พระเจ้า … ทรงบรรจุนิรันดรกาลไว้ในจิตใจของมนุษย์
ปัญญาจารย์ 3:11 (ประชานิยม)
แน่นอน พระเจ้าไม่ได้สร้างสิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์เพื่อให้อยู่แค่วันเดียว ไม่ ไม่ มนุษย์ถูกสร้างมาเพื่อเป็นอมตะ
อับราฮัม ลินคอล์น
ชีวิตนี้ไม่ใช่ทั้งหมด
ชีวิตในโลกเป็นเพียงการซ้อมใหญ่ก่อนการแสดงจริง คุณจะใช้เวลามากกว่าที่คุณอยู่บนโลกนี้อีกหลายเท่า เมื่ออยู่อีกฟากของความตาย คือ ในนิรันดรกาล โลกเป็นหลังเวที เป็นชั้นเตรียมประถม เป็นการทดสอบสำหรับชีวิตของคุณในนิรันดรกาล เป็นการซ้อมอุ่นเครื่องก่อนการแข่งขันจริง เป็นการวิ่งอบอุ่นร่างกายก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น ชีวิตนี้ คือ การเตรียมตัวสำหรับชีวิตหน้า
อย่างมากที่สุด คุณก็อยู่ในโลกนี้สักหนึ่งร้อยปี แต่คุณจะใช้เวลาตลอดไปในนิรันดรกาล เวลาของคณในโลกเป็นอย่างที่เซอร์โทมัส บราวน์กล่าวว่า "เป็นเพียงวงเล็บเล็ก ๆ ในนิรันดรกาล" คุณถูกสร้างมาให้คงอยู่ตลอดไป
พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้า… ทรงบรรจุนิรันดรกาลไว้ในจิตใจของมนุษย์" (ปัญญาจารย์ 3:11) คุณมีสัญชาตญาณติดตัวมาซึ่งปราถนาความเป็นอมตะ นี่เป็นเพราะพระเจ้าได้ทรงออกแบบคุณตามพระฉายาของพระองค์ให้มีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ แม้เรารู้ว่าในที่สุดทุกคนก็ต้องตาย แต่ความตายมักดูไม่เป็นธรรมชาติและไม่ยุติธรรม เหตุผลที่เรารู้สึกว่า เราควรอยู่ชั่วนิรันดร์ก็เพราะพระเจ้าทรงบรรจุความปราถนาเช่นนั้นไว้ในสมองของเรา
วันหนึ่ง หัวใจคุณจะหยุดเต้น นั่นจะเป็นจุดจบของร่างกายและเวลาของคุณในโลกนี้ แต่มันไม่ใช่การสิ้นสุดของคุณ ร่างกายฝ่ายโลกเป็นเพียงที่อยู่ชั่วคราวสำหรับจิตวิญญาณของคุณ พระคัมภีร์เรียกร่างกายฝ่ายโลกนี้ว่า "เต็นท์" แต่กล่าวถึงร่างกายอนาคตของคุณว่าเป็น "บ้าน" พระคัมภีร์กล่าวว่า "เมื่อเต็นท์ที่เราอยู่นี้ คือร่างกายบนโลกนี้พังทลายไป พระเจ้าจะประทานบ้านในสวรรค์ให้เราอยู่ เป็นบ้านที่พระองค์เองทรงสร้างซึ่งจะคงอยู่ชั่วนิรันดร์" (2 โครินธ์ 5:1 TEV)
แม้ว่าชีวิตในโลกนี้จะหยิบยื่นทางเลือกหลายอย่าง แต่นิรันดรกาลเสนอทางเลือกเพียงสองอย่างคือ สวรรค์และนรก ความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้าในโลกนี้จะกำหนดความสัมพันธ์ของคุณกับพระองค์ในนิรันดรกาล ถ้าคุณเรียนรู้ที่จะรักและวางใจพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า คุณจะได้รับเชิญให้ใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดในนิรันดรกาลกับพระองค์ ตรงกันข้าม ถ้าคุณปฏิเสธความรัก การยกโทษ และความรอดของพระองค์ คุณจะถูกแยกจากพระเจ้าตลอดไปในนิรันดรกาล
ซี. เอส. ลุยส์กล่าวว่า "มีคนสองประเภท คือ คนที่ทูลพระเจ้าว่า "ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์" กับคนที่พระเจ้าตรัสว่า "ก็ได้ตามใจเจ้าละกัน" น่าเศร้าที่หลายคนต้องทนทุกข์ชั่วนิรันดรโดยปราศจากพระเจ้า เพราะว่าพวกเขาได้เลือกที่จะอยู่ในโลกนี้โดยปราศจากพระองค์
เมื่อคุณเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าชีวิตไม่ได้มีแค่ที่นี้และเดี๋ยวนี้ และคุณรู้ว่าชีวิตเป็นเพียงการเตรียมตัวสำหรับนิรันดรกาล คุณก็จะเริ่มดำเนินชีวิตแตกต่างจากเดิม คุณจะเริ่มดำเนินชีวิตโดยคำนึงถึงนิรันดรกาล และนั่นจะกำหนดว่าคุณจะปฏิบัติต่อความสัมพันธ์ การงาน และสถานการณ์ทุกอย่างอย่างไร และโดยฉับพลันกิจกรรม เป้าหมาย และแม้แต่ปัญหาหลายอย่างซึ่งเคยดูเหมือนสำคัญก็จะกลายเป็นเรื่องสัพเพเหระ เล็กน้อย และไม่มีค่าพอที่คุณจะใส่ใจ ยิ่งคุณดำเนินชีวิตใกล้ชิดพระเจ้าเท่าไร สิ่งอื่น ๆ ก็ยิ่งเล็กลงเท่านั้น
เมื่อคุณใช้ชีวิตโดยคำนึงถึงนิรันดรกาล ค่านิยมของคุณก็จะเปลี่ยนไป คุณใช้เวลาและเงินของคุณอย่างฉลาดขึ้น คุณให้ความสำคัญแก่ความสัมพันธ์และชีวิตภายในมากกว่าชื่อเสียง หรือความมั่งคั่ง หรือความสำเร็จ หรือแม้แต่ความสนุกสนาน ลำดับความสำคัญของคุณจะถูกจัดใหม่ การไล่ตามกระแส แฟชั่น และค่านิยมที่แพร่หลายอยู่นั้น จะไม่สำคัญอีกต่อไป เปาโลกล่าวว่า "เนื่องจากสิ่งที่พระคริสต์ได้ทำ สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นที่ข้าพเจ้าคิดว่าสำคัญมาก บัดนี้ข้าพเจ้าถือว่าไร้ค่าแล้ว" (ฟีลิปปี 3:7 NLT)
ถ้าเวลาในโลกนี้คือทั้งหมดของชีวิตคุณ ผมก็เสนอให้คุณเริ่มใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยงในทันที คุณลืมการเป็นคนดีและมีจริยธรรมได้เลย และคุณก็ไม่ต้องห่วงถึงผลที่ตามมาจากการกระทำของคุณ คุณสามารถปรนเปรอตัวเองอย่างสุดแสนจะเห็นแก่ตัว เพราะว่าการกระทำของคุณจะไม่มีผลสะท้อนระยะยาว แต่ความตายไม่ใช่จุดจบของคุณ และนี้ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ความตายไม่ใช่การสูญสิ้น แต่เป็นการโยกย้ายคุณเข้าสู่นิรันดรกาล ดังนั้นทุกสิ่งที่คุณทำบนโลกจึงมีผลนิรันดร์ การกระทำทุกอย่างในชีวิตนี้จะเปล่งเสียงที่ดังสะท้อนในนิรันดรกาล
การดำเนินชีวิตสมัยนี้มีแง่มุมที่บ่อนทำลายมากที่สุดคือ การคิดระยะสั้น ถ้าคุณต้องการให้ชีวิตนี้มีค่าที่สุด คุณต้องคิดถึงนิรันดรกาลไว้เสมอ และให้คุณค่าแก่มันในจิตใจของคุณ ชีวิตไม่ได้มีแค่ที่นี้และเดี๋ยวนี้ วันนี้คือส่วนยอดเล็ก ๆ ของภูเขาน้ำแข็งที่เรามองเห็นได้ แต่นิรัดรกาลเป็นส่วนที่เหลือทั้งหมดซึ่งคุณมองไม่เห็นเพราะอยู่ใต้ผิวน้ำ
การอยู่กับพระเจ้าในนิรันดรกาลจะเป็นอย่างไร พูดตามจริง สมองเราไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจความอัศจรรย์และความยิ่งใหญ่ของสวรรค์ได้ มันก็เหมือนการพยายามบรรยายอินเทอร์เน็ตให้มดเข้าใจ มันไม่มีประโยชน์ มนุษย์ยังไม่สามารถคิดค้นคำพูดใดที่สามารถถ่ายทอดประสบการณ์ของนิรันดรกาล พระคัมภีร์กล่าวว่า "สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์" (1 โครินธ์ 2:9)
อย่างไรก็ตาม พระเจ้าได้ประทานภาพราง ๆ ของนิรันดรกาลแก่เราในพระวจนะของพระองค์ เรารู้ว่าเวลานี้พระเจ้ากำลังเตรียมบ้านถาวรแก่เรา และในสวรรค์ เราจะพบกับคนที่เรารักซึ่งเชื่อในพระเยซูอีกครั้ง เราจะพ้นจากความเจ็บปวดและความทุกข์ทุกอย่าง รับรางวัลสำหรับความสัตย์ซื่อของเราในโลก และได้รับมอบหมายให้ทำงานที่เราจะพึงพอใจอีกครั้ง เราจะไม่นอนเอกเขนกบนเมฆดีดพิณโดยมีวงแสงรอบศีรษะ แต่เราจะมีสามัคคีธรรมกับพระเจ้าอย่างไม่ขาดสาย และพระองค์จะทรงอยู่กับเราอย่างมีความสุขไม่มีขีดจำกัดตลอดไป วันหนึ่ง พระเยซูจะตรัสว่า "ผู้ได้รับพรจากพระบิดาของเรา มารับมรดกของท่านเถิด คืออาณาจักรที่เตรียมไว้สำหรับท่านตั้งแต่ทรงสร้างโลก" (มัทธิว 25:34 อมตธรรมร่วมสมัย)
ซี. เอส. ลุยส์สรุปความหมายของนิรันดรกาลไว้ในหน้าสุดท้ายของวรรณกรรมเยาวชนชุดนาร์เนีย ซึ่งมีทั้งหมด 7 เล่มว่า "สำหรับเรา นี่คือจุดจบของเรื่องราวทั้งหมด… แต่สำหรับพวกเขา มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเรื่องจริง ชีวิตทั้งชีวิตของพวกเขาบนโลกนี้…เป็นเพียงปกหน้าและปกรอง เวลานี้ในที่สุดพวกเขาก็ได้เริ่มต้นบทที่หนึ่งของเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ซึ่งไม่มีใครในโลกเคยอ่าน ซึ่งจะดำเนินตลอดไป และทุกบทก็จะดียิ่งกว่าบทที่ผ่านมา"
พระเจ้าทรงมีพระประสงค์สำหรับชีวิตของคุณในโลกนี้ แต่มันไม่จบลงที่นี่ แผนการของพระองค์มีมากมายเกินกว่าเวลาไม่กี่สิบปีที่คุณจะอยู่โลกใบนี้ มันมีความหมายมากกว่า "โอกาสครั้งเดียวในชีวิต" พระเจ้าทรงเสนอโอกาสที่ไกลเกินกว่าชีวิตนี้ให้แก่คุณ พระคัมภีร์กล่าวว่า "แผนการ (ของพระเจ้า) ตั้งมั่นคงเป็นนิตย์ พระดำริของพระองค์อยู่ทุกชั่วชาติพันธ์ุ" (สดุดี 33:11 TEV)
เวลาเดียวที่คนส่วนใหญ่จะคิดถึงนิรันดรกาลคือในงานศพ ซึ่งมักจะเป็นความคิดตื้น ๆ คล้อยตามอารมณ์ และก่อเกิดจากความไม่รู้ คุณอาจรู้สึกว่ามันน่ากลัวที่จะคิดเรื่องความตาย แต่ที่จริงมันไม่ส่งผลดีเลยที่จะดำเนินชีวิตโดยไม่ยอมรับความตาย และไม่ยอมพิจารณาสิ่งที่คุณไม่มีทางหลีกเลี่ยง (ปัญญาจารย์ 7:2) คนโง่เท่านั้นที่จะใช้ชีวิตโดยไม่เตรียมตัวรับมือสิ่งที่เรารู้ว่าจะต้องเกิดขึ้น คุณต้องคิดถึงนิรันดรกาลมากขึ้น ไม่ใช่น้อยลง
เก้าเดือนที่คุณอยู่ในครรภ์มารดาไม่ใช่จุดจบในตัวมันเอง แต่เป็นการเตรียมตัวเพื่อชีวิต ชีวิตนี้เป็นการเตรียมตัวสำหรับชีวิตหน้า ฉะนั้นถ้าคุณมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าโดยทางพระเยซู คุณก็ไม่จำเป็นต้องกลัวความตาย เพราะนั่นคือประตูสู่นิรันดรกาล เป็นชั่วโมงสุดท้ายที่คุณจะอยู่ในโลก แต่ไม่ใช่จุดจบของชีวิต แต่เป็นวันเกิดของคุณเพื่อเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "โลกนี้ไม่ใช่บ้านของเรา เรารอคอยที่จะอยู่บ้านถาวรของเราในสวรรค์" (ฮีบรู 13:14 LB)
เมื่อเทียบกับนิรันดรกาลเวลาในโลกนี้ก็เหมือนกับแค่กระพริบตา แต่ผลของมันจะคงอยู่ตลอดไป การกระทำในชีวิตนี้เป็นจุดหมายปลายทางของชีวิตหน้า เราควรจะ "ตระหนักว่า ทุกขณะที่เราอยู่ในร่างกายบนโลกนี้ เป็นเวลาที่เราอยู่ห่างจากบ้านถาวรที่เราจะอยู่กับพระเยซูในสวรรค์" (2 โครินธ์ 5:6 LB)
หลายปีก่อนคำขวัญหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมได้หนุนใจให้ผู้คนใช้ชีวิตแต่ละวันเหมือน "วันแรกของเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตของคุณ" อันที่จริง จะฉลาดกว่าถ้าคุณใช้ชีวิตแต่ละวันเหมือนกับมันเป็นวันสุดท้ายในชีวิต แมทธิว เฮ็นรี่กล่าวว่า "การเตรียมตัวสำหรับวันสุดท้าย ควรจะเป็นงานที่เราทำทุกวัน"
วันที่ 4 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: ชีวิตไม่ได้มีแค่ที่นี่และเดี๋ยวนี้
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "โลกกับสิ่งที่ยั่วยวนของโลกกำลังล่วงไปแต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์" (1 ยอห์น 2:17)
คำถามสำหรับการพิจารณา: ในเมื่อฉันถูกสร้างให้คงอยู่ตลอดไป วันนี้มีสิ่งใดที่ฉันควรจะหยุดทำ และสิ่งใดที่ฉันควรจะเริ่มลงมือทำ
แค่นี้ก็ได้กำไรแล้ว ระหว่างอยู่ไปวันๆกับอยู่ด้วยการวางแผนลงทุนระยะไกล
ตอบลบอย่างไรเราก็สนุกกับโลกนี้อยู่แล้วแต่ทำให้เกิดเป็นสองเท่าสามเท่าก็ยิ่งยอดเยี่ยมใช่ไหมน้องอรัญ เย็นอุราครับ
ผมคิดแบบนักธุรกิจครับ ริค วอร์เรน ได้เสนอแนวคิดที่อัศจรรย์มากๆ คือ สิ่งที่เราทำในเวลาที่เรามีชีวิตในโลกจะส่งผลไปอย่างยาวนานในนิรันดร์กาล เหมือนการลงที่น้อยมากๆ แต่กลับส่งผลมากมายมหาศาล ทำให้ผมตื่นเต้นในการฝึกฝนพัฒนาชีวิตให้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์มากขึ้น
ลบการทำทุกอย่าง(เท่าที่มี เท่าที่ทำได้)ให้ดีที่สุด คนอิสราเอลส่วนมากเท่าที่เห็นจะนึกกันแบบนี้ เกือบทุกตารางกิโลเมตร(จากทั้งหมด 22,1451 ตร.กม.) ในอิสราเอล เขาจะต้องพัฒนาให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุด แม้กระทั่งน้ำทุกหยดก็ยังต้องพัฒนาท่อดำน้ำหยด ฯลฯ น้องอรัญเคยไปอิสราเอลหรือยังครับ ไม่ใช่ทุกอย่างจะดีเลิศหมดนะครับ แต่การดิ้นรนเอาตัวรอดของเขาด้วยแนวความคิดนี้ ก็ทำให้ประเทศของเขารุดหน้ากว่าประเทศอื่นๆ
ตอบลบผมทำงานในร้านนวดแผนไทยแห่งหนึ่งเป็นร้านที่ไม่มีคู่แข่ง เจ้าของอยู่อย่างสบายๆ เหมือนเสือนอนกิน ไม่คิดจะพัฒนาอะไรเลย พนักงานในร้านวันๆ ก็กัดกินกันเองเพราะฟุ่งซ่านจากชีวิตที่สบายเกินไป อิสราเอลผมยังไม่เคยไปครับ แต่ผมศึกษาข้อมูลเรื่องอิสราเอลมาบ้าง ทำให้เห็นหลักการที่พระเจ้าให้เราได้เข้าใจคือ ความลำบากที่แท้สร้างคน ความสบายไม่ได้ช่วยทำให้อะไรดีขึ้น ผมเกิดมาถูกแม่เลี้ยงดูแบบลูกคุณหนู ทำให้ต้องมาลำบากตอนแก่ แต่ความลำบากกลับสร้างสิ่งดีๆ ในชีวิตผมเช่น ความอดทน ความเข้าใจผู้อื่น ความรอบคอบ การรู้จักวางแผนชีวิต การใช้เวลาอย่างเห็นคุณค่า และอีกมากมายครับ
ลบ