วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

วันที่ 9 อะไรทำให้พระเจ้ายิ้ม

ขอให้พระเจ้าทรงยิ้มต่อท่าน
กันดารวิถี 6:25 (NLT)

ขอทรงยิ้มต่อข้าพระองค์ ผู้รับใช้ของพระองค์ ขอทรงสอนทางที่ถูกต้องเพื่อข้าพระองค์ดำรงชีวิต
สดุดี 119:135 (Msg)

รอยยิ้มของพระเจ้าคือเป้าหมายชีวิตของคุณ

เนื่องจากการทำให้พระเจ้าชอบพระทัยเป็นวัตถุประสงค์อันดับแรกของชีวิตของคุณ ดังนั้นภารกิจสำคัญที่สุดของคุณคือ การค้นหาว่าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงค้นหาว่า อะไรเป็นสิ่งที่พระคริสต์พอพระทัย แล้วทำสิ่งนั้น" (เอเฟซัส 5:10 Msg) พระคัมภีร์ให้ตัวอย่างที่ชัดเจนถึงชีวิตของคนที่ทำให้พระเจ้าชอบพระทัย ชื่อของชายคนนั้นคือโนอาห์

ในสมัยของโนอาห์ ทั้งโลกได้เสื่อมทรามทางศีลธรรม ทุกคนดำเนินชีวิตตามความพอใจของตนเอง ไม่ใช่ของพระเจ้า พระเจ้าไม่สามารถพบใครในโลกที่สนใจจะทำให้พระองค์ชอบพระทัย พระองค์จึงทรงเสียพระทัย และเศร้าพระทัยที่ได้สร้างมนุษย์มา พระเจ้าทรงสะอิดสะเอียนมนุษย์มาก จนถึงกับทรงดำริว่าจะทำลายเสียให้หมด แต่มีชายคนหนึ่งซึ่งทำให้พระเจ้าทรงยิ้ม พระคัมภีร์กล่าวว่า "โนอาห์เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรพระเจ้า" (ปฐมกาล 6:8)

พระเจ้าตรัสว่า "ชายคนนี้ทำให้เราพอใจ เขาทำให้เรายิ้ม เราจะเริ่มต้นใหม่ด้วยครอบครัวของเขา" เพราะโนอาห์ทำให้พระเจ้าชอบพระทัย คุณและผมจึงมีชีวิตอยู่ในเวลานี้ และจากชีวิตของท่าน เราได้เรียนรู้การแสดงออกห้าประการที่เป็นการนมัสการซึ่งทำให้พระเจ้ายิ้ม

พระเจ้าทรงยิ้มเมื่อเรารักพระองค์มากที่สุด โนอาห์รักพระเจ้ามากกว่าสิ่งอื่นใดในโลกนี้ แม้กระทั่งในเวลาไม่มีใครรักพระองค์ พระคัมภีร์บอกเราว่า ตลอดชีวิตของท่าน "โนอาห์ทำตามพระทัยของพระเจ้าและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ" (ปฐมกาล 6:9ข NLT)

ความสัมพันธ์คือ สิ่งที่พระเจ้าต้องการจากคุณมากที่สุด นี่คือความจริงที่น่าประหลาดใจที่สุดในจักรวาลคือ พระผู้สร้างของเราต้องการมีสามัคคีธรรมกับเรา พระเจ้าทรงสร้างคุณเพื่อจะรักคุณ และพระองค์ทรงรอคอยที่คุณจะรักพระองค์ตอบ พระองค์ตรัสว่า "เราต้องการความรักที่มั่นคงไม่ใช่ต้องการเครื่องสัตวบูชา เราปราถนาจะให้ประชากรของเรารู้จักเรา มากกว่าให้เขาเผาถวายเครื่องบูชาต่อเรา" (โฮเชยา 6:6 ประชานิยม)

จากพระคัมภีร์ข้อนี้ คุณสัมผัสได้ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงมีต่อคุณ พระเจ้าทรงรักคุณอย่างลึกซึ้ง และทรงปราถนาความรักของคุณเป็นการตอบแทน พระองค์ทรงรอคอยให้คุณรู้จักพระองค์ และอยู่กับพระองค์ นี่คือเหตุผลที่ว่าการเรียนรู้ที่จะรักพระเจ้าและรับความรักจากพระองค์ควรเป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิตคุณ ไม่มีสิ่งอื่นใดที่สำคัญใกล้เคียงสิ่งนี้ได้ พระเยซูทรงเรียกความรักนี้ว่า บัญญัติข้อใหญ่ที่สุด พระองค์ตรัสว่า "จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า นั่นแหละเป็นบัญญัติข้อใหญ่และข้อต้น (มัทธิว 22:37-38)

พระเจ้าทรงยิ้มเมื่อเราวางใจพระองค์อย่างสุดใจ เหตุผลข้อที่สองที่โนอาห์ทำให้พระเจ้าพอพระทัยคือ ท่านได้วางใจในพระเจ้า แม้แต่ในเวลาที่ดูไม่สมเหตุสมผล พระคัมภีร์กล่าวว่า "เพราะความเชื่อ โนอาห์ได้ต่อเรือใหญ่กลางแผ่นดินแห้ง พระเจ้าทรงเตือนท่าน ให้รู้เหตุการณ์ที่ท่านยังมองไม่เห็น และท่านทำตามที่พระเจ้าทรงบอกท่าน ผลก็คือ โนอาห์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้า" (ฮีบรู 11:7 Msg)

ลองนึกภาพเหตุการณ์นี้ วันหนึ่ง พระเจ้าเสด็จมาหาโนอาห์และตรัสว่า "เราผิดหวังต่อมวลมนุษย์ทั่วทั้งโลกนี้ ไม่มีใครที่คิดถึงเรานอกจากเจ้า แต่โนอาห์ เมื่อเรามองดูเจ้า เราเริ่มยิ้ม เราพอใจในชีวิตเจ้า ดังนั้น เราจะให้น้ำท่วมโลกและเริ่มต้นใหม่ด้วยครอบครัวของเจ้า เราอยากให้เจ้าสร้างเรือใหญ่ซึ่งจะช่วยเจ้าและสัตว์ต่าง ๆ ให้รอดตาย"

มีปัญหาสามประการที่อาจทำให้โนอาห์สงสัย ประการแรก โนอาห์ไม่เคยเห็นฝนมาก่อน เพราะว่าก่อนหน้าน้ำท่วมครั้งนั้น พระเจ้าทรงให้น้ำผุดขึ้นจากดินหล่อเลี้ยงผิวโลก (ปฐมกาล 2:5-6) ประการที่สอง โนอาห์อยู่ห่างจากมหาสมุทรที่ใกล้ที่สุดเป็นร้อย ๆ กิโลเมตร แม้ท่านจะสามารถเรียนรู้วิธีต่อเรือ แต่ท่านจะนำมันไปลงน้ำได้อย่างไร ประการที่สาม มีปัญหาในการรวบรวมบรรดาสัตว์ทั้งหลาย แล้วก็ยังดูแลพวกมัน แต่โนอาห์ไม่ได้บ่นหรือแก้ตัว ท่านวางใจพระเจ้าอย่างสุดใจ และนั่นทำให้พระเจ้าทรงยิ้ม

การวางใจพระเจ้าอย่างสุดใจหมายถึง การเชื่อว่าพระองค์ทรงทราบว่าอะไรดีที่สุดสำหรับชีวิตคุณ คุณคาดหวังว่าพระองค์จะทรงรักษาพระสัญญาของพระองค์ จะทรงช่วยคุณแก้ปัญหา และจะทรงทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เมื่อถึงคราวจำเป็น พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าทรงปรีดีในคนที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ และวางใจในความรักมั่นคงของพระองค์" (สดุดี 147:11)

โนอาห์ใช้เวลา 120 ปีต่อเรือใหญ่ ผมคิดว่าท่านคงเผชิญช่วงเวลาท้อใจหลายครั้ง ปีแล้วปีเล่าที่ไม่มีสัญญาณใด ๆ บ่งบอกว่าฝนจะตก ท่านคงถูกวิจารณ์อย่างไร้ความปราณีว่าเป็น "คนบ้าที่คิดว่าพระเจ้าตรัสกับเขา" ผมนึกภาพลูก ๆ ของโนอาห์ที่มักจะต้องอับอายเพราะเรือใหญ่ที่กำลังต่ออยู่ในสนามหน้าบ้านของพวกเขา แต่ถึงกระนั้น โนอาห์ก็ยังคงวางใจพระเจ้าต่อไป

มีด้านใดในชีวิตคุณต้องวางใจในพระเจ้าอย่างสุดใจ การวางใจเป็นการนมัสการวิธีหนึ่ง เช่นเดียวกับที่พ่อแม่พอใจที่ลูก ๆ วางใจในความรักและสติปัญญาของท่าน ความเชื่อของคุณก็ทำให้พระเจ้าทรงมีความสุข พระคัมภีร์กล่าวว่า "แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้วจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าก็ไม่ได้เลย" (ฮีบรู 11:6)

พระเจ้าทรงยิ้มเมื่อเราเชื่อฟังพระองค์อย่างสุดใจ การช่วยประชากรสัตว์ให้รอดตายจากน้ำท่วมโลกนั้นจำเป็นต้องใส่ใจในการบริหารจัดการที่ซับซ้อน และต้องคำนึงถึงรายละเอียดต่าง ๆ อย่างมาก ทุกสิ่งต้องทำอย่างที่พระเจ้าทรงระบุไว้ พระเจ้ามิได้ตรัสว่า "โนอาห์จงสร้างเรือสักลำตามที่เจ้าชอบ" พระองค์ประทานคำสั่งที่ละเอียดมาก ไม่ว่าจะเป็นขนาด รูปร่าง และวัสดุของเรือ รวมทั้งจำนวนที่แตกต่างกันของสัตว์ชนิดต่าง ๆ ซึ่งต้องนำขึ้นเรือ พระคัมภีร์บอกเราให้รู้ว่าโนอาห์ตอบสนองอย่างไร "พระเจ้าทรงบัญชาให้โนอาห์ทำอย่างไร โนอาห์ก็ทำอย่างนั้นทุกประการ" (ปฐมกาล 6:22, ฮีบรู 11:7ข)

สังเกตว่า โนอาห์เชื่อฟังทุกประการ ไม่ได้ละเว้นคำสั่งใดๆ เลย และท่านเชื่อฟังอย่างเจาะจง (ตามแบบและตามเวลาที่พระเจ้าต้องการให้ทำ) นั่นคือการเชื่อฟังอย่างสุดใจ ไม่แปลกใจที่พระเจ้าทรงยิ้มให้กับโนอาห์

ถ้าพระเจ้าตรัสบอกให้คุณสร้างเรือยักษ์ คุณไม่คิดว่าคุณจะมีคำถาม ข้อโต้แย้งหรือข้อต่อรองบ้างหรือ แต่โนอาห์ไม่มีอาการเช่นนั้น ท่านเชื่อฟังพระเจ้าอย่างสุดใจ นั่นหมายความว่าท่านทำสิ่งที่พระเจ้าบัญชาโดยไม่ต่อรองหรือลังเล คุณจะไม่ผัดผ่อนและกล่าวว่า "ข้าพระองค์จะอธิษฐานเรื่องนี้ดู" คุณจะทำโดยไม่รอเวลา พ่อแม่ทุกคนรู้ว่าการเชื่อฟังที่ล่าช้าที่จริงแล้วก็คือการไม่เชื่อฟัง

พระเจ้าไม่จำเป็นต้องให้คำอธิบายหรือเหตุผลสำหรับทุกสิ่งที่พระองค์ทรงบัญชาให้คุณทำ ความเข้าใจนั้นรอได้ การเชื่อฟังโดยทันทีจะสอนให้คุณรู้จักพระเจ้าได้มากกว่าการอภิปรายพระคัมภีร์ตลอดชีวิต ที่จริง คุณจะไม่มีวันเข้าใจพระบัญชาบางประการจนกว่าคุณจะเชื่อพระบัญชานั้น ๆ เสียก่อน การเชื่อฟังจะไขกุญแจสู่ความเข้าใจ

บ่อยครั้ง เรามักจะเสนอพระเจ้าว่าเราจะเชื่อฟังบางส่วน เราอยากเลือกพระบัญชาที่เราจะเชื่อฟัง เราทำรายการคำสั่งที่เราชอบ และเชื่อฟังคำสั่งเหล่านี้ ขณะเดียวกันก็ไม่สนใจข้อที่เราเห็นว่าไม่สมเหตุสมผล ยาก แพง และไม่เป็นที่นิยม ผมจะไปคริสตจักรแต่ผมจะไม่ถวายสิบลด ผมจะอ่านพระคัมภีร์แต่จะไม่ยกโทษคนที่ทำให้ผมเจ็บ แต่ว่าการเชื่อฟังเพียงบางส่วนคือการไม่เชื่อฟัง

การเชื่อฟังอย่างสุดใจนั้นทำด้วยความยินดีและกระตือรือร้น พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงเชื่อฟังพระองค์ด้วยความยินดี" (สดุดี 100:2 LB) นี่คือท่าทีของดาวิด ข้าแต่พระเจ้าขอทรงบอกสิ่งที่ข้าพระองค์ต้องทำ และข้าพระองค์จะทำ ข้าพระองค์จะเชื่อฟังอย่างสุดใจตราบเท่าที่ข้าพระองค์มีชีวิตอยู่" (สดุดี 119:33 LB)

ยากอบพูดกับคริสเตียนว่า "เราทำให้พระเจ้าพอพระทัยด้วยสิ่งที่เราทำ ไม่ใช่ด้วยสิ่งที่เราเชื่อเพียงอย่างเดียว" (ยากอบ 2:24 CEV) พระวจนะของพระเจ้าบอกชัดเจนว่า คุณไม่สามารถทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพื่อแลกเอาความรอด เพราะความรอดเกิดขึ้นโดยพระคุณเท่านั้น ไม่ใช่โดยความพยายามของคุณ แต่ในฐานะลูกของพระเจ้า คุณสามารถทำให้พระบิดาในสวรรค์ชอบพระทัยได้โดยการเชื่อฟัง การกระทำทุกอย่างที่เป็นการเชื่อฟังล้วนเป็นการนมัสการเช่นกัน แล้วทำไมการเชื่อฟังจึงทำให้พระเจ้าพอพระทัยมาก ก็เพราะมันแสดงว่า คุณรักพระองค์จริง ๆ พระเยซูตรัสว่า "ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา" (ยอห์น 14:15)

พระเจ้าทรงยิ้มเมื่อคุณสรรเสริญและขอบพระคุณพระองค์เรื่อยไป มีไม่กี่อย่างที่ทำให้เรารู้สึกดียิ่งกว่าการได้รับคำชมและการชื่นชมอย่างจริงใจจากผู้อื่น พระเจ้าก็ทรงชอบสิ่งนี้ด้วย พระองค์ทรงยิ้มเมื่อเราแสดงการเทิดทูนและความกตัญญูต่อพระองค์

ชีวิตของโนอาห์ทำให้พระเจ้าชอบพระทัยเพราะว่าท่านดำเนินชีวิตด้วยจิตใจที่สรรเสริญ และขอบพระคุณ สิ่งแรกที่โนอาห์ทำหลังจากรอดตายจากน้ำท่วมคือการแสดงความขอบพระคุณต่อพระเจ้าของท่านโดยการถวายเครื่องบูชาพระคัมภีร์กล่าวว่า "โนอาห์สร้าง แท่นบูชา…พระเจ้า. และเผาบูชาถวายที่แท่นนั้น" (ปฐมกาล 8:20)

เพราะการถวายบูชาของพระเยซู เราจึงไม่ต้องถวายสัตว์อย่างที่โนอาห์ทำ แต่เราต้องถวาย "คำสรรเสริญเป็นเครื่องบูชา" แด่พระเจ้า (ฮีบรู 13:15) และ "เครื่องบูชาแห่งการขอบพระคุณ" (สดุดี 116:17 KJV) เราสรรเสริญพระเจ้าที่พระองค์ทรงเป็นอย่างที่พระองค์เป็น และเราขอบพระคุณพระเจ้าเพราะสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำ ดาวิดกล่าวว่า "ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระนามพระเจ้าด้วยบทเพลง และข้าพเจ้าจะยกย่องพระองค์โดยโมทนาพระคุณ การนั้นจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า" (สดุดี 69:30-31)

สิ่งที่น่าประหลาดจะเกิดขึ้นเมื่อเราถวายคำสรรเสริญและคำขอบพระคุณแด่พระเจ้าเมื่อเราทำให้พระเจ้าเบิกบานพระทัย หัวใจของเราเองก็จะเต็มไปด้วยความยินดีด้วย

คุณแม่ชอบทำอาหารให้ผมกิน แม้หลังจากผมแต่งงานกับเคย์แล้ว เวลาเราไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ของผม คุณแม่ก็จะเตรียมงานเลี้ยงแสนวิเศษที่ท่านปรุงเอง ความสุขที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตของท่านคือการดูพวกเราที่เป็นลูก ๆ กินและชอบสิ่งที่ท่านเตรียมให้ยิ่งเราชอบกินมันเท่าไร ท่านก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น

แต่เราเองก็ชอบทำให้แม่พอใจด้วยการแสดงออกว่าเราชอบกินอาหารของท่าน มันดีต่อทั้งสองฝ่าย ขณะที่ผมกินอาหารมื้ออร่อย ผมก็จะพูดชมเชยและสรรเสริญคุณแม่ของผม ผมตั้งใจว่าจะไม่เพียงแต่อร่อยกับอาหารเท่านั้น แต่ผมจะทำให้คุณแม่พอใจด้วย และทุกคนก็มีความสุข

การนมัสการก็ให้ผลดีสองด้านเช่นกัน เราชอบสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อเรา และเมื่อเราแสดงออกว่าเราชอบสิ่งนั้น มันก็ทำให้พระองค์ยินดี และมันจะยิ่งเพิ่มความยินดีของเราด้วย พระธรรมสดุดีกล่าวว่า "คนชอบธรรมชื่นบานและยินดีต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า พวกเขามีความสุขและโห่ร้องด้วยความชื่นบาน" (สดุดี 68:3 TEV)

พระเจ้าทรงยิ้มเมื่อเราใช้ความสามารถของเรา หลังจากน้ำท่วม พระเจ้าประทานคำสั่งง่าย ๆ เหล่านี้แก่โนอาห์ "จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน…ทุกสิ่งที่มีชีวิตเคลื่อนไหวไปมาจะเป็นอาหารของเจ้า เราจะยกของทุกอย่างให้แก่เจ้า ดังที่เรายกต้นผักเขียวสดให้แก่เจ้าแล้ว" (ปฐมกาล 9:1, 3)

พระเจ้าตรัสว่า "ถึงเวลาที่เจ้าจะดำเนินชีวิตต่อไป ทำสิ่งที่เรามอบหมายให้มนุษย์ทำสมสู่กับคู่ครองของเจ้า มีลูก เลี้ยงดูครอบครัว ปลูกพืช และกินอาหาร จงเป็นมนุษย์นี่แหละเราสร้างเจ้าเพื่อให้เป็นเช่นนี้"

คุณอาจจะรู้สึกว่าเวลาเดียวที่พระเจ้าพอพระทัยคุณคือเมื่อคุณทำกิจกรรม "ฝ่ายวิญญาณ" เช่น อ่านพระคัมภีร์ ไปคริสตจักร อธิษฐาน หรือเป็นพยาน และคุณอาจจะคิดว่าพระเจ้าไม่สนพระทัยส่วนอื่น ๆ ในชีวิตคุณ แต่ที่จริง พระเจ้าทรงมีความสุขกับการเฝ้าดูรายละเอียดทุกอย่างในชีวิตคุณ ไม่ว่าคุณจะทำงาน เล่น พักผ่อน หรือกิน พระองค์ไม่พลาดการเคลื่อนไหวของคุณเลยแม้แต่อย่างเดียว พระคัมภีร์บอกเราว่า "พระเจ้าทรงนำย่างเท้าของคนชอบธรรม พระองค์ทรงเปรมปรีดิ์ในรายละเอียดทุกอย่างของชีวิตเขา" (สดุดี 37:23 NLT)

กิจกรรมทุกอย่างของมนุษย์ ยกเว้นความบาป สามารถทำเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัยได้ ถ้าคุณทำด้วยท่าทีแห่งการสรรเสริญ คุณสามารถล้างจาน ซ่อมเครื่องยนต์ ขายสินค้า เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ปลูกพืช และเลี้ยงดูครอบครัวเพื่อพระสิริของพระเจ้า

เช่นเดียวกันกับพ่อแม่ที่ภาคภูมิใจ พระเจ้าทรงพอพระทัยเป็นพิเศษเมื่อเห็นคุณใช้ของประทานที่แตกต่างเพื่อความสุขของพระองค์ พระองค์สร้างบางคนให้เก่งกีฬา และบางคนเก่งการวิเคราะห์ คุณอาจมีความสามารถทางเครื่องยนต์ หรือคณิตศาสตร์ หรือดนตรี หรือทักษะอื่น ๆ อีกนับพัน ความสามารถเหล่านี้ทั้งหมดสามารถนำรอยยิ้มมายังพระพักตร์พระเจ้าได้ พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระองค์ทรงหล่อหลอมพวกเราทีละคน แล้วพระองค์ทรงเฝ้าดูทุกสิ่งที่เราทำ" (สดุดี 33:15 Msg)

คุณไม่อาจถวายเกียรติแด่พระเจ้าหรือทำให้พระองค์ชอบพระทัยโดยการซ่อนความสามารถของคุณ หรือพยายามเป็นคนอื่น คุณทำให้พระองค์มีความสุขก็ต่อเมื่อคุณเป็นตัวคุณเอง เมื่อใดก็ตามที่คุณปฏิเสธพระปัญญาและอำนาจสิทธิ์ขาดของพระเจ้าในการทรงสร้างคุณ พระเจ้าตรัสว่า "เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะโต้แย้งผู้สร้างของเจ้า เจ้าเป็นเพียงหม้อดินที่ช่างปั้นหม้อทำขึ้น ดินเหนียวไม่สามารถถามว่า "ทำไมท่านสร้างข้าแบบนี้" (อิสยาห์ 45:9 CEV)

ในภาพยนต์เรื่อง Chariots of Fire อีริค ลิดเดอร์ นักวิ่งโอลิมปิกกล่าวว่า "ผมเชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้างผมเพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่ง แต่พระองค์ก็ทรงสร้างผมให้เร็วด้วย และเมื่อผมวิ่ง ผมรู้สึกว่าพระเจ้าชอบพระทัย" ต่อมาเขาพูดว่า "การเลิกวิ่งจะทำให้พระองค์ไม่พอพระทัย" ไม่มีความสามารถใดที่ไม่ใช่ความสามารถฝ่ายวิญญาณ มีแต่การใช้ความสามารถฝ่ายวิญญาณผิด ๆ เท่านั้น จงเริ่มใช้ความสามารถของคุณเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย

พระเจ้ายังทรงสุขพระทัยเมื่อเห็นคุณชื่นชมสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง พระองค์ประทานตาเพื่อให้คุณชื่นชมความงาม หูเพื่อเพลิดเพลินกับเสียง จมูกและต่อรับรสเพื่อรื่นรมย์กับกลิ่นและรสชาติ และประสาทใต้ผิวหนังเพื่อให้คุณมีความสุขกับการสัมผัส อาการชื่นชมทุกอย่างจะกลายเป็นการนมัสการเมื่อคุณขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งนั้น ที่จริงพระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าผู้ประทานทุกสิ่งแก่เราอย่างบริบูรณ์เพื่อให้เราได้ชื่นชม" (1 ทิโมธี 6:17 2002)

พระเจ้าทรงสุขพระทัยที่ได้เฝ้าดูแม้กระทั่งเวลาคุณหลับ เมื่อลูกของผมยังเล็กผมจำได้ว่าผมชื่นใจอยู่ลึก ๆ เวลาเฝ้าดูพวกเขานอนหลับ บางครั้ง วันนั้นพวกเขาอาจก่อปัญหาและไม่เชื่อฟัง แต่เมื่อนอนหลับ ก็ดูเหมือนพวกเขารู้สึกพึงพอใจ ปลอดภัย และสงบ และผมก็ระลึกได้ว่า ผมรักพวกเขามากเพียงไร

ลูกของผมไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อให้ผมพอใจพวกเขา ผมมีความสุขเพียงแค่เฝ้าดูพวกเขาหายใจ เพราะว่าผมรักพวกเขามาก เมื่อหน้าอกน้อย ๆ ของพวกเขากระเพื่อมขึ้นและลง ผมก็จะยิ้ม และบางครั้งก็น้ำตาคลอด้วยความยินดี เมื่อคุณนอนหลับ พระเจ้าก็ทรงมองดูคุณด้วยความรัก เพราะว่าคุณเป็นผลงานความคิดของพระองค์ พระองค์ทรงรักคุณเหมือนกับว่าคุณเป็นมนุษย์คนเดียวบนโลกนี้

พ่อแม่ไม่ได้เรียกร้องให้ลูกเป็นคนดีสมบูรณ์แบบ หรือแม้กระทั่งว่าต้องเป็นผู้ใหญ่แล้วถึงจะพอใจในตัวเขา พวกเขาพอใจลูก ๆ ในทุก ๆ ช่วงของการเจริญเติบโต ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าก็ไม่ได้ให้คุณโตเป็นผู้ใหญ่ก่อนแล้วพระองค์ถึงจะเริ่มพอพระทัยคุณพระองค์ทรงรักและชื่นชมคุณในทุก ๆ ช่วงของการเติบโตฝ่ายวิญญาณ

คุณอาจจะมีครูหรือพ่อแม่ที่ไม่ยอมพอใจคุณเอาเสียเลย โปรดอย่าคิดว่า พระเจ้าทรงรู้สึกเช่นนั้นกับคุณ พระองค์ทรงทราบว่า คุณไม่สามารถที่จะเป็นคนดีสมบูรณ์แบบหรือปราศจากบาป พระคัมภีร์กล่าวว่า "แน่นอน พระองค์ทรงทราบว่าเราถูกสร้างมาจากอะไร พระองค์ทรงระลึกว่าเราเป็นเพียงผงคลี" (สดุดี 103:14 GWT)

สิ่งที่พระเจ้าทอดพระเนตรคือท่าทีในใจของคุณ การทำให้พระองค์ทรงพอพระทัยคือความปราถนาที่ลึกที่สุดของคุณหรือไม่ นี่คือเป้าหมายชีวิตของเปาโล "เหตุฉะนั้นเราตั้งเป้าของเราว่าจะอยู่ในกายนี้ก็ดีหรือไม่อยู่ก็ดี เราก็จะทำตัวให้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์" (2 โครินธ์ 5:9) เมื่อคุณดำเนินชีวิตโดยคำนึงถึงนิรันดรกาล การจดจ่อของคุณก็จะเปลี่ยนไปจาก "ผมจะหาความสุขจากชีวิตนี้ได้มากแค่ไหน" เป็น "พระเจ้าจะทรงพอพระทัยเพราะชีวิตผมมากแค่ไหน"

พระเจ้าทรงมองหาคนที่เหมือนโนอาห์ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดคือคนที่ตั้งใจจะมีชีวิตเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าทรงมองลงมาจากฟ้าสวรรค์ดูลูกหลานของมนุษย์ว่า จะมีคนใดบ้างที่ฉลาด ที่เสาะแสวงหาพระเจ้า" (สดุดี 14:2)

คุณจะตั้งเป้าหมายชีวิตเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัยหรือไม่ มีอะไรไหมที่พระเจ้าจะไม่ทรงทำเพื่อคนที่ใส่ใจเป้าหมายนี้อย่างเต็มที่

วันที่ 9 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: พระเจ้าทรงยิ้มเมื่อเราวางใจในพระองค์

ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "พระเจ้าทรงปรีดีในคนที่นมัสการพระองค์และวางใจในความรักมั่นคงของพระองค์" สดุดี 147:11 (CEV)

คำถามสำหรับการพิจารณา: ในเมื่อพระเจ้าทรงทราบว่าอะไรดีที่สุด มีด้านใดในชีวิตฉันที่ฉันจำเป็นต้องวางใจพระองค์มากที่สุด

6 ความคิดเห็น:

  1. แทนที่เราจะหลงตัวเองว่าเราดีกว่าคนอื่นเพียงเราเชื่อฟังปฎิบัติตามกฏเกณต์คำสั่งของพระเจ้า แล้วเราก็ไปตัดสินคนอื่น มีชีวิตปราศจากความรัก ขาดความอดทน ก็เท่ากับว่าเราจะไม่คิดพึงพระคุณของพระเจ้าที่สักวันข้างหน้าที่ตัวเราจะต้องพลาดในความบาปเข้าให้สักวันนั้นเชียวหรือ ไม่ใช่เตรียมตัวทำบาป แต่ความหมายก็คือ แทนที่เราจะภูมิใจในความดีที่เราได้เชื่อฟังพระเจ้าก็ให้เป็นผลออกมาด้วยการเห็นอกเห็นใจพี่น้องที่ยังอ่อนแอ ต้องการกำลังใจ เข้าใจในการผิดพลาด ล้มเหลว แทนที่จะสอนให้เกิดความเคร่งศาสนาจนเป็นฟาริสีกันไปหมด สอนให้คริสเตียนถ่อมใจมองคนอื่นดีกว่าตัว รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จะมิดีไปกว่าหรือครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ครับ มีเรื่องน่าขำและน่าคิดคือ ช่วงที่ผ่านมาผมตกยากลำบากนานาประการ ซึ่งทั้งหมดก็มาจากความผิดพลาดที่ตัวผมเองทำเองทั้งนั้น ในความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้นทำให้ผมยอมรับความจริงสำหรับตัวเองว่า เราอ่อนแอมากเพียงไร และไม่สามารถอยู่รอดได้เองเลยเมื่อปราศจากความช่วยเหลือจากผู้อื่น(จากพระเจ้า) ความทรนงตน ความมาดมั่นในตนเอง มลายสิ้นเลยครับ ความฉลาดที่ตนคิดว่ามีกลับเป็นเหตุของหายนะที่เกิดขึ้น ความเรียบง่ายในวิถีชีวิตที่พระเจ้าสอนเรากลับเด่นชัดว่ามันถูกต้องทุกๆ เวลาเสมอ

      อาจจะเรียกว่า หากเราไม่เคยลำบาก เราก็ไม่อาจเห็นใจผู้คนที่ลำบาก หากเราคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จเพราะเราเก่งและฉลาด เราก็จะไม่เข้าใจคนที่ฉลาดและเก่งไม่มากเท่าเรา

      คำเตือน นะครับว่า พระเจ้าจะส่งความลำบากมาช่วยเราให้เป็นคนดีมากขึ้น เพราะมันคือน้ำพระทัยพระเจ้าที่อยากให้เราโตขึ้นในความเป็นผู้ใหญ่

      ลบ
  2. สวัสดีครับน้องอรัญ ผมกลับมาแล้วครับ 2-3 เดือนที่ผ่านไปนั้น ผมได้เดินเข้าสู่หุบเขาเงามัจจุราชครับ
    มีหลายเรื่อง แต่บัดนี้ก็ขอบคุณพระเจ้าที่ผ่าน(หรือกำลัง)ร่วมสำรับกับพระองค์ท่ามกลางศัตรูล้อมรอบหรือเปล่านะครับ เอาไว้ให้มีเวลาแล้วจะเล่าให้ฟังครับ วันนี้ทักทายแจ้งให้ทราบว่ากลับมาแล้วครับ ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ในหุบเขานั้นมันไม่ขำจริง ๆ นะครับแต่ ในฐานะที่ผมได้เรียนรู้เรื่องชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์แล้ว ความทุกข์และปัญหาทุกอย่างมีค่าและมีประโยชน์ต่อการทำให้วัตถุประสงค์ในชีวิตเราสำเร็จ อาจพูดได้ว่าเราควรขอบคุณมันด้วยซ้ำ ทั้งน้ำตา(ฮาฮาฮา)

      ลบ
  3. หลังผ่านหุบเขาตอนนี้เรียนรู้เรื่องพระคุณ(ไม่ใช่เอาพระคุณมาเป็นใบเบิกทางทำบาป)และพระคุณซ้อนพระคุณ ไม่ใช่อะไรก็พระคุณแล้วไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พระคุณตอนนี้กับเมื่อก่อนเป็นคนละเรื่องเลยครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. เราถูกกรอบความคิดทางวัฒนธรรม ประเพณี ธรรมเนียมแบบไทยๆ และอคติส่วนตัว ทำให้ไม่เข้าใจเรื่องพระเจ้า โดยส่วนตัวผมมีลูกแล้วจึงเข้าใจความรักที่พระเจ้ามีต่อเราอย่างมาก เรารักลูกแม้ลูกจะมีแต่ขี้เยี่ยวให้เราเช็ด เราต้องค่อยป้อนข้าวป้อนนม ต้องอุ้มให้เมื่อยแขน แต่เราก็รักและมีความสุขที่ได้อยู่กับเขา

      ลบ