วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วันที่ 13 การนมัสการที่พระเจ้าพอพระทัย

จงรักพระเจ้าด้วยสุดจิตใจของท่าน ด้วยสุดความคิด และด้วยสิ้นสุดกำลังของท่าน
มาระโก 12:30

พระเจ้าต้องการทั้งชีวิตของคุณ

พระเจ้าไม่ได้ต้องการบางส่วนของชีวิตคุณ พระองค์ขอให้คุณถวายสุดจิตสุดใจสุดความคิด และสุดกำลังของคุณ พระเจ้าไม่สนพระทัยการถวายตัวอย่างไม่สิ้นสุดใจ การเชื่อฟังเพียงบางส่วน หรือเศษเวลาและเศษเงินที่เหลือของคุณ พระองค์ปราถนาให้คุณอุทิศทั้งชีวิต ไม่ใช่อุทิศบ้างสักเล็กน้อย

เมื่อหญิงชาวสะมาเรียพยายามโต้แย้งกับพระเยซูเรื่องเวลา สถานที่ และรูปแบบการนมัสการที่ดีที่สุด พระเยซูตรัสว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับรูปแบบภายนอก จะนมัสการที่ไหน ก็ไม่สำคัญเท่าเหตุผลที่คุณนมัสการ และคุณถวายตัวเองแด่พระเจ้ามากแค่ไหนในการนมัสการ การนมัสการมีทั้งวิธีที่ถูกและวิธีที่ผิด พระคัมภีร์กล่าวว่า "ให้เราขอบพระคุณและนมัสการพระเจ้าอย่างที่ทรงพอพระทัย" (ฮีบรู 12:28 อมตธรรมร่วมสมัย) การนมัสการอย่างที่พระเจ้าพอพระทัยนั้นมีลักษณะสี่ประการ

พระเจ้าทรงพอพระทัยเมื่อเรานมัสการอย่างถูกต้อง ผู้คนมักจะพูดว่า "ผมชอบคิดว่า พระเจ้าเป็น… " แล้วก็แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับพระเจ้าในลักษณะที่เขาอยากกราบไหว้นมัสการ แต่เราไม่สามารถสร้างภาพของพระเจ้าตามใจชอบ หรือในแบบที่คิดว่าคนอื่นจะรับได้ แล้วก็นมัสการพระเจ้าในภาพนั้น เพราะนั่นคือภาพไหว้รูปเคารพ

การนมัสการต้องตั้งอยู่บนความจริงในพระคัมภีร์ ไม่ใช่บนความคิดเห็นที่เรามีต่อพระเจ้า พระเยซูตรัสแก่หญิงชาวสะมาเรียว่า "ผู้นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะพวกเขาเป็นผู้นมัสการแบบที่พระบิดาทรงแสวงหา" (ยอห์น 4:23 อมตธรรมร่วมสมัย)

"นมัสการด้วยความจริง" หมายถึงนมัสการพระเจ้าตามที่พระคัมภีร์เปิดเผยเกี่ยวกับพระองค์

พระเจ้าทรงพอพระทัยเมื่อเรานมัสการด้วยความจริงใจ เมื่อพระเยซูตรัสว่า คุณต้อง "นมัสการด้วยจิตวิญญาณ" พระองค์มิได้ตรัสถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ตรัสถึงจิตวิญญาณของคุณซึ่งถูกสร้างขึ้นตามพระฉายาของพระเจ้า คุณเป็นวิญญาณซึ่งอาศัยอยู่ในร่างกาย และพระเจ้าทรงกำหนดให้วิญญาณของคุณสื่อสารกับพระองค์ การนมัสการคือ การที่จิตวิญญาณของคุณตอบสนองต่อพระวิญญาณของพระเจ้า

เมื่อพระเยซูตรัสว่า "จงรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจ" พระองค์ทรงหมายความว่า การนมัสการต้องเป็นของแท้และมาจากใจ มันไม่ใช่แค่การกล่าวถ้อยคำที่ถูกต้อง คุณต้องคิดอย่างที่พูดด้วย การสรรเสริญที่ไม่ได้มาจากใจนั้นไม่ถือว่าเป็นการสรรเสริญเลย มันเป็นสิ่งที่ไร้ค่า เป็นการดูหมิ่นพระเจ้า

เนื่องจากการนมัสการครอบคลุมถึงการเปรมปรีดิ์ในพระเจ้าด้วย ดังนั้น มันจึงเกี่บวข้องกับอารมณ์ของคุณ พระเจ้าประทานอารมณ์แก่คุณเพื่อคุณจะสามารถนมัสการพระองค์ด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้ง แต่อารมณ์เหล่านั้นต้องเป็นความรู้สึกจริง ๆ ไม่ใช่การเสแสร้ง พระเจ้าทรงเกลียดชังความหน้าซื่อใจคต พระองค์ไม่ต้องการการแสดงโอ้อวด หรือการเสแสร้งทำหรือการตบตาในการนมัสการ พระองค์ต้องการความรักที่แท้จริงและจริงใจของคุณ เราสามารถนมัสการพระเจ้าแบบไม่สมบูรณ์ได้ แต่เราไม่สามารถนมัสการพระองค์แบบไม่จริงใจ

แน่นอน ความจริงใจอย่างเดียวนั้นไม่พอ เพราะคุณก็สามารถทำผิดอย่างบริสุทธิ์ใจได้เช่นกัน นั่นคือเหตุผลที่ต้องใช้จิตวิญญาณและความจริง การนมัสการต้องมีทั้งความถูกต้องและออกมาจากใจจริง การนมัสการที่พระเจ้าพอพระทัยนั้นต้องลึกซึ้งทั้งอารมณ์และหลักข้อเชื่อ เราใช้ทั้งหัวใจและหัวสมอง

ปัจจุบัน หลายคนถือเอาอารมณ์ที่คล้อยตามดนตรีว่าเป็นการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณ แต่สองสิ่งนี้ไม่เหมือนกัน การนมัสการที่แท้จริงเกิดขึ้นเมื่อจิตวิญญาณของคุณตอบสนองต่อพระเจ้า ไม่ใช่ต่อทำนองเพลงบางทำนอง แท้ที่จริงเพลงแนวซึ้งและทบทวนตัวเอง บางเพลงกลับกลายเป็นอุปสรรคต่อการนมัสการ เพราะมันไม่เน้นที่พระเจ้าแต่จดจ่อที่ความรู้สึกของเราเอง ตัวคุณคือสิ่งที่เบี่ยงเบนความสนใจได้มากที่สุดในการนมัสการ คือความสนใจและกังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับคุณ

คริสเตียนมักจะมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องวิธีที่เหมาะสม หรือวิธีที่แท้จริงในการสรรเสริญพระเจ้า แต่ข้อโต้แย้งเหล่านั้นมักจะสะท้อนถึงบุคลิกภาพและภูมิหลังที่แตกต่างกันเท่านั้น พระคัมภีร์กล่าวถึงการนมัสการหลายรูปแบบ ซึ่งได้แก่ การสารภาพบาป การร้องเพลง การโห่ร้อง การยืนถวายเกียรติ การคุกเข่า การเต้นรำ การเปล่งเสียงชื่นบาน การเป็นพยาน การเล่นดนตรี และการชูมือ (ฮีบรู 13:15; สดุดี 7:17; เอสรา 3:11; สดุดี 149:3; 150:3; เนหะมีย์ 8:6) รูปแบบที่ดีที่สุดของการนมัสการคือรูปแบบที่คุณสามารถแสดงความรักต่อพระเจ้าได้ดีที่สุด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภูมิหลังและบุคลิกภาพที่พระเจ้าประทานแก่คุณ

แกรี่ โธมัส เพื่อนของผมสังเกตว่า คริสเตียนจำนวนมากดูเหมือนจะยึดติดกับพิธีนมัสการที่น่าเบื่อคือ กิจวัตรที่ไม่ทำให้อิ่มเอมใจ แทนที่จะมีมิตรภาพอันน่าตื่นเต้นกับพระเจ้า เพราะพวกเขาฝืนตัวเองให้ใช้วิธีเฝ้าเดี่ยว หรือรูปแบบการนมัสการที่ไม่เหมาะกับเอกลักษณ์ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างเขามา

แกรี่ สงสัยว่า ถ้าพระเจ้าทรงจงใจสร้างเราทุกคนให้แตกต่างกันแล้ว ทำไมทุกคนจึงควรจะถูกคาดหวังให้รักพระเจ้าในแบบเดียวกัน เมื่อได้อ่านหนังสือคริสเตียนอมตะและสัมภาษณ์บรรดาผู้เชื่อที่เป็นผู้ใหญ่ แกรี่ก็พบว่า คริสเตียนได้ใช้หนทางที่แตกต่างมากมายมาตลอด 2,000 ปีเพื่อจะสนิทสนมกับพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นการอยู่กลางแจ้ง การศึกษา การร้องเพลง การอ่าน การเต้นรำ การสร้างสรรค์ศิลปะ การรับใช้คนอื่น การอยู่คนเดียว การมีสามัคคีธรรม และการร่วมในกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย

ในหนังสือชื่อ Sacred Pathways (เส้นทางศักดิ์สิทธิ์) ที่แกรี่เขียนนั้น เขาได้กล่าวถึงวิธีการเก้าอย่างที่ผู้คนปฏิบัติเพื่อเข้าใกล้พระเจ้า พวกธรรมชาตินิยมรู้สึกเร้าใจให้รักพระเจ้ามากที่สุดเมื่ออยู่กลางแจ้ง ท่ามกลางธรรมชาติ พวกที่เน้นประสาทสัมผัสก็รักพระเจ้าด้วยประสาทสัมผัส และชื่นชอบพิธีการนมัสการอันงดงามซึ่งต้องใช้ทั้งสายตา การรับรส การดมกลิ่น และการสัมผัส ไม่ใช่เพียงการรับฟังเท่านั้น พวกประเพณีนิยมเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้นโดยผ่านพิธีกรรม ศาสนพิธี สัญลักษณ์ และโครงสร้างที่ไม่เปลี่ยนแปลง พวกถือสันโดษรักพระเจ้าด้วยการอยู่ตามลำพังและความเรียบง่าย ส่วนพวกนักเคลื่อนไหวรักพระเจ้าโดยการเผชิญหน้ากับความชั่ว ต่อสู้ความอยุติธรรม และทุ่มเทเพื่อทำให้โลกน่าอยู่ขึ้น พวกเอาใจใส่คนอื่นนั้นรักพระเจ้าโดยการรักคนอื่นและตอบสนองความต้องการของพวกเขา พวกกระตือรือร้นรักพระเจ้าโดยการเฉลิมฉลอง พวกชอบไตร่ตรองรักพระเจ้าโดยการเทิดทูนยกย่อง ส่วนพวกนักคิดรักพระเจ้าโดยการศึกษาด้วยสมองของพวกเขา

ในเรื่องการนมัสการและมิตรภาพกับพระเจ้านั้น ไม่มีวิธีการที่ "ใช้ได้กับทุกคน" สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ การพยายามเป็นคนอื่นที่พระองค์ไม่ได้ประสงค์ให้คุณเป็นนั้นถือเป็นการไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า พระเจ้าต้องการให้คุณเป็นคุณเอง "นั่นคือคนแบบที่พระบิดาทรงแสวงหา คือคนที่เป็นตัวของตัวเองจริง ๆ ต่อพระพักตร์พระองค์ในการนมัสการ" (ยอห์น 4:23 Msg)

พระเจ้าทรงพอพระทัยเมื่อเรานมัสการโดยใช้ความคิด พระบัญชาของพระเยซูที่ให้ "รักพระเจ้าด้วยสิ้นสุดความคิด" กล่าวซ้ำถึงสี่ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ พระเจ้าไม่พอพระทัยต่อการร้องเพลงสรรเสริญอย่างไร้ความคิด การอธิษฐานที่เต็มไปด้วยคำซ้ำซากเป็นพิธี หรือการอุทานว่า "สรรเสริญพระเจ้า" อย่างไม่ระวัง เพียงเพราะเวลานั้นเรานึกคำพูดอื่นไม่ออก ถ้าเรานมัสการโดยไม่ใช้ความคิด มันเป็นการนมัสการที่ไร้ความหมาย คุณต้องใช้ความคิดร่วมด้วย

พระเยซูทรงเรียกการนมัสการที่ไร้ความคิดว่า "การพูดพล่อย ๆ ซ้ำซาก" (มัทธิว 6:7) แม้แต่คำในพระคัมภีร์ก็สามารถเป็นสำนวนซ้ำซากน่าเบื่อได้ถ้าใช้มากเกินไป เพราะนั่นจะทำให้เราไม่ได้คิดถึงความหมาย มันง่ายกว่าที่เราจะใช้คำซ้ำซากเวลานมัสการ แทนที่จะพยายามถวายเกียรติพระเจ้าด้วยถ้อยคำและวิธีใหม่ ๆ นี่คือเหตุผลที่ผมส่งเสริมให้คุณอ่านพระคัมภีร์ฉบับแปลที่แตกต่างกัน รวมทั้งฉบับถอดความ เพราะมันจะช่วยขยายขอบเขตการแสดงออกในการนมัสการ

ลองพยายามสรรเสริญพระเจ้าไม่ใช่คำว่า สรรเสริญ ฮาเลลูยา ขอบคุณพระเจ้า หรืออาเมน แทนที่จะพูดว่า "เราอยากสรรเสริญพระองค์" ให้คุณเขียนรายการคำพ้องความหมาย และใช้คำใหม่ ๆ เช่น ยกย่อง นับถือ เทิดทูน ยำเกรง ถวายเกียรติ และชื่นชม

นอกจากนั้น ให้คุณพูดอย่างเจาะจง ถ้าใครสักคนมาหาคุณแล้วก็พูดว่า "ผมสรรเสริญคุณ" ซ้ำ ๆ สักสิบครั้ง คุณก็คงจะคิดว่า สรรเสริญเรื่องอะไรล่ะ คุณคงอยากได้คำชมที่เจาะจงสักสองเรื่องมากกว่าคำชมคลุมเครือสักยี่สิบคำ พระเจ้าก็เช่นกัน

อีกวิธีหนึ่งคือการเขียนรายการพระนามต่าง ๆ ของพระเจ้า เปาโลอุทิศ 1 โครินธ์ 14 ทั้งบทเพื่ออธิบายเรื่องนี้ และสรุปว่า "ควรทำทุกสิ่งอย่างเหมาะสมและเป็นระเบียบ" (1 โครินธ์ 14:40 อมตธรรมร่วมสมัย)

เกี่ยวกับเรื่องนี้ พระเจ้าทรงยืนยันว่าการนมัสการของเราต้องเป็นที่เข้าใจได้สำหรับคนที่ไม่เชื่อ เมื่อพวกเขามาร่วมประชุมนมัสการกับเรา เปาโลสังเกตว่า "สมมุติคนแปลกหน้าอยู่ในการประชุมนมัสการของท่าน พวกเขาจะพูดว่า "อาเมน" ได้อย่างไร ท่านอาจจะนมัสการพระเจ้าได้อย่างยอดเยี่ยม แต่คนอื่นไม่ได้ประโยชน์เลยสักคน" (1 โครินธ์ 14:16-17 CEV) การไวต่อความรู้สึกของคนไม่เชื่อที่มาร่วมประชุมกับคุณเป็นคำสั่งในพระคัมภีร์ การละเลยคำสั่งนี้เท่ากับทั้งไม่เชื่อฟังและไม่รัก สำหรับคำอธิบายที่ครบถ้วนของเรื่องนี้ โปรดดูบทที่ชื่อ "การนมัสการก็เป็นคำพยานได้" ในหนังสือคริสจักรที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์

พระเจ้าทรงพอพระทัยเมื่อการนมัสการของเรามีการปฏิบัติ พระคัมภีร์กล่าวว่า "ให้ท่านทั้งหลายถวายตัวของท่านเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์ และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า นี่เป็นการนมัสการด้วยจิตวิญญาณของท่าน" (โรม 12:1) ทำไมพระเจ้าจึงต้องการตัวของคุณ ทำไมพระองค์ไม่ตรัสว่า "ถวายจิตวิญญาณของท่าน" ก็เพราะว่าถ้าปราศจากร่างกาย คุณก็ไม่สามารถทำอะไรในโลกนี้ได้ ในนิรันดรกาล คุณจะได้รับกายใหม่ที่ดีกว่าเดิม แต่ขณะที่คุณอยู่ในโลกนี้ พระเจ้าตรัสว่า "จงให้สิ่งที่เจ้ามีอยู่แก่เรา" พระองค์ทรงเน้นเรื่องการปฏิบัติในการนมัสการ

คุณคงเคยได้ยินคนพูดว่า "ผมมาร่วมประชุมคืนนี้ไม่ได้ แต่ผมจะอยู่กับคุณด้วยจิตวิญญาณ" คุณรู้ไหมว่ามันหมายถึงอะไร ไม่มีความหมายอะไรเลย มันไร้ค่า ตราบใดที่คุณอยู่ในโลกนี้ จิตวิญญาณคุณจะอยู่เฉพาะที่ที่ร่างกายคุณเท่านั้น ถ้าร่างกายคุณไม่อยู่ที่นั่น คุณก็ไม่อยู่เช่นกัน

ในการนมัสการ เราต้อง "ถวายตัวเราเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต" เรามักจะคิดถึง "เครื่องบูชา" ว่าเป็นสิ่งที่ตายแล้ว แต่พระเจ้าต้องการให้คุณเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต พระองค์ต้องการให้คุณมีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์ แต่ปัญหาของเครื่องบูชาที่มีชีวิตก็คือ มันคลานออกจากแท่นบูชาได้ และเราก็มักทำเช่นนนั้น เราร้องเพลง "ทหารพระเยซู" ในวันอาทิตย์แล้วพอวันจันทร์เราก็หนีทหาร

ในพระคัมภีร์เดิม พระเจ้าทรงพอพระทัยในเครื่องบูชาหลายชนิด เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นเล็งถึงการถวายบูชาของพระคริสต์บนไม้กางเขนเพื่อเรา เวลานี้พระเจ้าก็ทรงพอพระทัยกับเครื่องบูชาอันหลากหลายในการนมัสการ เช่น การขอบพระคุณ การสรรเสริญ ความถ่อมใจ การกลับใจ การถวายเงิน การอธิษฐาน การรับใช้คนอื่น และการแบ่งบันให้คนขัดสน (สดุดี 50:14; ฮีบรู 13:15; สดุดี 51:17; ฟีลิปปี 4:18; สดุดี 141:2; ฮีบรู 13:16; มาระโก 12:33; โรม 12:1)

การนมัสการที่แท้จริงต้องลงทุน ดาวิดเข้าใจเรื่องนี้และกล่าวว่า "เราจะถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราโดยที่เราไม่เสียค่าอะไรเลยนั้นไม่ได้" (2 ซามูเอล 24:24)

ราคาค่างวดที่การนมัสการเรียกร้องให้เราสละ คือความเห็นแก่ตัว คุณไม่สามารถยกย่องพระเจ้าและตัวเองในเวลาเดียวกันได้ คุณไม่อาจนมัสการเพื่อให้คนอื่นเห็น หรือให้ตนเองพอใจ คุณต้องหันความสนใจออกจากตัวเอง

เมื่อพระเยซูตรัสว่า "จงรักพระเจ้าด้วยสิ้นสุดกำลังของท่าน" พระองค์ทรงชี้ให้เห็นว่าการนมัสการต้องใช้ความพยายามและแรงกาย มันไม่ใช่จะสะดวกหรือสบายเสมอไปและบางครั้งการนมัสการก็เป็นความตั้งใจล้วน ๆ เป็นการเสียสละด้วยความเต็มใจ การนมัสการแบบอยู่เฉย ๆ เป็นคำที่ขัดแย้งในตัวเอง

เมื่อคุณสรรเสริญพระเจ้าแม้ในเวลาที่คุณไม่รู้สึกอยาก เมื่อคุณลุกจากที่นอนเพื่อนมัสการทั้ง ๆ ที่คุณเหนื่อย หรือเมื่อคุณช่วยคนอื่นขณะที่คุณหมดแรง คุณก็กำลังถวายเครื่องบูชาแห่งการนมัสการแด่พระเจ้า และนั่นทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัย

แม็ท เรดแมน ผู้นำนมัสการในอังกฤษเล่าวิธีที่ศิษยาภิบาลของเขาสอนคริสตจักรให้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของการนมัสการ เพื่อทำให้เห็นว่าการนมัสการไม่ใช่แค่ดนตรี เขาจึงห้ามการร้องเพลงทั้งหมดในการนมัสการช่วงหนึ่ง เพื่อพวกเขาจะเรียนรู้ที่จะนมัสการด้วยวิธีอื่น พอสิ้นสุดเวลาช่วงนั้น แม็ทก็ได้เขียนบทเพลงอมตะชื่อว่า "Heart of Worship (หัวใจของการนมัสการ)"

ข้าพระองค์จะถวายมากกว่าเพลง
เพราะว่าเพลงไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ต้องการ
พระองค์สืบเสาะลึกลงไปภายใน
ลึกกว่าสภาพปรากฏภายนอก
พระองค์ทรงมองเข้าไปในหัวใจข้าพระองค์

หัวใจของเรื่องนี้คือเรื่องของหัวใจ

วันที่ 13 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: พระเจ้าต้องการทั้งชีวิตของฉัน

ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "จงรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน ด้วยสุดความคิดและด้วยสิ้นสุดกำลังของท่าน" มาระโก 12:30

คำถามสำหรับการพิจารณา: เวลานี้ สิ่งใดที่พระเจ้าพอพระทัยมากกว่าระหว่างการนมัสการของฉันในที่ประชุม หรือการนมัสการส่วนตัวของฉัน ฉันจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้

1 ความคิดเห็น: