วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วันที่ 11 เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดกับพระเจ้า

ความตายของพระเยซูทำให้เราคืนดีกับพระเจ้าได้ฉันใด… พระเยซูจะช่วยเราให้พ้นจากการลงโทษของพระเจ้าได้ฉันนั้น เราเคยเป็นศัตรูต่อพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงทำให้เราเป็นมิตรกับพระองค์ทางความตายของพระบุตรของพระองค์ บัดนี้เราก็ได้เป็นมิตรกับพระเจ้าแล้ว
โรม 5:10 (ประชานิยม)

พระเจ้าต้องการเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณ

ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับพระเจ้ามีหลายด้านที่แตกต่างกัน พระเจ้าทรงเป็นพระผู้เนรมิตรสร้างของคุณ เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและองค์เจ้านาย ผู้พิพากษา พระผู้ไถ่ พระบิดา พระผู้ช่วยให้รอด และอีกมากมาย (สดุดี 95:6; 136:3; ยอห์น 13:13; ยูดา 1:4; ยอห์น 3:1; อิสยาห์ 33:22; 47:4; สดุดี 89:26) แต่ความจริงที่น่าตกใจที่สุดคือ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงปราถนาอย่างยิ่งที่จะเป็นเพื่อนของคุณ

ในสวนเอเดน เราเห็นความสัมพันธ์ในอุดมคติระหว่างพระเจ้ากับเรา อาดัมและเอวามีความสัมพันธ์แนบแน่นกับพระเจ้า ไม่มีพิธีการ ระเบียบแบบแผน หรือศาสนา เป็นเพียงความรักความสัมพันธ์เรียบง่ายระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น เมื่อไม่มีอุปสรรคอันได้แก่ความรู้สึกผิดหรือความกลัว อาดัมและเอวาก็ชื่นชมยินดีในพระเจ้าและพระองค์ทรงชื่นพระทัยในพวกเขา

เราถูกสร้างมาเพื่อให้อยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าตลอดเวลา แต่หลังจากการทำบาปความสัมพันธ์ในอุดมคตินั้นก็ได้สูญเสียไป มีเพียงไม่กี่คนในสมัยพระคัมภีร์เดิมเท่านั้นที่มีสิทธิพิเศษได้เป็นสหายกับพระเจ้า โมเสสและอับราฮัมได้ชื่อว่า "สหายของพระเจ้า" ดาวิดได้ชื่อว่า "คนที่เรา (พระเจ้า) ชอบใจ" และโยบ เอโนค และโนอาห์ก็มีมิตรภาพที่แน่นแฟ้นกับพระเจ้า (อพยพ 33:11, 17:2; 2 พงศาวดาร 20:7; อิสยาห์ 41:8; ยากอบ 2:23; กิจการ 13:22; ปฐมกาล 6:8, 5:22; โยบ 29:4) แต่สิ่งพบบ่อยกว่าในพระคัมภีร์เดิมคือความยำเกรง หาใช่มิตรภาพกับพระเจ้าไม่

แล้วพระเยซูก็ทรงเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ เมื่อพระองค์ทรงชดใช้ความบาปของเราบนไม้กางเขน ม่านในพระวิหารซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งแยกเราจากพระเจ้าได้ฉีกขาดตลอดบนลงล่าง แสดงว่าเส้นทางเข้าเฝ้าพระเจ้าโดยตรงได้เปิดออกอีกครั้ง

ไม่เหมือนกับปุโรหิตในพระคัมภีร์เดิมที่ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงเพื่อเตรียมตัวเข้าเฝ้าพระเจ้า บัดนี้ เราสามารถเข้าเฝ้าพระเจ้าได้ทุกเวลา พระคัมภีร์กล่าวว่า "บัดนี้ เราก็ได้เป็นมิตรกับพระเจ้าแล้ว เราจึงแน่ใจได้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงช่วยเราทางชีวิตของพระองค์ แต่ยังไม่ใช่แค่นั้น เรายังชื่นชมยินดีที่พระเยซูเจ้าทรงทำให้เราเป็นมิตรกับพระเจ้าแล้ว" (โรม 5:11 ประชานิยม)

มิตรภาพกับพระเจ้าเกิดขึ้นได้เพราะพระคุณของพระเจ้าและการเสียสละของพระเยซูเท่านั้น "พระเจ้าทรงกระทำทั้งหมดนี้ ทรงเปลี่ยนเราผู้เป็นศัตรูกับพระองค์ให้กลับเป็นมิตรกับพระองค์" (2 โครินธ์ 5:18ก ประชานิยม) เพลงชีวิตคริสเตียนบทหนึ่งกล่าวว่า "มีสหายเลิศคือพระเยซู" แต่ที่จริง พระเจ้าทรงเชื้อเชิญเราให้มีมิตรภาพและสามัคคีธรรมกับทั้งสามพระภาคในตรีเอกานุภาพคือ พระบิดา (1 ยอห์น 1:3) พระบุตร (1 โครินธ์ 1:9) และพระวิญญาณบริสุทธิ์ (2 โครินธ์ 13:14)

พระเยซูตรัสว่า "เราจะไม่เรียกท่านทั้งหลายว่าบ่าวอีก เพราะบ่าวไม่ทราบว่านายทำอะไร แต่เราเรียกท่านว่ามิตรสหาย เพราะว่าทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดาของเรา เราได้สำแดงแก่ท่านแล้ว" (ยอห์น 15:15) คำว่ามิตรสหายในข้อนี้ใช้กล่าวถึงเพื่อนเจ้าบ่าวในงานแต่งงาน (ยอห์น 3:29) และพระสหายวงในที่ใกล้ชิดและเป็นที่วางใจของพระราชาในราชสำนักบ่าวต้องอยู่ห่าง ๆ จากพระราชา แต่พระสหายวงในซึ่งเป็นที่วางใจสามารถพบปะใกล้ชิด เข้าเฝ้าโดยตรง และรับรู้ข้อมูลลับ

การที่พระเจ้าต้องการผมเป็นเพื่อนสนิทนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก แต่พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่มีความปราถนาแรงกล้าที่จะสร้างความสัมพันธ์กับคุณ" (อพยพ 34:14 NLT)

พระเจ้าทรงปราถนาอย่างยิ่งที่จะให้เรารู้จักพระองค์อย่างสนิทสนม ที่จริงพระองค์ทรงกำหนดจักรวาล และกำกับประวัติศาสตร์ รวมทั้งรายละเอียดในชีวิตของเรา เพื่อเราจะสามารถเป็นเพื่อนของพระองค์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติและทรงสร้างโลกให้เหมาะแก่การพำนักอาศัย โดยมีเวลาและพื้นที่มากมาย สำหรับอยู่อาศัย เพื่อเราจะสามารถแสวงหาพระเจ้า และไม่เพียงแต่คลำหาในความมืด แต่จะพบพระองค์ได้จริง ๆ" (กิจการ 17:26-27 Msg)

การได้รู้จักและรักพระเจ้าคือสิทธิพิเศษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา และพระองค์ก็พอพระทัยมากที่สุดเมื่อเรารู้จักและรักพระองค์ พระเจ้าตรัสว่า "แต่ให้ผู้อวด อวดในสิ่งนี้ คือ ในการที่เขาเข้าใจและรู้จักเรา… เพราะว่าเราพอใจในสิ่งเหล่านี้" (เยเรมีย์ 9:24)

มันยากที่จะจินตนาการว่ามิตรภาพที่แน่นแฟ้นจะเกิดขึ้นได้ระหว่างพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิ์ฤทธิ์ มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า สมบูรณ์เพียบพร้อม กับมนุษย์ที่จำกัดและบาปหนา มันง่ายกว่าที่จะเข้าใจความสัมพันธ์แบบเจ้านายกับคนรับใช้ หรือความสัมพันธ์แบบพระผู้สร้างกับผู้ที่ถูกสร้าง หรือแม้แต่แบบบิดากับบุตร แต่มันหมายความว่าอย่างไรเมื่อพระเจ้าทรงต้องการผมเป็นเพื่อน เมื่อดูชีวิตบรรดาสหายกับพระเจ้า เราจะดูเคล็ดลับสองประการในบทนี้และอีกสี่ประการในบทต่อไป

เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของพระเจ้า

โดยการสนทนากันเสนอ คุณไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าโดยแค่ไปคริสตจักรสัปดาห์ละครั้ง หรือแม้แต่เฝ้าเดี่ยวทุกวัน มิตรภาพกับพระเจ้านั้นเสริมสร้างขึ้นโดยการแบ่งบันประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดของคุณกับพระเจ้า

แน่นอน การสร้างอุปนิสัยเฝ้าเดี่ยวกับพระเจ้าเป็นประจำทุกวันนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่พระองค์ต้องการมากกว่าการนัดพบตามตารางเวลาของคุณ พระองค์ต้องการเข้าร่วมในทุกกิจกรรม ทุกการสนทนา ทุกปัญหา และแม้แต่ทุกความคิด คุณ สามารถสนทนากับพระเจ้าอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน โดยทูลพระองค์ถึงอะไรก็ได้ที่คุณทำหรือคิดในเวลานั้น "จงอธิษฐานตลอดเวลา" (1 เธสะโลนิกา 5:17 อ่านเข้าใจง่าย) หมายถึงการสนทนากับพระเจ้าขณะซื้อของ ขับรถ ทำงาน หรือภารกิจประจำวันอื่น ๆ

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยประการหนึ่งคือ "การใช้เวลากับพระเจ้า" หมายถึงการอยู่กับพระองค์ตามลำพัง แน่นอน ตามที่พระเยซูทรงเป็นแบบอย่าง คุณต้องการเวลาตามลำพังกับพระเจ้า แต่นั่นเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของเวลาที่คุณตื่นอยู่ ทุกสิ่งที่คุณทำสามารถเป็น "การใช้เวลากับพระเจ้า" ถ้าพระองค์ได้รับเชิญเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนั้น และคุณยังคงรับรู้ถึงการสถิตอยู่ของพระองค์

หนังสืออมตะที่พูดถึงการฝึกฝนที่จะสนทนากับพระเจ้าตลอดเวลาคือ หนังสือชื่อต่อพระพักตร์ (The Practicing of the Presence of God) ซึ่งบราเธอร์ ลอเรนซ์ เขียนขึ้นในศตวรรษที่ 17 ท่านเป็นพ่อครัวที่ต่ำต้อยคนหนึ่งในอารามในฝรั่งเศส บราเธอร์ลอเรนซ์สามารถเปลี่ยนสถานที่ธรรมดา ๆ และงานที่น่าเบื่ออย่างการเตรียมอาหารและล้างจาน ให้เป็นการสรรเสริญและการสื่อสารกับพระเจ้า ท่านกล่าวว่า กุญแจสู่มิตรภาพกับพระเจ้านั้น ไม่ใช่การเปลี่ยนสิ่งที่คุณทำ แต่เป็นการเปลี่ยนท่าทีของคุณต่อสิ่งที่คุณทำ สิ่งที่ตามปกติคุณทำเพื่อตัวเอง คุณจะเริ่มทำเพื่อพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นการกิน การอาบน้ำ การทำงาน การพักผ่อน หรือการเอาขยะไปทิ้ง

ทุกวันนี้ เรามักจะรู้สึกว่าเราต้อง "หนี" จากกิจวัตรประจำวันจึงจะได้นมัสการพระเจ้าแต่นั่นเป็นเพราะว่าเราไม่ได้ฝึกฝนที่จะอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าตลอดเวลา บราเธอร์ลอเรนซ์ พบว่า การนมัสการพระเจ้าขณะทำงานธรรมดา ๆ นั้นเป็นเรื่องง่าย ท่านไม่จำเป็นต้องหนีไปเข้าค่ายฝ่ายวิญญาณพิเศษ ๆ แต่อย่างใด

นี่คืออุดมคติของพระเจ้า ในสวนเอเดน การนมัสการไม่ใช่การไปร่วมงาน แต่เป็นท่าทีที่ต่อเนื่อง อาดัมและเอวาสื่อสารกับพระเจ้าตลอดเวลา เนื่องจากพระเจ้าทรงอยู่กับคุณตลอดเวลา จึงไม่มีสถานที่ใดที่ใกล้ชิดพระเจ้ามากกว่าที่ที่คุณอยู่ในเวลานี้พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าองค์เดียวอยู่เหนือทุกสิ่ง อยู่ทั่วทุกสิ่ง และอยู่ในทุกสิ่ง" (เอเฟซัส 4:6ข อ่านเข้าใจง่าย)

แนวคิดที่เป็นประโยชน์อีกประการหนึ่งของบราเธอร์ลอเรนซ์คือ การอธิษฐานสั้น ๆ อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา แทนที่พยายามอธิษฐานซับซ้อนเป็นเวลายาวนาน เพื่อจะบังคับจิตใจให้จดจ่อและต่อสู้กับความคิดล่องลอย ท่านกล่าวว่า "ผมไม่แนะนำให้คุณอธิษฐานด้วยคำมากมาย เพราะการพูดยาว ๆ มักเป็นโอกาสที่ความคิดจะล่อลอยไป" ในยุคสมาธิบกพร่องอย่างในปัจจุบัน ดูเหมือนคำแนะนำง่าย ๆ จาก 450 ปีที่แล้วจะใช้ได้ดีจริง ๆ

พระคัมภีร์บอกให้เรา "อธิษฐานตลอดเวลา" (1 เธสะโลนิกา 5:17 อ่านเข้าใจง่าย) จะทำอย่างนี้ได้อย่างไร วิธีหนึ่งคือ "อธิษฐานเหมือนลมหายใจ" ตลอดทั้งวันอย่างคริสเตียนจำนวนมากทำมาตลอดหลายศตวรรษ คุณเลือกประโยคสั้น ๆ หรือวลีง่าย ๆ ซึ่งสามารถพูดทบทวนกับพระเยซูได้ภายในการสูดหายใจครั้งเดียว เช่น "พระองค์ทรงอยู่กับข้าพระองค์" "ข้าพระองค์รับพระคุณของพระองค์" "ข้าพระองค์พึ่งในพระองค์" "ข้าพระองค์ต้องการรู้จักพระองค์" "ข้าพระองค์เป็นของพระองค์" "ช่วยข้าพระองค์ให้วางใจในพระองค์" คุณยังสามารถใช้วลีสั้น ๆ จากพระคัมภีร์ "สำหรับข้าพเจ้าการมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์" "พระองค์จะไม่ละทิ้งข้าพระองค์เลย" "พระองค์เป็นพระเจ้าของข้าพระองค์" อธิษฐานแบบนี้ให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้มันฝังรากลงไปในใจของคุณ แต่ขอให้แน่ใจว่า แรงจูงใจของคุณคือ เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า ไม่ใช่ควบคุมพระองค์

การอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าเป็นทักษะ เป็นอุปนิสัยที่คุณสามารถพัฒนาได้ เช่น เดียวกับนักดนตรีฝึกซ้อมทุกวันเพื่อจะเล่นดนตรีเพราะ ๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว คุณก็ต้องบังคับตัวเองให้คิดถึงพระเจ้าในช่วงเวลาต่าง ๆ ของแต่ละวัน คุณต้องฝึกความคิดของคุณให้ระลึกถึงพระเจ้า

ตอนแรก คุณจะต้องสร้างสิ่งเตือนใจเพื่อดึงความคิดของคุณกลับมาที่การรับรู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับคุณในเวลานั้น เริ่มต้นโดยการวางสิ่งเตือนใจใกล้ ๆ ตัวคุณ คุณอาจจะติดข้อความว่า "พระเจ้าทรงอยู่กับฉันและเพื่อฉันในเวลานี้" บาทหลวงคณะเบเนดิกต์ใช้เสียงระฆังทุกชั่วโมงเพื่อเตือนพวกเขาให้หยุดและอธิษฐาน "คำอธิษฐานแห่งชั่วโมงนั้น" ถ้าคุณมีนาฬิกาหรือมือถือที่มีนาฬิกาปลุก คุณก็สามารถทำได้เช่นกัน บางครั้งคุณจะรู้สึกถึงการสถิตอยู่ของพระเจ้า แต่บางครั้งก็ไม่รู้สึก

ถ้าคุณแสวงหาประสบการณ์กับการสถิตอยู่ของพระองค์ผ่านสิ่งเหล่านี้ คุณก็พลาดประเด็นสำคัญไปแล้ว เราไม่ได้สรรเสริญพระเจ้าเพื่อให้รู้สึกดี แต่เพื่อจะทำดี เป้าหมายของคุณไม่ใช่ความรู้สึก แต่เป็นการรับรู้อยู่ตลอดเวลาถึงความจริงที่ว่า พระเจ้าทรงสถิตอยู่ตลอดเวลา นั่นคือวิถีชีวิตแห่งการนมัสการ

โดยการใคร่ครวญภาวนาอย่างต่อเนื่อง วิธีที่สองในการพัฒนามิตรภาพกับพระเจ้าคือโดยการคิดทบทวนพระวจนะของพระองค์ตลอดทั้งวัน นี่เรียกว่าการภาวนาใคร่ครวญ พระคัมภีร์วิงวอนเราซ้ำแล้วซ้ำอีกให้ภาวนาใครครวญว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ใด พระองค์ได้ทรงทำอะไร และพระองค์ได้ตรัสอะไร (สดุดี 23:4; 143:5; 145:5; โยชูวา 1:8; สดุดี 1:2)

เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะเป็นสหายของพระเจ้าโดยไม่รู้จักสิ่งที่พระองค์ตรัส คุณไม่สามารถรักพระเจ้านอกเสียจากคุณจะรู้จักพระองค์ และคุณไม่สามารถรู้จักพระองค์โดยที่ไม่รู้คำตรัสของพระองค์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่ซามูเอลโดยพระดำรัสของพระเจ้า" (1 ซามูเอล 3:21) ปัจจุบันพระเจ้าก็ยังทรงใช้วิธีนี้อยู่

แม้จะไม่สามารถศึกษาพระคัมภีร์ตลอดทั้งวัน แต่คุณก็สามารถคิดถึงพระวจนะได้ตลอดเวลา โดยระลึกถึงข้อที่คุณได้อ่านหรือท่องจำ และครุ่นคิดสิ่งเหล่านี้ในสมอง

การภาวนาใคร่ครวญมักจะถูกเข้าใจผิด คิดว่าเป็นพิธีกรรมที่ยากและลึกลับของนักบวชหรือนักพรตที่ปลีกวิเวกแสวงหาพระเจ้า แต่การภาวนาใคร่ครวญนั้น จริง ๆ แล้วก็คือการคิดที่จดจ่อ ซึ่งเป็นทักษะที่ทุกคนสามารถฝึกฝนและปฏิบัติที่ไหนก็ได้

เมื่อคุณคิดถึงปัญหาซ้ำ ๆ ซาก ๆ ในสมองนั่นเรียกว่าวิตกกังวล เมื่อคุณคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าซ้ำ ๆ ในสมอง นั่นเรียกว่าการภาวนาใคร่ครวญ ถ้าคุณวิตกกังวลเป็น คุณก็รู้จักวิธีภาวนาใคร่ครวญ เพียงแต่ต้องเปลี่ยนความสนใจของคุณจากปัญหามาเป็นข้อพระคัมภีร์ ยิ่งภาวนาใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้ามากเท่าใด คุณก็ยิ่งกังวลน้อยลงเท่านั้น

เหตุผลที่พระเจ้าทรงถือว่าโยบและดาวิดเป็นเพื่อนสนิทของพระองค์คือ เพราะพวกเขาให้คุณค่าพระวจนะของพระองค์เหนือสิ่งอื่นใด และพวกเขาคิดถึงพระวจนะตลอดทั้งวัน โยบยอมรับว่า "ข้าตีราคาพระวจนะแห่งพระโอษฐ์ของพระองค์สูงกว่าอาหารประจำวันของข้า" (โยบ 23:12 NIV) ดาวิดกล่าวว่า "ข้าพระองค์รักพระธรรมของพระองค์จริง ๆ เป็นคำภาวนาของข้าพระองค์วันยังค่ำ" (สดุดี 119:97) "ข้าพระองค์จะตรึงตรองถึงพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์ และรำพึงถึงพระราชกิจอันทรงฤทธิ์ของพระองค์" (สดุดี 77:12)

เพื่อนฝูงมักจะเล่าความลับสู่กันฟัง พระเจ้าก็ทรงบอกความลับของพระองค์แก่คุณ ถ้าคุณฝึกฝนนิสัยคิดทบทวนพระวจนะของพระองค์ตลอดทั้งวัน พระเจ้าทรงบอกความลับของพระองค์แก่อับราฮัม และพระองค์ทรงบอกแก่ดาเนียล เปาโล พวกสาวก และสหายคนอื่น ๆ เช่นกัน

เมื่อคุณอ่านพระคัมภีร์ หรือฟังเทศนา หรือเทป อย่าลืมสิ่งที่คุณได้รับแล้วก็ปล่อยผ่านไป แต่จงฝึกที่จะทบทวนสิ่งที่พระเจ้าตรัสมากเท่าใด คุณก็จะยิ่งเข้าใจ "ความลับ" ของชีวิตมากเท่านั้น ซึ่งคนจำนวนมากไม่เข้าใจ พระคัมภีร์กล่าวว่า "มิตรภาพของพระเจ้าสงวนไว้สำหรับคนที่ยำเกรงพระองค์ แก่พวกเขาเท่านั้นที่พระองค์ทรงแจ้งความลับแห่งพระสัญญาของพระองค์" (สดุดี 25:14 LB)

ในบทต่อไป เราจะดูเคล็ดลับอีกสี่ประการในการปลูกฝังมิตรภาพกับพระเจ้า แต่ไม่ต้องรอจนถึงพรุ่งนี้ จงเริ่มเสียตั้งแต่วันนี้ โดยฝึกสนทนากับพระเจ้าตลอดเวลา และภาวนาใคร่ครวญพระวจนะของพระองค์อย่างต่อเนื่อง การอธิษฐานเปิดโอกาสให้คุณพูดกับพระเจ้า การภาวนาใคร่ครวญเปิดโอกาสให้พระเจ้าตรัสกับคุณ ทั้งสองสิ่งนี้สำคัญต่อการเป็นสหายของพระเจ้า

วันที่ 11 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: พระเจ้าต้องการเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน

ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "มิตรภาพของพระเจ้าสงวนไว้สำหรับคนที่ยำเกรงพระองค์" สดุดี 25:14

คำถามสำหรับการพิจารณา: ฉันจะทำสิ่งใดได้บ้างเพื่อเตือนตัวเองให้คิดถึงพระเจ้าและสนทนากับพระองค์บ่อยขึ้นตลอดทั้งวัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น