วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วันที่ 39 รักษาชีวิตของคุณให้สมดุล

จงดำเนินชีวิตด้วยสำนึกอันเหมาะสมต่อความรับผิดชอบอย่างคนที่รู้จักความหมายของชีวิตไม่ใช่อย่างคนไม่รู้จัก
เอเฟซัส 5:15 (Ph)

อย่าให้ความผิดพลาดของคนชั่วนำท่านไปในทางที่ผิดและทำให้ท่านสูญเสียความสมดุล
2 เปโตร 3:17 (CEV)

ความสุขเป็นของผู้ที่มีความสมดุล เพราะพวกเขาจะมีชีวิตยืนยาวกว่าทุกคน

หนึ่งในกีฬาที่แข่งขันกันในโอลิมปิกฤดูร้อนคือปัญจกรีฑา ซึ่งประกอบด้วยกีฬาห้าประเภท ได้แก่ยิงปืน ฟันดาบ ขี่ม้า วิ่ง และว่ายน้ำ เป้าหมายของนักปัญจกรีฑาคือ การประสบความสำเร็จในกีฬาทั้งห้าชนิด ไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองชนิด

ชีวิตคุณก็เป็นปัญจกรีฑาของวัตถุประสงค์ห้าประการซึ่งคุณต้องรักษาความสมดุลไว้ วัตถุประสงค์เหล่านี้ถือปฏิบัติโดยคริสเตียนยุคแรกในกิจการบทที่ 2 อธิบายโดยเปาโลในเอเฟซัสบทที่ 4 และทำเป็นแบบอย่างโดยพระเยซูในยอห์น บทที่ 17 แต่สิ่งเหล่านี้สรุปไว้ในพระมหาบัญญัติและพระมหาบัญชาของพระเยซู ข้อพระคัมภีร์ทั้งสองนี้สรุปเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ไว้ทั้งหมด นั่นคือพระประสงค์ทั้งห้าที่พระเจ้าเตรียมไว้สำหรับชีวิตของคุณ

1. "รักพระเจ้าด้วยสุดใจของท่าน" คุณถูกกำหนดไว้เพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย ดังนั้นวัตถุประสงค์ของคุณคือการรักพระเจ้าด้วยการนมัสการ
2. "รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง" พระเจ้าบรรจงปั้นคุณไว้เพื่อการรับใช้ ดังนั้นวัตถุประสงค์ของคุณคือการแสดงความรักต่อผู้อื่นโดยการรับใช้
3. "จงออกไปและสร้างสาวก" คุณถูกสร้างมาเพื่อภารกิจหนึ่งประการหนึ่ง ดังนั้นวัตถุประสงค์ของคุณคือการบอกเรื่องราวของพระเจ้าโดยการประกาศ
4. "บัพติศมาพวกเขาเข้ามา" คุณถูกหล่อหลอมเพื่อครอบครัวของพระเจ้า ดังนั้นวัตถุประสงค์ของคุณคือการเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรโดยการสามัคคีธรรม
5. "สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัด…" คุณถูกสร้างมาเพื่อให้เป็นเหมือนพระคริสต์ ดังนั้นวัตถุประสงค์ของคุณคือการเติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยการเป็นสาวก

การอุทิศตัวอย่างจริงจังเพื่อพระมหาบัญญัติและพระมหาบัญชาจะทำให้คุณเป็นคริสเตียนที่ยิ่งใหญ่

การรักษาวัตถุประสงค์ทั้งห้าประการให้สมดุลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เราทุกคนมักจะเน้นวัตถุประสงค์ที่เราสนใจมากจนเกินไป และละเลยวัตถุประสงค์ประการอื่น ๆ หลายคริสตจักรก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน แต่เราสามารถรักษาชีวิตของกันและกันและรายงานต่อกัน ประเมินสุขภาพฝ่ายวิญญาณของคุณอย่างสม่ำเสมอ บันทึกความก้าวหน้าของคุณในบันทึกส่วนตัว และถ่ายทอดสิ่งที่คุณได้เรียนรู้แก่คนอื่น สิ่งเหล่านี้เป็นกิจกรรมสำคัญสี่อย่างของชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ ถ้าคุณจริงจังกับการรักษาเส้นทาง คุณจำเป็นจะต้องสร้างนิสัยเหล่านี้

คุยกับคู่หูฝ่ายวิญญาณหรือกลุ่มย่อย วิธีที่ดีที่จะซึมซับหลักการในหนังสือเล่มนี้คือคุยเรื่องเหล่านี้กับคนอื่นในกลุ่มย่อย พระคัมภีร์กล่าวว่า "เหล็กลับเหล็กได้อย่างไร คนก็สามารถปรับปรุงกันและกันได้อย่างนั้น" (สุภาษิต 27:17 NCV) เราเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่ออยู่ในชุมชน ความคิดของเราเฉียบแหลมขึ้นและความเชื่อของเราก็หนักแน่นขึ้นโดยการสนทนา

ผมขอกำชับคุณให้รวบรวมเพื่อนกลุ่มเล็ก ๆ และตั้งกลุ่มอ่านหนังสือชีิวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ เพื่อทบทวนบทต่าง ๆ เหล่านี้เป็นประจำทุกสัปดาห์ คุยกันถึงผลที่ได้รับและการประยุกต์ใช้ของแต่ละบท ถามว่า "แล้วยังไง" และ "ถ้าอย่างนั้นจะทำอะไรต่อไป" สิ่งนี้มีความหมายอะไรสำหรับฉัน ครอบครัวของฉัน และคริสตจักรของเรา ฉันจะทำอะไรกับเรื่องนี้ เปาโลกล่าวว่า "จงกระทำทุกสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้" (ฟีลิปปี 4:9) ในภาคผนวก 1 ผมได้เตรียมคำถามสำหรับอภิปรายไว้ให้คุณใช้ในกลุ่มย่อยหรือชั้นรวีวารศึกษา

กลุ่มย่อยที่คุณได้อ่านหนังสือร่วมกันนั้นมีข้อดีหลายอย่างซึ่งหนังสือให้คุณไม่ได้โดยตัวมันเอง คุณสามารถให้และรับฟังการตอบสนองเกี่ยวกับสิ่งที่คุณกำลังเรียนรู้ คุณสามารถอภิปรายตัวอย่างจากชีวิตจริง คุณสามารถอธิษฐานเผื่อ หนุนใจ และสนับสนุนกันและกันขณะที่คุณเริ่มดำเนินชีวิตตามวัตถุประสงค์เหล่านี้ จำไว้ว่าเราต้องเติบโตไปด้วยกัน ไม่ใช่แยกจากกัน พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงหนุนใจกัน และต่างคนต่างจงเสริมสร้างกันขึ้น" (1 เธสะโลนิกา 5:11 2002) หลังจากที่คุณอ่านหนังสือนี้ด้วยกันในกลุ่มจบแล้ว คุณก็อาจจะพิจารณาศึกษาบทเรียนอื่น ๆ ที่มีอยู่เกี่ยวกับชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ ซึ่งจัดทำไว้สำหรับชั้นเรียนและกลุ่มย่อย (ดูภาคผนวก 2)

ผมหนุนใจให้คุณศึกษาพระคัมภีร์ส่วนตัวด้วย ผมมีข้อพระคัมภีร์อ้างอิงกว่าพันข้อที่ใช้ในหนังสือเล่นนี้ ให้คุณได้ศึกษาจากบริบทของมันเอง โปรดอ่านภาคผนวก 3 ซึ่งจะอธิบายว่าทำไมหนังสือเล่มนี้จึงใช้พระคัมภีร์จากฉบับแปลหรือถอดความหลายฉบับเหลือเกิน เนื่องจากต้องเขียนให้แต่ละบทยาวพอเหมาะที่จะอ่านแบบประจำวัน ผมจึงไม่สามารถอธิบายถึงบริบทอันน่าทึ่งของพระคัมภีร์แต่ละข้อที่ใช้ แต่พระคัมภีร์มีไว้สำหรับศึกษาเป็นย่อหน้า เป็นบท หรือแม้แต่ศึกษาพระธรรมทั้งเล่มรวดเดียว หนังสือ Personal Bible Study Method (วิธีศึกษาพระคัมภีร์ส่วนตัว) ของผมสามารถอธิบายให้คุณรู้วิธีศึกษาพระคัมภีร์ด้วยวิธีดึงหลักจากตัวอย่างต่าง ๆ (วิธีอุปนัย)

มอบชีวิตของคุณแก่การตรวจสภาพฝ่ายวิญญาณเป็นประจำ วิธีที่ดีที่สุดในการทำให้วัตถุประสงค์ทั้งห้าประการมีความสมดุลในชีวิตของคุณ คือ การประเมินตัวเองเป็นระยะ ๆ พระเจ้าทรงให้ความสำคัญอย่างสูงต่อนิสัยในการประเมินตัวเอง มีอย่างน้อยห้าครั้งที่พระคัมภีร์บอกให้เราตรวจสอบและพิจารณาสุขภาพฝ่ายวิญญาณ (บทเพลงคร่ำครวญ 3:40, 1 โครินธ์ 11:28, 31, 13:5, กาลาเทีย 6:4) พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงทดสอบตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่าท่านยังมั่นคงในความเชื่อ อย่าปล่อยตัวเพิกเฉยต่อสิ่งต่าง ๆ จงตรวจสอบตัวเองเสมอ… จงทดสอบดู ถ้าท่านสอบตก ก็จงหาทางแก้ไขเสีย" (2 โครินธ์ 13:5 Msg)

ถ้าคุณจะรักษาสุขภาพของคุณ คุณก็ต้องตรวจสุขภาพเป็นประจำกับแพทย์ที่สามารถประเมินสิ่งบ่งชี้สำคัญ ๆ ในตัวคุณ เช่น ความดันเลือด อุณหภูมิ น้ำหนัก และอื่น ๆ สำหรับสุขภาพฝ่ายวิญญาณของคุณ คุณก็ต้องตรวจเป็นประจำถึงสิ่งบ่งชี้สำคัญห้าประการ ได้แก่ การนมัสการ การสามัคคีธรรม การเติบโตของลักษณะนิสัย พันธกิจและภารกิจ เยเรมีย์แนะนำว่า "ให้เราพิจารณาวิถีชีวิตของเรา และจัดการชีวิตของเราใหม่ภายใต้พระเจ้า" (บทเพลงคร่ำครวญ 3:40 Msg)

ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เรามีเครื่องมือประเมินผลส่วนตัวง่าย ๆ ซึ่งได้ช่วยคนนับพัน ๆ ให้คงอยู่ในวัตถุประสงค์เพื่อพระเจ้า ถ้าคุณต้องการแบบประเมินสุขภาพจิตวิญญาณของชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ คุณสามารถส่งอีเมล์ถึงผม (ดูภาคผนวก 2) คุณจะแปลกใจที่เครื่องมือเล็ก ๆ นี้จะช่วยคุณได้มาก ในการรักษาความสมดุลในชีวิตเพื่อสุขภาพและการเติบโต เปาโลได้กำชับว่า "จงลงมือกระทำจริงในเวลานี้ ให้สมกับที่ท่านมีความคิดกระตือรือร้นในตอนเริ่มต้น" (2 โครินธ์ 8:11 LB)

บันทึกความก้าวหน้าของคุณในสมุดบันทึก วิธีที่ดีที่สุดในการเสริมความก้าวหน้าของคุณ ในการทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตคุณสำเร็จคือ การจดบันทึกฝ่ายวิญญาณ นี่ไม่ใช่บันทึกเหตุการณ์ประจำวัน แต่บันทึกบทเรียนชีวิตที่คุณไม่อยากจะลืม พระคัมภีร์กล่าวว่า "เราจะต้องเอาใจใส่สิ่งต่าง ๆ ที่เราได้ยินให้มากขึ้นอีก เพื่อเราจะไม่ห่างไกลไปจากข้อความเหล่านั้น" (ฮีบรู 2:1 2002) เราจะจดจำสิ่งที่เราบันทึก

การเขียนช่วยให้เกิดความชัดเจนในสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำในชีวิตของคุณ ดอว์สัน ทรอทแมน เคยกล่าวว่า "ความคิดลดความสับสนได้เองเมื่อมันไหลผ่านปลายนิ้วของคุณ" พระคัมภีร์มีหลายตัวอย่างที่พระเจ้าตรัสบอกให้ผู้คนจดบันทึกเรื่องราวการเดินทางฝ่ายวิญญาณของคนอิสราเอล ถ้าท่านขี้เกียจ เราคงสูญเสียบทเรียนชีวิตที่สำคัญของการอพยพ

แม้ว่าบันทึกฝ่ายวิญญาณของคุณจะไม่ได้อ่านกันอย่างกว้างขวางเหมือนกับของโมเสส แต่บันทึกของคุณก็ยังมีความสำคัญ พระคัมภีร์ฉบับ New Internation Version ใช้คำว่า "โมเสสบันทึกการเดินทางช่วงต่าง ๆ ของพวกเขา" ชีวิตของคุณคือ การเดินทางและการเดินทางก็ควรจะมีการจดบันทึก ผมหวังว่า คุณจะเขียนถึงช่วงเวลาต่าง ๆ ในการเดินทางฝ่ายวิญญาณของคุณ ในการดำเนินชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์

อย่าเขียนแต่สิ่งที่คุณพอใจ แต่ให้เหมือนกับที่ดาวิดทำ จงบันทึกความสงสัย ความกลัว และการที่คุณปล้ำสู้กับพระเจ้า บรรดาบทเรียนสำคัญที่สุดของเรามาจากความเจ็บปวดและพระคัมภีร์กล่าวว่า พระเจ้าทรงบันทึกหยดน้ำตาของเราไว้ (สดุดี 56:8) เมื่อไรที่เกิดปัญหาขึ้น จงจำไว้ว่า พระเจ้าทรงใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อทำให้วัตถุประสงค์ทั้งห้าประการสำเร็จในชีวิตของคุณ ปัญหาจะบังคับให้คุณจดจ่อที่พระเจ้า ดึงพวกคุณให้ใกล้ชิดกันมากขึ้นในสามัคคีธรรม สร้างลักษณะนิสัยที่เหมือนพระคริสต์ ให้พันธกิจแก่คุณ และให้คำพยานแก่คุณ ปัญหาทุกอย่างเกิดขึ้นจากวัตถุประสงค์

ท่ามกลางประสบการณ์ที่เจ็บปวด ผู้เขียนสดุดีไว้ว่า "จงบันทึกสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำไว้เพื่อให้คนรุ่นต่อไปได้อ่าน เพื่อคนเหล่านั้นที่ยังไม่เกิดมาจะได้สรรเสริญพระองค์" (สดุดี 102:18 TEV) คุณเป็นหนี้คนชั่วอายุต่อไปที่จะต้องบันทึกคำพยานเรื่องการที่พระเจ้าทรงช่วยคุณ ทำให้พระประสงค์ของพระองค์บนโลกนี้สำเร็จ มันจะเป็นพยานซึ่งจะให้การไปอีกนานแสนนานหลังจากที่คุณอยู่ในสวรรค์แล้ว

ถ่ายทอดสิ่งที่คุณรู้แก่คนอื่น ถ้าคุณต้องการเติบโตต่อไป วิธีที่ดีที่สุดในการเรียนรู้มากขึ้นก็คือ ถ่ายทอดสิ่งที่คุณได้เรียนรู้ สุภาษิตบอกเราว่า "บุคคลที่อวยพรคนอื่นก็ได้รับพรอย่างล้นเหลือ คนเหล่านั้นที่ช่วยคนอื่นก็จะได้รับความช่วยเหลือ" (สุภาษิต 11:25 Msg) คนที่ถ่ายทอดความเข้าใจให้คนอื่นก็จะได้รับจากพระเจ้ามากยิ่งขึ้น

เมื่อคุณเข้าใจวัตถุประสงค์ของชีวิตดังนี้แล้ว การนำเรื่องเหล่านี้ไปสู่ผู้อื่นคือ ความรับผิดชอบของคุณ พระเจ้ากำลังเรียกคุณให้เป็นผู้สื่อสารของพระองค์ เปาโลกล่าวไว้ว่า "ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านบอกสิ่งเดียวกันนี้แก่ผู้ติดตามที่วางใจได้ว่าเขาจะบอกคนอื่น" (2 ทิโมธี 2:2ข CEV) ในหนังสือเล่มนี้ ผมได้ถ่ายทอดแก่คุณถึงสิ่งที่คนอื่นสอนผมเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของชีวิต บัดนี้เป็นหน้าที่ของคุณที่จะถ่ายทอดสิ่งนี้ให้แก่ผู้อื่น

คุณคงจะรู้จักคนนับร้อยที่ยังไม่รู้วัตถุประสงค์ของชีวิต จงบอกความจริงเหล่านี้แก่ลูก ๆ เพื่อน ๆ เพื่อนบ้านของคุณ และคนที่คุณทำงานด้วย ถ้าคุณให้หนังสือเล่มนี้แก่เพื่อนคนหนึ่ง จงเขียนข้อความส่วนตัวไว้ที่หน้ามอบหมายให้ด้วยใจรักด้วย

ยิ่งคุณรู้มาก พระเจ้าก็จะยิ่งคาดหวังคุณจะใช้ความรู้นั้นช่วยเหลือคนอื่น ยากอบกล่าวว่า "เหตุฉะนั้นผู้ใดรู้ว่าอะไรเป็นความดี และไม่ได้กระทำคนนั้นจึงมีบาป" (ยากอบ 4:17) ความรู้นั้นเพิ่มความรับผิดชอบ แต่การถ่ายทอดวัตถุประสงค์ของชีวิตนั้น ไม่ใช่แค่หน้าที่ผูกมัด แต่มันยังเป็นสิทธิพิเศษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของชีวิต ลองนึกดูสิครับว่าโลกจะเปลี่ยนไปมากเพียงไรถ้าทุกคนรู้จักวัตถุประสงค์ของตน เปาโลกล่าวว่า "ถ้าท่านจะให้คำแนะนำเหล่านี้แก่พวกพี่น้อง ท่านก็จะเป็นผู้รับใช้ที่ดีของพระเยซูคริสต์" (1 ทิโมธี 4:6)

ทั้งหมดเพื่อพระเกียรติของพระเจ้า

เหตุผลที่เราถ่ายทอดสิ่งที่เราเรียนรู้ก็เพื่อพระเกียรติของพระเจ้า และเพื่ออาณาจักรของพระองค์จะแผ่ขยายไป คืนก่อนที่พระเยซูทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์ทรงรายงานต่อพระบิดาว่า "ข้าพระองค์ได้ถวายเกียรติแด่พระองค์ในโลก เพราะข้าพระองค์ได้กระทำกิจที่พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์กระทำสำเร็จแล้ว" (ยอห์น 17:4) ขณะที่พระเยซูตรัสคำอธิษฐานนี้ พระองค์ยังไม่สิ้นพระชนม์เพื่อบาปของเรา ถ้าอย่างนั้นมันเป็นงานอะไรที่พระองค์ทำสำเร็จแล้ว ในกรณีนี้ พระองค์กำลังตรัสเรื่องงานอื่นที่ไม่ใช่การไถ่บาปและคำตอบก็อยู่ในคำอธิษฐานที่พระองค์ตรัสในยี่สิบข้อต่อจากนั้น (ยอห์น 17:6-26)

พระเยซูทรงทูลพระบิดาถึงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำในช่วงสามปีสุดท้ายคือการเตรียมสาวกของพระองค์ให้อยู่เพื่อพระประสงค์ของพระเจ้า พระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้รู้จักและรักพระเจ้า (นมัสการ) สอนพวกเขาให้รักกันและกัน (สามัคคีธรรม) ประทานพระวจนะแก่พวกเขา เพื่อพวกเขาจะสามารถเติบโตสู่ความเป็นผู้ใหญ่ (การเป็นสาวก) แสดงให้พวกเขาเห็นว่าจะรับใช้อย่างไร (พันธกิจ) และส่งพวกเขาออกไปบอกคนอื่น (ภารกิจ) พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างของชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ และพระองค์สอนคนอื่นว่าจะดำเนินชีวิตเช่นนั้นได้อย่างไร นั่นคือ "งาน" ที่ถวายเกียรติแด่พระองค์

วันนี้ พระเจ้าทรงเรียกเราแต่ละคนให้ทำงานอย่างเดียวกัน ไม่เพียงแต่ต้องการให้เราดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์เท่านั้น แต่พระองค์ยังต้องการให้เราช่วยเหลือคนอื่นให้ทำสิ่งนี้ด้วย พระเจ้าต้องการให้เราแนะนำคนอื่นให้รู้จักพระคริสต์ นำพวกเขาเข้าสู่การสามัคคีธรรม ช่วยพวกเขาให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ และค้นพบงานรับใช้ของพวกเขาแล้วส่งพวกเขาออกไปประกาศแก่คนอื่นด้วย

นี่คือทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ ไม่ว่าคุณ จะมีอายุเท่าไร ชีวิตที่เหลืออยู่ของคุณสามารถเป็นชีวิตที่ดีที่สุดได้ และคุณสามารถเริ่มดำเนินชีวิตตามวัตถุประสงค์ได้เดี๋ยวนี้

วันที่ 39 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: ความสุขเป็นของผู้ที่มีความสมดุล

ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "จงดำเนินชีวิตด้วยสำนึกอันเหมาะสมต่อความรับผิดชอบอย่างคนที่รู้จักความหมายของชีวิต ไม่ใช่อย่างคนที่ไม่รู้จัก" เอเฟซัส 5:15 (Ph)

คำถามสำหรับการพิจารณา: ในกิจกรรมสี่อย่างนี้ ฉันจะเริ่มทำกิจกรรมใดก่อน เพื่อจะคงอยู่บนเส้นทางและรักษาความสมดุลในพระประสงค์ทั้งห้าประการของพระเจ้าสำหรับชีวิตของฉัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น