วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

วันที่ 5 มองชีวิตจากมุมมองของพระเจ้า

ชีวิตของท่านเป็นเช่นใดเล่า
ยากอบ 4:14ข

เราไม่ได้เห็นสิ่งต่าง ๆ อย่างที่มันเป็น แต่เราเห็นสิ่งต่าง ๆ อย่างที่เราเป็น
อนาอิส นิน

วิธีที่คุณมองชีวิตคือสิ่งที่หล่อหลอมชีวิตของคุณ

วิธีที่คุณนิยามชีวิตจะกำหนดจุดหมายปลายทางของคุณ มุมมองของคุณมีอิทธิพลต่อวิธีที่คุณลงทุนเวลา ใช้จ่ายเงิน ใช้ความสามารถ และให้คุณค่าต่อความสัมพันธ์ของคุณ

วิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการเข้าใจคนอื่นคือการถามพวกเขาว่า "คุณคิดว่าชีวิตคุณคืออะไร" คุณจะพบว่าคำตอบมีหลากหลายเท่ากับจำนวนคนตอบ เคยมีคนบอกผมว่า ชีวิตคือละครสัตว์ สนามที่เต็มไปด้วยกับระเบิด รถไฟเหาะ ปริศนา วงซิมโฟนี การเดินทาง และการเต้นรำ หลายคนกล่าวว่า "ชีวิตคือม้าหมุน บางทีก็ขึ้น บางทีก็ลง บางทีก็หมุนไปเรื่อย ๆ" หรือ "ชีวิตคือจักรยานที่มีสิบเกียร์ซึ่งคุณไม่เคยใช้" หรือ "ชีวิตก็เหมือนการเล่นไพ่ คุณต้องเล่นตามไพ่ที่มีอยู่ในมือ"

ถ้าผมถามว่าคุณนึกภาพว่าชีวิตคืออะไร ภาพอะไรจะผุดขึ้นในความคิดคุณ ภาพนั้นคือภาพเปรียบเทียบชีวิตของคุณ มันเป็นทัศนะที่คุณมองชีวิตไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม มันเป็นวิธีที่คุณบรรยายว่า ชีวิตดำเนินไปอย่างไร และคุณคาดหวังอะไรจากมัน ผู้คนมักจะแสดงออกถึงภาพเปรียบเทียบชีวิตของพวกเขาผ่านทาง เสื้อผ้า เครื่องประดับ รถยนต์ ทรงผม สติ๊กเกอร์ติดรถ และแม้แต่รอยสัก

ภาพเปรีบเทียบชีวิตที่คุณไม่ได้บอกใครนี้ มีอิทธิพลต่อชีวิตของคุณยิ่งกว่าคุณคิด มันคือตัวกำหนดความคาดหวัง ค่านิยม ความสัมพันธ์ เป้าหมาย และสิ่งสำคัญในชีวิตของคุณ ยกตัวอย่าง ถ้าคุณคิดว่า ชีวิตคืองานเลี้ยงรื่นเริง ค่านิยมหลักในชีวิตของคุณก็คือความสนุก ถ้าคุณมองว่าชีวิตคือการแข่งขัน คุณก็จะให้คุณค่าแก่ความเร็ว และอาจจะเร่งรีบอยู่ตลอดเวลา ถ้าคุณมองว่าชีวิตคือการวิ่งมาราธอน คุณก็จะให้คุณค่าแก่ความอดทน ถ้าคุณคิดว่าชีวิตคือการต่อสู้หรือเกม ชัยชนะจะเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับคุณ

คุณมองชีวิตอย่างไร คุณอาจจะใช้ชีวิตไปตามภาพเปรีบเทียบที่ผิด ถ้าคุณจะทำให้พระประสงค์ที่พระเจ้าทรงสร้างคุณมานั้นสำเร็จ คุณจะต้องท้าทายความคิดในกรอบและแทนที่ด้วยภาพชีวิตตามพระคัมภีร์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "อย่าให้โลกรอบกายบังคับให้ท่านทำตามมาตรฐานของโลก แต่จงให้พระเจ้ากระทำให้ท่านเป็นคนใหม่ ให้พระองค์เปลี่ยนแปลงจิตใจท่านอย่างสิ้นเชิง แล้วท่านจะสามารถทราบถึงแผนการพระเจ้าที่วางไว้สำหรับท่าน" (โรม 12:2 ประชานิยม)

พระคัมภีร์เสนอภาพเปรียบเทียบสามภาพซึ่งสอนมุมมองชีวิตแบบพระเจ้าให้แก่เรา ได้แก่ ชีวิตเป็นการทดสอบ ชีวิตเป็นการมอบความไว้วางใจ ชีวิตเป็นภารกิจชั่วคราว แนวคิดเหล่านี้เป็นรากฐานของชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ เราจะพิจารณาสองประการแรกในบทนี้ และประการที่สามในบทต่อไป

ชีวิตในโลกเป็นการทดสอบ ภาพเปรียบเทียบนี้เห็นได้จากเรื่องต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม พระเจ้าทรงทดสอบอุปนิสัย ความเชื่อ การเชื่อฟัง ความรัก ความซื่อสัตย์ และความจงรักภักดีของคนอยู่เสมอ คำจำพวก การพิสูจน์ การทดลอง การชำระ และการทดสอบ ปรากฏกว่า 200 ครั้งในพระคัมภีร์ พระเจ้าทรงทดสอบอับราฮัมโดยขอให้ท่านถวายอิสอัคบุตรชายของท่าน พระเจ้าทรงทดสอบยาโคบ เมื่อท่านต้องทำงานเพิ่มขึ้นอีกหลายปี เพื่อจะได้ราเชลมาเป็นภรรยา

อาดัมและเอวาล้มเหลวในการทดสอบที่สวนเอเดน และดาวิดล้มเหลวในการทดสอบจากพระจ้าหลายครั้ง แต่พระคัมภีร์ก็ยังยกตัวอย่างหลายคนที่ผ่านการทดสอบครั้งสำคัญ เช่น โยเซฟ รูธ เอสเธอร์ และดาเนียล

อุปนิสัยจะได้รับการพัฒนา และมันจะเปิดเผยให้เห็นโดยการทดสอบ และทุกสิ่งในชีวิตก็เป็นการทดสอบ คุณถูกทดสอบอยู่เสมอ พระเจ้าทรงเฝ้าดูการตอบสนองที่คุณมีต่อคนอื่น ต่อปัญหา ความสำเร็จ ความขัดแย้ง ความเจ็บป่วย ความผิดหวัง หรือแม้แต่ลมฟ้าอากาศ พระองค์ทรงเฝ้าดูแม้แต่การกระทำที่ธรรมดาที่สุด เช่น เมื่อคุณเปิดประตูให้คนอื่น เมื่อคุณหยิบเศษขยะขึ้นมา หรือเมื่อคุณแสดงความสุภาพต่อพนักงานเก็บเงิน หรือพนักงานเสิร์ฟ

เราไม่รู้ถึงการทดสอบทุกอย่างที่พระเจ้าจะประทานให้ แต่เราสามารถคาดเดาการทดสอบบางอย่างได้จากพระคัมภีร์ คุณจะถูกทดสอบโดยการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ๆ พระสัญญาที่ล่าช้า ปัญหาที่แก้ไม่ตก คำอธิษฐานที่ไม่ได้รับคำตอบ คำตำหนิที่คุณไม่สมควรได้รับ หรือแม้แต่โศกนาฏกรรมที่ดูเหมือนไม่มีเหตุผล ในชีวิตของผม ผมได้สังเกตว่าพระเจ้าทรงทดสอบความเชื่อของผมด้วยปัญหา ทรงทดสอบความหวังของผม โดยดูจากวิธีที่ผมใช้ทรัพย์สมบัติ และทดสอบความรักของผมด้วยคนอื่น

การทดสอบที่สำคัญมากอย่างหนึ่งคือ คุณจะทำอย่างไรเมื่อคุณไม่สามารถรู้สึกถึงการสถิตอยู่ของพระเจ้าในชีวิตคุณ บางครั้งพระเจ้าทรงจงใจที่จะถอยห่วง และเราไม่รู้สึกถึงความใกล้ชิดของพระองค์ กษัตริย์เฮเซคียาห์เผชิญการทดสอบนี้ พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าทรงถอยห่างจากเฮเซคียาห์เพื่อจะลองดูพระองค์ และเพื่อจะทราบพระดำริทั้งสิ้นในพระทัยของพระองค์" (2 พงศาวดาร 32:31 NLT ) เฮเซคียาห์เคยมีสามัคคีธรรมที่ใกล้ชิดกับพระเจ้า แต่ในเวลาสำคัญของชีวิต พระเจ้าทรงปล่อยท่านไว้ตามลำพังเพื่อทดสอบอุปนิสัยของท่าน เพื่อเปิดเผยความอ่อนแอ และเพื่อเตรียมท่านสำหรับความรับผิดชอบที่มากขึ้น

เมื่อคุณเข้าใจว่าชีวิตเป็นการทดสอบ คุณก็จะรู้ว่าในชีวิตของคุณ ไม่มีสิ่งใดไร้ความหมาย แม้แต่เหตุการณ์เล็กน้อยที่สุดก็สำคัญต่อการพัฒนาอุปนิสัยของคุณ ทุกวันเป็นวันสำคัญ และทุกวินาทีก็เป็นโอกาสที่จะเติบโต เพื่อให้อุปนิสัยหยั่งลึกยิ่งขึ้น เพื่อแสดงความรัก หรือเพื่อพึ่งพาพระเจ้า บางครั้งการทดสอบดูเหมือนจะถาโถมเข้ามา แต่บางครั้งคุณก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ แต่ทุกครั้งมีผลสืบเนื่องนิรันดร์

ข่าวดีคือว่า พระเจ้าต้องการให้คุณผ่านการทดสอบในชีวิต ดังนั้นพระองค์จึงไม่เคยปล่อยให้คุณต้องเผชิญการทดสอบที่ใหญ่เกินกว่าพระคุณที่พระองค์ประทานให้เพื่อรับมือการทดสอบเหล่านั้น พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าทำตามพระสัญญาของพระองค์ จึงไม่ทรงยอมให้ท่านถูกล่อให้ทำบาปจนเกินกำลังที่จะทนได้ แล้วขณะที่ท่านถูกล่อให้ทำบาปนั้นพระองค์จะประทานกำลังให้ท่านทนได้ และจะทรงจัดเตรียมทางชนะไว้ให้ด้วย" (1 โครินธ์ 10:13 ประชานิยม)

ทุกครั้งที่คุณผ่านการทดสอบ พระเจ้าทรงเห็น และทรงวางแผนเพื่อจะประทานบำเหน็จแก่คุณในนิรันดรกาล ยากอบกล่าวว่า "คนที่ทนต่อการทดลองใจก็เป็นสุข เพราะเมื่อปรากฏว่าผู้นั้นทนได้แล้ว เขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิต ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้แก่คนทั้งหลายที่รักพระองค์ (ยากอบ 1:12)

ชีวิตในโลกเป็นการมอบหมายความไว้ใจ นี่คือภาพเปรียบเทียบที่สองในพระคัมภีร์ เวลาของเราในโลกนี้ รวมทั้งพลังงาน สติปัญญา โอกาส ความสัมพันธ์ และทรัพยากร ล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทาน โดยพระองค์ทรงมอบความไว้ใจไว้ให้เราดูแลและจัดการ เราเป็นผู้อารักขาสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ ความคิดเรื่องผู้อารักขานี้เริ่มต้นจากการยอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นเจ้าของทุกสิ่งและทุกคนในโลก พระคัมภีร์กล่าวว่า "แผ่นดินโลกกับสรรพสิ่งในนั้นเป็นของพระเจ้า ทั้งพิภพกับบรรดาผู้ที่อยู่ในพิภพนั้น" (สดุดี 24:1)

ขณะที่เราอยู่ในโลกนี้เป็นเวลาสั้น ๆ เราไม่ได้เป็นเจ้าของตัวจริงของสิ่งใดเลย พระเจ้าทรงให้เรายืมโลกนี้ขณะที่เราอยู่ที่นี้ ก่อนที่คุณกำเนิดมามันเป็นทรัพย์สินของพระเจ้าและพระเจ้าทรงให้ผู้อื่นยืมหลังจากที่คุณตายแล้ว คุณได้ใช้มันเพียงชั่วครู่เท่านั้น

เมื่อพระเจ้าทรงสร้างอาดัมและเอวา พระองค์มอบความไว้วางใจให้เขาดูแลสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง และตั้งพวกเขาเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินของพระองค์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าทรงอวยพรเขาดังนี้ "จงเกิดลูกหลานมากมาย เพื่อเชื้อสายของเจ้าจะกระจายไปอยู่ในโลก และปกครองทุกอย่าง เราจะให้เจ้ามีอำนาจเหนือปลา นก สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ป่าทั้งปวง" (ปฐมกาล 1:28 ประชานิยม)

งานแรกที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์คือการจัดการและดูแล "สิ่งของ" ของพระเจ้าในโลก บทบาทนี้ไม่เคยถูกยกเลิก มันเป็นส่วนหนึ่งของวัตถุประสงค์ของเราในปัจจุบัน ทุกสิ่งที่เราใช้จะต้องถือว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงไว้ใจให้อยู่ในมือเรา พระคัมภีร์กล่าวว่า "มีอะไรเป็นของท่านที่พระเจ้ามิได้ประทานให้ท่านเล่า ก็ถ้าพระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ท่าน เหตุไฉน ท่านจึงคุยโวดังว่าท่านเป็นผู้หามาได้เองเล่า" (1 โครินธ์ 4:7ข ประชานิยม)

หลายปีก่อน สามีภรรยาคู่หนึ่งอนุญาตให้ผมและภรรยาไปพักผ่อนในบ้านหลังงามของพวกเขาซึ่งอยู่ติดชายหาดในฮาวาย มันเป็นประสบการณ์ที่เราคงไม่มีปัญญาจะซื้อหาได้ เรามีความสุขมาก พวกเขาบอกเราว่า "ใช้บ้านนี้ให้เหมือนบ้านคุณเองเลยนะ" แล้วเราก็ทำเช่นนั้น ว่ายน้ำในสระ กินอาหารในตู้เย็น ใช้ผ้าเช็ดตัวและจานชาม หรือแม้กระทั่งกระโดดบนเตียงด้วยความสนุกสนาน แต่เรารู้อยู่ตลอดเวลาว่า มันไม่ใช่ของเราจริง ๆ ดังนั้น เราจึงดูแลทุกสิ่งเป็นพิเศษ เราชอบผลประโยชน์ของการใช้บ้านโดยที่ไม่ต้องเป็นเจ้าของ

วัฒนธรรมของเราบอกว่า "ถ้าคุณไม่ได้เป็นเจ้าของ คุณก็จะไม่ดูแลมัน" แต่คริสเตียนดำเนินชีวิตด้วยมาตรฐานที่สูงกว่านั้นคือ "เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นเจ้าของ ฉันจึงต้องดูแลมันอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้" พระคัมภีร์กล่าวว่า "ฝ่ายผู้อารักขาเหล่านั้นต้องเป็นคนที่ไว้วางใจได้ทุกคน" (1 โครินธ์ 4:2) พระเยซูมักจะตรัสว่าชีวิตเป็นการมอบความไว้วางใจและทรงเล่าหลายเรื่องเพื่อให้เราเห็นภาพความรับผิดชอบที่เรามีต่อพระเจ้านี้ ในคำอุปมาเรื่องเงินตะลันต์ นักธุรกิจคนหนึ่งได้ฝากเงินทองของเขาไว้ในความดูแลของคนใช้ขณะที่เขาไม่อยู่เมื่อเขากลับมา เขาประเมิณความรับผิดชอบของคนใช้แต่ละคน และให้รางวัลพวกเขาตามนั้น เจ้าของกล่าวว่า "ดีมาก เจ้าเป็นบ่าวที่ดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งให้ดูแลของมาก มาร่วมยินดีในความสุขกับนายของเจ้าเถิด" (มัทธิว 25:21 อมตธรรมร่วมสมัย)

เมื่อชีวิตในโลกของคุณสิ้นสุดลง คุณจะได้รับการประเมินและรับรางวัลโดยพิจารณาว่าคุณจัดการกับสิ่งที่พระเจ้ามอบหมายให้คุณดูแลดีแค่ไหน นั่นหมายความว่า ทุกสิ่งที่คุณทำ แม้กระทั่งกิจวัตรประจำวันธรรมดา ๆ ก็มีผลสืบเนื่องในนิรันดรกาล ถ้าคุณถือว่าทุกสิ่งเป็นของพระเจ้ามอบหมายความไว้วางใจให้คุณดูแล พระเจ้าก็ทรงสัญญาบำเหน็จนิรันดร์สามประการแก่คุณ ประการแรก คุณจะได้รับคำชมเชยจากพระเจ้า พระองค์จะตรัสว่า "ดีมาก เจ้าทำได้ดี" จากนั้น คุณจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งและมีความรับผิดชอบสูงขึ้นในนิรันดรกาล "เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก" แล้วคุณก็จะได้รับเกียรติให้เข้าร่วมในงานฉลอง "เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด"

คนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับว่าเงินนั้นเป็นทั้งการทดสอบและการมอบความไว้วางใจ พระเจ้าทรงใช้เงินเพื่อสอนเราให้วางใจพระองค์ เราใช้เงินอย่างไร เพื่อทดสอบว่าเราไว้วางใจได้แค่ไหน พระคัมภีร์กล่าวว่า "ถ้าขนาดทรัพย์สมบัติในโลกนี้ยังไว้ใจท่านไม่ได้ แล้วใครจะไว้ใจท่านให้ดูแลทรัพย์สมบัติเที่ยงแท้ในสวรรค์เล่า" (ลูกา 16:11 NLT)

นี่เป็นความจริงที่สำคัญมาก พระเจ้าตรัสว่า การใช้เงินกับคุณภาพชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรานั้นมีความสัมพันธ์กันโดยตรง วิธีที่ผมดูแลเงินของผม (ทรัพย์สมบัติในโลก) จะตัดสินว่า พระเจ้าจะสามารถไว้ใจในเรื่องพระพรฝ่ายวิญญาณ (ทรัพย์สมบัติอันแท้) ได้มากแค่ไหน ผมขอถามคุณว่า วิธีที่คุณจัดการเงินทองกลายเป็นสิ่งขัดขวางพระเจ้าไม่ให้ทำงานในชีวิตคุณมากขึ้นหรือไม่ พระเจ้าสามารถไว้ใจให้คุณดูแลทรัพย์สมบัติฝ่ายวิญญาณหรือไม่

พระเยซูตรัสว่า "ผู้ใดได้รับมากจะต้องเรียกเอาจากผู้นั้นมาก และผู้ใดได้รับฝากไว้มาก ก็จะต้องทวงเอาจากผู้นั้นมาก" (ลูกา 12:48ข) ชีวิตเป็นการทดสอบและการมอบความไว้ใจ และยิ่งพระเจ้าประทานให้คุณมากเท่าไร พระองค์ก็ทรงคาดหวังให้คุณรับผิดชอบมากเท่านั้น

วันที่ 5 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: ชีวิตเป็นการทดสอบและการมอบความไว้ใจ

ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "ใครก็ตามที่สัตย์ซื่อในเรื่องเล็กน้อย จะซื่อสัตย์ในเรื่องใหญ่ด้วย" ลูกา 16:10ก (ประชานิยม)

คำถามสำหรับการพิจารณา: มีอะไรที่เกิดขึ้นกับฉันเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งเวลานี้ฉันรู้แล้วว่ามันเป็นการทดสอบจากพระเจ้า อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดซึ่งพระเจ้าทรงมอบความไว้ใจให้ฉันดูแล

7 ความคิดเห็น:

  1. เราให้อิทธิพลมุมมองจะภายนอกนำพาชีวิตเราค่อนชีวิต มุมมองแบบพระเจ้าจะทวีคูณและไม่เลี้ยงไข้ จริงจังและไม่หวือหวา นี่แหละที่คนเราต้องการ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. โลกเสนอมุมมองที่เห็นแก่ตัวแก่เราให้เราสนใจแต่ตัวเอง แต่พระเจ้าเป็นคนสร้างเรามาอย่างมีวัตถุประสงค์และมีเป้าหมาย เมื่อเรายินดีจะทำตามสิ่งที่เราได้ถูกกำหนดมาให้เป็นและให้ทำ เราก็ได้กลับมาเป็นตัวเราเองจริงๆ มีความสุขอย่างแท้จริงครับ เราจะอิ่มเอิบใจจริงๆ

      ลบ
  2. โลกเสนอ---เนื้อหนัง-----ให้เนื้อหนัง(รวมทั้งที่เป็นคริสเตียนด้วย)---ยังคงอยู่ในเนื้อหนัง
    พระเจ้าเสนอ--ทำลายเนื้อหนัง---มีชีวิตใหม่----รู้จักควบคุมเนื้อหนัง---อยู่ในเนื้อหนังแต่อยู่เหนือเนื้อหนัง

    ดังนั้นเราดูได้ว่าคริสเตียนเนื้อหนังหรือไม่ก็อยู่ที่ยังชอบหรือมีผลของงานเนื้อหนังอยู่(กท.5.19-26)ครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ทุกๆ อย่างมันเป็นทั้งโอกาสที่เราจะเลือกทำเพื่อตัวเอง (คิดแบบโลก) หรือ ทำเพื่อส่วนรวม (คิดแบบพระเจ้า) โอกาสที่จะพัฒนาตัวเองให้เป็นเหมือนพระเยซู สำหรับผมได้เห็นแล้วเวลาของชีวิตนับถอยหลังหมดไปทุกวัน จึงตั้งใจใช้เวลาพัฒนานิสัยตนเอง ไม่บ่นไม่ว่าเมื่อต้องเผชิญความยากลำบาก และมองหาความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น เหมือนตอนนี้มีความวุ่นวายทางการเมืองก็จะรู้ได้ทันที่ว่ามันคือโอกาสที่ใจคนเปิดรับพระเจ้ามากขึ้น ช่วยให้เราประกาศง่ายขึ้นเพราะคนกำลังเปิดใจ

      ลบ
  3. น่าเสียดายโอกาสเช่นนี้หลายครั้ง ที่ไม่เคยเห็นคริสตจักรมีส่วนหรือสามารถหาส่วนที่จะประกาศข่าวประเสริฐได้เลย ไม่ใช่มีส่วนในการเมือง คริสตจักรไม่พร้อม ไม่มีแรงจะมาร่วมมือกันคิดทำงานด้วยใจจริง คริสตจักรยังแตกแยก ทะเลาะกัน ถือพรรคถือพวก อย่าหวังว่าพระเจ้าจะอยู่ด้วยในกิจการใดๆเลย น่าเสียดายจริงๆ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. วันสุดท้ายทุกคนต้องตอบคำถาม 2 ข้อ คือ เราทำอย่างไรต่อพระเยซูคริสต์ และทำอย่างไรกับชีวิตที่พระเจ้าประทานให้ว่าใช้เพื่อตัวเองหรือเพื่อวัตถุประสงค์พระเจ้า ส่วนเรื่องขององค์กรคริสตจักรจะแตกแยก แบ่งพรรคแบ่งพวก นั้นอยู่นอกเหนือความรับผิดชอบ เพราะทุกคนจะต้องตอบในส่วนงานที่พระเจ้ามอบหมาย ด้วยเหตุนี้เราจึงควรตั้งคำถามให้ถูกต้องว่า เราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไรครับ

      ลบ
  4. ต้องใช้ชีวิตที่สำแดงพระสง่าราศรีของพระคริสต์ในตัวเรา ครอบครัว บ้าน ในคริสตจักร ให้โลกได้รู้ได้เห็นพระสิริของพระเจ้าครับ

    ตอบลบ