณก็ไม่ต้องกลัวหรือยอมจำนนต่อสิ่งอื่นใดอีก วิลเลี่ยม บูธ ผู้ก่อตั้งกลุ่มซัลเวชั่นอาร์มี่ กล่าวว่า "คน ๆ หนึ่งจะมีพลังยิ่งใหญ่แค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่ว่าเขายอมจำนนมากแค่ไหน"

คนที่ยอมจำนนคือคนที่พระเจ้าทรงใช้ พระเจ้าทรงเลือกมารีย์เป็นมารดาของพระเยซูไม่ใช่เพราะเธอมีความสามารถ หรือร่ำรวย หรือสวย แต่เพราะเธอได้ยอมจำนนหมดทั้งชีวิตต่อพระองค์ เมื่อทูตสวรรค์อธิบายแผนการที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เธอตอบสนองอย่างสงบว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเป็นเจ้า และข้าพเจ้าเต็มใจยอมรับทุกสิ่งที่พระองค์ประสงค์" (ลูกา 1:38 NLT) ไม่มีสิ่งใดที่ทรงพลังยิ่งกว่าชีวิตที่ยอมจำนนในพระหัตถ์ของพระเจ้า "ฉะนั้น จงยอมจำนนต่อพระเจ้า" (ยากอบ 4:7 ประชานิยม)

วิธีที่ดีที่สุดในการดำเนินชีวิต ในที่สุดแล้วทุกคนจะยอมจำนนต่อบางสิ่งหรือบางคน ถ้าไม่ใช่ต่อพระเจ้า คุณก็จะยอมจำนนต่อความเห็น หรือความคาดหวังของคนอื่น ต่อเงินทอง ต่อความขุ่นเคือง ต่อความกลัว หรือต่อความเย่อหยิ่ง ตัณหา หรืออัตตาของคุณเอง คุณถูกสร้างมาเพื่อนมัสการพระเจ้า และถ้าคุณไม่นมัสการพระองค์ คุณก็จะสร้างสิ่งอื่นขึ้นมา (รูปเคารพ) เพื่อคุณจะมอบชีวิตให้สิ่งนั้น คุณมีเสรีภาพที่จะเลือกว่าจะยอมจำนนต่อสิ่งใด แต่คุณจะไม่เป็นอิสระจากผลของการเลือกนั้น อี. สเตนรี โจนส์ กล่าว่า "ถ้าคุณไม่ยอมจำนนต่อพระคริสต์ คุณก็จะยอมจำนนต่อความวุ่นวาย"

การยอมจำนนไม่ใช่วิธีดำเนินชีวิตที่ดีที่สุด แต่มันเป็นวิธีเดียวที่จะดำเนินชีวิต วิธีอื่นนั้นใช้การไม่ได้ วิธีอื่นทุกวิธีนำไปสู่ความล้มเหลว ความผิดหวัง และการทำลายตัวเอง พระคัมภีร์ฉบับคิงเจมส์เรียกการยอมจำนนว่า "การรับใช้ที่สมเหตุสมผล" (โรม 12:1 KJV) อีกฉบับหนึ่งแปลว่า "วิธีที่ฉลาดที่สุดในการรับใช้พระเจ้า" (โรม 12:1 CEV) การยอมจำนนชีวิตของคุณไม่ใช่แรงกระตุ้นทางอารมณ์ที่โง่เขลา แต่เป็นการกระทำที่มีเหตุผล ฉลาด เป็นวิธีปฏิบัติต่อชีวิตของคุณอย่างมีความรับผิดชอบที่สุด และฉลาดที่สุดที่คุณจะทำได้นี่คือเหตุผลที่เปาโลกล่าวว่า "เหตุฉะนั้นเราตั้งเป้าของเราว่า…จะทำตัวให้เป็นที่ชอบพระทัยพระองค์" (2 โครินธ์ 5:9) ช่วงเวลาที่ฉลาดที่สุดของคุณคือนาทีที่คุณตอบตกลงที่จะมอบชีวิตแด่พระเจ้า

บางครั้งมันอาจใช้เวลาหลายปี แต่ในที่สุดคุณก็จะพบว่าอุปสรรคใหญ่หลวงที่สุด ที่ขัดขวางไม่ให้ชีวิตคุณได้รับพระพรจากพระเจ้านั้นไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นตัวคุณเอง คือการเอาแต่ใจตัวเอง ความทรนงดื้อรั้น และความทะเยอทะยานส่วนตัวของคุณ คุณไม่สามารถทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตคุณสำเร็จโดยที่คุณยังคงจดจ่ออยู่กับแผนการของคุณเองได้

ถ้าพระเจ้าจะทำงานในคุณแบบลึกซึ้งถึงแก่นแท้ มันจะเริ่มจากจุดนี้ ดังนั้น จงถวายทั้งหมดแด่พระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นความเสียใจ ปัญหาปัจจุบัน ความทะเยอทะยานในอนาคต ความกลัว ความฝัน ความอ่อนแอ นิสัย ความเจ็บปวด และความวิตกกังวลของคุณ ให้พระเยซูประทับบนที่นั่งคนขับในชีวิตคุณ แล้วปล่อยมือจากพวงมาลัย ไม่ต้องกลัว ไม่มีสิ่งใดภายใต้การควบคุมของพระองค์ที่จะควบคุมไม่ได้ คุณจะสามารถรับมือทุกสิ่งเมื่อพระคริสต์ทรงควบคุมคุณ คุณจะเป็นเหมือนเปาโลที่กล่าวว่า "ข้าพเจ้าพร้อมสำหรับทุกสิ่ง และสู้ทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ทรงเติมพลังเข้าสู่ภายในของข้าพเจ้า นั่นคือ เมื่ออยู่ในกำลังของพระคริสต์ ข้าพเจ้าก็มีกำลังเพียงพอในตัวข้าพเจ้า" (ฟีลิปปี 4:13 Amp)

นาทีแห่งการยอมจำนนของเปาโลเกิดขึ้นบนถนนไปเมืองดามัสกัส หลังจากที่ท่านล้มคะมำลงเพราะแสงจ้าจนตาบอด สำหรับคนอื่น พระเจ้าทรงดึงความสนใจของเราด้วยวิธีที่เบากว่านั้น ถึงกระนั้นการยอมจำนนก็ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียวจบ เปาโลกล่าวว่า "ข้าพเจ้าตายทุกวัน" (1 โครินธ์ 15:31) มีนาทีของการยอมจำนน และมีการปฏิบัติตามการยอมจำนน ซึ่งต้องเกิดขึ้นนาทีต่อนาทีและตลอดชีวิต ปัญหาของเครื่องบูชาที่มีชีวิตคือ มันคลานลงมาจากแท่นบูชาได้ ดังนั้นคุณอาจจะต้องยอมจำนนชีวิตของคุณวันละห้าสิบครั้ง คุณต้องทำจนเป็นนิสัยประจำวัน พระเยซูตรัสว่า "ถ้าใครต้องการติดตามเรา เขาต้องสละสิ่งที่พวกเขาต้องการ พวกเขาต้องเต็มใจสละชีวิตของพวกเขาทุกวันเพื่อติดตามเรา" (ลูกา 9:23 NLT)

ผมขอเตือนคุณว่า เมื่อคุณตัดสินใจจะดำเนินชีวิตที่ยอมจำนนทั้งสิ้น การตัดสินใจนั้นจะถูกทดสอบ บางครั้งมันหมายถึงการทำสิ่งที่ไม่สะดวก ไม่เป็นที่นิยม ต้องเสียสละอย่างสูง หรือสิ่งที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ บ่อยครั้งมันหมายถึงการทำตรงข้ามกับสิ่งที่คุณรู้สึกอยากทำ

ผู้นำคริสเตียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในศตวรรษที่ 20 คือบิล ไบรท์ ผู้ก่อตั้งองค์การแคมพัสครูเสดฟอร์ไครสต์ คนมากกว่า 150 ล้านคนได้มาเชื่อพระคริสต์ และได้อยู่ในสวรรค์ตลอดนิรันดรกาลผ่านทางเจ้าหน้าที่ขององค์การแคมพัสครูเสดทั่วโลก ผ่านทางใบปลิวหลักสัจจธรรมสี่สู่ชีวิตนิรันดร์ และผ่านทางภาพยนตร์เรื่องพระเยซู (4,000 ล้านคนได้ชมแล้ว)

ครั้งหนึ่ง ผมถามบิลว่า "ทำไมพระเจ้าทรงใช้และอวยพรคุณมากขนาดนี้" ท่านตอบว่า "เมื่อผมยังหนุ่ม ผมได้ทำสัญญากับพระเจ้า ผมเขียนจริง ๆ และลงชื่อผมข้างล่างสัญญานั้นบอกว่า "ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมเป็นทาสของพระเยซูคริสต์"

คุณเคยลงนามสัญญาทำนองนี้กับพระเจ้าหรือไม่ หรือคุณยังคงโต้แย้งและต่อสู้กับพระเจ้าในเรื่องสิทธิของพระองค์ที่จะใช้ชีวิตของคุณตามที่พระองค์พอพระทัย นี่คือเวลาที่คุณจะยอมจำนน ยอมจำนนต่อพระคุณ ความรัก และพระปัญญาของพระเจ้า

วันที่ 10 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: หัวใจแห่งการนมัสการคือการยอมจำนน

ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "จงให้อวัยวะเป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรม" โรม 6:13

คำถามสำหรับการพิจารณา: มีเรื่องใดในชีวิตที่ฉันยังหวงไว้จากพระเจ้า

วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

วันที่ 9 อะไรทำให้พระเจ้ายิ้ม

ขอให้พระเจ้าทรงยิ้มต่อท่าน
กันดารวิถี 6:25 (NLT)

ขอทรงยิ้มต่อข้าพระองค์ ผู้รับใช้ของพระองค์ ขอทรงสอนทางที่ถูกต้องเพื่อข้าพระองค์ดำรงชีวิต
สดุดี 119:135 (Msg)

รอยยิ้มของพระเจ้าคือเป้าหมายชีวิตของคุณ

เนื่องจากการทำให้พระเจ้าชอบพระทัยเป็นวัตถุประสงค์อันดับแรกของชีวิตของคุณ ดังนั้นภารกิจสำคัญที่สุดของคุณคือ การค้นหาว่าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงค้นหาว่า อะไรเป็นสิ่งที่พระคริสต์พอพระทัย แล้วทำสิ่งนั้น" (เอเฟซัส 5:10 Msg) พระคัมภีร์ให้ตัวอย่างที่ชัดเจนถึงชีวิตของคนที่ทำให้พระเจ้าชอบพระทัย ชื่อของชายคนนั้นคือโนอาห์

ในสมัยของโนอาห์ ทั้งโลกได้เสื่อมทรามทางศีลธรรม ทุกคนดำเนินชีวิตตามความพอใจของตนเอง ไม่ใช่ของพระเจ้า พระเจ้าไม่สามารถพบใครในโลกที่สนใจจะทำให้พระองค์ชอบพระทัย พระองค์จึงทรงเสียพระทัย และเศร้าพระทัยที่ได้สร้างมนุษย์มา พระเจ้าทรงสะอิดสะเอียนมนุษย์มาก จนถึงกับทรงดำริว่าจะทำลายเสียให้หมด แต่มีชายคนหนึ่งซึ่งทำให้พระเจ้าทรงยิ้ม พระคัมภีร์กล่าวว่า "โนอาห์เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรพระเจ้า" (ปฐมกาล 6:8)

พระเจ้าตรัสว่า "ชายคนนี้ทำให้เราพอใจ เขาทำให้เรายิ้ม เราจะเริ่มต้นใหม่ด้วยครอบครัวของเขา" เพราะโนอาห์ทำให้พระเจ้าชอบพระทัย คุณและผมจึงมีชีวิตอยู่ในเวลานี้ และจากชีวิตของท่าน เราได้เรียนรู้การแสดงออกห้าประการที่เป็นการนมัสการซึ่งทำให้พระเจ้ายิ้ม

พระเจ้าทรงยิ้มเมื่อเรารักพระองค์มากที่สุด โนอาห์รักพระเจ้ามากกว่าสิ่งอื่นใดในโลกนี้ แม้กระทั่งในเวลาไม่มีใครรักพระองค์ พระคัมภีร์บอกเราว่า ตลอดชีวิตของท่าน "โนอาห์ทำตามพระทัยของพระเจ้าและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ" (ปฐมกาล 6:9ข NLT)

ความสัมพันธ์คือ สิ่งที่พระเจ้าต้องการจากคุณมากที่สุด นี่คือความจริงที่น่าประหลาดใจที่สุดในจักรวาลคือ พระผู้สร้างของเราต้องการมีสามัคคีธรรมกับเรา พระเจ้าทรงสร้างคุณเพื่อจะรักคุณ และพระองค์ทรงรอคอยที่คุณจะรักพระองค์ตอบ พระองค์ตรัสว่า "เราต้องการความรักที่มั่นคงไม่ใช่ต้องการเครื่องสัตวบูชา เราปราถนาจะให้ประชากรของเรารู้จักเรา มากกว่าให้เขาเผาถวายเครื่องบูชาต่อเรา" (โฮเชยา 6:6 ประชานิยม)

จากพระคัมภีร์ข้อนี้ คุณสัมผัสได้ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงมีต่อคุณ พระเจ้าทรงรักคุณอย่างลึกซึ้ง และทรงปราถนาความรักของคุณเป็นการตอบแทน พระองค์ทรงรอคอยให้คุณรู้จักพระองค์ และอยู่กับพระองค์ นี่คือเหตุผลที่ว่าการเรียนรู้ที่จะรักพระเจ้าและรับความรักจากพระองค์ควรเป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิตคุณ ไม่มีสิ่งอื่นใดที่สำคัญใกล้เคียงสิ่งนี้ได้ พระเยซูทรงเรียกความรักนี้ว่า บัญญัติข้อใหญ่ที่สุด พระองค์ตรัสว่า "จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า นั่นแหละเป็นบัญญัติข้อใหญ่และข้อต้น (มัทธิว 22:37-38)

พระเจ้าทรงยิ้มเมื่อเราวางใจพระองค์อย่างสุดใจ เหตุผลข้อที่สองที่โนอาห์ทำให้พระเจ้าพอพระทัยคือ ท่านได้วางใจในพระเจ้า แม้แต่ในเวลาที่ดูไม่สมเหตุสมผล พระคัมภีร์กล่าวว่า "เพราะความเชื่อ โนอาห์ได้ต่อเรือใหญ่กลางแผ่นดินแห้ง พระเจ้าทรงเตือนท่าน ให้รู้เหตุการณ์ที่ท่านยังมองไม่เห็น และท่านทำตามที่พระเจ้าทรงบอกท่าน ผลก็คือ โนอาห์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้า" (ฮีบรู 11:7 Msg)

ลองนึกภาพเหตุการณ์นี้ วันหนึ่ง พระเจ้าเสด็จมาหาโนอาห์และตรัสว่า "เราผิดหวังต่อมวลมนุษย์ทั่วทั้งโลกนี้ ไม่มีใครที่คิดถึงเรานอกจากเจ้า แต่โนอาห์ เมื่อเรามองดูเจ้า เราเริ่มยิ้ม เราพอใจในชีวิตเจ้า ดังนั้น เราจะให้น้ำท่วมโลกและเริ่มต้นใหม่ด้วยครอบครัวของเจ้า เราอยากให้เจ้าสร้างเรือใหญ่ซึ่งจะช่วยเจ้าและสัตว์ต่าง ๆ ให้รอดตาย"

มีปัญหาสามประการที่อาจทำให้โนอาห์สงสัย ประการแรก โนอาห์ไม่เคยเห็นฝนมาก่อน เพราะว่าก่อนหน้าน้ำท่วมครั้งนั้น พระเจ้าทรงให้น้ำผุดขึ้นจากดินหล่อเลี้ยงผิวโลก (ปฐมกาล 2:5-6) ประการที่สอง โนอาห์อยู่ห่างจากมหาสมุทรที่ใกล้ที่สุดเป็นร้อย ๆ กิโลเมตร แม้ท่านจะสามารถเรียนรู้วิธีต่อเรือ แต่ท่านจะนำมันไปลงน้ำได้อย่างไร ประการที่สาม มีปัญหาในการรวบรวมบรรดาสัตว์ทั้งหลาย แล้วก็ยังดูแลพวกมัน แต่โนอาห์ไม่ได้บ่นหรือแก้ตัว ท่านวางใจพระเจ้าอย่างสุดใจ และนั่นทำให้พระเจ้าทรงยิ้ม

การวางใจพระเจ้าอย่างสุดใจหมายถึง การเชื่อว่าพระองค์ทรงทราบว่าอะไรดีที่สุดสำหรับชีวิตคุณ คุณคาดหวังว่าพระองค์จะทรงรักษาพระสัญญาของพระองค์ จะทรงช่วยคุณแก้ปัญหา และจะทรงทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เมื่อถึงคราวจำเป็น พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าทรงปรีดีในคนที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ และวางใจในความรักมั่นคงของพระองค์" (สดุดี 147:11)

โนอาห์ใช้เวลา 120 ปีต่อเรือใหญ่ ผมคิดว่าท่านคงเผชิญช่วงเวลาท้อใจหลายครั้ง ปีแล้วปีเล่าที่ไม่มีสัญญาณใด ๆ บ่งบอกว่าฝนจะตก ท่านคงถูกวิจารณ์อย่างไร้ความปราณีว่าเป็น "คนบ้าที่คิดว่าพระเจ้าตรัสกับเขา" ผมนึกภาพลูก ๆ ของโนอาห์ที่มักจะต้องอับอายเพราะเรือใหญ่ที่กำลังต่ออยู่ในสนามหน้าบ้านของพวกเขา แต่ถึงกระนั้น โนอาห์ก็ยังคงวางใจพระเจ้าต่อไป

มีด้านใดในชีวิตคุณต้องวางใจในพระเจ้าอย่างสุดใจ การวางใจเป็นการนมัสการวิธีหนึ่ง เช่นเดียวกับที่พ่อแม่พอใจที่ลูก ๆ วางใจในความรักและสติปัญญาของท่าน ความเชื่อของคุณก็ทำให้พระเจ้าทรงมีความสุข พระคัมภีร์กล่าวว่า "แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้วจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าก็ไม่ได้เลย" (ฮีบรู 11:6)

พระเจ้าทรงยิ้มเมื่อเราเชื่อฟังพระองค์อย่างสุดใจ การช่วยประชากรสัตว์ให้รอดตายจากน้ำท่วมโลกนั้นจำเป็นต้องใส่ใจในการบริหารจัดการที่ซับซ้อน และต้องคำนึงถึงรายละเอียดต่าง ๆ อย่างมาก ทุกสิ่งต้องทำอย่างที่พระเจ้าทรงระบุไว้ พระเจ้ามิได้ตรัสว่า "โนอาห์จงสร้างเรือสักลำตามที่เจ้าชอบ" พระองค์ประทานคำสั่งที่ละเอียดมาก ไม่ว่าจะเป็นขนาด รูปร่าง และวัสดุของเรือ รวมทั้งจำนวนที่แตกต่างกันของสัตว์ชนิดต่าง ๆ ซึ่งต้องนำขึ้นเรือ พระคัมภีร์บอกเราให้รู้ว่าโนอาห์ตอบสนองอย่างไร "พระเจ้าทรงบัญชาให้โนอาห์ทำอย่างไร โนอาห์ก็ทำอย่างนั้นทุกประการ" (ปฐมกาล 6:22, ฮีบรู 11:7ข)

สังเกตว่า โนอาห์เชื่อฟังทุกประการ ไม่ได้ละเว้นคำสั่งใดๆ เลย และท่านเชื่อฟังอย่างเจาะจง (ตามแบบและตามเวลาที่พระเจ้าต้องการให้ทำ) นั่นคือการเชื่อฟังอย่างสุดใจ ไม่แปลกใจที่พระเจ้าทรงยิ้มให้กับโนอาห์

ถ้าพระเจ้าตรัสบอกให้คุณสร้างเรือยักษ์ คุณไม่คิดว่าคุณจะมีคำถาม ข้อโต้แย้งหรือข้อต่อรองบ้างหรือ แต่โนอาห์ไม่มีอาการเช่นนั้น ท่านเชื่อฟังพระเจ้าอย่างสุดใจ นั่นหมายความว่าท่านทำสิ่งที่พระเจ้าบัญชาโดยไม่ต่อรองหรือลังเล คุณจะไม่ผัดผ่อนและกล่าวว่า "ข้าพระองค์จะอธิษฐานเรื่องนี้ดู" คุณจะทำโดยไม่รอเวลา พ่อแม่ทุกคนรู้ว่าการเชื่อฟังที่ล่าช้าที่จริงแล้วก็คือการไม่เชื่อฟัง

พระเจ้าไม่จำเป็นต้องให้คำอธิบายหรือเหตุผลสำหรับทุกสิ่งที่พระองค์ทรงบัญชาให้คุณทำ ความเข้าใจนั้นรอได้ การเชื่อฟังโดยทันทีจะสอนให้คุณรู้จักพระเจ้าได้มากกว่าการอภิปรายพระคัมภีร์ตลอดชีวิต ที่จริง คุณจะไม่มีวันเข้าใจพระบัญชาบางประการจนกว่าคุณจะเชื่อพระบัญชานั้น ๆ เสียก่อน การเชื่อฟังจะไขกุญแจสู่ความเข้าใจ

บ่อยครั้ง เรามักจะเสนอพระเจ้าว่าเราจะเชื่อฟังบางส่วน เราอยากเลือกพระบัญชาที่เราจะเชื่อฟัง เราทำรายการคำสั่งที่เราชอบ และเชื่อฟังคำสั่งเหล่านี้ ขณะเดียวกันก็ไม่สนใจข้อที่เราเห็นว่าไม่สมเหตุสมผล ยาก แพง และไม่เป็นที่นิยม ผมจะไปคริสตจักรแต่ผมจะไม่ถวายสิบลด ผมจะอ่านพระคัมภีร์แต่จะไม่ยกโทษคนที่ทำให้ผมเจ็บ แต่ว่าการเชื่อฟังเพียงบางส่วนคือการไม่เชื่อฟัง

การเชื่อฟังอย่างสุดใจนั้นทำด้วยความยินดีและกระตือรือร้น พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงเชื่อฟังพระองค์ด้วยความยินดี" (สดุดี 100:2 LB) นี่คือท่าทีของดาวิด ข้าแต่พระเจ้าขอทรงบอกสิ่งที่ข้าพระองค์ต้องทำ และข้าพระองค์จะทำ ข้าพระองค์จะเชื่อฟังอย่างสุดใจตราบเท่าที่ข้าพระองค์มีชีวิตอยู่" (สดุดี 119:33 LB)

ยากอบพูดกับคริสเตียนว่า "เราทำให้พระเจ้าพอพระทัยด้วยสิ่งที่เราทำ ไม่ใช่ด้วยสิ่งที่เราเชื่อเพียงอย่างเดียว" (ยากอบ 2:24 CEV) พระวจนะของพระเจ้าบอกชัดเจนว่า คุณไม่สามารถทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพื่อแลกเอาความรอด เพราะความรอดเกิดขึ้นโดยพระคุณเท่านั้น ไม่ใช่โดยความพยายามของคุณ แต่ในฐานะลูกของพระเจ้า คุณสามารถทำให้พระบิดาในสวรรค์ชอบพระทัยได้โดยการเชื่อฟัง การกระทำทุกอย่างที่เป็นการเชื่อฟังล้วนเป็นการนมัสการเช่นกัน แล้วทำไมการเชื่อฟังจึงทำให้พระเจ้าพอพระทัยมาก ก็เพราะมันแสดงว่า คุณรักพระองค์จริง ๆ พระเยซูตรัสว่า "ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา" (ยอห์น 14:15)

พระเจ้าทรงยิ้มเมื่อคุณสรรเสริญและขอบพระคุณพระองค์เรื่อยไป มีไม่กี่อย่างที่ทำให้เรารู้สึกดียิ่งกว่าการได้รับคำชมและการชื่นชมอย่างจริงใจจากผู้อื่น พระเจ้าก็ทรงชอบสิ่งนี้ด้วย พระองค์ทรงยิ้มเมื่อเราแสดงการเทิดทูนและความกตัญญูต่อพระองค์

ชีวิตของโนอาห์ทำให้พระเจ้าชอบพระทัยเพราะว่าท่านดำเนินชีวิตด้วยจิตใจที่สรรเสริญ และขอบพระคุณ สิ่งแรกที่โนอาห์ทำหลังจากรอดตายจากน้ำท่วมคือการแสดงความขอบพระคุณต่อพระเจ้าของท่านโดยการถวายเครื่องบูชาพระคัมภีร์กล่าวว่า "โนอาห์สร้าง แท่นบูชา…พระเจ้า. และเผาบูชาถวายที่แท่นนั้น" (ปฐมกาล 8:20)

เพราะการถวายบูชาของพระเยซู เราจึงไม่ต้องถวายสัตว์อย่างที่โนอาห์ทำ แต่เราต้องถวาย "คำสรรเสริญเป็นเครื่องบูชา" แด่พระเจ้า (ฮีบรู 13:15) และ "เครื่องบูชาแห่งการขอบพระคุณ" (สดุดี 116:17 KJV) เราสรรเสริญพระเจ้าที่พระองค์ทรงเป็นอย่างที่พระองค์เป็น และเราขอบพระคุณพระเจ้าเพราะสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำ ดาวิดกล่าวว่า "ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระนามพระเจ้าด้วยบทเพลง และข้าพเจ้าจะยกย่องพระองค์โดยโมทนาพระคุณ การนั้นจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า" (สดุดี 69:30-31)

สิ่งที่น่าประหลาดจะเกิดขึ้นเมื่อเราถวายคำสรรเสริญและคำขอบพระคุณแด่พระเจ้าเมื่อเราทำให้พระเจ้าเบิกบานพระทัย หัวใจของเราเองก็จะเต็มไปด้วยความยินดีด้วย

คุณแม่ชอบทำอาหารให้ผมกิน แม้หลังจากผมแต่งงานกับเคย์แล้ว เวลาเราไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ของผม คุณแม่ก็จะเตรียมงานเลี้ยงแสนวิเศษที่ท่านปรุงเอง ความสุขที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตของท่านคือการดูพวกเราที่เป็นลูก ๆ กินและชอบสิ่งที่ท่านเตรียมให้ยิ่งเราชอบกินมันเท่าไร ท่านก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น

แต่เราเองก็ชอบทำให้แม่พอใจด้วยการแสดงออกว่าเราชอบกินอาหารของท่าน มันดีต่อทั้งสองฝ่าย ขณะที่ผมกินอาหารมื้ออร่อย ผมก็จะพูดชมเชยและสรรเสริญคุณแม่ของผม ผมตั้งใจว่าจะไม่เพียงแต่อร่อยกับอาหารเท่านั้น แต่ผมจะทำให้คุณแม่พอใจด้วย และทุกคนก็มีความสุข

การนมัสการก็ให้ผลดีสองด้านเช่นกัน เราชอบสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อเรา และเมื่อเราแสดงออกว่าเราชอบสิ่งนั้น มันก็ทำให้พระองค์ยินดี และมันจะยิ่งเพิ่มความยินดีของเราด้วย พระธรรมสดุดีกล่าวว่า "คนชอบธรรมชื่นบานและยินดีต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า พวกเขามีความสุขและโห่ร้องด้วยความชื่นบาน" (สดุดี 68:3 TEV)

พระเจ้าทรงยิ้มเมื่อเราใช้ความสามารถของเรา หลังจากน้ำท่วม พระเจ้าประทานคำสั่งง่าย ๆ เหล่านี้แก่โนอาห์ "จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน…ทุกสิ่งที่มีชีวิตเคลื่อนไหวไปมาจะเป็นอาหารของเจ้า เราจะยกของทุกอย่างให้แก่เจ้า ดังที่เรายกต้นผักเขียวสดให้แก่เจ้าแล้ว" (ปฐมกาล 9:1, 3)

พระเจ้าตรัสว่า "ถึงเวลาที่เจ้าจะดำเนินชีวิตต่อไป ทำสิ่งที่เรามอบหมายให้มนุษย์ทำสมสู่กับคู่ครองของเจ้า มีลูก เลี้ยงดูครอบครัว ปลูกพืช และกินอาหาร จงเป็นมนุษย์นี่แหละเราสร้างเจ้าเพื่อให้เป็นเช่นนี้"

คุณอาจจะรู้สึกว่าเวลาเดียวที่พระเจ้าพอพระทัยคุณคือเมื่อคุณทำกิจกรรม "ฝ่ายวิญญาณ" เช่น อ่านพระคัมภีร์ ไปคริสตจักร อธิษฐาน หรือเป็นพยาน และคุณอาจจะคิดว่าพระเจ้าไม่สนพระทัยส่วนอื่น ๆ ในชีวิตคุณ แต่ที่จริง พระเจ้าทรงมีความสุขกับการเฝ้าดูรายละเอียดทุกอย่างในชีวิตคุณ ไม่ว่าคุณจะทำงาน เล่น พักผ่อน หรือกิน พระองค์ไม่พลาดการเคลื่อนไหวของคุณเลยแม้แต่อย่างเดียว พระคัมภีร์บอกเราว่า "พระเจ้าทรงนำย่างเท้าของคนชอบธรรม พระองค์ทรงเปรมปรีดิ์ในรายละเอียดทุกอย่างของชีวิตเขา" (สดุดี 37:23 NLT)

กิจกรรมทุกอย่างของมนุษย์ ยกเว้นความบาป สามารถทำเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัยได้ ถ้าคุณทำด้วยท่าทีแห่งการสรรเสริญ คุณสามารถล้างจาน ซ่อมเครื่องยนต์ ขายสินค้า เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ปลูกพืช และเลี้ยงดูครอบครัวเพื่อพระสิริของพระเจ้า

เช่นเดียวกันกับพ่อแม่ที่ภาคภูมิใจ พระเจ้าทรงพอพระทัยเป็นพิเศษเมื่อเห็นคุณใช้ของประทานที่แตกต่างเพื่อความสุขของพระองค์ พระองค์สร้างบางคนให้เก่งกีฬา และบางคนเก่งการวิเคราะห์ คุณอาจมีความสามารถทางเครื่องยนต์ หรือคณิตศาสตร์ หรือดนตรี หรือทักษะอื่น ๆ อีกนับพัน ความสามารถเหล่านี้ทั้งหมดสามารถนำรอยยิ้มมายังพระพักตร์พระเจ้าได้ พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระองค์ทรงหล่อหลอมพวกเราทีละคน แล้วพระองค์ทรงเฝ้าดูทุกสิ่งที่เราทำ" (สดุดี 33:15 Msg)

คุณไม่อาจถวายเกียรติแด่พระเจ้าหรือทำให้พระองค์ชอบพระทัยโดยการซ่อนความสามารถของคุณ หรือพยายามเป็นคนอื่น คุณทำให้พระองค์มีความสุขก็ต่อเมื่อคุณเป็นตัวคุณเอง เมื่อใดก็ตามที่คุณปฏิเสธพระปัญญาและอำนาจสิทธิ์ขาดของพระเจ้าในการทรงสร้างคุณ พระเจ้าตรัสว่า "เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะโต้แย้งผู้สร้างของเจ้า เจ้าเป็นเพียงหม้อดินที่ช่างปั้นหม้อทำขึ้น ดินเหนียวไม่สามารถถามว่า "ทำไมท่านสร้างข้าแบบนี้" (อิสยาห์ 45:9 CEV)

ในภาพยนต์เรื่อง Chariots of Fire อีริค ลิดเดอร์ นักวิ่งโอลิมปิกกล่าวว่า "ผมเชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้างผมเพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่ง แต่พระองค์ก็ทรงสร้างผมให้เร็วด้วย และเมื่อผมวิ่ง ผมรู้สึกว่าพระเจ้าชอบพระทัย" ต่อมาเขาพูดว่า "การเลิกวิ่งจะทำให้พระองค์ไม่พอพระทัย" ไม่มีความสามารถใดที่ไม่ใช่ความสามารถฝ่ายวิญญาณ มีแต่การใช้ความสามารถฝ่ายวิญญาณผิด ๆ เท่านั้น จงเริ่มใช้ความสามารถของคุณเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย

พระเจ้ายังทรงสุขพระทัยเมื่อเห็นคุณชื่นชมสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง พระองค์ประทานตาเพื่อให้คุณชื่นชมความงาม หูเพื่อเพลิดเพลินกับเสียง จมูกและต่อรับรสเพื่อรื่นรมย์กับกลิ่นและรสชาติ และประสาทใต้ผิวหนังเพื่อให้คุณมีความสุขกับการสัมผัส อาการชื่นชมทุกอย่างจะกลายเป็นการนมัสการเมื่อคุณขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งนั้น ที่จริงพระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าผู้ประทานทุกสิ่งแก่เราอย่างบริบูรณ์เพื่อให้เราได้ชื่นชม" (1 ทิโมธี 6:17 2002)

พระเจ้าทรงสุขพระทัยที่ได้เฝ้าดูแม้กระทั่งเวลาคุณหลับ เมื่อลูกของผมยังเล็กผมจำได้ว่าผมชื่นใจอยู่ลึก ๆ เวลาเฝ้าดูพวกเขานอนหลับ บางครั้ง วันนั้นพวกเขาอาจก่อปัญหาและไม่เชื่อฟัง แต่เมื่อนอนหลับ ก็ดูเหมือนพวกเขารู้สึกพึงพอใจ ปลอดภัย และสงบ และผมก็ระลึกได้ว่า ผมรักพวกเขามากเพียงไร

ลูกของผมไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อให้ผมพอใจพวกเขา ผมมีความสุขเพียงแค่เฝ้าดูพวกเขาหายใจ เพราะว่าผมรักพวกเขามาก เมื่อหน้าอกน้อย ๆ ของพวกเขากระเพื่อมขึ้นและลง ผมก็จะยิ้ม และบางครั้งก็น้ำตาคลอด้วยความยินดี เมื่อคุณนอนหลับ พระเจ้าก็ทรงมองดูคุณด้วยความรัก เพราะว่าคุณเป็นผลงานความคิดของพระองค์ พระองค์ทรงรักคุณเหมือนกับว่าคุณเป็นมนุษย์คนเดียวบนโลกนี้

พ่อแม่ไม่ได้เรียกร้องให้ลูกเป็นคนดีสมบูรณ์แบบ หรือแม้กระทั่งว่าต้องเป็นผู้ใหญ่แล้วถึงจะพอใจในตัวเขา พวกเขาพอใจลูก ๆ ในทุก ๆ ช่วงของการเจริญเติบโต ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าก็ไม่ได้ให้คุณโตเป็นผู้ใหญ่ก่อนแล้วพระองค์ถึงจะเริ่มพอพระทัยคุณพระองค์ทรงรักและชื่นชมคุณในทุก ๆ ช่วงของการเติบโตฝ่ายวิญญาณ

คุณอาจจะมีครูหรือพ่อแม่ที่ไม่ยอมพอใจคุณเอาเสียเลย โปรดอย่าคิดว่า พระเจ้าทรงรู้สึกเช่นนั้นกับคุณ พระองค์ทรงทราบว่า คุณไม่สามารถที่จะเป็นคนดีสมบูรณ์แบบหรือปราศจากบาป พระคัมภีร์กล่าวว่า "แน่นอน พระองค์ทรงทราบว่าเราถูกสร้างมาจากอะไร พระองค์ทรงระลึกว่าเราเป็นเพียงผงคลี" (สดุดี 103:14 GWT)

สิ่งที่พระเจ้าทอดพระเนตรคือท่าทีในใจของคุณ การทำให้พระองค์ทรงพอพระทัยคือความปราถนาที่ลึกที่สุดของคุณหรือไม่ นี่คือเป้าหมายชีวิตของเปาโล "เหตุฉะนั้นเราตั้งเป้าของเราว่าจะอยู่ในกายนี้ก็ดีหรือไม่อยู่ก็ดี เราก็จะทำตัวให้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์" (2 โครินธ์ 5:9) เมื่อคุณดำเนินชีวิตโดยคำนึงถึงนิรันดรกาล การจดจ่อของคุณก็จะเปลี่ยนไปจาก "ผมจะหาความสุขจากชีวิตนี้ได้มากแค่ไหน" เป็น "พระเจ้าจะทรงพอพระทัยเพราะชีวิตผมมากแค่ไหน"

พระเจ้าทรงมองหาคนที่เหมือนโนอาห์ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดคือคนที่ตั้งใจจะมีชีวิตเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าทรงมองลงมาจากฟ้าสวรรค์ดูลูกหลานของมนุษย์ว่า จะมีคนใดบ้างที่ฉลาด ที่เสาะแสวงหาพระเจ้า" (สดุดี 14:2)

คุณจะตั้งเป้าหมายชีวิตเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัยหรือไม่ มีอะไรไหมที่พระเจ้าจะไม่ทรงทำเพื่อคนที่ใส่ใจเป้าหมายนี้อย่างเต็มที่

วันที่ 9 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: พระเจ้าทรงยิ้มเมื่อเราวางใจในพระองค์

ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "พระเจ้าทรงปรีดีในคนที่นมัสการพระองค์และวางใจในความรักมั่นคงของพระองค์" สดุดี 147:11 (CEV)

คำถามสำหรับการพิจารณา: ในเมื่อพระเจ้าทรงทราบว่าอะไรดีที่สุด มีด้านใดในชีวิตฉันที่ฉันจำเป็นต้องวางใจพระองค์มากที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

วันที่ 8 กำหนดไว้เพื่อให้พระเจ้าชอบพระทัย

วัตถุประสงค์ที่ 1
คุณถูกกำหนดไว้เพื่อให้พระเจ้าชอบพระทัย

เพราะพระเจ้าทรงปลูกพวกเขาไว้ เหมือนต้นก่อหลวงที่แข็งแรงและสง่างาม เพื่อสำแดงพระสิริของพระองค์
อิสยาห์ 61:3 (LB)

วันที่ 8
กำหนดไว้เพื่อให้พระเจ้าชองพระทัย

พระองค์ได้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง และสรรพสิ่งทั้งปวงก็ทรงสร้างขึ้นแล้ว และดำรงอยู่ตามชอบพระทัยของพระองค์
วิวรณ์ 4:11

พระเจ้าทรงปรีดีในประชากรของพระองค์
สดุดี 149:4ก

ณ นาทีที่คุณถือกำเนิดเข้ามาในโลก พระเจ้าอยู่ที่นั่นในฐานะพยานที่ไม่มีใครมองเห็น ทรงยิ้มที่คุณเกิดมา พระองค์ต้องการให้คุณมีชีวิต และการที่คุณเกิดก็ทำให้พระองค์ยินดีอย่างยิ่ง พระเจ้าไม่จำเป็นต้องสร้างคุณ แต่พระองค์ทรงเลือกที่จะสร้างคุณเพื่อความชื่นบานพระทัยของพระองค์เอง คุณเกิดมาเพื่อประโยชน์ของพระองค์ พระสิริของพระองค์ พระประสงค์ของพระองค์ และความเปรมปรีดิ์ของพระองค์

การทำให้พระเจ้ายินดี การดำเนินชีวิตเพื่อให้พระองค์ชอบพระทัยคือวัตถุประสงค์อันดับแรกของชีวิตคุณ เมื่อคุณเข้าใจความจริงนี้อย่างครบถ้วน คุณก็จะไม่มีปัญหากับความรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยอีกเลย ความจริงนี้พิสูจน์คุณค่าของตัวคุณ ถ้าคุณสำคัญต่อพระเจ้าถึงเพียงนั้น และพระองค์ทรงถือว่าคุณมีค่าพอที่จะรักษาไว้กับพระองค์ชั่วนิรันดร์ คุณจะมีฐานะใดยิ่งใหญ่กว่านี้อีก คุณเป็นลูกพระเจ้า และคุณทำให้พระเจ้าพอพระทัยยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดที่พระองค์ได้ทรงสร้าง พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระองค์ทรงกำหนดเราไว้ล่วงหน้าด้วยความรัก ให้เป็นบุตรของพระองค์โดยทางพระเยซูคริสต์ ตามความชอบพระทัยและพระประสงค์ของพระองค์ (เอเฟซัส 1:5 2002)

ของประทานที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งซึ่งพระเจ้าประทานแก่คุณคือ ความสามารถที่จะยินดี พระองค์ทรงสร้างคุณมาพร้อมกับประสาทสัมผัสทั้งห้า รวมทั้งอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ที่คุณจะมีได้ พระองค์ต้องการให้คุณมีความสุขกับชีวิต ไม่ใช่แค่ทน ๆ อยู่ไปเท่านั้น เหตุที่คุณมีความสุขได้ก็เพราะว่าพระเจ้าทรงสร้างคุณตามพระฉายาของพระองค์

เรามักจะลืมไปว่าพระเจ้าก็ทรงมีอารมณ์ด้วย พระองค์ทรงรู้สึกต่อสิ่งต่าง ๆ อย่างลึกซึ้งมาก พระคัมภีร์บอกเราว่า พระเจ้าทรงเสียพระทัย ทรงหวงแหนและทรงพระพิโรธ ทรงรู้สึกเมตตา ทรงสงสาร ทรงเศร้าพระทัย และทรงเห็นใจ รวมทั้งทรงมีความสุข ทรงยินดี และทรงพอพระทัย พระเจ้าทรงรัก ทรงเปรมปรีดิ์ ทรงชอบพระทัย ทรงเบิกบานพระทัยและแม้แต่ทรงพระสรวล (ปฐมกาล 6:6; อพยพ 20:5; เฉลยธรรมบัญญติ 32:36; ผู้วินิจฉัย 2:20; 1 พงค์กษัตริย์ 10:9; 1 พงศาวดาร 16:27; สดุดี 2:4; 5:5; 18:19; 35:27; 37:23; 103:13; 104:31; เอเสเคียล 5:13; 1 ยอห์น 4:16)

การทำให้พระเจ้าชอบพระทัยนั้นเรียกว่า "การนมัสการ" พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าทรงปรีดีในคนที่นมัสการพระองค์และวางใจในความรักมั่นคงของพระองค์" (สดุดี 147:11 CEV)

อะไรก็ตามที่คุณทำแล้วพระเจ้าชอบพระทัยก็เป็นการนมัสการ การนมัสการนั้นเปรียบเสมือนเพชรคือ มีหลายเหลี่ยมมุม ซึ่งคงต้องใช้หนังสือหลายเล่มจึงจะครอบคลุมความเข้าใจทุกอย่างเกี่ยวกับการนมัสการ แต่ในตอนนี้เราจะมาดูแง่มุมสำคัญ ๆ ของการนมัสการ

นักมนุษยวิทยาได้สังเกตว่า การนมัสการเป็นความปราถนาที่เป็นสากล พระเจ้าได้ทรงถักทอความปราถนานี้ไว้ในอนูของชีวิตเรา เป็นความปราถนาที่ฝั่งอยู่ภายในที่จะติดต่อกับพระเจ้า การนมัสการเป็นเรื่องธรรมชาติเช่นเดียวกับการกินหรือการหายใจ ถ้าเราไม่ได้นมัสการพระเจ้า เราก็จะหาสิ่งอื่น ๆ มาทดแทนเรื่อยไป แม้ว่ามันจะลงเอยที่ตัวเราเองก็ตาม เหตุผลที่พระเจ้าทรงสร้างเราให้มีความปราถนาเช่นนี้ก็เพราะพระองค์ทรงปราถนาผู้นมัสการ พระเยซูตรัสว่า "พระบิดาทรงแสวงหาผู้ที่นมัสการ" (ยอห์น 4:23)

คุณอาจจำเป็นต้องขยายความเข้าใจเรื่อง "การนมัสการ" ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภูมิหลังทางศาสนาของคุณ คุณอาจจะคิดถึงการนมัสการในคริสตจักรที่มีการร้องเพลง อธิษฐานและฟังคำเทศนา หรือคุณอาจนึกถึงพิธีกรรมต่าง ๆ เทียน พิธีศีลมหาสนิท หรือคุณอาจคิดถึงการรักษาโรค การอัศจรรย์ และประสบการณ์ที่มีความสุขเต็มล้น การนมัสการครอบคลุมถึงสิ่งเหล่านี้ แต่การนมัสการยังมีอะไรมากกว่านี้อีก การนมัสการเป็นวิถีชีวิต

การนมัสการไม่ใช่แค่ดนตรี สำหรับหลายคน การนมัสการเป็นคำที่มีความหมายเดียวกับคำว่าดนตรี พวกเขาพูดว่า "ที่คริสตจักร เรามนัสการก่อน แล้วถึงจะมีการสอน" นี่เป็นการเข้าใจผิดใหญ่หลวง ทุกส่วนของการประชุมในคริสตจักรเป็นการนมัสการ ไม่ว่าจะเป็นการอธิษฐาน การอ่านพระคัมภีร์ การร้องเพลง การสารภาพบาป การสงบใจ การนิ่ง การฟังคำเทศนา การจดบันทึก การถวายทรัพย์ พิธีบัพติศมา พิธีมหาสนิท การกรอกใบแสดงเจตจำนง หรือแม้แต่การต้อนรับคนอื่น ๆ

อันที่จริง การนมัสการมีมาก่อนมีดนตรี อาดัมนมัสการในสวนเอเดน แต่ไม่มีการกล่าวถึงดนตรี จนกระทั่งปฐมกาล 4:21 พร้อมกับกำเนิดของยูบาล ถ้าการนมัสการเป็นเพียงดนตรีแล้ว คนที่ไม่เก่งดนตรีคงไม่มีวันนมัสการได้ การนมัสการไม่ใช่แค่ดนตรี

ที่แย่กว่านั้น คำว่า "การนมัสการ" มักจะถูกใช้ผิด ๆ เพื่อกล่าวถึงรูปแบบดนตรีชนิดหนึ่ง "เราร้องเพลงชีวิตคริสเตียนก่อน แล้วถึงร้องเพลงสรรเสริญและนมัสการ" หรือ "ผมก็ชอบเพลงสรรเสริญที่เร็ว ๆ เหมือนกันนะ แต่ชอบเพลงนมัสการช้า ๆ มากที่สุด" เวลาพูดแบบนี้ เพลงเร็วหรือดัง หรือใช้เครื่องเป่าจำพวกทรัมเป็ต ก็จะถึงว่าเป็น "การสรรเสริญ" แต่เพลงช้าและเบาและซึ้ง โดยอาจจะใช้กีตาร์บรรเลงคลอถึงจะถือว่าเป็นเพลงนมัสการ นี่คือ การใช้คำว่า "นมัสการ" ผิด ๆ ที่พบอยู่บ่อย ๆ

การนมัสการไม่เกี่ยวกับอะไรกับรูปแบบ หรือความดัง หรือความเร็วของเพลง พระเจ้าทรงรักดนตรีทุกชนิดเพราะว่าพระองค์ทรงสร้างมันทุกชนิด ทั้งเร็วและช้า ดังและเบา เก่าและใหม่ คุณอาจจะไม่ได้ชอบไปหมดทุกแนว แต่พระเจ้าทรงชอบ ถ้าเราร้องถวายแด่พระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง มันก็เป็นการนมัสการ

คริสเตียนมักมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องรูปแบบของดนตรีที่ใช้ในการนมัสการ และปกป้องอย่างดุเดือดว่ารูปแบบที่พวกเขาชอบนั้นถูกต้องตามพระคัมภีร์ที่สุด หรือถวายเกียรติแด่พระเจ้าที่สุด แต่พูดจริง ๆ แล้วมันไม่มีรูปแบบตามพระคัมภีร์ ในพระคัมภีร์ไม่มีโน๊ตดนตรี และเราไม่มีเครื่องดนตรีที่ใช้กันในสมัยพระคัมภีร์ด้วยซ้ำ

พูดตามตรง รูปแบบดนตรีที่คุณชอบนั้นบ่งบอกถึงตัวคุณ ไม่ว่าจะเป็นภูมิหลังหรือบุคลิกภาพของคุณ มากกว่าจะบ่งบอกถึงพระเจ้า ดนตรีของคนชาติหนึ่งอาจฟังดูหนวกหูสำหรับคนอีกเชื้อชาติหนึ่ง แต่พระเจ้าทรงชอบความหลากหลายและทรงเพลิดเพลินกับดนตรีทุกรูปแบบ

ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าดนตรี "คริสเตียน" จะมีก็แต่เพลงคริสเตียน เนื้อเพลงคือสิ่งที่ทำให้เพลงศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่ทำนอง ไม่มีทำนองฝ่ายวิญญาณ ถ้าคุณเล่นเพลงโดยไม่มีเนื้อ คุณจะไม่มีทางรู้ว่านี่เป็นเพลง "คริสเตียน" หรือไม่

การนมัสการไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของคุณ ในฐานะศิษยาภิบาล หลายครั้งผมได้รับข้อความสั้น ๆ ว่า "ผมชอบการนมัสการวันนี้ ผมได้รับอะไรมากเลย" นี่เป็นความเข้าใจผิดอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการนมัสการ การนมัสการไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของคุณ เรานมัสการเพื่อประโยชน์ของพระเจ้า เมื่อเรานมัสการ เป้าหมายของเราคือการทำให้พระเจ้าชอบพระทัย ไม่ใช่ให้เราชอบใจ

ถ้าคุณเคยพูดว่า "ผมไม่ได้รับอะไรจากการนมัสการวันนี้เลย" คุณก็นมัสการด้วยเหตุผลที่ผิด การนมัสการไม่ใช่เพื่อคุณ แต่เพื่อพระเจ้า แน่นอน "การนมัสการ" ส่วนมากได้รวมเอาองค์ประกอบของการสามัคคีธรรม การเสริมสร้าง และการประกาศ และมีประโยชน์หลายอย่างในการนมัสการ แต่เราไม่ได้นมัสการเพื่อให้ตัวเองพอใจ แรงจูงใจของเราคือ ถวายพระสิริแด่พระผู้สร้างของเรา และทำให้พระองค์ชอบพระทัย

ในอิสยาห์บทที่ 29 พระเจ้าทรงตำหนิการนมัสการแบบไม่เต็มใจและไม่จริงใจ ประชาชนถวายคำอธิษฐานที่จืดชืด คำสรรเสริญที่ไม่จริงใจ คำพูดว่างเปล่า และพิธีกรรมที่มนุษย์คิดขึ้น โดยไม่ได้คิดถึงความหมายด้วยซ้ำ เราไม่สามารถแตะพระทัยของพระเจ้าด้วยพิธีนมัสการตามธรรมเนียม แต่ต้องด้วยความรักร้อนแรงและการอุทิศตัว พระคัมภีร์กล่าวว่า "เพราะชนชาตินี้เข้ามาใกล้ด้วยปากของเขา และให้เกียรติเราด้วยริมฝีปากของเขาแต่เขาให้จิตใจของเขาห่างไกลจากเรา เขายำเกรงเราเพียงแต่เหมือนเป็นบัญญัติของมนุษย์ที่ท่องจำกันมา" (อิสยาห์ 29:13)

การนมัสการไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชีวิตของคุณ แต่มันเป็นชีวิตของคุณ การนมัสการไม่ใช่แค่การประชุมในคริสตจักรเท่านั้น พระคัมภีร์บอกเราให้ "นมัสการพระองค์เรื่อยไป" (สดุดี 105:4 TEV) และให้ "สรรเสริญพระองค์ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นถึงอาทิตย์ตก" (สดุดี 113:3) ในพระคัมภีร์ เราเห็นคนสรรเสริญพระเจ้าขณะทำงานบ้าน ในสนามรบ ในคุก หรือแม้กระทั่งบนเตียง การสรรเสริญควรจะเป็นกิจกรรมแรกเมื่อคุณลืมตาในตอนเช้าและกิจกรรมสุดท้ายเมื่อคุณหลับตาในตอนกลางคืน (สดุดี 119:147; 5:3; 63:6; 119:62) ดาวิดตรัสว่า "ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระเจ้าตลอดไป คำสรรเสริญพระองค์อยู่ที่ปากข้าพเจ้าเรื่อยไป" (สดุดี 34:1)

กิจกรรมทุกอย่างสามารถเปลี่ยนให้เป็นการนมัสการ เมื่อคุณทำสิ่งนั้นเพื่อการสรรเสริญ เพื่อพระสิริ และเพื่อให้พระเจ้าชอบพระทัย

พระคัมภีร์กล่าวว่า "เหตุฉะนั้นเมื่อท่านจะรับประทาน จะดื่ม หรือจะทำอะไรก็ตามจงกระทำเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า" (1 โครินธ์ 10:31) มาร์ติน ลูเธอร์กล่าวว่า "ผู้หญิงก็สามารถรีดนมวัวเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าได้"

จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะทำทุกสิ่งเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ก็โดยการทำทุกสิ่งเหมือนคุณกำลังทำถวายพระเยซู และโดยการพูดคุยกับพระองค์ตลอดเวลา ขณะที่คุณทำสิ่งนั้น พระคัมภีร์กล่าวว่า "ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด ก็จงทำด้วยความเต็มใจเหมือนกระทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เหมือนกระทำแก่มนุษย์" (โคโลสี 3:23)

นี่คือเคล็ดลับของวิถีชีวิตแห่งการนมัสการคือ การทำทุกสิ่งเหมือนคุณกำลังทำถวายพระเยซู พระคัมภีร์ฉบับ The Message แปลแบบถอดความว่า "ให้คุณใช้ชีวิตธรรมดา ๆ ประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการนอน การกิน การไปทำงาน และการเดิน เหมือนกับการถวายเครื่องสักการะต่อพระเจ้า" (โรม 12:1 Msg) งานจะกลายเป็นการนมัสการเมื่อคุณอุทิศถวายมันแด่พระเจ้า และทำงานนั้นโดยรู้สึกถึงการสถิตอยู่ด้วยของพระองค์

เมื่อผมตกหลุมรักภรรยาของผมเป็นครั้งแรก ผมคิดถึงเธอตลอดเวลา ขณะที่ทานอาหารเช้า ขับรถไปเรียนหนังสือ นั่งในห้องเรียน เข้าแถวคอยซื้อของที่ตลาด เติมน้ำมันรถ ผมหยุดคิดถึงเธอไม่ได้ และคิดถึงทุกสิ่งที่ผมชอบในตัวเธอ การคิดแบบนี้ช่วยผมให้รู้สึกใกล้ชิดกับเคย์แม้เราจะอยู่ห่างกันหลายร้อยไมล์ และเรียนคนละมหาวิทยาลัย ด้วยการคิดถึงเธอตลอดเวลาแบบนี้ ผมก็เข้าสนิทอยู่ในความรักของเธอ นี่คือการนมัสการที่แท้คือ การตกหลุมรักพระเยซู

วันที่ 8 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: ฉันถูกกำหนดไว้เพื่อให้พระเจ้าชอบพระทัย

ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "พระเจ้าทรงปรีดีในประชากรของพระองค์" สดุดี 149:4ก

คำถามสำหรับการพิจารณา: งานธรรมดา ๆ อะไรบ้างที่ฉันสามารถเริ่มทำเหมือนกับทำถวายพระเยซูโดยตรงได้

วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

วันที่ 7 เหตุผลสำหรับทุกสิ่ง

เพราะพระเจ้าทรงสร้างสิ่งทั้งปวง ทุกสิ่งเกิดขึ้นมาได้ก็เพราะฤทธิ์อำนาจของพระองค์ ทั้งนี้เพื่อพระเกียรติแด่พระองค์
โรม 11:36 (ประชานิยม)

พระเจ้าทรงกระทำให้ทุกสิ่งมีเป้าหมาย
สุภาษิต 16:4

ทุกสิ่งดำรงอยู่เพื่อพระองค์

เป้าหมายสูงสุดของจักรวาลคือเพื่อแสดงถึงพระสิริของพระเจ้า นี่คือเหตุผลที่ทุกสิ่งดำรงอยู่ รวมทั้งคุณด้วย พระเจ้าทรงทำทุกสิ่งเพื่อพระสิริของพระองค์ ถ้าปราศจากพระสิริของพระเจ้าก็จะไม่มีสิ่งใดเลย

พระสิริของพระเจ้าคืออะไร ? ก็คือความเป็นพระองค์เอง คือเนื้อแท้ของพระลักษณะของพระองค์ น้ำหนักแห่งความสำคัญของพระองค์ รัศมีความเจิดจรัสของพระองค์ การสำแดงฤทธิ์เดชของพระองค์ และบรรยากาศแห่งการสถิตอยู่ของพระองค์ พระสิริของพระเจ้าคือการแสดงออกถึงความดีของพระองค์ รวมทั้งคุณสมบัตินิรันดร์อื่น ๆ ที่อยู่ภายในพระองค์

พระสิริของพระเจ้าอยู่ที่ไหน คุณก็แค่มองไปรอบ ๆ ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นนั้นสะท้อนถึงพระสิริของพระองค์ในบางลักษณะ เราเห็นได้ทุกหนทุกแห่ง ตั้งแต่สิ่งมีชีวิตที่เล็กที่สุดจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ไปจนถึงทางช้างเผือกกว้างใหญ่ไพศาล จากอาทิตย์อัศดงและดวงดาว ไปจนถึงพายุและฤดูกาลต่าง ๆ สรรพสิ่งที่ทรงสร้างกำลังเปิดเผยพระสิริของพระผู้สร้างของเรา ในธรรมชาติ เรารู้ว่าพระเจ้าทรงฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่ พระองค์พอพระทัยความหลากหลาย ทรงรักความงดงาม ทรงเป็นระเบียบ และทรงพระสติปัญญาและทรงสร้างสรรค์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "ฟ้าสวรรค์ประกาศพระสิริของพระเจ้า" (สดุดี 19:1)

ตลอดประวัติศาสตร์ พระเจ้าทรงเปิดเผยพระสิริของพระองค์แก่มนุษย์ผ่านเหตุการณ์และวิธีการหลากหลาย แรกสุดพระองค์ทรงเปิดเผยพระสิริในสวนเอเดน แล้วแก่โมเสสแล้วในพลับพลาและพระนิเวศ แล้วทางพระเยซู และเวลานี้ทางคริสตจักร (ปฐมกาล 3:8; อพยพ 33:18; 40:33-38; 1 พงค์กษัตริย์ 7:51; 8:10-13; ยอห์น 1:14; เอเฟซัส 2:21-22; 2 โครินธ์ 4:6-7) พระสิริของพระองค์แสดงออกเป็นเพลิงที่เผาผลาญ เมฆ ฟ้าร้อง ควัน และแสงเจิดจ้า (อพยพ 24:17; 40:34; สดุดี 29:1; อิสยาห์ 6:3-4; 60:1; ลูกา 2:9) ในสวรรค์พระสิริของพระเจ้าให้ความสว่างทั้งหมดที่จำเป็น พระคัมภีร์กล่าวว่า "นครนั้นไม่ต้องการแสงของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เพราะว่าพระสิริของพระเจ้าเป็นความสว่างของนครนั้น" (วิวรณ์ 21:23)

พระสิริของพระเจ้าปรากฏชัดที่สุดในพระเยซูคริสต์ พระองค์ผู้ทรงเป็นความสว่างของโลกได้สำแดงพระลักษณะของพระเจ้าเพราะพระเยซู เราจึงไม่ต้องมองพระลักษณะพระเจ้าในความมืดอีกต่อไป พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระบุตรทรงเป็นแสงสะท้อนพระสิริของพระเจ้า" (ฮีบรู 1:3; 2 โครินธ์ 4:6ข) พระเยซูเสด็จมายังโลกเพื่อเราจะสามารถเข้าใจพระสิริของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ "พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา เราเห็นพระสิริของพระองค์คือพระสิริที่สมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง" (ยอห์น 1:14)

พระเยซูทรงพระสิริอันเป็นพระลักษณะติดตัวของพระเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระสิรินี้คือธรรมชาติของพระองค์ เราไม่สามารถเพิ่มสิ่งใดแก่พระสิรินี้ ในทำนองเดียวกับที่เราไม่สามารถทำให้ดวงอาทิตย์สว่างขึ้น แต่เราได้รับคำสั่งให้ยอมรับพระสิริของพระองค์ ถวายเกียรติพระสิริของพระองค์ ประกาศพระสิริของพระองค์ สรรเสริญพระสิริของพระองค์ สะท้อนพระสิริของพระองค์ และอยู่เพื่อพระสิริของพระองค์ (1 พงศาวดาร 16:24; สดุดี 29:1; 66:2; 96:7; 2 โครินธ์ 3:18) ทำไมนะหรือ เพราะว่าพระเจ้าทรงสมควรได้รับสิ่งเหล่านั้น เราเป็นหนี้พระองค์คือเป็นหนี้ที่ต้องถวายเกียรติทั้งสิ้นที่เราสามารถถวายได้ เนื่องจากพระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่ง พระองค์จึงทรงสมควรได้รับพระสิริทั้งสิ้น พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระองค์ทรงสมควรที่จะได้รับคำสรรเสริญ พระเกียรติ และฤทธิ์เดช เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสร้างสิ่งทั้งปวง" (วิวรณ์ 4:11ก)

ทั่วทั้งจักรวาล มีสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างเพียงสองอย่างที่ไม่ยอมถวายพระสิริแด่พระองค์ คือทูตสวรรค์ที่ทำบาป (วิญญาณชั่ว) และเรา (มนุษย์) โดยรากเหง้าแล้ว ความบาปทุกอย่างคือ การไม่ยอมถวายพระสิริแด่พระเจ้าคือการกบฏอย่างยโส และเป็นความบาปที่ทำให้ซาตานตกจากสภาพเดิม รวมทั้งเราด้วย เราทำหลายสิ่งหลายอย่างซึ่งเป็นการใช้ชีวิตเพื่อเกียรติของเราเอง ไม่ใช่ของพระเจ้า พระคัมภีร์กล่าวว่า "เพราะว่าทุกคนทำบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า" (โรม 3:23)

ในพวกเราไม่มีใครสักคนที่ถวายพระสิริแด่พระเจ้าอย่างที่พระองค์ทรงสมควรได้รับจากชีวิตเรา นี่เป็นความบาปที่ร้ายแรงที่สุดและความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่หลวงที่สุดที่เราทำได้ในชีวิตเรา พระเจ้าตรัสว่า "พวกเขาเป็นปวงประชาของเราเองและเราได้สร้างพวกเขาเพื่อถวายพระสิริให้แก่เรา" (อิสยาห์ 43:7 TEV) สิ่งนี้จึงควรจะเป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิตของเรา

ฉันจะถวายพระสิริแด่พระเจ้าได้อย่างไร

พระเยซูทรงทูลพระบิดาว่า "ข้าพระองค์ได้ถวายเกียรติแด่พระองค์ในโลก เพราะข้าพระองค์ได้กระทำกิจที่พระองค์ทรงให้ข้าพระองค์กระทำนั้นสำเร็จแล้ว" (ยอห์น 17:4) พระเยซูทรงถวายเกียรติแด่พระเจ้าโดยทรงกระทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จในโลก เราเองก็ถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยวิธีเดียวกัน เมื่อสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงสร้างทำให้วัตถุประสงค์ของตนสำเร็จ สิ่งนั้นก็กำลังถวายพระสิริแด่พระเจ้า นกถวายพระสิริแด่พระเจ้า โดยการบิน ร้อง ทำรังและทำกิจกรรมอื่น ๆ ของนก ตามที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ แม้แต่มดที่ต่ำต้อยก็ถวายพระสิริแด่พระเจ้า เมื่อมันทำให้วัตถุประสงค์ที่พระเจ้าสร้างมันมาสำเร็จ พระเจ้าทรงสร้างมดให้เป็นมด และพระองค์ทรงสร้างคุณให้เป็นคุณ นักบุญอิเรนายอัสได้กล่าวว่า "พระสิริของพระเจ้าคือมนุษย์ที่มีชีวิตอย่างเต็มที่"

การถวายพระสิริแด่พระเจ้านั้นมีอยู่หลายวิธี แต่ก็สามารถสรุปได้เป็นวัตถุประสงค์ห้าประการที่พระเจ้ามีไว้สำหรับชีวิตคุณ เราจะใช้ส่วนที่เหลือของหนังสือเล่มนี้ศึกษาวัตถุประสงค์เหล่านี้อย่างละเอียด แต่ในบทนี้จะพูดถึงภาพรวม

เราจะถวายพระสิริแด่พระเจ้าโดยการนมัสการพระองค์ การนมัสการเป็นความรับผิดชอบอันดับแรกของเราต่อพระเจ้า เรานมัสการพระเจ้าโดยการชื่นชมพระองค์ ซี. เอส. ลุยส์ กล่าวว่า "เมื่อพระเจ้าบัญชาให้เรานมัสการพระองค์ด้วยความรัก การขอบพระคุณ และความยินดี ไม่ใช่ทำเป็นหน้าที่

จอร์น ไพเพอร์เขียนไว้ว่า "พระเจ้าทรงได้รับเกียรติจากเรามากที่สุดเมื่อเราพอใจในพระองค์มากที่สุด"

การนมัสการไม่ใช่แค่การสรรเสริญ การร้องเพลง และการอธิษฐานต่อพระเจ้า การนมัสการคือวิถีชีวิตแห่งการชื่นชมพระเจ้า การรักพระองค์และถวายตัวของเราเพื่อให้พระองค์ใช้ตามพระประสงค์ เมื่อเราใช้ชีวิตเพื่อพระสิริของพระเจ้า ทุกสิ่งที่เราทำสามารถกลายเป็นการนมัสการ พระคัมภีร์กล่าวว่า "ขอให้ท่านยอมให้พระเจ้าใช้อวัยวะทุกส่วนของร่างกายคุณเป็นเครื่องมือในการทำดี" (โรม 6:13ข อ่านเข้าใจง่าย)

เราถวายพระสิริแด่พระเจ้าโดยการรักผู้เชื่อคนอื่น ๆ เมื่อคุณบังเกิดใหม่ คุณได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า การติดตามพระคริสต์ไม่ใช่แค่การเชื่อเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการเข้าเป็นส่วนหนึ่ง และเรียนรู้ที่จะรักครอบครัวของพระเจ้า ยอห์นเขียนว่า "เราทั้งหลายรู้ว่าเราได้พ้นจากความตายไปสู่ชีวิตแล้ว ก็เพราะเรารักพี่น้อง" (1 ยอห์น 3:14) เปาโลกล่าวว่า "ดังนั้น ให้ยอมรับกันและกันเหมือนกับที่พระคริสต์ยอมรับท่าน เพื่อพระเจ้าจะได้รับเกียรติ" (โรม 15:7 อ่านเข้าใจง่าย)

การเรียนรู้จักรักอย่างที่พระเจ้ารักนั้นเป็นความรับผิดชอบของคุณ พระเยซูตรัสว่า "เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา" (ยอห์น 13:34-35)

เราถวายพระสิริแด่พระเจ้าโดยการเปลี่ยนเป็นเหมือนพระคริสต์ เมื่อเราบังเกิดใหม่เข้าสู่ครอบครัวของพระเจ้า พระองค์ทรงต้องการให้เราเติบโตสู่ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ แล้วความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณก็คือการเปลี่ยนแปลงเป็นเหมือนพระคริสต์ ไม่ว่าจะเป็นวิธีที่เราคิด รู้สึกและกระทำ ยิ่งคุณพัฒนาลักษณะนิสัยให้เป็นเหมือนพระคริสต์มากขึ้นเท่าใด คุณยิ่งจะถวายพระสิริแด่พระเจ้ามากเท่านั้น พระคัมภีร์กล่าวว่า "เราต่างสะท้อนพระสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้า เรากำลังรับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระองค์ ด้วยรัศมีที่เพิ่มพูนขึ้นทุกที รัศมีซึ่งมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงเป็นพระวิญญาณ" (2 โครินธ์ 3:18 อมตธรรมร่วมสมัย)

พระเจ้าประทานชีวิตใหม่และธรรมชาติใหม่แก่คุณเมื่อคุณต้อนรับพระคริสต์ เวลานี้พระเจ้าต้องการดำเนินกระบวนการเปลี่ยนแปลงลักษณะภายในไปตลอดชีวิตที่เหลือของคุณ พระคัมภีร์กล่าวว่า "เพื่อท่านจะได้เป็นผู้ที่บริบูรณ์ด้วยผลของความชอบธรรมซึ่งเกิดขึ้นโดยพระเยซูคริสต์ เพื่อถวายพระเกียรติและเป็นการสรรเสริญแด่พระเจ้า" (ฟีลิปปี 1:11)

เราถวายพระสิริแด่พระเจ้าโดยการรับใช้ผู้อื่นด้วยของประทานของเรา พระเจ้าทรงออกแบบเราแต่ละคนให้ไม่เหมือนใคร พร้อมด้วยตะลันต์ ของประทาน ทักษะและความสามารถต่าง ๆ ลักษณะที่คุณได้รับ "การสร้าง" นั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ พระเจ้าไม่ได้ประทานความสามารถแก่คุณเพื่อวัตถุประสงค์ที่เห็นแก่ตัว ความสามารถเหล่านั้นมีไว้เพื่อเป็นประโยชน์ของผู้อื่น เช่นเดียวกับที่คนอื่นได้รับความสามารถต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ของคุณ พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าได้เมตตากรุณาให้พรสวรรค์หลากหลายกับพวกคุณ ให้แต่ละคนใช้พรสวรรค์ที่ได้รับมานั้นรับใช้ซึ่งกันและกันเหมือนอย่างคนดูแลที่สัตย์ซื่อ… ถ้าคุณมีพรสวรรค์ในด้านการรับใช้ก็ให้รับใช้สุดกำลังที่พระเจ้าให้มา เพื่อพระเจ้าจะได้รับเกียรติจากทุกสิ่งเราทำ" (1 เปโตร 4:10-11 และ 2 โครินธ์ 8:19ข อ่านเข้าใจง่าย)

เราถวายพระสิริแด่พระเจ้าโดยการบอกคนอื่นเกี่ยวกับพระองค์ พระเจ้าไม่ต้องการให้ความรักและพระประสงค์ของพระองค์ถูกเก็บเป็นความลับ เมื่อเราได้รู้จักความจริงแล้ว พระองค์ก็คาดหวังให้เราบอกเรื่องนี้แก่ผู้อื่น นี่เป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่คือการแนะนำคนอื่นให้รู้จักกับพระเยซู ช่วยเหลือพวกเขาให้พบวัตถุประสงค์ของตน และการเตรียมพวกเขาสำหรับจุดหมายปลายทางนิรันดร์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "เพราะยิ่งมีคนได้รับความเมตตากรุณาจากพระเจ้ามากเท่าไหร่ คำขอบคุณต่อพระองค์ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น พระเจ้าก็จะได้รับเกียรติ" (2 โครินธ์ 4:15 อ่านเข้าใจง่าย)

คุณจะอยู่เพื่ออะไร

ถ้าคุณจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อพระสิริของพระเจ้า คุณจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงการจัดลำดับความสำคัญ ตารางเวลา ความสัมพันธ์ และทุก ๆ สิ่ง บางครั้งคุณอาจต้องเลือกหนทางที่ยาก แทนที่จะเลือกหนทางง่าย ๆ แม้แต่พระเยซูก็ทรงต่อสู้ในเรื่องนี้ เมื่อพระองค์รู้ว่าใกล้ถึงเวลาที่พระองค์จะถูกตรึง พระองค์ทรงร้องว่า "เดี๋ยวนี้ใจเราเป็นทุกข์จะให้เราพูดอย่างไร "ข้าแต่พระบิดา ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากช่วงเวลานี้ อย่างนั้นหรือ แต่เพื่อจุดประสงค์นี้เอง เราจึงมาช่วงเวลานี้ ข้าแต่พระบิดา ขอให้พระนามของพระองค์รับพระเกียรติ" (ยอห์น 12:27-28 2002)

พระเยซูทรงยืนที่ทางสองแพร่ง พระองค์จะทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จและถวายพระสิริแด่พระเจ้า หรือว่าพระองค์จะทรงถอยและดำเนินพระชนม์ชีพอย่างสบายและเห็นแก่พระองค์เอง คุณก็พบกับทางเลือกแบบเดียวกัน คุณจะอยู่เพื่อเป้าหมายความสบายและความสุขของคุณเอง หรือคุณจะใช้ชีวิตที่เหลือของคุณเพื่อพระสิริของพระเจ้า โดยรู้ว่า พระองค์ทรงสัญญาจะประทานบำเหน็จนิรันดร์แก่คุณ พระคัมภีร์กล่าวว่า "ผู้ใดที่หวงชีวิตของตน ก็จะทำลายชีวิตนั้น แต่ถ้าท่านสละมัน… ท่านจะมีชีวิตตลอดไป ชีวิตที่แท้และนิรันดร" (ยอห์น 12:25)

ถึงเวลาแล้วที่จะยุติปัญหานี้ คุณจะอยู่เพื่อใคร เพื่อคุณเองหรือเพื่อพระเจ้า คุณอาจจะลังเล ไม่แน่ใจว่าคุณจะมีกำลังพอที่จะอยู่เพื่อพระเจ้าหรืิอไม่ อย่าวิตกเลย พระเจ้าจะประทานสิ่งที่คุณจำเป็น ถ้าคุณเพียงแต่ตัดสินใจจะอยู่เพื่อพระองค์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "ทุกสิ่งที่ทำให้เรามีชีวิตที่พอพระทัยพระเจ้านั้น พระองค์ประทานแก่เราอย่างอัศจรรย์ โดยการที่เราได้รู้จักพระองค์ผู้ทรงเชิญเรามาหาพระเจ้า อย่างเป็นส่วนตัวและลึกซึ้ง" (2 เปโตร 1:3)

เวลานี้ พระเจ้าทรงเชื้อเชิญคุณ ให้ดำเนินชีวิตเพื่อพระสิริของพระองค์ โดยการทำให้วัตถุประสงค์ที่พระองค์ทรงสร้างคุณนั้นสำเร็จ มันเป็นทางเดียวที่คุณจะดำเนินชีวิตจริง ๆ วิธีอื่น ๆ ล้วนเป็นเพียงการอยู่ไปเปล่า ๆ ชีวิตที่แท้จริงเริ่มต้นเมื่อคุณถวายตัวของคุณแด่พระเยซูคริสต์ ถ้าคุณไม่แน่ใจว่า คุณเคยทำเช่นนั้นแล้วหรือยัง สิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำก็คือรับและเชื่อ พระคัมภีร์สัญญาว่า "แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า" (ยอห์น 1:12) คุณจะยอมรับข้อเสนอของพระเจ้าหรือไม่

ประการแรก เชื่อ เชื่อว่าพระเจ้าทรงรักคุณและสร้างคุณมาเพื่อพระประสงค์ของพระองค์ เชื่อว่าคุณไม่ใช่ความบังเอิญ เชื่อว่าคุณถูกสร้างมาเพื่อให้คงอยู่ถาวร เชื่อว่าพระเจ้าได้ทรงเลือกคุณให้มีความสัมพันธ์กับพระเยซู ผู้ทรงสิ้นพระชนม์บนกางเขนเพื่อคุณ เชื่อว่าไม่ว่าคุณจะเคยทำอะไรมา พระเจ้าก็ยังอยากยกโทษให้คุณ

ประการที่สอง รับ รับพระเยซูเข้ามาในชีวิตคุณเป็นเจ้าชีวิตและพระผู้ช่วยให้รอด รับการยกโทษบาปจากพระองค์ รับพระวิญญาณของพระองค์ ผู้จะประทานพลังเพื่อให้คุณสามารถทำให้วัตถุประสงค์ชีวิตของคุณสำเร็จ พระคัมภีร์กล่าวว่า "ผู้ที่ยอมรับและวางใจในพระบตรก็ได้รับทุกสิ่ง คือชีวิตที่สมบูรณ์และคงอยู่ตลอดไป" (ยอห์น 3:36 Msg) ไม่ว่าคุณกำลังอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่ที่ไหน ผมขอเชื้อเชิญคุณให้ก้มศีรษะ และกระซิบคำอธิษฐานเบา ๆ คำอธิษฐานที่จะเปลี่ยนแปลงนิรันดรกาลของคุณ "พระเยซูเจ้า ข้าพระองค์เชื่อในพระองค์ และข้าพระองค์ยอมรับพระองค์" อธิษฐานเลยครับ

ถ้าคุณได้ตั้งใจอธิษฐานตามนั้นจริง ๆ ผมขอแสดงความยินดีด้วย และขอต้อนรับเข้าสู่ครอบครัวของพระเจ้า เดี๋ยวนี้ คุณพร้อมแล้วที่จะพบพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตคุณ และกำลังเริ่มดำเนินชีวิตตามนั้น ผมแนะนำให้คุณบอกใครสักคนเกี่ยวกับเรื้องนี้ เพราะคุณต้องการคนช่วยสนับสนุน ถ้าคุณส่งอีเมล์ถึงผม (ดูภาคผนวก 2) ผมจะส่งหนังสือเล่มเล็ก ๆ ที่ผมเขียนชื่อว่า Your First Steps for Spiritual Growth. (ขั้นแรกสำหรับการเติบโตฝ่ายวิญญาณ) ให้แก่คุณ

วันที่ 7 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: ทุกสิ่งดำรงอยู่เพื่อพระองค์

ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "เพราะพระเจ้าทรงสร้างสิ่งทั้งปวง และทุกสิ่งเกิดขึ้นมาได้เพราะฤทธิ์อำนาจของพระองค์ ทั้งนี้เพื่อเป็นเกียรติแด่พระองค์" โรม 11:36 (ประชานิยม)

คำถามสำหรับการพิจารณา: ในกิจวัตรประจำวันของฉัน มีช่วงไหนที่ฉันสามารถรู้สึกถึงพระสิริของพระเจ้าได้มากกว่าเวลาอื่น ?

วันที่ 6 ชีวิตเป็นภารกิจชั่วคราว

ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ข้าพระองค์ระลึกว่าชีวิตของข้าพระองค์สั้นเพียงไร ขอให้ข้าพระองค์ระลึกว่าเวลาของข้าพระองค์มีจำกัด และชีวิตข้าพระองค์กำลังวิ่งหนีไป
สดุดี 39:4 (NLT)

ข้าพระองค์อยู่ในโลกเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ
สดุดี 119:19 (TEV)

ชีวิตในโลกนี้เป็นภารกิจชั่วคราว

พระคัมภีร์เต็มไปด้วยภาพเปรียบเทียบที่สอนว่าชีวิตในโลกนี้ สั้น ชั่วคราว ไม่จีรัง พระคัมภีร์บรรยายว่าชีวิตเปรียบเสมือนหมอก นักวิ่งฝีเท้าจัด ลมหายใจ และกลุ่มควันจาง ๆ พระคัมภีร์กล่าวว่า "เพราะส่วนเรา ชีวิตสั้นเหมือนอย่างเกิดวานนี้ … เพราะวันคืนของเราบนโลกเปรียบเหมือนเงา" (โยบ 8:9)

ถ้าคุณอยากใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุด คุณต้องไม่ลืมความจริงสองประการ ประการแรกชีวิตนั้นสั้นมาก เมื่อเทียบกับนิรันดรกาล ประการที่สอง โลกเป็นเพียงที่อยู่ชั่วคราว คุณจะไม่อยู่ที่นี่นาน ดังนั้นอย่ายึดติดกับมันมากเกินไป จงทูลขอให้พระเจ้าช่วยคุณมองชีวิตในโลกอย่างที่พระองค์ทรงมอง ดาวิดอธิษฐานว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ข้าพระองค์ระลึกว่าชีวิตของข้าพระองค์สั้นเพียงไร ขอให้ข้าพระองค์รู้ว่า ข้าพระองค์อยู่ที่นี่อีกเพียงไม่นานเท่านั้น" (สดุดี 39:4 LB)

หลายครั้งพระคัมภีร์เปรียบชีวิตในโลกเหมือนการอยู่ในต่างประเทศ ที่ไม่ใช้บ้านถาวรหรือจุดหมายปลายทางสุดท้าย คุณเพียงแต่ผ่านไป แค่แวะเยี่ยมโลกเท่านั้น พระคัมภีร์ใช้คำอย่างเช่น คนต่างด้าว คนเดินทาง ชาวต่างชาติ คนแปลกหน้า ผู้มาเยือน และนักท่องเที่ยว เพื่อบรรยายให้เราเห็นว่าเราอยู่ในโลกเพียงช่วงสั้น ๆ ดาวิดกล่าวว่า "ข้าพระองค์เป็นคนพเนจรบนแผ่นดินโลก" (สดุดี 119:19) และเปโตรอธิบายว่า "ถ้าท่านเรียกพระเจ้าว่าพระบิดา ก็จงใช้เวลาของท่านอย่างผู้ที่อาศัยในโลกนี้ชั่วคราว" (1 เปโตร 1:17 GWT)

ในแคลิฟอร์เนียซึ่งผมอาศัยอยู่ หลายคนย้ายมาจากส่วนอื่น ๆ ของโลกเพื่อทำงานที่นี่ แต่พวกเขายังถือสัญชาติตามประเทศเกิดของตนเอง มีข้อบังคับให้เขาถือบัตรคนต่างด้าว (กรีนการ์ด) ซึ่งอนุญาตให้เขาทำงานที่นี่ได้แม้จะไม่ใช่พลเมืองประเทศนี้ คริสเตียนก็ควรจะถือกรีนการ์ดฝ่ายวิญญาณเพื่อเตือนใจเราว่า เราเป็นประชากรแห่งแผ่นดินสวรรค์ พระเจ้าตรัสว่า ลูกของพระองค์ต้องคิดเรื่องชีวิตแตกต่างจากคนที่ไม่เชื่อ "พวกเขาคิดถึงแต่ชีวิตในโลกนี้ แต่เราเป็นพลเมืองแห่งแผ่นดินสวรรค์ ที่ซึ่งพระเยซูคริสต์เจ้าประทับอยู่" (ฟีลิปปี 3:19-20 NLT) ผู้เชื่อแท้เข้าใจว่าชีวิตมีอะไรมากกว่าเวลาเพียงไม่กี่ปีที่เราอยู่ในโลกนี้

ตัวตนของคุณในนิรันดรกาล และบ้านเมืองของคุณอยู่ในสวรรค์ เมื่อคุณเข้าใจความจริงนี้ คุณจะเลิกวิตกกังวลเรื่องอยากจะ "มีทุกสิ่ง" ในโลกนี้ พระเจ้าตรัสอย่างตรงไปตรงมาที่สุดเกี่ยวกับอันตรายของการดำเนินชีวิตเพื่อที่นี่และเดี๋ยวนี้ รวมทั้งการยอมรับเอาค่านิยม ลำดับความสำคัญ และวิถีชีวิตของโลกรอบตัวเรา เมื่อเราเล่นสนุกกับการล่อลวงของโลกนี้ พระเจ้าทรงเรียกมันว่า การล่วงประเวณีฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์กล่าว "ท่านกำลังไม่ซื่อต่อพระเจ้า ถ้าท่านต้องการแต่ทำตามใจตัวเอง เล่นสนุกกับโลกทุกครั้งที่มีโอกาส ในที่สุด ท่านก็จะกลายเป็นศัตรูกับพระเจ้าและหนทางของพระองค์" (ยากอบ 4:4 Msg)

ลองนึกดูว่าถ้าคุณได้รับเชิญจากประเทศของคุณให้ไปเป็นทูตในประเทศศัตรู คุณก็คงจะต้องเรียนภาษาใหม่และปรับตัวกับธรรมเนียมและวัฒนธรรมที่แตกต่าง เพื่อคุณจะสุภาพและทำภารกิจของคุณให้สำเร็จ ในฐานะทูต คุณจะไม่สามารถปลีกตัวจากศัตรู คุณต้องติดต่อและเกี่ยวข้องกับพวกเขาเพื่อทำภารกิจของคุณให้สำเร็จ

แต่สมมติว่า คุณเกิดรู้สึกคุ้นเคยกับต่างประเทศมาก จนถึงขั้นหลงรัก และชื่อชอบมากกว่าประเทศของคุณเอง ความจงรักภักดีและการอุทิศตัวของคุณย่อมเปลี่ยนไป บทบาทของคุณในฐานะทูตจะหย่อนยาน แทนที่คุณจะเป็นตัวแทนของประเทศตนเอง คุณก็จะเริ่มทำตัวเหมือนศัตรู และเป็นผู้ทรยศ

พระคัมภีร์กล่าวว่า "เราเป็นทูตของพระคริสต์" (2 โครินธ์ 5:20) น่าเศร้าใจที่คริสเตียนจำนวนมากได้ทรยศต่อกษัตริย์ของเขาและอาณาจักรของพระองค์ โดยได้สรุปอย่างโง่เขลาว่า เนื่องจากพวกเขาอยู่ในโลก นี่จึงเป็นบ้านของเขา แต่มันไม่ใช่ พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนว่า "เพื่อนรัก โลกนี้ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของท่าน ดังนั้น จงอย่าทำตัวสบายในโลก อย่าปรนเปรอตัวเองจนสูญเสียวิญญาณจิตของท่าน" (1 เปโตร 2:11 Msg) พระเจ้าทรงเตือนเราไม่ให้ยึดติดกับสิ่งที่อยู่รอบตัวเรามากเกินไป เพราะว่ามันเป็นสิ่งชั่วคราว พระคัมภีร์บอกเราว่า "คนที่ข้องเกี่ยวกับสิ่งของในโลกบ่อย ๆ ก็ควรจะใช้ประโยชน์จากมันโดยไม่ยึดติดกับมัน เพราะว่าโลกนี้และทุกสิ่งในโลกจะล่วงไป" (1 โครินธ์ 7:31 NLT)

เมื่อเทียบกับหลาย ๆ ศตวรรษก่อนหน้านี้ ชีวิตในประเทศตะวันตกส่วนมากนั้นสะดวกสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เราได้รับความบันเทิง ความสนุกสนาน และการบริการอยู่เสมอ ด้วยบรรดาสิ่งเย้ายวนน่าตื่นตา สื่อที่สะกิดใจ และประสบการณ์สนุกสนานพร้อมสรรพในปัจจุบัน มันทำให้เราลืมเอาง่าย ๆ ว่า การไขว่คว้าความสนุกนั้น ไม่ใช่จุดหมายของชีวิต ความเย้ายวนของสิ่งเหล่านี้จะหมดอำนาจเหนือชีวิตเราก็ต่อเมื่อเราระลึกได้ว่าชีวิตนี้คือการทดสอบ การมอบความไว้ใจ และการให้ภารกิจชั่วคราว เรากำลังเตรียมตัวสำหรับสิ่งที่ดีกว่านั้น "สิ่งที่มองเห็นนั้นอยู่แค่ชั่วคราว แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้นอยู่ถาวรตลอดไป" (2 โครินธ์ 4:18 อ่านเข้าใจง่าย)

ข้อเท็จจริงหนึ่งที่ว่าโลกนี้ไม่ใช่บ้านสุดท้ายของเราช่วยอธิบายว่า ทำไมผู้ที่ติดตามพระเยซูจึงพบกับความลำบาก ความโศกเศร้า และการถูกปฏิเสธในโลกนี้ (ยอห์น 16:33, 20; 15:18-19) อีกทั้งยังอธิบายว่า ทำไมพระสัญญาบางข้อของพระเจ้าจึงดูเหมือนไม่สำเร็จ คำอธิษฐานบางเรื่องดูเหมือนไม่ได้รับคำตอบ และสถานการณ์บางอย่างดูเหมือนไม่ยุติธรรม ก็เพราะมันยังไม่ใช่ตอนจบของเรื่องนี้

เพื่อเราจะไม่ยึดติดกับโลกมากเกินไป พระเจ้าจึงทรงอนุญาตให้เรารู้สึกไม่อิ่มใจและไม่พึงพอใจกับชีวิตอยู่มากพอสมควร คือ เราปรารถนาสิ่งที่ไม่มีวันสำเร็จในโลกนี้ เราไม่มีความสุขอย่างสมบูรณ์ที่นี้ เพราะว่าเราไม่ควรจะรู้สึกเช่นนั้น โลกนี้ไม่ใช่บ้านสุดท้ายของเรา เราถูกสร้างมาเพื่อสิ่งที่ดีกว่านี้มาก

ปลาจะไม่มีความสุขเมื่ออยู่บนพื้นดิน เพราะว่ามันถูกสร้างมาให้อยู่ในน้ำ นกอินทร์จะไม่พึงพอใจถ้ามันไม่ได้บิน และคุณก็จะไม่รู้สึกพึงพอใจในโลกนี้ เพราะว่าคุณถูกสร้างมาเพื่ออะไรที่มากกว่านั้น คุณจะมีช่วงเวลาที่มีความสุขใจในโลกนี้ แต่ไม่มีสิ่งใดจะเทียบได้กับสิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้สำหรับคุณ

การตระหนักว่าชีวิตในโลกเป็นเพียงภารกิจชั่วคราวนั้นควรเปลี่ยนค่านิยมของคุณจากหน้ามือเป็นหลังมือ ค่านิยมนิรันดร์ควรจะเป็นตัวแปรที่คุณใช้ในการตัดสินใจ ไม่ใช่ค่านิยมชั่วคราว ตามที่ ซี. เอส. ลุยส์ ให้ข้อสังเกตว่า "ทุกสิ่งที่ไม่ยั่งยืนนิรันดร์ล้วนไร้ค่าในนิรันดรกาล" พระคัมภีร์กล่าวว่า "เราจึงไม่สนใจสิ่งที่เรามองเห็นได้ แต่สนใจสิ่งที่มองไม่เห็นเพราะสิ่งที่มองเห็นนั้นอยู่แต่ชั่วคราว แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้นอยู่ถาวรตลอดไป" (2 โครินธ์ 4:18 อ่านเข้าใจง่าย)

เป็นความผิดพลาดชนิดคอขาดบาดตายถ้าคุณคิดว่า เป้าหมายของพระเจ้าสำหรับชีวิตคุณคือความรุ่งเรืองทางวัตถุ หรือความสำเร็จตามค่านิยมของโลก ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ไม่เกี่ยวอะไรกับความมั่งคั่งทางวัตถุเลย และความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าก็ไม่ได้ประกันว่าคุณจะประสบความสำเร็จในอาชีพหรือแม้แต่ในพันธกิจ จงอย่าได้จดจ่อที่มงกุฎชั่วคราว (1 เปโตร 2:11)

เปาโลเป็นคนสัตย์ซื่อ แต่ท่านก็ลงเอยด้วยการติดคุก ยอห์นผู้ให้บัพติศมาสัตย์ซื่อ แต่ท่านถูกตัดศีรษะ คนสัตย์ซื่อนับล้านถูกฆ่า สูญเสียทุกสิ่ง หรือจบชีวิตโดยไม่มีอะไรจะอวด แต่จุดจบของชีวิตยังไม่ใช่จุดจบ

ในสายพระเนตรของพระเจ้า วีรบุรุษแห่งความเชื่อผู้ยิ่งใหญ่ไม่ใช่คนเหล่านั้นที่บรรจุถึงความมั่งคั่ง ความสำเร็จ และอำนาจในชีวิตนี้ แต่เป็นคนเหล่านั้นที่ถือว่าชีวิตนี้เป็นภารกิจชั่วคราว และรับใช้อย่างสัตย์ซื่อ โดยคาดหวังบำเหน็จที่พระเจ้าสัญญาไว้ในนิรันดรกาล พระคัมภีร์กล่าวถึงทำเนียบผู้มีชื่อเสียงของพระเจ้าว่า "คนสำคัญเหล่านี้ได้ตายไปขณะที่มีความเชื่อเต็มที่ พวกเขาไม่ได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้แก่คนของพระองค์ แต่พวกเขาก็ได้เห็นว่ามันจะเกิดขึ้นในอนาคตและรู้สึกยินดี พวกเขากล่าวว่าเขาเป็นเหมือนคนแปลกถิ่นและคนแปลกหน้าในโลก… พวกเขารอคอยบ้านเมืองที่ประเสริฐกว่า คือแผ่นดินสวรรค์ ดังนั้น พระเจ้าจึงไม่ทรงละอายเมื่อเขาเรียกพระองค์ว่าเป็นพระเจ้าของเขา เพราะพระองค์ทรงจัดเตรียมเมืองหนึ่งไว้สำหรับพวกเขาแล้ว (ฮีบรู 11:13, 16 NCV) เวลาของคุณในโลกนี้ไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมดของชีวิตคุณ คุณต้องคอยจนได้ไปอยู่สวรรค์จึงจะได้อ่านบทที่เหลือ การดำเนินชีวิตในโลกอย่างคนต่างแดนนั้นต้องอาศัยความเชื่อ

มีเรื่องเก่าแก่ที่คนมักยกมาเล่า เกี่ยวกับมิชชันนารีเกษียณอายุคนหนึ่งที่เดินทางกลับบ้านมายังสหรัฐ ฯ ในเรือลำเดียวกับประธานาธิบดี ฝูงชนก็โห่ร้อง วงดุริยางค์ทหาร พรมแดง ป้าย และสื่อมวลชนพากันต้อนรับประธานาธิบดีกลับบ้าน แต่มิชชันนารีเดินออกจากเรือโดยไม่มีใครสังเกต ท่านเริ่มบ่นกับพระเจ้าด้วยความสงสารตัวเองและขุ่นเคืองใจ แล้วพระเจ้าก็ทรงเตือนท่านอย่างอ่อนโยนว่า "ลูกเอ๋ย แต่ลูกยังไม่ได้กลับบ้านนะ"

เพียงได้เข้าสวรรค์ไปไม่ถึงสองวินาทีคุณก็จะต้องร้องออกมาว่า "ทำไมฉันจึงให้ความสำคัญกับสิ่งของชั่วคราวมากขนาดนั้น ฉันคิดอะไรของฉัน ทำไมฉันต้องเสียเวลา พลังงาน และความสนใจมากขนาดนั้นเพียงเพื่อสิ่งที่ไม่ยั่งยืน"

เมื่อชีวิตลำบาก เมื่อเราเต็มไปด้วยความสงสัย หรือเมื่อเราสงสัยว่าการอยู่เพื่อพระคริสต์นั้นคุ้มค่าแก่การทุ่มเทหรือไม่ โปรดจำไว้ว่า คุณยังไม่ได้กลับบ้าน และเมื่อเสียชีวิต คุณก็ไม่ได้ออกจากบ้าน แต่คุณกำลังจะกลับบ้าน

วันที่ 6 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: โลกนี้ไม่ใช่บ้านของฉัน

ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "เราจึงไม่สนใจสิ่งของที่เรามองเห็นได้ แต่สนใจสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะว่าสิ่งที่มองเห็นนั้นอยู่แค่ชั่วคราว แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้นอยู่ถาวรตลอดไป"

คำถามสำหรับการพิจารณา: ความจริงที่ว่า ชีวิตในโลกนี้เป็นเพียงภารกิจชั่วคราว ควรจะเปลี่ยนวิธีดำเนินชีวิตของฉันอย่างไรในเวลานี้

วันที่ 5 มองชีวิตจากมุมมองของพระเจ้า

ชีวิตของท่านเป็นเช่นใดเล่า
ยากอบ 4:14ข

เราไม่ได้เห็นสิ่งต่าง ๆ อย่างที่มันเป็น แต่เราเห็นสิ่งต่าง ๆ อย่างที่เราเป็น
อนาอิส นิน

วิธีที่คุณมองชีวิตคือสิ่งที่หล่อหลอมชีวิตของคุณ

วิธีที่คุณนิยามชีวิตจะกำหนดจุดหมายปลายทางของคุณ มุมมองของคุณมีอิทธิพลต่อวิธีที่คุณลงทุนเวลา ใช้จ่ายเงิน ใช้ความสามารถ และให้คุณค่าต่อความสัมพันธ์ของคุณ

วิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการเข้าใจคนอื่นคือการถามพวกเขาว่า "คุณคิดว่าชีวิตคุณคืออะไร" คุณจะพบว่าคำตอบมีหลากหลายเท่ากับจำนวนคนตอบ เคยมีคนบอกผมว่า ชีวิตคือละครสัตว์ สนามที่เต็มไปด้วยกับระเบิด รถไฟเหาะ ปริศนา วงซิมโฟนี การเดินทาง และการเต้นรำ หลายคนกล่าวว่า "ชีวิตคือม้าหมุน บางทีก็ขึ้น บางทีก็ลง บางทีก็หมุนไปเรื่อย ๆ" หรือ "ชีวิตคือจักรยานที่มีสิบเกียร์ซึ่งคุณไม่เคยใช้" หรือ "ชีวิตก็เหมือนการเล่นไพ่ คุณต้องเล่นตามไพ่ที่มีอยู่ในมือ"

ถ้าผมถามว่าคุณนึกภาพว่าชีวิตคืออะไร ภาพอะไรจะผุดขึ้นในความคิดคุณ ภาพนั้นคือภาพเปรียบเทียบชีวิตของคุณ มันเป็นทัศนะที่คุณมองชีวิตไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม มันเป็นวิธีที่คุณบรรยายว่า ชีวิตดำเนินไปอย่างไร และคุณคาดหวังอะไรจากมัน ผู้คนมักจะแสดงออกถึงภาพเปรียบเทียบชีวิตของพวกเขาผ่านทาง เสื้อผ้า เครื่องประดับ รถยนต์ ทรงผม สติ๊กเกอร์ติดรถ และแม้แต่รอยสัก

ภาพเปรีบเทียบชีวิตที่คุณไม่ได้บอกใครนี้ มีอิทธิพลต่อชีวิตของคุณยิ่งกว่าคุณคิด มันคือตัวกำหนดความคาดหวัง ค่านิยม ความสัมพันธ์ เป้าหมาย และสิ่งสำคัญในชีวิตของคุณ ยกตัวอย่าง ถ้าคุณคิดว่า ชีวิตคืองานเลี้ยงรื่นเริง ค่านิยมหลักในชีวิตของคุณก็คือความสนุก ถ้าคุณมองว่าชีวิตคือการแข่งขัน คุณก็จะให้คุณค่าแก่ความเร็ว และอาจจะเร่งรีบอยู่ตลอดเวลา ถ้าคุณมองว่าชีวิตคือการวิ่งมาราธอน คุณก็จะให้คุณค่าแก่ความอดทน ถ้าคุณคิดว่าชีวิตคือการต่อสู้หรือเกม ชัยชนะจะเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับคุณ

คุณมองชีวิตอย่างไร คุณอาจจะใช้ชีวิตไปตามภาพเปรีบเทียบที่ผิด ถ้าคุณจะทำให้พระประสงค์ที่พระเจ้าทรงสร้างคุณมานั้นสำเร็จ คุณจะต้องท้าทายความคิดในกรอบและแทนที่ด้วยภาพชีวิตตามพระคัมภีร์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "อย่าให้โลกรอบกายบังคับให้ท่านทำตามมาตรฐานของโลก แต่จงให้พระเจ้ากระทำให้ท่านเป็นคนใหม่ ให้พระองค์เปลี่ยนแปลงจิตใจท่านอย่างสิ้นเชิง แล้วท่านจะสามารถทราบถึงแผนการพระเจ้าที่วางไว้สำหรับท่าน" (โรม 12:2 ประชานิยม)

พระคัมภีร์เสนอภาพเปรียบเทียบสามภาพซึ่งสอนมุมมองชีวิตแบบพระเจ้าให้แก่เรา ได้แก่ ชีวิตเป็นการทดสอบ ชีวิตเป็นการมอบความไว้วางใจ ชีวิตเป็นภารกิจชั่วคราว แนวคิดเหล่านี้เป็นรากฐานของชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ เราจะพิจารณาสองประการแรกในบทนี้ และประการที่สามในบทต่อไป

ชีวิตในโลกเป็นการทดสอบ ภาพเปรียบเทียบนี้เห็นได้จากเรื่องต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม พระเจ้าทรงทดสอบอุปนิสัย ความเชื่อ การเชื่อฟัง ความรัก ความซื่อสัตย์ และความจงรักภักดีของคนอยู่เสมอ คำจำพวก การพิสูจน์ การทดลอง การชำระ และการทดสอบ ปรากฏกว่า 200 ครั้งในพระคัมภีร์ พระเจ้าทรงทดสอบอับราฮัมโดยขอให้ท่านถวายอิสอัคบุตรชายของท่าน พระเจ้าทรงทดสอบยาโคบ เมื่อท่านต้องทำงานเพิ่มขึ้นอีกหลายปี เพื่อจะได้ราเชลมาเป็นภรรยา

อาดัมและเอวาล้มเหลวในการทดสอบที่สวนเอเดน และดาวิดล้มเหลวในการทดสอบจากพระจ้าหลายครั้ง แต่พระคัมภีร์ก็ยังยกตัวอย่างหลายคนที่ผ่านการทดสอบครั้งสำคัญ เช่น โยเซฟ รูธ เอสเธอร์ และดาเนียล

อุปนิสัยจะได้รับการพัฒนา และมันจะเปิดเผยให้เห็นโดยการทดสอบ และทุกสิ่งในชีวิตก็เป็นการทดสอบ คุณถูกทดสอบอยู่เสมอ พระเจ้าทรงเฝ้าดูการตอบสนองที่คุณมีต่อคนอื่น ต่อปัญหา ความสำเร็จ ความขัดแย้ง ความเจ็บป่วย ความผิดหวัง หรือแม้แต่ลมฟ้าอากาศ พระองค์ทรงเฝ้าดูแม้แต่การกระทำที่ธรรมดาที่สุด เช่น เมื่อคุณเปิดประตูให้คนอื่น เมื่อคุณหยิบเศษขยะขึ้นมา หรือเมื่อคุณแสดงความสุภาพต่อพนักงานเก็บเงิน หรือพนักงานเสิร์ฟ

เราไม่รู้ถึงการทดสอบทุกอย่างที่พระเจ้าจะประทานให้ แต่เราสามารถคาดเดาการทดสอบบางอย่างได้จากพระคัมภีร์ คุณจะถูกทดสอบโดยการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ๆ พระสัญญาที่ล่าช้า ปัญหาที่แก้ไม่ตก คำอธิษฐานที่ไม่ได้รับคำตอบ คำตำหนิที่คุณไม่สมควรได้รับ หรือแม้แต่โศกนาฏกรรมที่ดูเหมือนไม่มีเหตุผล ในชีวิตของผม ผมได้สังเกตว่าพระเจ้าทรงทดสอบความเชื่อของผมด้วยปัญหา ทรงทดสอบความหวังของผม โดยดูจากวิธีที่ผมใช้ทรัพย์สมบัติ และทดสอบความรักของผมด้วยคนอื่น

การทดสอบที่สำคัญมากอย่างหนึ่งคือ คุณจะทำอย่างไรเมื่อคุณไม่สามารถรู้สึกถึงการสถิตอยู่ของพระเจ้าในชีวิตคุณ บางครั้งพระเจ้าทรงจงใจที่จะถอยห่วง และเราไม่รู้สึกถึงความใกล้ชิดของพระองค์ กษัตริย์เฮเซคียาห์เผชิญการทดสอบนี้ พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าทรงถอยห่างจากเฮเซคียาห์เพื่อจะลองดูพระองค์ และเพื่อจะทราบพระดำริทั้งสิ้นในพระทัยของพระองค์" (2 พงศาวดาร 32:31 NLT ) เฮเซคียาห์เคยมีสามัคคีธรรมที่ใกล้ชิดกับพระเจ้า แต่ในเวลาสำคัญของชีวิต พระเจ้าทรงปล่อยท่านไว้ตามลำพังเพื่อทดสอบอุปนิสัยของท่าน เพื่อเปิดเผยความอ่อนแอ และเพื่อเตรียมท่านสำหรับความรับผิดชอบที่มากขึ้น

เมื่อคุณเข้าใจว่าชีวิตเป็นการทดสอบ คุณก็จะรู้ว่าในชีวิตของคุณ ไม่มีสิ่งใดไร้ความหมาย แม้แต่เหตุการณ์เล็กน้อยที่สุดก็สำคัญต่อการพัฒนาอุปนิสัยของคุณ ทุกวันเป็นวันสำคัญ และทุกวินาทีก็เป็นโอกาสที่จะเติบโต เพื่อให้อุปนิสัยหยั่งลึกยิ่งขึ้น เพื่อแสดงความรัก หรือเพื่อพึ่งพาพระเจ้า บางครั้งการทดสอบดูเหมือนจะถาโถมเข้ามา แต่บางครั้งคุณก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ แต่ทุกครั้งมีผลสืบเนื่องนิรันดร์

ข่าวดีคือว่า พระเจ้าต้องการให้คุณผ่านการทดสอบในชีวิต ดังนั้นพระองค์จึงไม่เคยปล่อยให้คุณต้องเผชิญการทดสอบที่ใหญ่เกินกว่าพระคุณที่พระองค์ประทานให้เพื่อรับมือการทดสอบเหล่านั้น พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าทำตามพระสัญญาของพระองค์ จึงไม่ทรงยอมให้ท่านถูกล่อให้ทำบาปจนเกินกำลังที่จะทนได้ แล้วขณะที่ท่านถูกล่อให้ทำบาปนั้นพระองค์จะประทานกำลังให้ท่านทนได้ และจะทรงจัดเตรียมทางชนะไว้ให้ด้วย" (1 โครินธ์ 10:13 ประชานิยม)

ทุกครั้งที่คุณผ่านการทดสอบ พระเจ้าทรงเห็น และทรงวางแผนเพื่อจะประทานบำเหน็จแก่คุณในนิรันดรกาล ยากอบกล่าวว่า "คนที่ทนต่อการทดลองใจก็เป็นสุข เพราะเมื่อปรากฏว่าผู้นั้นทนได้แล้ว เขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิต ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้แก่คนทั้งหลายที่รักพระองค์ (ยากอบ 1:12)

ชีวิตในโลกเป็นการมอบหมายความไว้ใจ นี่คือภาพเปรียบเทียบที่สองในพระคัมภีร์ เวลาของเราในโลกนี้ รวมทั้งพลังงาน สติปัญญา โอกาส ความสัมพันธ์ และทรัพยากร ล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทาน โดยพระองค์ทรงมอบความไว้ใจไว้ให้เราดูแลและจัดการ เราเป็นผู้อารักขาสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ ความคิดเรื่องผู้อารักขานี้เริ่มต้นจากการยอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นเจ้าของทุกสิ่งและทุกคนในโลก พระคัมภีร์กล่าวว่า "แผ่นดินโลกกับสรรพสิ่งในนั้นเป็นของพระเจ้า ทั้งพิภพกับบรรดาผู้ที่อยู่ในพิภพนั้น" (สดุดี 24:1)

ขณะที่เราอยู่ในโลกนี้เป็นเวลาสั้น ๆ เราไม่ได้เป็นเจ้าของตัวจริงของสิ่งใดเลย พระเจ้าทรงให้เรายืมโลกนี้ขณะที่เราอยู่ที่นี้ ก่อนที่คุณกำเนิดมามันเป็นทรัพย์สินของพระเจ้าและพระเจ้าทรงให้ผู้อื่นยืมหลังจากที่คุณตายแล้ว คุณได้ใช้มันเพียงชั่วครู่เท่านั้น

เมื่อพระเจ้าทรงสร้างอาดัมและเอวา พระองค์มอบความไว้วางใจให้เขาดูแลสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง และตั้งพวกเขาเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินของพระองค์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าทรงอวยพรเขาดังนี้ "จงเกิดลูกหลานมากมาย เพื่อเชื้อสายของเจ้าจะกระจายไปอยู่ในโลก และปกครองทุกอย่าง เราจะให้เจ้ามีอำนาจเหนือปลา นก สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ป่าทั้งปวง" (ปฐมกาล 1:28 ประชานิยม)

งานแรกที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์คือการจัดการและดูแล "สิ่งของ" ของพระเจ้าในโลก บทบาทนี้ไม่เคยถูกยกเลิก มันเป็นส่วนหนึ่งของวัตถุประสงค์ของเราในปัจจุบัน ทุกสิ่งที่เราใช้จะต้องถือว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงไว้ใจให้อยู่ในมือเรา พระคัมภีร์กล่าวว่า "มีอะไรเป็นของท่านที่พระเจ้ามิได้ประทานให้ท่านเล่า ก็ถ้าพระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ท่าน เหตุไฉน ท่านจึงคุยโวดังว่าท่านเป็นผู้หามาได้เองเล่า" (1 โครินธ์ 4:7ข ประชานิยม)

หลายปีก่อน สามีภรรยาคู่หนึ่งอนุญาตให้ผมและภรรยาไปพักผ่อนในบ้านหลังงามของพวกเขาซึ่งอยู่ติดชายหาดในฮาวาย มันเป็นประสบการณ์ที่เราคงไม่มีปัญญาจะซื้อหาได้ เรามีความสุขมาก พวกเขาบอกเราว่า "ใช้บ้านนี้ให้เหมือนบ้านคุณเองเลยนะ" แล้วเราก็ทำเช่นนั้น ว่ายน้ำในสระ กินอาหารในตู้เย็น ใช้ผ้าเช็ดตัวและจานชาม หรือแม้กระทั่งกระโดดบนเตียงด้วยความสนุกสนาน แต่เรารู้อยู่ตลอดเวลาว่า มันไม่ใช่ของเราจริง ๆ ดังนั้น เราจึงดูแลทุกสิ่งเป็นพิเศษ เราชอบผลประโยชน์ของการใช้บ้านโดยที่ไม่ต้องเป็นเจ้าของ

วัฒนธรรมของเราบอกว่า "ถ้าคุณไม่ได้เป็นเจ้าของ คุณก็จะไม่ดูแลมัน" แต่คริสเตียนดำเนินชีวิตด้วยมาตรฐานที่สูงกว่านั้นคือ "เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นเจ้าของ ฉันจึงต้องดูแลมันอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้" พระคัมภีร์กล่าวว่า "ฝ่ายผู้อารักขาเหล่านั้นต้องเป็นคนที่ไว้วางใจได้ทุกคน" (1 โครินธ์ 4:2) พระเยซูมักจะตรัสว่าชีวิตเป็นการมอบความไว้วางใจและทรงเล่าหลายเรื่องเพื่อให้เราเห็นภาพความรับผิดชอบที่เรามีต่อพระเจ้านี้ ในคำอุปมาเรื่องเงินตะลันต์ นักธุรกิจคนหนึ่งได้ฝากเงินทองของเขาไว้ในความดูแลของคนใช้ขณะที่เขาไม่อยู่เมื่อเขากลับมา เขาประเมิณความรับผิดชอบของคนใช้แต่ละคน และให้รางวัลพวกเขาตามนั้น เจ้าของกล่าวว่า "ดีมาก เจ้าเป็นบ่าวที่ดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งให้ดูแลของมาก มาร่วมยินดีในความสุขกับนายของเจ้าเถิด" (มัทธิว 25:21 อมตธรรมร่วมสมัย)

เมื่อชีวิตในโลกของคุณสิ้นสุดลง คุณจะได้รับการประเมินและรับรางวัลโดยพิจารณาว่าคุณจัดการกับสิ่งที่พระเจ้ามอบหมายให้คุณดูแลดีแค่ไหน นั่นหมายความว่า ทุกสิ่งที่คุณทำ แม้กระทั่งกิจวัตรประจำวันธรรมดา ๆ ก็มีผลสืบเนื่องในนิรันดรกาล ถ้าคุณถือว่าทุกสิ่งเป็นของพระเจ้ามอบหมายความไว้วางใจให้คุณดูแล พระเจ้าก็ทรงสัญญาบำเหน็จนิรันดร์สามประการแก่คุณ ประการแรก คุณจะได้รับคำชมเชยจากพระเจ้า พระองค์จะตรัสว่า "ดีมาก เจ้าทำได้ดี" จากนั้น คุณจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งและมีความรับผิดชอบสูงขึ้นในนิรันดรกาล "เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก" แล้วคุณก็จะได้รับเกียรติให้เข้าร่วมในงานฉลอง "เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด"

คนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับว่าเงินนั้นเป็นทั้งการทดสอบและการมอบความไว้วางใจ พระเจ้าทรงใช้เงินเพื่อสอนเราให้วางใจพระองค์ เราใช้เงินอย่างไร เพื่อทดสอบว่าเราไว้วางใจได้แค่ไหน พระคัมภีร์กล่าวว่า "ถ้าขนาดทรัพย์สมบัติในโลกนี้ยังไว้ใจท่านไม่ได้ แล้วใครจะไว้ใจท่านให้ดูแลทรัพย์สมบัติเที่ยงแท้ในสวรรค์เล่า" (ลูกา 16:11 NLT)

นี่เป็นความจริงที่สำคัญมาก พระเจ้าตรัสว่า การใช้เงินกับคุณภาพชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรานั้นมีความสัมพันธ์กันโดยตรง วิธีที่ผมดูแลเงินของผม (ทรัพย์สมบัติในโลก) จะตัดสินว่า พระเจ้าจะสามารถไว้ใจในเรื่องพระพรฝ่ายวิญญาณ (ทรัพย์สมบัติอันแท้) ได้มากแค่ไหน ผมขอถามคุณว่า วิธีที่คุณจัดการเงินทองกลายเป็นสิ่งขัดขวางพระเจ้าไม่ให้ทำงานในชีวิตคุณมากขึ้นหรือไม่ พระเจ้าสามารถไว้ใจให้คุณดูแลทรัพย์สมบัติฝ่ายวิญญาณหรือไม่

พระเยซูตรัสว่า "ผู้ใดได้รับมากจะต้องเรียกเอาจากผู้นั้นมาก และผู้ใดได้รับฝากไว้มาก ก็จะต้องทวงเอาจากผู้นั้นมาก" (ลูกา 12:48ข) ชีวิตเป็นการทดสอบและการมอบความไว้ใจ และยิ่งพระเจ้าประทานให้คุณมากเท่าไร พระองค์ก็ทรงคาดหวังให้คุณรับผิดชอบมากเท่านั้น

วันที่ 5 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: ชีวิตเป็นการทดสอบและการมอบความไว้ใจ

ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "ใครก็ตามที่สัตย์ซื่อในเรื่องเล็กน้อย จะซื่อสัตย์ในเรื่องใหญ่ด้วย" ลูกา 16:10ก (ประชานิยม)

คำถามสำหรับการพิจารณา: มีอะไรที่เกิดขึ้นกับฉันเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งเวลานี้ฉันรู้แล้วว่ามันเป็นการทดสอบจากพระเจ้า อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดซึ่งพระเจ้าทรงมอบความไว้ใจให้ฉันดูแล

วันที่ 4 สร้างมาให้คงอยู่ตลอดไป

พระเจ้า … ทรงบรรจุนิรันดรกาลไว้ในจิตใจของมนุษย์
ปัญญาจารย์ 3:11 (ประชานิยม)

แน่นอน พระเจ้าไม่ได้สร้างสิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์เพื่อให้อยู่แค่วันเดียว ไม่ ไม่ มนุษย์ถูกสร้างมาเพื่อเป็นอมตะ
อับราฮัม ลินคอล์น

ชีวิตนี้ไม่ใช่ทั้งหมด

ชีวิตในโลกเป็นเพียงการซ้อมใหญ่ก่อนการแสดงจริง คุณจะใช้เวลามากกว่าที่คุณอยู่บนโลกนี้อีกหลายเท่า เมื่ออยู่อีกฟากของความตาย คือ ในนิรันดรกาล โลกเป็นหลังเวที เป็นชั้นเตรียมประถม เป็นการทดสอบสำหรับชีวิตของคุณในนิรันดรกาล เป็นการซ้อมอุ่นเครื่องก่อนการแข่งขันจริง เป็นการวิ่งอบอุ่นร่างกายก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น ชีวิตนี้ คือ การเตรียมตัวสำหรับชีวิตหน้า

อย่างมากที่สุด คุณก็อยู่ในโลกนี้สักหนึ่งร้อยปี แต่คุณจะใช้เวลาตลอดไปในนิรันดรกาล เวลาของคณในโลกเป็นอย่างที่เซอร์โทมัส บราวน์กล่าวว่า "เป็นเพียงวงเล็บเล็ก ๆ ในนิรันดรกาล" คุณถูกสร้างมาให้คงอยู่ตลอดไป

พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้า… ทรงบรรจุนิรันดรกาลไว้ในจิตใจของมนุษย์" (ปัญญาจารย์ 3:11) คุณมีสัญชาตญาณติดตัวมาซึ่งปราถนาความเป็นอมตะ นี่เป็นเพราะพระเจ้าได้ทรงออกแบบคุณตามพระฉายาของพระองค์ให้มีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ แม้เรารู้ว่าในที่สุดทุกคนก็ต้องตาย แต่ความตายมักดูไม่เป็นธรรมชาติและไม่ยุติธรรม เหตุผลที่เรารู้สึกว่า เราควรอยู่ชั่วนิรันดร์ก็เพราะพระเจ้าทรงบรรจุความปราถนาเช่นนั้นไว้ในสมองของเรา

วันหนึ่ง หัวใจคุณจะหยุดเต้น นั่นจะเป็นจุดจบของร่างกายและเวลาของคุณในโลกนี้ แต่มันไม่ใช่การสิ้นสุดของคุณ ร่างกายฝ่ายโลกเป็นเพียงที่อยู่ชั่วคราวสำหรับจิตวิญญาณของคุณ พระคัมภีร์เรียกร่างกายฝ่ายโลกนี้ว่า "เต็นท์" แต่กล่าวถึงร่างกายอนาคตของคุณว่าเป็น "บ้าน" พระคัมภีร์กล่าวว่า "เมื่อเต็นท์ที่เราอยู่นี้ คือร่างกายบนโลกนี้พังทลายไป พระเจ้าจะประทานบ้านในสวรรค์ให้เราอยู่ เป็นบ้านที่พระองค์เองทรงสร้างซึ่งจะคงอยู่ชั่วนิรันดร์" (2 โครินธ์ 5:1 TEV)

แม้ว่าชีวิตในโลกนี้จะหยิบยื่นทางเลือกหลายอย่าง แต่นิรันดรกาลเสนอทางเลือกเพียงสองอย่างคือ สวรรค์และนรก ความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้าในโลกนี้จะกำหนดความสัมพันธ์ของคุณกับพระองค์ในนิรันดรกาล ถ้าคุณเรียนรู้ที่จะรักและวางใจพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า คุณจะได้รับเชิญให้ใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดในนิรันดรกาลกับพระองค์ ตรงกันข้าม ถ้าคุณปฏิเสธความรัก การยกโทษ และความรอดของพระองค์ คุณจะถูกแยกจากพระเจ้าตลอดไปในนิรันดรกาล

ซี. เอส. ลุยส์กล่าวว่า "มีคนสองประเภท คือ คนที่ทูลพระเจ้าว่า "ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์" กับคนที่พระเจ้าตรัสว่า "ก็ได้ตามใจเจ้าละกัน" น่าเศร้าที่หลายคนต้องทนทุกข์ชั่วนิรันดรโดยปราศจากพระเจ้า เพราะว่าพวกเขาได้เลือกที่จะอยู่ในโลกนี้โดยปราศจากพระองค์

เมื่อคุณเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าชีวิตไม่ได้มีแค่ที่นี้และเดี๋ยวนี้ และคุณรู้ว่าชีวิตเป็นเพียงการเตรียมตัวสำหรับนิรันดรกาล คุณก็จะเริ่มดำเนินชีวิตแตกต่างจากเดิม คุณจะเริ่มดำเนินชีวิตโดยคำนึงถึงนิรันดรกาล และนั่นจะกำหนดว่าคุณจะปฏิบัติต่อความสัมพันธ์ การงาน และสถานการณ์ทุกอย่างอย่างไร และโดยฉับพลันกิจกรรม เป้าหมาย และแม้แต่ปัญหาหลายอย่างซึ่งเคยดูเหมือนสำคัญก็จะกลายเป็นเรื่องสัพเพเหระ เล็กน้อย และไม่มีค่าพอที่คุณจะใส่ใจ ยิ่งคุณดำเนินชีวิตใกล้ชิดพระเจ้าเท่าไร สิ่งอื่น ๆ ก็ยิ่งเล็กลงเท่านั้น

เมื่อคุณใช้ชีวิตโดยคำนึงถึงนิรันดรกาล ค่านิยมของคุณก็จะเปลี่ยนไป คุณใช้เวลาและเงินของคุณอย่างฉลาดขึ้น คุณให้ความสำคัญแก่ความสัมพันธ์และชีวิตภายในมากกว่าชื่อเสียง หรือความมั่งคั่ง หรือความสำเร็จ หรือแม้แต่ความสนุกสนาน ลำดับความสำคัญของคุณจะถูกจัดใหม่ การไล่ตามกระแส แฟชั่น และค่านิยมที่แพร่หลายอยู่นั้น จะไม่สำคัญอีกต่อไป เปาโลกล่าวว่า "เนื่องจากสิ่งที่พระคริสต์ได้ทำ สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นที่ข้าพเจ้าคิดว่าสำคัญมาก บัดนี้ข้าพเจ้าถือว่าไร้ค่าแล้ว" (ฟีลิปปี 3:7 NLT)

ถ้าเวลาในโลกนี้คือทั้งหมดของชีวิตคุณ ผมก็เสนอให้คุณเริ่มใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยงในทันที คุณลืมการเป็นคนดีและมีจริยธรรมได้เลย และคุณก็ไม่ต้องห่วงถึงผลที่ตามมาจากการกระทำของคุณ คุณสามารถปรนเปรอตัวเองอย่างสุดแสนจะเห็นแก่ตัว เพราะว่าการกระทำของคุณจะไม่มีผลสะท้อนระยะยาว แต่ความตายไม่ใช่จุดจบของคุณ และนี้ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ความตายไม่ใช่การสูญสิ้น แต่เป็นการโยกย้ายคุณเข้าสู่นิรันดรกาล ดังนั้นทุกสิ่งที่คุณทำบนโลกจึงมีผลนิรันดร์ การกระทำทุกอย่างในชีวิตนี้จะเปล่งเสียงที่ดังสะท้อนในนิรันดรกาล

การดำเนินชีวิตสมัยนี้มีแง่มุมที่บ่อนทำลายมากที่สุดคือ การคิดระยะสั้น ถ้าคุณต้องการให้ชีวิตนี้มีค่าที่สุด คุณต้องคิดถึงนิรันดรกาลไว้เสมอ และให้คุณค่าแก่มันในจิตใจของคุณ ชีวิตไม่ได้มีแค่ที่นี้และเดี๋ยวนี้ วันนี้คือส่วนยอดเล็ก ๆ ของภูเขาน้ำแข็งที่เรามองเห็นได้ แต่นิรัดรกาลเป็นส่วนที่เหลือทั้งหมดซึ่งคุณมองไม่เห็นเพราะอยู่ใต้ผิวน้ำ

การอยู่กับพระเจ้าในนิรันดรกาลจะเป็นอย่างไร พูดตามจริง สมองเราไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจความอัศจรรย์และความยิ่งใหญ่ของสวรรค์ได้ มันก็เหมือนการพยายามบรรยายอินเทอร์เน็ตให้มดเข้าใจ มันไม่มีประโยชน์ มนุษย์ยังไม่สามารถคิดค้นคำพูดใดที่สามารถถ่ายทอดประสบการณ์ของนิรันดรกาล พระคัมภีร์กล่าวว่า "สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์" (1 โครินธ์ 2:9)

อย่างไรก็ตาม พระเจ้าได้ประทานภาพราง ๆ ของนิรันดรกาลแก่เราในพระวจนะของพระองค์ เรารู้ว่าเวลานี้พระเจ้ากำลังเตรียมบ้านถาวรแก่เรา และในสวรรค์ เราจะพบกับคนที่เรารักซึ่งเชื่อในพระเยซูอีกครั้ง เราจะพ้นจากความเจ็บปวดและความทุกข์ทุกอย่าง รับรางวัลสำหรับความสัตย์ซื่อของเราในโลก และได้รับมอบหมายให้ทำงานที่เราจะพึงพอใจอีกครั้ง เราจะไม่นอนเอกเขนกบนเมฆดีดพิณโดยมีวงแสงรอบศีรษะ แต่เราจะมีสามัคคีธรรมกับพระเจ้าอย่างไม่ขาดสาย และพระองค์จะทรงอยู่กับเราอย่างมีความสุขไม่มีขีดจำกัดตลอดไป วันหนึ่ง พระเยซูจะตรัสว่า "ผู้ได้รับพรจากพระบิดาของเรา มารับมรดกของท่านเถิด คืออาณาจักรที่เตรียมไว้สำหรับท่านตั้งแต่ทรงสร้างโลก" (มัทธิว 25:34 อมตธรรมร่วมสมัย)

ซี. เอส. ลุยส์สรุปความหมายของนิรันดรกาลไว้ในหน้าสุดท้ายของวรรณกรรมเยาวชนชุดนาร์เนีย ซึ่งมีทั้งหมด 7 เล่มว่า "สำหรับเรา นี่คือจุดจบของเรื่องราวทั้งหมด… แต่สำหรับพวกเขา มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเรื่องจริง ชีวิตทั้งชีวิตของพวกเขาบนโลกนี้…เป็นเพียงปกหน้าและปกรอง เวลานี้ในที่สุดพวกเขาก็ได้เริ่มต้นบทที่หนึ่งของเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ซึ่งไม่มีใครในโลกเคยอ่าน ซึ่งจะดำเนินตลอดไป และทุกบทก็จะดียิ่งกว่าบทที่ผ่านมา"

พระเจ้าทรงมีพระประสงค์สำหรับชีวิตของคุณในโลกนี้ แต่มันไม่จบลงที่นี่ แผนการของพระองค์มีมากมายเกินกว่าเวลาไม่กี่สิบปีที่คุณจะอยู่โลกใบนี้ มันมีความหมายมากกว่า "โอกาสครั้งเดียวในชีวิต" พระเจ้าทรงเสนอโอกาสที่ไกลเกินกว่าชีวิตนี้ให้แก่คุณ พระคัมภีร์กล่าวว่า "แผนการ (ของพระเจ้า) ตั้งมั่นคงเป็นนิตย์ พระดำริของพระองค์อยู่ทุกชั่วชาติพันธ์ุ" (สดุดี 33:11 TEV)

เวลาเดียวที่คนส่วนใหญ่จะคิดถึงนิรันดรกาลคือในงานศพ ซึ่งมักจะเป็นความคิดตื้น ๆ คล้อยตามอารมณ์ และก่อเกิดจากความไม่รู้ คุณอาจรู้สึกว่ามันน่ากลัวที่จะคิดเรื่องความตาย แต่ที่จริงมันไม่ส่งผลดีเลยที่จะดำเนินชีวิตโดยไม่ยอมรับความตาย และไม่ยอมพิจารณาสิ่งที่คุณไม่มีทางหลีกเลี่ยง (ปัญญาจารย์ 7:2) คนโง่เท่านั้นที่จะใช้ชีวิตโดยไม่เตรียมตัวรับมือสิ่งที่เรารู้ว่าจะต้องเกิดขึ้น คุณต้องคิดถึงนิรันดรกาลมากขึ้น ไม่ใช่น้อยลง

เก้าเดือนที่คุณอยู่ในครรภ์มารดาไม่ใช่จุดจบในตัวมันเอง แต่เป็นการเตรียมตัวเพื่อชีวิต ชีวิตนี้เป็นการเตรียมตัวสำหรับชีวิตหน้า ฉะนั้นถ้าคุณมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าโดยทางพระเยซู คุณก็ไม่จำเป็นต้องกลัวความตาย เพราะนั่นคือประตูสู่นิรันดรกาล เป็นชั่วโมงสุดท้ายที่คุณจะอยู่ในโลก แต่ไม่ใช่จุดจบของชีวิต แต่เป็นวันเกิดของคุณเพื่อเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "โลกนี้ไม่ใช่บ้านของเรา เรารอคอยที่จะอยู่บ้านถาวรของเราในสวรรค์" (ฮีบรู 13:14 LB)

เมื่อเทียบกับนิรันดรกาลเวลาในโลกนี้ก็เหมือนกับแค่กระพริบตา แต่ผลของมันจะคงอยู่ตลอดไป การกระทำในชีวิตนี้เป็นจุดหมายปลายทางของชีวิตหน้า เราควรจะ "ตระหนักว่า ทุกขณะที่เราอยู่ในร่างกายบนโลกนี้ เป็นเวลาที่เราอยู่ห่างจากบ้านถาวรที่เราจะอยู่กับพระเยซูในสวรรค์" (2 โครินธ์ 5:6 LB)

หลายปีก่อนคำขวัญหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมได้หนุนใจให้ผู้คนใช้ชีวิตแต่ละวันเหมือน "วันแรกของเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตของคุณ" อันที่จริง จะฉลาดกว่าถ้าคุณใช้ชีวิตแต่ละวันเหมือนกับมันเป็นวันสุดท้ายในชีวิต แมทธิว เฮ็นรี่กล่าวว่า "การเตรียมตัวสำหรับวันสุดท้าย ควรจะเป็นงานที่เราทำทุกวัน"

วันที่ 4 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: ชีวิตไม่ได้มีแค่ที่นี่และเดี๋ยวนี้

ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "โลกกับสิ่งที่ยั่วยวนของโลกกำลังล่วงไปแต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์" (1 ยอห์น 2:17)

คำถามสำหรับการพิจารณา: ในเมื่อฉันถูกสร้างให้คงอยู่ตลอดไป วันนี้มีสิ่งใดที่ฉันควรจะหยุดทำ และสิ่งใดที่ฉันควรจะเริ่มลงมือทำ

วันที่ 3 อะไรขับเคลื่อนชีวิตคุณ

ข้าพเจ้ายังทราบด้วยว่า เหตุใดผู้คนจึงทำงานหนัก เพื่อจะประสบความสำเร็จ เป็นเพราะว่าเขาอิจฉา อยากมีสิ่งต่าง ๆ เหมือนเพื่อนบ้าน
ปัญญาจารย์ 4:4 (ประชานิยม)

บุคคลที่ปราศจากวัตถุประสงค์ก็เหมือนเรือ ที่ไม่มีหางเสือ - เด็กเร่ร่อน สิ่งที่ไร้ค่า ไม่ใช่คน
โธมัส คาร์ไลล์

ชีวิตของทุกคนขับเคลื่อนไปโดยบางสิ่งบางอย่าง

พจนานุกรมส่วนใหญ่ให้ความหมายคำกริยา ขับเคลื่อน ในภาษาอังกฤษ (drive) ว่าเป็น "การนำ ควบคุม หรือกำหนดทิศทาง" ไม่ว่าคุณจะขับรถ ตอกตะปู หรือตีกอล์ฟ (ภาษาอังกฤษใช้กริยาเดียวกันคือ drive) ในเวลานั้นคุณกำลังนำ ควบคุม และกำหนดทิศทาง แล้วอะไรคือพลังขับเคลื่อนในชีวิตของคุณ

ตอนนี้คุณอาจจะขับเคลื่อนไปด้วยปัญหา ความกดดัน หรือกำหนดเส้นตาย หรือสิ่งที่ขับเคลื่อนคุณอาจเป็นความทรงจำอันเจ็บปวด ความกลัวที่คอยหลอกหลอน หรือความเชื่อที่อยู่ในจิตสำนึก มีสถานการณ์ ค่านิยม และอารมณ์ความรู้สึกนับร้อย ๆ ที่สามารถขับเคลื่อนชีวิตคุณได้ และแรงขับเคลื่อนห้าประการต่อไปนี้ คือสิ่งที่พบบ่อยที่สุด

คนจำนวนมากขับเคลื่อนชีวิตด้วยความรู้สึกผิด พวกเขาใช้ทั้งชีวิตวิ่งหนีความเสียใจ และปกปิดความอายไว้ คนที่ถูกความรู้สึกผิดผลักดันจะถูกความทรงจำควบคุม เขายินยอมให้อดีตบงการอนาคต และมักจะลงโทษตัวเองโดยไม่รู้ตัวด้วยการทำลายโอกาสความสำเร็จของตนเอง เมื่อคาอินทำบาป ความผิดนั้นได้ทำให้เขาถูกตัดขาดจากพระเจ้า พระเจ้าตรัสว่า "เจ้าจะต้องหลบหนีและพเนจรไปในโลก" (ปฐมกาล 4:12) ข้อความน้ีบรรยายถึงคนส่วนใหญ่ปัจจุบันน้ี พวกเขาพเนจรไปโดยไม่มีจุดมุ่งหมาย

เราเป็นผลผลิตของอดีต แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นนักโทษของมัน พระประสงค์ของพระเจ้าไม่ได้ถูกจำกัดโดยอดีตของคุณ พระองค์ทรงเปลี่ยนฆาตกรนามว่าโมเสสให้เป็นผู้นำและชายขี้ขลาดชื่อกิเดโอนให้เป็นวีรบุรุษผู้กล้าหาญ และพระองค์สามารถทำสิ่งอัศจรรย์กับชีวิตที่เหลืออยู่ของคุณเช่นกัน พระเจ้าทรงเชี่ยวชาญในการให้โอกาสมนุษย์ได้เริ่มต้นใหม่ พระคัมภีร์กล่าวว่า "ผู้ที่ได้รับการยกโทษให้พ้นผิดก็มีความสุขยิ่งนัก…คนที่ได้สารภาพความบาปของเขาและพระเจ้าทรงลบล้างประวัติให้ก็โล่งใจอย่างแท้จริง" สดุดี 32:1-2 (LB)

คนจำนวนมากขับเคลื่อนชีวิตด้วยความแค้นและความโกรธ พวกเขากำความเจ็บปวดไว้และไม่ยอมลืมมัน แทนที่จะปลดปล่อยความเจ็บปวดด้วยการยกโทษ พวกเขากลับทบทวนมันในความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางคนถูกความแค้นใจผลักดันจะ "เก็บกด" และบ่มความโกรธไว้ภายใน ขณะที่บางคนก็ "ระเบิด" มันออกมาใส่คนอื่น การตอบสนองทั้งสองแบบล้วนไม่ส่งผลดีและไม่เป็นประโยชน์

ความแค้นใจมักจะทำให้คุณเจ็บมากยิ่งกว่าคู่กรณีของคุณ บางทีคนที่ทำร้ายคุณอาจลืมความผิดไปแล้ว และใช้ชีวิตไปตามปกติ แต่คุณก็ยังคงกลัดกลุ้มอยู่กับความเจ็บปวดและฝังใจกับอดีตต่อไป

ฟังนะครับ คนที่ทำให้คุณเจ็บปวดในอดีตจะไม่สามารถทำให้คุณเจ็บปวดในปัจจุบันได้ นอกเสียจากคุณจะกำความเจ็บปวดไว้ด้วยความแค้น อดีตก็คืออดีต ! ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนมันได้ คุณรังแต่จะทำร้ายตัวเองด้วยความข่มขื่นนั้น ดังนั้น เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของคุณเอง จงเรียนรู้จากมัน แล้วลืมมันเสีย พระคัมภีร์กล่าวว่า "ความกังวล และการกลัดกลุ้มด้วยความคับแค้น คือการกระทำที่โง่เขลาไร้สาระ" โยบ 5:2 (TEV)

คนจำนวนมากขับเคลื่อนชีวิตด้วยชีวิตด้วยความกลัว ความกลัวอาจจะเป็นผลจากประสบการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว ความคาดหวังที่ไม่สมจริง การเติบโตขึ้นมาในบ้านที่เข้มงวดมาก หรือแม้แต่ความโน้มเอียงทางพันธุกรรม ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใด คนที่ถูกความกลัวผลักดันมักจะพลาดโอกาสสำคัญ ๆ เพราะการกลัวความเสี่ยง เขาเลือกที่จะปลอดภัยไว้ก่อน โดยหลีกเลี่ยงการเสี่ยง และพยายามรักษาสิ่งต่าง ๆ ไว้ในสภาพเดิม ๆ

ความกลัวคือคุกที่สร้างไว้ขังตัวเอง ซึ่งจะขัดขวางคุณไม่ให้เป็นอย่างที่พระเจ้าประสงค์ให้คุณเป็น คุณต้องสู้กับมันด้วยอาวุธแห่งความเชื่อและความรัก พระคัมภีร์กล่าวว่า "ความรักที่สมบูรณ์ขจัดความกลัว เนื่องจากความกลัวทำให้พิกลพิการ ดั้งนั้นชีวิตที่เต็มไปด้วยความกลัว ไม่ว่าจะกลัวตายหรือกลัวถูกลงโทษ จึงเป็นชีวิตที่ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์" (1 ยอห์น 4:18 Msg)

คนจำนวนมากขับเคลื่อนชีวิตด้วยวัตถุนิยม ความปราถนาที่จะมีสิ่งของได้กลายเป็นเป้าหมายทั้งหมดของชีวิต แรงผลักดันที่อยากจะมีสิ่งต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ นั้น เกิดจากความเข้าใจผิดที่คิดว่าการมีมากขึ้นจะทำให้ฉันมีความสุข เป็นคนสำคัญ และมั่งคงยิ่งขึ้น แต่ความคิดทั้งสามประการนี้ล้วนไม่ถูกต้อง ทรัพย์สมบัติให้ได้เพียงความสุขชั่วคราวเพราะแม้สิ่งต่าง ๆ ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในที่สุด เราก็จะเบื่อหน่ายสิ่งเหล่านั้น แล้วก็จะอยากได้สิ่งที่ใหม่กว่า ใหญ่กว่า และดีกว่า

ความเชื่อผิด ๆ ในเรื่องเงินทองซึ่งแพร่หลายที่สุดก็คือ ถ้ามีมากขึ้นฉันก็จะมั่นคงยิ่งขึ้น มันไม่ใช่เช่นนั้น ความมั่งมีสามารถสูญไปในทันทีด้วยปัจจัยหลากหลายที่ควบคุบไม่ได้ ความมั่งคงแท้มีอยู่ในสิ่งที่ไม่มีวันพรากจากคุณได้ นั่นคือความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้า

คนจำนวนมากขับเคลื่อนชีวิตด้วยความต้องการเป็นที่ยอมรับ พวกเขายอมให้ความคาดหวังของพ่อแม่ คู่ครอง ลูก ครูบาอาจารย์ หรือเพื่อน ๆ ควบคุมชีวิต ผู้ใหญ่หลายคนยังพยายามแสวงหาการยอมรับจากพ่อแม่ที่ไม่มีวันพึงพอใจเขา บางคนก็ถูกผลักดันโดยความกดดันจากเพื่อน ๆ และกังวลอยู่เสนอว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร น่าเสียดาย เพราะคนที่ทำตามฝูงชนมักจะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไป

ผมไม่ได้รู้เคล็ดลับสู่ความสำเร็จทุกอย่าง แต่เคล็ดลับสู่ความล้มเหลวประการหนึ่งคือ การพยายามทำให้ทุกคนพอใจ การถูกความคิดเห็นของคนอื่นควบคุมคือ วิธีการอันแน่นอนที่พลาดจากพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตคุณ พระเยซูตรัสว่า "ไม่มีใครรับใช้เจ้านายสองคนในเวลาเดียวกันได้" (มัทธิว 6:24 อ่านเข้าใจง่าย)

ยังมีแรงผลักดันอื่น ๆ ที่สามารถขับเคลื่อนชีวิตของคุณแต่ทุกอย่างล้วนนำไปสู่ทางตัน ได้แก่ การไม่ได้ใช้ศักยภาพ ความเคลียดโดยไม่จำเป็น และชีวิตที่รู้สึกไม่พึงพอใจ

การเดินทางสี่สิบวันนี้ จะแสดงให้คุณเห็นวิธีดำเนินชีวิตที่ขับเคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ ซึ่งก็คือชีวิตที่ได้รับการนำ ควบคุม และบอกทิศทางโดยพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่มีอะไรสำคัญยิ่งกว่าการรู้จักพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของคุณ และไม่มีสิ่งใดสามารถชดเชยการไม่รู้จักพระประสงค์เหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จ ความมั่งคั่ง ชื่อเสียง หรือความสุข ถ้าปราศจากวัตถุประสงค์ ชีวิตก็คือการเคลื่อนไหวโดยไร้ความหมาย กิจกรรมที่ปราศจากทิศทาง และเหตุการณ์ที่ไม่มีเหตุผล ถ้าปราศจากวัตถุประสงค์ ชีวิตก็เป็นเรื่องสัพเพเหระ เล็กน้อย และไร้ความหมาย

ประโยชน์ของชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์

ชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์นั้นมีประโยชน์สำคัญห้าประการคือ

การรู้วัตถุประสงค์ทำให้ชีวิตคุณมีความหมาย เราถูกสร้างมาให้มีความหมาย นี้คือเหตุผลที่มนุษย์ลองวิธีการอันคลุมเครืออย่างโหราศาสตร์หรือคนทรง เพื่อค้นหาวัตถุประสงค์เมื่อชีวิตมีความหมาย คุณจะสามารถทนได้เกือบทุกสิ่ง แต่ถ้าไม่มี คุณก็จะทนอะไรไม่ได้เลย

ชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่าคนหนึ่งเขียนว่า "ผมรู้สึกล้มเหลว เพราะผมดิ้นรนที่จะเป็นบางสิ่งบางอย่าง ทั้ง ๆ ที่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร ที่ผมรู้ก็แค่ใช้ชีวิตให้อยู่รอดไปวัน ๆ สักวัน ถ้าผมค้นพบจุดหมายของผม ผมก็คงรู้สึกว่าได้เริ่มชีวิตอย่างจริง ๆ ซะที"

ถ้าปราศจากพระเจ้า ชีวิตก็ไม่มีวัตถุประสงค์ และถ้าปราศจากวัตถุประสงค์ ชีวิตก็ไม่มีความหมาย ถ้าปราศจากความหมาย ชีวิตก็ไม่มีความสำคัญหรือความหวัง ในพระคัมภีร์มีหลายคนบรรยายถึงความสิ้นหวังนี้ อิสยาห์บ่นว่า "ข้าพเจ้าได้ทำงานเปล่าดาย ข้าพเจ้าเปลืองแรงของข้าพเจ้าเปล่า ๆ" (อิสยาห์ 49:4) โยบกล่าวว่า "วันผ่านไปไร้หวังนั่งตาปรอยเร็วกว่ารอยกระสวยพุ่งมุ่งหน้าทอ" (โยบ 7:6 ประชานิยม) และกล่าวว่า "ข้ายอมแพ้ เพราะแสนเบื่อเมื่ออยู่ไป ปล่อยข้าลำพังยังดีถม ชีวิตข้าสูญสลายไร้ชื่นชมทุกข์ระทมสิ้นหวังพังทลาย" (โยบ 7:16 ประชานิยม) โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดนั้นไม่ใช่ความตาย แต่เป็นชีวิตที่ปราศจากวัตถุประสงค์

ความหวังมีความสำคัญต่อชีวิตคุณเช่นเดียวกับอากาศและน้ำ คุณต้องการความหวังเพื่อรับมือกับชีวิต ดร. เบอร์นี่ ซีเกล พบว่าเขาสามารถคาดคะเนว่า ผู้ป่วยโรคมะเร็งคนไหนจะอาการทุเลาโดยการถามว่า "คุณอยากจะอยู่ถึงร้อยปีไหม" คนที่มีความเข้าใจลึกซึ้งถึงวัตถุประสงค์ของชีวิตจะตอบว่าอยาก และเป็นพวกที่มีโอกาสรอดสูง ความหวังเกิดจากการมีวัตถุประสงค์

ถ้าคุณกำลังรู้สึกสิ้นหวัง ขอให้อดทนไว้ก่อน การเปลี่ยนแปลงที่ยอดเยี่ยมกำลังจะเกิดขึ้นในชีวิตคุณ เมื่อคุณเริ่มใช้ชีวิตตามวัตถุประสงค์ พระเจ้าตรัสว่า "เราแต่ผู้เดียวที่รู้แผนการที่เราจัดไว้เพื่อเจ้า เป็นแผนการที่จะให้เจ้าเจริญรุ่งเรือน ไม่ใช่ให้พินาศ เป็นแผนการที่จะให้เจ้ามีอนาคตสวยสดงดงามตามที่หวังไว้" (เยเรมีย์ 29:11 ประชานิยม) คุณอาจจะรู้สึกว่าตนเองกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากเกินจะแก้ไข หากแต่พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้า…สามารถทำได้มากกว่าที่เรากล้าที่จะทูลขอหรือฝันถึง และทำได้ชนิดไม่มีขอบเขตจำกัด เกินกว่าคำอธิษฐาน ความปราถนา ความคิด หรือความหวังอันสูงสุดของเรา" (เอเฟซัส 3:20 LB)

การรู้วัตถุประสงค์ทำให้ชีวิตคุณเรียบง่ายขึ้น มันช่วยกำหนดสิ่งที่คุณจะทำและไม่ทำ วัตถ์ประสงค์กลายเป็นมาตรฐานที่คุณใช้ประเมิณว่ากิจกรรมใดสำคัญและไม่สำคัญ คุณเพียงแต่ถามว่า "กิจกรรมนี้ช่วยให้ฉันบรรลุพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างใดอย่างหนึ่งสำหรับชีวิตฉันหรือไม่"

ถ้าปราศจากวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน คุณก็จะไม่มีพื้นฐานที่ใช้อ้างอิงในการตัดสินใจ จัดสรรเวลา และใช้ทรัพยกร คุณจะมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจไปตามสถานการณ์ ความกดดัน และอารมณ์ในเวลานั้น คนที่ไม่รู้วัตถุประสงค์มักพยายามทำสิ่งต่าง ๆ มากเกินไปซึ่งทำให้เกิดความเคลียด ความอ่อนล้า และความขัดแย้ง

เป็นไปไม่ได้ที่จะทำทุกสิ่งที่คนอื่นต้องการให้คุณทำ คุณมีเวลาเพียงพอที่จะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้น ถ้าคุณไม่สามารถทำให้เสร็จหมดทุกอย่าง นั่นหมายความว่า คุณพยายามทำมากเกินกว่าที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้คุณทำ (หรืออาจเป็นเพราะคุณดูโทรทัศน์มากเกินไป) ชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์จะนำไปสู่วิถีชีวิตที่เรียบง่ายขึ้นและตารางเวลาที่สมเหตุสมผลกว่าเดิม พระคัมภีร์กล่าวว่า "ชีวิตที่เสแสร้งและโอ้อวด เป็นชีวิตที่ว่างเปล่า ชีวิตที่ธรรมดาและเรียบง่ายเป็นชีวิตที่สมบูรณ์" (สุภาษิต 13:7 Msg) และมันยังนำไปสู่จิตใจที่สงบ "พระเจ้า พระองค์ทรงประทานสันติสุขสมบูรณ์แก่ผู้ที่รักษาวัตถุประสงค์ของเขาอย่างมั่นคงและวางใจในพระองค์" (อิสยาห์ 26:3 TEV)

การรู้วัตถุประสงค์ทำให้ชีวิตคุณจดจ่อ มันช่วยรวบรวมความพยายามและพลังของคุณ เพื่อทำสิ่งที่สำคัญ คุณจะมีประสิทธิภาพเมื่อคุณรู้จักเลือก

เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะไขว้เขวด้วยเรื่องเล็กน้อย เราเล่นเกมไขว่คว้าเรื่องสัพเพเหระกับชีวิตเรา เฮ็นรี่ เดวิด เธอโรสังเกตว่า มนุษย์ใช้ชีวิตแบบ "สิ้นหวังอย่างเงียบ ๆ" แต่วันนี้ คำบรรยายที่ดีกว่าคือ ไขว้เขวอย่างไร้จุดหมาย หลายคนเป็นเหมือนลูกข่างคือหนุนเร็วอย่างบ้าคลั่ง แต่ไปไม่ถึงไหน

ถ้าปราศจากวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน คุณก็จะเปลี่ยนทิศทาง งาน ความสัมพันธ์ คริสตจักร หรือสิ่งภายนอกอื่น ๆ ไปเรื่อย ๆ โดยหวังว่าการเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งจะยุติความสับสนหรือเติมความว่างเปล่าในจิตใจคุณ คุณคิดว่า บางทีครั้งน้ีอาจจะไม่เหมือนเดิม แต่มันก็ไม่แก้ปัญหาที่แท้จริง อันได้แก่ การขาดจุดศูนย์รวมความสนใจ และขาดวัตถุประสงค์

พระคัมภีร์กล่าวว่า "อย่าใช้ชีวิตแบบปล่อยตัวไร้ความคิด แต่จงเข้าใจน้ำพระทัยขององค์พระเป็นเจ้าว่าเป็นอย่างไร" (เอเฟซัส 5:17 Msg)

พลังของการจดจ่อนั้นสามารถเห็นได้จากแสง แสงที่กระจัดกระจายมีพลังหรือผลกระทบน้อย แต่คุณสามารถรวบรวมพลังงานของมัน โดยการบังคับมันสู่จุดศูนย์รวม และด้วยแว่นขยายรังสีของดวงอาทิตย์ก็จะสามารถรวมกันเพื่อจุดไฟเผาหญ้าหรือกระดาษได้ และเมื่อแสงรวมกันเข้มข้นกว่านั้นอย่างแสงเลเซอร์ มันก็สามารถตัดโลหะได้

ไม่มีอะไรที่มีสมรรถภาพเท่ากับชีวิตที่จดจ่อ หรือชีวิตที่อยู่ด้วยวัตถุประสงค์ ชายและหญิงที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์ล้วนเป็นผู้ที่จดจ่อมากที่สุด ยกตัวอย่าง เช่น อัครทูตเปาโลเผยแพร่ความเชื่อของคริสเตียนไปทั่วจักรวรรดิโรมแทบจะด้วยตัวคนเดียว เคล็ดลับของท่านคือชีวิตที่จดจ่อ ท่านกล่าวว่า "ข้าพเจ้ารวบรวมกำลังทั้งหมดเพื่อทำสิ่งเดียวคือลืมอดีตและมุ่งไปหาสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า" (ฟีลิปปี 3:13 NIT)

การรู้จักวัตถุประสงค์ช่วยกระตุ้นชีวิตคุณ วัตถุประสงค์มักจะทำให้เกิดความกระตือรือร้น ไม่มีสิ่งใดกระตุ้นให้เกิดพลังได้เหมือนกับวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ในทางกลับกัน ความกระตือรือร้นจะหายไปเม่ือคุณขาดวัตถุประสงค์ เพียงแค่การลุกจากเตียงก็จะกลายเป็นกิจวัตรที่หนักหนา งานที่หนักเกินไปไม่ได้ทำให้เราหมดแรง แต่สิ่งที่ดูดพลังและชิงเอาความชื่นชมยินดีไปจากเราคือ งานที่ไม่มีความหมาย

จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ เขียนไว้ว่า "นี่คือความยินดีที่แท้จริงในชีวิตคือ การที่ตัวเราถูกใช้ไปทั้งหมด เพื่อวัตถุประสงค์ที่ตัวคุณเองยอมรับว่าสำคัญคือ การเป็นพลังของธรรมชาติแทนที่จะเป็นกาฝากอมโรคอมทุกข์ ที่คอยบ่นว่าโลกนี้ไม่ยอมทุ่มเทเพื่อทำให้คุณมีความสุข"

การรู้วัตถุประสงค์เตรียมคุณสำหรับชีวิตนิรันดร์ หลายคนใช้ชีวิตเพื่อพยายามสร้างมรดกที่ถาวรบนโลกนี้ พวกเขาอยากให้คนอื่นจดจำเมื่อเขาจากโลกนี้ไปแล้ว แต่สุดท้าย สิ่งสำคัญที่สุดจะไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นพูดถึงชีวิตคุณ แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับคุณ สิ่งที่ผู้คนไม่ตระหนักก็คือ ในที่สุดแล้ว ความสำเร็จทั้งสิ้นก็จะมีคนทำได้เหนือกว่า สถิติจะถูกทำลาย ชื่อเสียงเลือนหายไป และคำสรรเสริญก็จะถูกลืม เป้าหมายของเจมส์ ด๊อบสัน ขณะที่เรียนมหาวิทยาลัยคือ เป็นแชมป์เทนนิสของมหาวิทยาลัย ท่านรู้สึกภูมิใจเมื่อถ้วยรางวัลของท่านถูกจัดวางไว้ในตู้แสดงถ้วยรางวัลของมหาวิทยาลัย หลายปีต่อมา มีคนส่งถ้วยนั้นมาให้ท่านทางไปรษณีย์ เพราะพบมันในถังขยะ เมื่อทางมหาวิทยาลัยทำการก่อสร้างปรับปรุง ด๊อบสันกล่าวว่า "ถ้ามีเวลานานพอ ถ้วยรางวัลทุกชิ้นของคุณก็จะถูกคนอื่นทิ้งลงถังขยะ"

การมีชีวิตเพื่อสร้างมรดกบนโลกนี้เป็นเป้าหมายแบบคนคิดสั้น วิธีใช้เวลาที่ฉลาดกว่าคือ การสร้างมรดกนิรันดร์ พระเจ้าไม่ได้ให้คุณมาอยู่ในโลกเพื่อผู้คนจะจดจำ แต่เพื่อเตรียมคุณสำหรับนิรันดรกาล

วันหนึ่ง คุณจะยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า และพระองค์จะทรงตรวจสอบชีวิตคุณ เป็นการสอบไล่ก่อนจะเข้าสู่นิรันดรกาล พระคัมภีร์กล่าวว่า "เพราะว่าเราทุกคน ต้องยืนอยู่หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระเจ้า… ฉะนั้นเราทุกคนจะต้องทูลเรื่องราวของตัวเองต่อพระเจ้า" (โรม 14:10ข, 12) ยังดีที่พระเจ้าต้องการให้คุณผ่านการสอบนี้ ดังนั้น พระองค์จึงประทานข้อสอบให้คุณล่วงหน้าจากพระคัมภีร์ เราสามารถคาดหมายล่วงหน้าว่า พระเจ้าจะทรงถามคำถามสำคัญสองข้อคือ

ข้อแรก "เจ้าทำอย่างไรกับพระเยซูคริสต์พระบุตรของเรา" พระเจ้าจะไม่ถามถึงภูมิหลังทางศาสนา หรือหลักข้อเชื่อของคุณ สิ่งเดียวที่สำคัญคือคุณได้ยอมรับสิ่งที่พระเยซูทรงทำเพื่อคุณ และคุณได้เรียนรู้ที่จะรักและวางใจพระองค์หรือไม่ พระเยซูตรัสว่า "เราเป็นทางนั้นเป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา" (ยอห์น 14:6)

ข้อที่สอง "เจ้าทำอะไรกับสิ่งที่เราให้แก่เจ้า" คุณทำอะไรกับชีวิต ของประทาน ความสามารถ โอกาส กำลัง ความสัมพันธ์ และทรัพยากรที่พระเจ้าประทานแก่คุณ คุณใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อตัวคุณเอง หรือคุณใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อวัตถุประสงค์ที่พระเจ้าทรงสร้างคุณมา

เป้าหมายของหนังสือเล่มนี้คือการเตรียมคุณให้พร้อมสำหรับสองคำถาม คำถามแรกจะกำหนดว่าคุณจะอยู่ที่ไหนในนิรันดรกาล คำถามที่สองจะกำหนดว่า คุณจะทำอะไรในนิรันดรกาล เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบ คุณจะพร้อมที่จะตอบคำถามทั้งสองข้อ

วันที่ 3 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: การดำเนินด้วยวัตถุประสงค์คือหนทางสู่สันติสุข

ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "พระเจ้า พระองค์ประทานสันติสุขสมบูรณ์แก่ผู้ที่รักษาวัตถุประสงค์ของเขาอย่างมั่นคงและวางใจในพระองค์" อิสยาห์ 26:3 (TEV)

คำถามสำหรับการพิจารณา: ครอบครัวและเพื่อนๆ จะบอกว่าอะไรคือ สิ่งที่ขับเคลื่อนชีวิตของฉัน แล้วฉันต้องการให้สิ่งนั้นเป็นอะไร

วันท่ี 2 คุณไมใช่ความบังเอิญ

เราคือพระผู้สร้างของเจ้า เจ้าอยู่ในการดูแลของเราแม้ก่อนที่เจ้าเกิด
อิสยาห์ 44:2ก (CEV)

พระเจ้าไม่นิยมการเสี่ยงทาย
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

คุณไม่ใช่ความบังเอิญ

การถือกำเนิดของคุณไม่ใช่ความผิดพลาดหรือเหตุร้าย ชีวิตคุณไม่ใช่ความบังเอิญของธรรมชาติ พ่อแม่คุณอาจไม่ได้ตั้งใจที่จะให้กำเนิดคุณ แต่พระเจ้าทรงประสงค์ให้เป็นเช่นนั้น พระองค์มิได้ทรงแปลกใจที่คุณเกิดมา เพราะจริง ๆ แล้ว พระองค์ทรงคาดหวังให้เป็นเช่นนั้น

ก่อนที่คุณจะปฏิสนธิโดยพ่อแม่ คุณถือกำเนิดขึ้นในพระทัยของพระเจ้าแล้ว พระองค์ทรงคิดถึงคุณก่อนแล้ว นี่ไม่ใช่เคราะห์กรรม ไม่ใช่ความบังเอิญ ไม่ใช่โชค และไม่ใช่เหตุประจวบเหมาะที่คุณกำลังหายใจอยู่ในเวลานี้ คุณมีชีวิตเพราะพระเจ้าต้องการสร้างคุณ พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าจะทรงทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำหรับข้าพระองค์สำเร็จ" (สดุดี 138:8ก NIV)

พระเจ้าทรงกำหนดรายละเอียดทุกอย่างในร่างการคุณ พระองค์ทรงจงใจเลือกเชื้อชาติ สีผิว ผม และลักษณะอื่น ๆ ทุกอย่าง พระองค์ทรงสร้างร่างกายคุณเป็นพิเศษตามแบบที่พระองค์ต้องการ อีกทั้งทรงกำหนดความสามารถตามธรรมชาติที่คุณจะมี รวมทั้งบุคลิกภาพเฉพาะตัวของคุณ พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระองค์ทรงรู้จักข้าพระองค์ทั้งภายในและภายนอก พระองค์ทรงรู้จักกระดูกทุกชิ้นในร่างการข้าพระองค์ พระองค์ทรงรู้ชัดเจนว่าข้าพระองค์ถูกสร้างขึ้นที่ละส่วน ๆ อย่างไร และข้าพระองค์ถูกปั้นให้มีตัวตนมาจากความว่างเปล่าอย่างไร" (สดุดี 139:15 Msg)

เนื่องจากพระเจ้าทรงสร้างคุณเพื่อเหตุผลบางประการ พระองค์จึงทรงกำหนดว่าคุณจะเกิดมาเมื่อไรและจะมีชีวิตอยู่นานแค่ไหน พระองค์ทรงวางแผนวันเวลาในชีวิตของคุณไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยทรงเลือกเวลาที่เจาะจงสำหรับการเกิดและการตาย พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระองค์ทรงเห็นข้าพระองค์ก่อนที่ข้าพระองค์จะเกิดมา และทรงกำหนดแต่ละวันในชีวิตของข้าพระองค์ก่อนที่ข้าพระองค์เริ่มหายใจ ทุกวันถูกบันทึกไว้ในหนังสือของพระองค์" (สดุดี 139:16 LB)

พระเจ้ายังทรงกำหนดสถานที่ที่คุณจะเกิด รวมทั้งที่ซึ่งคุณจะอยู่อาศัย เพื่อพระประสงค์ของพระองค์ เชื้อชาติและสัญชาติของคุณไม่ใช่อุบัติเหตุ พระเจ้าไม่ทรงปล่อยให้รายละเอียดใดเกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่ได้กำหนดทุกสิ่งไว้เพื่อพระประสงค์ของพระองค์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "จากมนุษย์เพียงคนเดียว พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติให้อาศัยทั่วพิภพ พระองค์ทรงกำหนดเวลาและเขตแดนที่พวกเขาควรจะอยู่" (กิจการ 17:16 อมตธรรมร่วมสมัย) ไม่มีสิ่งใดในชีวิตคุณไร้จุดมุ่งหมาย ทุกสิ่งมีวัตถุประสงค์

น่าอัศจรรย์ที่สุดคือ พระเจ้าทรงกำหนดว่าคุณจะเกิดมาอย่างไร พระเจ้าทรงสร้างคุณขึ้นตามแผนการไม่ว่าสถานการณ์ขณะที่คุณเกิดจะเป็นอย่างไร หรือใครเป็นพ่อแม่คุณ ไม่สำคัญว่าพ่อแม่ของคุณจะดี แย่ หรือพอใช้ได้ พระเจ้าทรงทราบว่าทั้งสองคนนี้มีพันธุกรรมที่เหมาะเจาะพอดีที่จะสร้าง "คุณ" ขึ้นมาในแบบที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยไว้ พวกเขามีดีเอ็นเอที่พระเจ้าต้องการใช้เพื่อสร้างคุณ

แม้จะมีพ่อแม่ที่ไม่ถูกต้องตามกฏหมาย (ไม่ได้จดทะเบียนสมรส) แต่ลูกที่ไม่ถูกต้องตามกฏหมายนัั้นไม่มี เด็กหลายคนไม่ได้เกิดมาตามที่พ่อแม่วางแผนไว้ แต่พวกเขาก็เกิดมาตามแผนการของพระเจ้า พระประสงค์ของพระเจ้าครอบคลุมถึงความผิดพลาดและแม้กระทั่งความบาปของมนุษย์

พระเจ้าไม่เคยทำสิ่งใดโดยบังเอิญ และพระองค์ไม่เคยทำผิดพลาด พระองค์มีเหตุผลสำหรับทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ต้นไม้ทุกต้นและสัตว์ทุกตัวก็เป็นไปตามแผนการของพระเจ้า และทุกคนก็ถูกกำหนดโดยมีวัตถุประสงค์ไว้แล้ว แรงจูงใจที่พระเจ้าทรงสร้างคุณ คือความรักของพระองค์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "นานก่อนที่พระองค์ทรงวางรากฐานของโลก พระองค์ทรงคิดถึงเราแล้ว ทรงกำหนดให้เราเป็นจุดศูนย์รวมของความรักของพระองค์" (เอเฟซัส 1:4 Msg)

พระเจ้าทรงคิดถึงคุณแม้กระทั่งก่อนที่พระองค์ทรงสร้างโลก อันที่จริง นั่นคือเหตุผลที่พระองค์ทรงสร้างโลก พระเจ้าทรงออกแบบสภาพแวดล้อมของโลกนี้เพื่อเราจะสามารถอาศัยอยู่ได้ เราเป็นศูนย์รวมความรักของพระองค์ และมีค่าที่สุดในบรรดาสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าได้ทรงเลือกที่จะประทานชีวิตแก่เราโดยทางพระวจนะแห่งความจริง เพื่อเราจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง" (ยากอบ 1:18 NIV) พระเจ้าทรงรัก และให้คุณค่าแก่คุณมากถึงเพียงนั้น

พระเจ้าไม่ได้กระทำอะไรแบบเดาสุ่ม แต่ได้ทรงวางแผนทุกสิ่งอย่างละเอียดถี่ถ้วน ยิ่งนักฟิสิกส์ นักชีววิทยา และนักวิทยาศาสตร์สาขาอื่น ๆ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับจักรวาลมากขึ้นเท่าใด เราก็ยิ่งเข้าใจโลกนี้เหมาะที่เราจะอาศัยมากขึ้นเท่านั้น มันถูกสร้างเป็นพิเศษให้มีคุณสมบัติเจาะจงสำหรับมนุษย์จะดำรงชีวิต

ดร. ไมเคิล เดนตัน นักวิจัยอาวุโสเรื่องโมเลกุลในพันธุกรรมมนุษย์ ที่มหาวิทยาลัยโอทาโก ประเทศนิวซีแลนด์ได้สรุปว่า "หลักฐานทางชีววิทยาทุกอย่างที่เรามีสนับสนุนสมมติฐานหลักที่ว่าจักรวาลนี้ได้รับการออกแบบอย่างเจาะจง โดยมีสิ่งมีชีวิตและมนุษย์เป็นเป้าหมายและวัตถุประสงค์หลัก และเมื่อมองโดยรวม ทุกแง่มุมของสิ่งต่าง ๆ จะมีความหมายและคำอธิบายก็โดยความจริงสำคัญข้อนี้ พระคัมภีร์ก็กล่าวเช่นเดียวกันเมื่อหลายพันปีก่อนหน้านั้นว่า "พระเจ้าผู้ทรงปั้นแผ่นดินโลก… พระองค์มิได้ทรงสร้างมันไว้ให้ยุ่งเหยิง พระองค์ทรงปั้นมันไว้ให้มีคนอาศัย" (อิสยาห์ 45:18)

ทำไมพระเจ้าจึงทรงทำสิ่งเหล่านี้ ทำไมพระองค์ต้องลำบากที่จะสร้างจักวาลนี้เพื่อเรา นั่นเป็นเพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรัก และความรักชนิดนี้ก็เข้าใจยากแต่โดยพื้นฐานแล้วก็เชื่อถือได้ คุณถูกสร้างขึ้นในฐานะผู้ที่พระเจ้าจะทรงรักเป็นพิเศษ พระองค์สร้างคุณเพื่อพระองค์จะทรงรักคุณ ชีวิตคุณจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานความจริงข้อนี้

พระคัมภีร์บอกเราว่า "พระเจ้าทรงเป็นความรัก" (1 ยอห์น 4:8) ไม่ใช่พระเจ้าทรงมีความรักแต่พระองค์ทรงเป็นความรัก ความรักเป็นเนื้อแท้แห่งพระลักษณะของพระเจ้า มีความรักที่สมบูรณ์อยู่ในสามัคคีธรรมของพระเจ้าทั้งสามพระภาค ดังนั้นพระเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องสร้างคุณ พระองค์ไม่ว้าเหว่ แต่พระองค์ต้องการสร้างคุณเพื่อแสดงความรักของพระองค์ พระเจ้าตรัสว่า "ผู้ซึ่งเราอุ้มมาตั้งแต่กำเนิด ชูมาตั้งแต่ในครรภ์ จนกระทั่งเจ้าแก่ เราก็คือพระองค์นั้น เราจะอุ้มเจ้าจนถึงผมหงอก เราได้สร้าง เราจะชูไว้ เราจะอุ้มและเราจะช่วยให้รอด" (อิสยาห์ 46:3-4)

หากปราศจากพระเจ้า เราทุกคนก็เป็น "ความบังเอิญ" คือเป็นผลของการสุ่มทางดาราศาสตร์ในจักรวาล คุณสามารถหยุดอ่านหนังสือเล่มนี้ได้เลย เพราะชีวิตจะปราศจากวัตถุประสงค์ ความหมาย หรือความสำคัญ จะไม่มีผิดหรือถูก และไม่มีความหวังใด ๆ ภายหลังเวลาอันสั้นของเราในโลกนี้

แต่พระเจ้าผู้ได้ทรงสร้างคุณด้วยเหตุผลบางประการ และชีวิตคุณก็มีความหมายที่ลึกซึ้ง ! เราจะพบความหมายและวัตถุประสงค์นั้นได้ เราให้พระเจ้าเป็นจุดอ้างอิงในชีวิตของเรา พระคัมภีร์ฉบับ Message ถอดความโรม 12:3 ว่า "ทางที่ถูกต้องทางเดียวที่จะเข้าใจตัวเราก็คือ การรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นเช่นไร และพระองค์ทรงทำอะไรเพื่อเรา"

บทกวีโดย รัสเซล เคลเฟอร์ สรุปเรื่องนี้ไว้ว่า:

คุณเป็นอย่างที่คุณเป็นเพื่อเหตุผลบางประการ
คุณเป็นส่วนหนึ่งของแผนการอันซับซ้อน
คุณเป็นผลงานล้ำค่าและมีเอกลักษณ์อย่างสมบูรณ์
ได้รับการขนานนานว่าเป็นหญิงและชายที่พิเศษของพระเจ้า

คุณมีหน้าตาแบบนี้เพื่อเหตุผลบางอย่าง
พระเจ้าของเราไม่ผิดพลาด
พระองค์ทอคุณขึ้นภายในครรภ์มารดา
คุณเป็นอย่างที่พระองค์ต้องการจะสร้าง

พ่อแม่คุณคือผู้ที่พระองค์ทรงเลือก
และไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไร
พวกเขาก็ถูกกำหนดไว้อย่างเจาะจงตามแผนการของพระเจ้า
และมีตราของพระองค์ประทับอยู่

ถูกแล้ว ความชอกช้ำที่คุณเผชิญอยู่ ไม่ใช่เรื่องง่าย
และพระเจ้ากรรแสงเพราะมันทำให้คุณเจ็บปวด
แต่พระองค์อนุญาตให้เกิดขึ้นเพื่อหล่อหลอมหัวใจคุณ
เพื่อคุณจะเติบโตเหมือนพระฉายพระองค์มากขึ้น

คุณเป็นอย่างที่คุณเป็นเพื่อเหตุผลบางประการ
คุณได้รับการปั้นแต่งขึ้นโดยคฑาของพระเจ้า
คุณเป็นอย่างที่คุณเป็น โอ ผู้เป็นที่รัก
เพราะว่ามีพระเจ้า !

วันที่ 2 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: ฉันไม่ใช่ความบังเอิญ

ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "เราคือพระผู้สร้างเจ้า เจ้าอยู่ในการดูแลของเราแม้ก่อนที่เจ้าเกิด" อิสยาห์ 44:2 (CEV)

คำถามสำหรับการพิจารณา: เมื่อรู้ว่าพระเจ้าทรงสร้างฉันให้มีเอกลักษณ์ มีส่วนไหนที่ฉันทำใจยอมรับตัวเองได้ยากบ้าง ไม่ว่าจะเป็น บุคลิก ภูมิหลัง รูปร่างหน้าตา