เพราะพระเจ้าทรงสร้างสิ่งทั้งปวง ทุกสิ่งเกิดขึ้นมาได้ก็เพราะฤทธิ์อำนาจของพระองค์ ทั้งนี้เพื่อพระเกียรติแด่พระองค์
โรม 11:36 (ประชานิยม)
พระเจ้าทรงกระทำให้ทุกสิ่งมีเป้าหมาย
สุภาษิต 16:4
ทุกสิ่งดำรงอยู่เพื่อพระองค์
เป้าหมายสูงสุดของจักรวาลคือเพื่อแสดงถึงพระสิริของพระเจ้า นี่คือเหตุผลที่ทุกสิ่งดำรงอยู่ รวมทั้งคุณด้วย พระเจ้าทรงทำทุกสิ่งเพื่อพระสิริของพระองค์ ถ้าปราศจากพระสิริของพระเจ้าก็จะไม่มีสิ่งใดเลย
พระสิริของพระเจ้าคืออะไร ? ก็คือความเป็นพระองค์เอง คือเนื้อแท้ของพระลักษณะของพระองค์ น้ำหนักแห่งความสำคัญของพระองค์ รัศมีความเจิดจรัสของพระองค์ การสำแดงฤทธิ์เดชของพระองค์ และบรรยากาศแห่งการสถิตอยู่ของพระองค์ พระสิริของพระเจ้าคือการแสดงออกถึงความดีของพระองค์ รวมทั้งคุณสมบัตินิรันดร์อื่น ๆ ที่อยู่ภายในพระองค์
พระสิริของพระเจ้าอยู่ที่ไหน คุณก็แค่มองไปรอบ ๆ ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นนั้นสะท้อนถึงพระสิริของพระองค์ในบางลักษณะ เราเห็นได้ทุกหนทุกแห่ง ตั้งแต่สิ่งมีชีวิตที่เล็กที่สุดจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ไปจนถึงทางช้างเผือกกว้างใหญ่ไพศาล จากอาทิตย์อัศดงและดวงดาว ไปจนถึงพายุและฤดูกาลต่าง ๆ สรรพสิ่งที่ทรงสร้างกำลังเปิดเผยพระสิริของพระผู้สร้างของเรา ในธรรมชาติ เรารู้ว่าพระเจ้าทรงฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่ พระองค์พอพระทัยความหลากหลาย ทรงรักความงดงาม ทรงเป็นระเบียบ และทรงพระสติปัญญาและทรงสร้างสรรค์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "ฟ้าสวรรค์ประกาศพระสิริของพระเจ้า" (สดุดี 19:1)
ตลอดประวัติศาสตร์ พระเจ้าทรงเปิดเผยพระสิริของพระองค์แก่มนุษย์ผ่านเหตุการณ์และวิธีการหลากหลาย แรกสุดพระองค์ทรงเปิดเผยพระสิริในสวนเอเดน แล้วแก่โมเสสแล้วในพลับพลาและพระนิเวศ แล้วทางพระเยซู และเวลานี้ทางคริสตจักร (ปฐมกาล 3:8; อพยพ 33:18; 40:33-38; 1 พงค์กษัตริย์ 7:51; 8:10-13; ยอห์น 1:14; เอเฟซัส 2:21-22; 2 โครินธ์ 4:6-7) พระสิริของพระองค์แสดงออกเป็นเพลิงที่เผาผลาญ เมฆ ฟ้าร้อง ควัน และแสงเจิดจ้า (อพยพ 24:17; 40:34; สดุดี 29:1; อิสยาห์ 6:3-4; 60:1; ลูกา 2:9) ในสวรรค์พระสิริของพระเจ้าให้ความสว่างทั้งหมดที่จำเป็น พระคัมภีร์กล่าวว่า "นครนั้นไม่ต้องการแสงของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เพราะว่าพระสิริของพระเจ้าเป็นความสว่างของนครนั้น" (วิวรณ์ 21:23)
พระสิริของพระเจ้าปรากฏชัดที่สุดในพระเยซูคริสต์ พระองค์ผู้ทรงเป็นความสว่างของโลกได้สำแดงพระลักษณะของพระเจ้าเพราะพระเยซู เราจึงไม่ต้องมองพระลักษณะพระเจ้าในความมืดอีกต่อไป พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระบุตรทรงเป็นแสงสะท้อนพระสิริของพระเจ้า" (ฮีบรู 1:3; 2 โครินธ์ 4:6ข) พระเยซูเสด็จมายังโลกเพื่อเราจะสามารถเข้าใจพระสิริของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ "พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา เราเห็นพระสิริของพระองค์คือพระสิริที่สมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง" (ยอห์น 1:14)
พระเยซูทรงพระสิริอันเป็นพระลักษณะติดตัวของพระเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระสิรินี้คือธรรมชาติของพระองค์ เราไม่สามารถเพิ่มสิ่งใดแก่พระสิรินี้ ในทำนองเดียวกับที่เราไม่สามารถทำให้ดวงอาทิตย์สว่างขึ้น แต่เราได้รับคำสั่งให้ยอมรับพระสิริของพระองค์ ถวายเกียรติพระสิริของพระองค์ ประกาศพระสิริของพระองค์ สรรเสริญพระสิริของพระองค์ สะท้อนพระสิริของพระองค์ และอยู่เพื่อพระสิริของพระองค์ (1 พงศาวดาร 16:24; สดุดี 29:1; 66:2; 96:7; 2 โครินธ์ 3:18) ทำไมนะหรือ เพราะว่าพระเจ้าทรงสมควรได้รับสิ่งเหล่านั้น เราเป็นหนี้พระองค์คือเป็นหนี้ที่ต้องถวายเกียรติทั้งสิ้นที่เราสามารถถวายได้ เนื่องจากพระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่ง พระองค์จึงทรงสมควรได้รับพระสิริทั้งสิ้น พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระองค์ทรงสมควรที่จะได้รับคำสรรเสริญ พระเกียรติ และฤทธิ์เดช เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสร้างสิ่งทั้งปวง" (วิวรณ์ 4:11ก)
ทั่วทั้งจักรวาล มีสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างเพียงสองอย่างที่ไม่ยอมถวายพระสิริแด่พระองค์ คือทูตสวรรค์ที่ทำบาป (วิญญาณชั่ว) และเรา (มนุษย์) โดยรากเหง้าแล้ว ความบาปทุกอย่างคือ การไม่ยอมถวายพระสิริแด่พระเจ้าคือการกบฏอย่างยโส และเป็นความบาปที่ทำให้ซาตานตกจากสภาพเดิม รวมทั้งเราด้วย เราทำหลายสิ่งหลายอย่างซึ่งเป็นการใช้ชีวิตเพื่อเกียรติของเราเอง ไม่ใช่ของพระเจ้า พระคัมภีร์กล่าวว่า "เพราะว่าทุกคนทำบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า" (โรม 3:23)
ในพวกเราไม่มีใครสักคนที่ถวายพระสิริแด่พระเจ้าอย่างที่พระองค์ทรงสมควรได้รับจากชีวิตเรา นี่เป็นความบาปที่ร้ายแรงที่สุดและความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่หลวงที่สุดที่เราทำได้ในชีวิตเรา พระเจ้าตรัสว่า "พวกเขาเป็นปวงประชาของเราเองและเราได้สร้างพวกเขาเพื่อถวายพระสิริให้แก่เรา" (อิสยาห์ 43:7 TEV) สิ่งนี้จึงควรจะเป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิตของเรา
ฉันจะถวายพระสิริแด่พระเจ้าได้อย่างไร
พระเยซูทรงทูลพระบิดาว่า "ข้าพระองค์ได้ถวายเกียรติแด่พระองค์ในโลก เพราะข้าพระองค์ได้กระทำกิจที่พระองค์ทรงให้ข้าพระองค์กระทำนั้นสำเร็จแล้ว" (ยอห์น 17:4) พระเยซูทรงถวายเกียรติแด่พระเจ้าโดยทรงกระทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จในโลก เราเองก็ถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยวิธีเดียวกัน เมื่อสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงสร้างทำให้วัตถุประสงค์ของตนสำเร็จ สิ่งนั้นก็กำลังถวายพระสิริแด่พระเจ้า นกถวายพระสิริแด่พระเจ้า โดยการบิน ร้อง ทำรังและทำกิจกรรมอื่น ๆ ของนก ตามที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ แม้แต่มดที่ต่ำต้อยก็ถวายพระสิริแด่พระเจ้า เมื่อมันทำให้วัตถุประสงค์ที่พระเจ้าสร้างมันมาสำเร็จ พระเจ้าทรงสร้างมดให้เป็นมด และพระองค์ทรงสร้างคุณให้เป็นคุณ นักบุญอิเรนายอัสได้กล่าวว่า "พระสิริของพระเจ้าคือมนุษย์ที่มีชีวิตอย่างเต็มที่"
การถวายพระสิริแด่พระเจ้านั้นมีอยู่หลายวิธี แต่ก็สามารถสรุปได้เป็นวัตถุประสงค์ห้าประการที่พระเจ้ามีไว้สำหรับชีวิตคุณ เราจะใช้ส่วนที่เหลือของหนังสือเล่มนี้ศึกษาวัตถุประสงค์เหล่านี้อย่างละเอียด แต่ในบทนี้จะพูดถึงภาพรวม
เราจะถวายพระสิริแด่พระเจ้าโดยการนมัสการพระองค์ การนมัสการเป็นความรับผิดชอบอันดับแรกของเราต่อพระเจ้า เรานมัสการพระเจ้าโดยการชื่นชมพระองค์ ซี. เอส. ลุยส์ กล่าวว่า "เมื่อพระเจ้าบัญชาให้เรานมัสการพระองค์ด้วยความรัก การขอบพระคุณ และความยินดี ไม่ใช่ทำเป็นหน้าที่
จอร์น ไพเพอร์เขียนไว้ว่า "พระเจ้าทรงได้รับเกียรติจากเรามากที่สุดเมื่อเราพอใจในพระองค์มากที่สุด"
การนมัสการไม่ใช่แค่การสรรเสริญ การร้องเพลง และการอธิษฐานต่อพระเจ้า การนมัสการคือวิถีชีวิตแห่งการชื่นชมพระเจ้า การรักพระองค์และถวายตัวของเราเพื่อให้พระองค์ใช้ตามพระประสงค์ เมื่อเราใช้ชีวิตเพื่อพระสิริของพระเจ้า ทุกสิ่งที่เราทำสามารถกลายเป็นการนมัสการ พระคัมภีร์กล่าวว่า "ขอให้ท่านยอมให้พระเจ้าใช้อวัยวะทุกส่วนของร่างกายคุณเป็นเครื่องมือในการทำดี" (โรม 6:13ข อ่านเข้าใจง่าย)
เราถวายพระสิริแด่พระเจ้าโดยการรักผู้เชื่อคนอื่น ๆ เมื่อคุณบังเกิดใหม่ คุณได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า การติดตามพระคริสต์ไม่ใช่แค่การเชื่อเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการเข้าเป็นส่วนหนึ่ง และเรียนรู้ที่จะรักครอบครัวของพระเจ้า ยอห์นเขียนว่า "เราทั้งหลายรู้ว่าเราได้พ้นจากความตายไปสู่ชีวิตแล้ว ก็เพราะเรารักพี่น้อง" (1 ยอห์น 3:14) เปาโลกล่าวว่า "ดังนั้น ให้ยอมรับกันและกันเหมือนกับที่พระคริสต์ยอมรับท่าน เพื่อพระเจ้าจะได้รับเกียรติ" (โรม 15:7 อ่านเข้าใจง่าย)
การเรียนรู้จักรักอย่างที่พระเจ้ารักนั้นเป็นความรับผิดชอบของคุณ พระเยซูตรัสว่า "เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา" (ยอห์น 13:34-35)
เราถวายพระสิริแด่พระเจ้าโดยการเปลี่ยนเป็นเหมือนพระคริสต์ เมื่อเราบังเกิดใหม่เข้าสู่ครอบครัวของพระเจ้า พระองค์ทรงต้องการให้เราเติบโตสู่ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ แล้วความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณก็คือการเปลี่ยนแปลงเป็นเหมือนพระคริสต์ ไม่ว่าจะเป็นวิธีที่เราคิด รู้สึกและกระทำ ยิ่งคุณพัฒนาลักษณะนิสัยให้เป็นเหมือนพระคริสต์มากขึ้นเท่าใด คุณยิ่งจะถวายพระสิริแด่พระเจ้ามากเท่านั้น พระคัมภีร์กล่าวว่า "เราต่างสะท้อนพระสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้า เรากำลังรับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระองค์ ด้วยรัศมีที่เพิ่มพูนขึ้นทุกที รัศมีซึ่งมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงเป็นพระวิญญาณ" (2 โครินธ์ 3:18 อมตธรรมร่วมสมัย)
พระเจ้าประทานชีวิตใหม่และธรรมชาติใหม่แก่คุณเมื่อคุณต้อนรับพระคริสต์ เวลานี้พระเจ้าต้องการดำเนินกระบวนการเปลี่ยนแปลงลักษณะภายในไปตลอดชีวิตที่เหลือของคุณ พระคัมภีร์กล่าวว่า "เพื่อท่านจะได้เป็นผู้ที่บริบูรณ์ด้วยผลของความชอบธรรมซึ่งเกิดขึ้นโดยพระเยซูคริสต์ เพื่อถวายพระเกียรติและเป็นการสรรเสริญแด่พระเจ้า" (ฟีลิปปี 1:11)
เราถวายพระสิริแด่พระเจ้าโดยการรับใช้ผู้อื่นด้วยของประทานของเรา พระเจ้าทรงออกแบบเราแต่ละคนให้ไม่เหมือนใคร พร้อมด้วยตะลันต์ ของประทาน ทักษะและความสามารถต่าง ๆ ลักษณะที่คุณได้รับ "การสร้าง" นั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ พระเจ้าไม่ได้ประทานความสามารถแก่คุณเพื่อวัตถุประสงค์ที่เห็นแก่ตัว ความสามารถเหล่านั้นมีไว้เพื่อเป็นประโยชน์ของผู้อื่น เช่นเดียวกับที่คนอื่นได้รับความสามารถต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ของคุณ พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าได้เมตตากรุณาให้พรสวรรค์หลากหลายกับพวกคุณ ให้แต่ละคนใช้พรสวรรค์ที่ได้รับมานั้นรับใช้ซึ่งกันและกันเหมือนอย่างคนดูแลที่สัตย์ซื่อ… ถ้าคุณมีพรสวรรค์ในด้านการรับใช้ก็ให้รับใช้สุดกำลังที่พระเจ้าให้มา เพื่อพระเจ้าจะได้รับเกียรติจากทุกสิ่งเราทำ" (1 เปโตร 4:10-11 และ 2 โครินธ์ 8:19ข อ่านเข้าใจง่าย)
เราถวายพระสิริแด่พระเจ้าโดยการบอกคนอื่นเกี่ยวกับพระองค์ พระเจ้าไม่ต้องการให้ความรักและพระประสงค์ของพระองค์ถูกเก็บเป็นความลับ เมื่อเราได้รู้จักความจริงแล้ว พระองค์ก็คาดหวังให้เราบอกเรื่องนี้แก่ผู้อื่น นี่เป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่คือการแนะนำคนอื่นให้รู้จักกับพระเยซู ช่วยเหลือพวกเขาให้พบวัตถุประสงค์ของตน และการเตรียมพวกเขาสำหรับจุดหมายปลายทางนิรันดร์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "เพราะยิ่งมีคนได้รับความเมตตากรุณาจากพระเจ้ามากเท่าไหร่ คำขอบคุณต่อพระองค์ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น พระเจ้าก็จะได้รับเกียรติ" (2 โครินธ์ 4:15 อ่านเข้าใจง่าย)
คุณจะอยู่เพื่ออะไร
ถ้าคุณจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อพระสิริของพระเจ้า คุณจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงการจัดลำดับความสำคัญ ตารางเวลา ความสัมพันธ์ และทุก ๆ สิ่ง บางครั้งคุณอาจต้องเลือกหนทางที่ยาก แทนที่จะเลือกหนทางง่าย ๆ แม้แต่พระเยซูก็ทรงต่อสู้ในเรื่องนี้ เมื่อพระองค์รู้ว่าใกล้ถึงเวลาที่พระองค์จะถูกตรึง พระองค์ทรงร้องว่า "เดี๋ยวนี้ใจเราเป็นทุกข์จะให้เราพูดอย่างไร "ข้าแต่พระบิดา ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากช่วงเวลานี้ อย่างนั้นหรือ แต่เพื่อจุดประสงค์นี้เอง เราจึงมาช่วงเวลานี้ ข้าแต่พระบิดา ขอให้พระนามของพระองค์รับพระเกียรติ" (ยอห์น 12:27-28 2002)
พระเยซูทรงยืนที่ทางสองแพร่ง พระองค์จะทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จและถวายพระสิริแด่พระเจ้า หรือว่าพระองค์จะทรงถอยและดำเนินพระชนม์ชีพอย่างสบายและเห็นแก่พระองค์เอง คุณก็พบกับทางเลือกแบบเดียวกัน คุณจะอยู่เพื่อเป้าหมายความสบายและความสุขของคุณเอง หรือคุณจะใช้ชีวิตที่เหลือของคุณเพื่อพระสิริของพระเจ้า โดยรู้ว่า พระองค์ทรงสัญญาจะประทานบำเหน็จนิรันดร์แก่คุณ พระคัมภีร์กล่าวว่า "ผู้ใดที่หวงชีวิตของตน ก็จะทำลายชีวิตนั้น แต่ถ้าท่านสละมัน… ท่านจะมีชีวิตตลอดไป ชีวิตที่แท้และนิรันดร" (ยอห์น 12:25)
ถึงเวลาแล้วที่จะยุติปัญหานี้ คุณจะอยู่เพื่อใคร เพื่อคุณเองหรือเพื่อพระเจ้า คุณอาจจะลังเล ไม่แน่ใจว่าคุณจะมีกำลังพอที่จะอยู่เพื่อพระเจ้าหรืิอไม่ อย่าวิตกเลย พระเจ้าจะประทานสิ่งที่คุณจำเป็น ถ้าคุณเพียงแต่ตัดสินใจจะอยู่เพื่อพระองค์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "ทุกสิ่งที่ทำให้เรามีชีวิตที่พอพระทัยพระเจ้านั้น พระองค์ประทานแก่เราอย่างอัศจรรย์ โดยการที่เราได้รู้จักพระองค์ผู้ทรงเชิญเรามาหาพระเจ้า อย่างเป็นส่วนตัวและลึกซึ้ง" (2 เปโตร 1:3)
เวลานี้ พระเจ้าทรงเชื้อเชิญคุณ ให้ดำเนินชีวิตเพื่อพระสิริของพระองค์ โดยการทำให้วัตถุประสงค์ที่พระองค์ทรงสร้างคุณนั้นสำเร็จ มันเป็นทางเดียวที่คุณจะดำเนินชีวิตจริง ๆ วิธีอื่น ๆ ล้วนเป็นเพียงการอยู่ไปเปล่า ๆ ชีวิตที่แท้จริงเริ่มต้นเมื่อคุณถวายตัวของคุณแด่พระเยซูคริสต์ ถ้าคุณไม่แน่ใจว่า คุณเคยทำเช่นนั้นแล้วหรือยัง สิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำก็คือรับและเชื่อ พระคัมภีร์สัญญาว่า "แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า" (ยอห์น 1:12) คุณจะยอมรับข้อเสนอของพระเจ้าหรือไม่
ประการแรก เชื่อ เชื่อว่าพระเจ้าทรงรักคุณและสร้างคุณมาเพื่อพระประสงค์ของพระองค์ เชื่อว่าคุณไม่ใช่ความบังเอิญ เชื่อว่าคุณถูกสร้างมาเพื่อให้คงอยู่ถาวร เชื่อว่าพระเจ้าได้ทรงเลือกคุณให้มีความสัมพันธ์กับพระเยซู ผู้ทรงสิ้นพระชนม์บนกางเขนเพื่อคุณ เชื่อว่าไม่ว่าคุณจะเคยทำอะไรมา พระเจ้าก็ยังอยากยกโทษให้คุณ
ประการที่สอง รับ รับพระเยซูเข้ามาในชีวิตคุณเป็นเจ้าชีวิตและพระผู้ช่วยให้รอด รับการยกโทษบาปจากพระองค์ รับพระวิญญาณของพระองค์ ผู้จะประทานพลังเพื่อให้คุณสามารถทำให้วัตถุประสงค์ชีวิตของคุณสำเร็จ พระคัมภีร์กล่าวว่า "ผู้ที่ยอมรับและวางใจในพระบตรก็ได้รับทุกสิ่ง คือชีวิตที่สมบูรณ์และคงอยู่ตลอดไป" (ยอห์น 3:36 Msg) ไม่ว่าคุณกำลังอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่ที่ไหน ผมขอเชื้อเชิญคุณให้ก้มศีรษะ และกระซิบคำอธิษฐานเบา ๆ คำอธิษฐานที่จะเปลี่ยนแปลงนิรันดรกาลของคุณ "พระเยซูเจ้า ข้าพระองค์เชื่อในพระองค์ และข้าพระองค์ยอมรับพระองค์" อธิษฐานเลยครับ
ถ้าคุณได้ตั้งใจอธิษฐานตามนั้นจริง ๆ ผมขอแสดงความยินดีด้วย และขอต้อนรับเข้าสู่ครอบครัวของพระเจ้า เดี๋ยวนี้ คุณพร้อมแล้วที่จะพบพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตคุณ และกำลังเริ่มดำเนินชีวิตตามนั้น ผมแนะนำให้คุณบอกใครสักคนเกี่ยวกับเรื้องนี้ เพราะคุณต้องการคนช่วยสนับสนุน ถ้าคุณส่งอีเมล์ถึงผม (ดูภาคผนวก 2) ผมจะส่งหนังสือเล่มเล็ก ๆ ที่ผมเขียนชื่อว่า Your First Steps for Spiritual Growth. (ขั้นแรกสำหรับการเติบโตฝ่ายวิญญาณ) ให้แก่คุณ
วันที่ 7 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: ทุกสิ่งดำรงอยู่เพื่อพระองค์
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "เพราะพระเจ้าทรงสร้างสิ่งทั้งปวง และทุกสิ่งเกิดขึ้นมาได้เพราะฤทธิ์อำนาจของพระองค์ ทั้งนี้เพื่อเป็นเกียรติแด่พระองค์" โรม 11:36 (ประชานิยม)
คำถามสำหรับการพิจารณา: ในกิจวัตรประจำวันของฉัน มีช่วงไหนที่ฉันสามารถรู้สึกถึงพระสิริของพระเจ้าได้มากกว่าเวลาอื่น ?
เมื่อกลับใจและสำนึกผิดด้วยใจจริง ไม่ใช่เล่นละครศาสนา ตบตาคนดู แต่ด้วยน้ำใสใจจริง พระสิริของพระเจ้าสำแดงและปกคลุมกับคนบาปที่กลับใจใหม่
ตอบลบคนส่วนใหญ่เริ่มต้นด้วยจิตใจที่กระตือรือร้น เมื่อสัมผัสกับความรักและความรอดในพระเจ้าช่วงแรก แต่เมื่อนานไปความตื่นเต้นร้อนรนกลับหมดลงด้วยหลายๆ ปัจจัยและหลายเหตุผล แต่ปัจจัยและเหตุผลที่พบบ่อยที่สุดคือมาจากบาดแผลที่คนในโบสถ์ทำร้ายกันเองทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ บางคนจึงเลือกที่จะกลมกลืนไปกับคนส่วนใหญ่ที่จิตใจอ่อนแอและไม่เป็นผู้ใหญ่ ส่วนคนที่ตั้งใจจริงมีความคิดก็จะมีส่วนน้อย แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม มันไม่ใช่ความบังเอิญหรือพระเจ้าทำงานของพระองค์ผิดพลาด พระองค์จงใจยอมให้เรื่องที่เราไม่เข้าใจและไม่ชอบเกิดขึ้นกับเรา ด้านเหตุผลของเรื่องนี้จะมีกล่าวในบทต่อๆ ไปครับ
ลบผมว่าความรับผิดชอบของเราต่อพระเจ้าที่แสดงออกมาด้วยน้ำใสใจริงอย่างไรที่คนรุ่นหลังเขาเห็นและเอามาเป็นแบบอย่าง ดังที่อ.เปาโลบอกว่าจงดูข้าพเจ้าเป็นแบบอย่าง คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วในพระคริสต์ที่สามารถพูดเช่นนั้นได้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เวลานี้ผู้ใหญ่(หย่ายๆๆ)จะมีแบบอย่างเช่นนั้นให้เราเป็นแบบอย่างหรือไม่อย่างไรครับ(ไม่ต้องโยนความรับผิดชอบไปที่พระเจ้าครับ)
ตอบลบสำหรับผมเมื่อ 2 ปีก่อนพระเจ้าประทานลูกสาวคนแรกให้ผม(ยังคนเดียวอยู่นะครับ) ผมมานั่งคิดว่าเราจะสอนเขาอย่างไรเรื่องความขยัน เพราะผมเป็นคนมีนิสัยขี้เกียจตัวพ่อ พระเจ้าคุยกับผมว่าผมต้องทำให้เป็นแบบอย่าง จะด้วยเหตุผลเพราะลูกเป็นตัวกระตุ้นให้ผมขยันขึ้นหรือไม่ ในด้านของพระเจ้าก็มองผมเป็นลูกเช่นกันคือ ลูกมันขี้เกียจจะต้องเปลี่ยนมันให้เป็นคนขยันให้ได้ หากเราทำความเข้าใจชีวิตในพระเจ้าแล้ว เราจะเห็นเหตุผลคือ พระเจ้ารักเราและอยากให้เราโต อยากให้หัวใจเรางดงามขึ้น
ลบผมเองก็บาดเจ็บและกังวลต่อสังคมแวคล้อมจะสร้างความเสียหายกับลูกสาวผมหรือไม่ และนั้นก็อยู่ที่ว่าเรายอมให้สิ่งแวดล้อมมีผลต่อเราแบบไหนครับ ผู้ใหญ่ไม่ดีประสบการณ์ที่ทำให้เราบาดเจ็บผิดหวัง จะผลักดันเราอย่างไร
ผมเลือกจะเปลี่ยนตัวเองครับ นั้นเพราะผมรักพระเจ้า ผมรักลูกสาวผม ผมจึงยอมเจ็บปวดต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตตนเอง