วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วันที่ 34 คิดอย่างผู้รับใช้

คาเลบผู้รับใช้ของเราคิดไม่เหมือนคนเหล่านี้ เขาติดตามเรามาตลอด
กันดารวิถี 14:24 (NCV)

จงคิดถึงตน อย่างที่พระคริสต์ทรงคิดถึงพระองค์เอง
ฟีลิปปี 2:5 (Msg)

การรับใช้เริ่มต้นที่ความคิดของคุณ

การจะเป็นผู้รับใช้นั้นจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนความคิดและเปลี่ยนแปลงท่าที่ พระเจ้าสนพระทัยเหตุผลเบื้องหลังของสิ่งที่เราทำมากกว่าสิ่งที่ทำ ท่าทีสำคัญกว่าความสำเร็จ กษัตริย์อามาซิยาห์สูญเสียความพอพระทัยของพระเจ้า เพราะ "พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชอบในสายพระเนตรพระเจ้า แต่มิใช่ด้วยพระทัยที่แท้จริง" (2 พงศาวดาร 25:2) ผู้รับใช้แท้รับใช้พระเจ้าด้วยท่าทีห้าประการต่อไปนี้

ผู้รับใช้คิดถึงผู้อื่นมากกว่าตัวเอง ผู้รับใช้จะจดจ่อที่คนอื่น ไม่ใช่ตัวเอง นี่คือถ่อมใจแท้ คือไม่ใช่การคิดว่าตัวเองด้อย แต่คิดถึงตัวเองน้อยลง พวกเขามักจะลืมนึกถึงตัวเอง เปาโลกล่าวว่า "จงลืมนึกถึงตัวเองนานพอที่จะช่วยเหลือคนอื่น" (ฟีลิปปี 2:4 Msg) นี่คือความหมายของการ "สูญเสียชีวิตของท่าน" คือลืมนึกถึงตัวเองในการรับใช้คนอื่นเมื่อเราเลิกจดจ่อที่ความต้องการของเราเอง เราก็ตื่นตัวต่อความต้องการที่อยู่รอบตัวเรา

พระเยซูทรง "สละทุกสิ่งหมด มารับสภาพอย่างทาส" (ฟีลิปปี 2:7 ประชานิยม) ครั้งสุดท้ายที่คุณสละตัวเองเพื่อผลประโยชน์ของคนอื่นคือเมื่อไหร่ คุณไม่สามารถเป็นผู้รับใช้ได้ถ้าคุณคิดถึงแต่ตัวเอง เราจะทำสิ่งที่ควรแก่การจดจำก็เมื่อเราลืมนึกถึงตัวเอง

น่าเสียดายที่การรับใช้มากมายของเรามักจะเป็นการรับใช้ตัวเอง เรารับใช้เพื่อให้คนอื่นชอบเรา เพื่อจะเป็นที่ยกย่อง หรือเพื่อบรรลุเป้าหมายของเรา นั่นไม่ใช่พันธกิจ แต่เป็นการพยายามควบคุมและใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือ ตลอดเวลา เราคิดถึงแต่ตัวเองและคิดว่าเรา น่านับถือและวิเศษเพียงไร บางคนพยายามใช้การรับใช้เป็นเครื่องมือต่อรองกับพระเจ้า "ข้าพระองค์จะทำสิ่งนี้เพื่อพระองค์ ถ้าพระองค์ทรงทำบางสิ่งให้ข้าพระองค์" ผู้รับใช้แท้ไม่พยายามใช้พระเจ้าเพื่อวัตถุประสงค์ของพวกเขา ตรงกันข้าม พวกเขาให้พระเจ้าใช้เขาเพื่อวัตถุประสงค์ของพระองค์

การลืมนึกถึงตัวเองนั้นก็เหมือนกับความสัตย์ซื่อ คือหาได้ยาก ในบรรดาคนทั้งหมดที่เปาโลรู้จัก ทิโมธีเป็นตัวอย่างเดียวที่ท่านสามารถกล่าวถึงได้ (ฟีลิปปี 2:20-21) การคิดอย่างผู้รับใช้นั้นเป็นเรื่องยาก เพราะมันท้าทายปัญหาพื้นฐานของชีวิตผม โดยธรรมชาติแล้วผมเป็นคนเห็นแก่ตัว ผมคิดถึงตัวเองมากที่สุด นั่นคือเหตุผลที่ความถ่อมใจจึงเป็นการต่อสู้ประจำวัน เป็นบทเรียนที่ต้องเรียนซ้ำแล้วซ้ำอีก โอกาสที่จะเป็นผู้รับใช้อยู่ตรงหน้าผมวันละหลายสิบครั้ง ซึ่งผมจะมีโอกาสเลือกระหว่างการสนองความต้องการของตัวเองหรือความต้องการของคนอื่น การปฏิเสธตัวเองคือ แก่นแท้ของการเป็นผู้รับใช้

เราสามารถวัดว่าเรามีหัวใจผู้รับใช้มากแค่ไหน โดยดูวิธีที่เราตอบสนองเมื่อคนอื่นปฏิบัติต่อเราเหมือนเป็นคนรับใช้ คุณตอบสนองอย่างไรเมื่อคนอื่นไม่ขอบคุณคุณ สั่งคุณให้ทำนั่นทำนี่ หรือปฏิบัติต่อคุณอย่างคนที่ด้อยกว่า พระคัมภีร์กล่าวว่า "ถ้าใครเอาเปรียบท่านอย่างอยุติธรรม จงใช้โอกาสนั้นฝึกชีวิตผู้รับใช้" (มัทธิว 5:41 Msg)

ผู้รับใช้คิดว่าตนเป็นผู้อารัขาไม่ใช่เจ้าของ ผู้รับใช้ระลึกว่าพระเจ้าทรงเป็นเจ้าของทุกสิ่ง ในพระคัมภีร์ ผู้อารักขาคือคนที่ได้รับความไว้วางใจให้ดูแลทรัพย์สมบัติ โยเซฟเป็นคนใช้ประเภทนี้ในฐานะนักโทษในอียิปต์ โปทิฟาร์วางใจโยเซฟให้ดูแลบ้านของเขาแล้วนายคุกก็วางใจโยเซฟให้ดูแลคุก ในที่สุด ฟาโรห์วางใจท่านให้ดูแลทั้งประเทศ การเป็นผู้รับใช้ และการเป็นผู้อารักขานั้นไปด้วยกัน (1 โครินธ์ 4:1) เนื่องจากพระเจ้าทรงคาดหวังว่าเราจะไว้ใจได้ในทั้งสองบทบาท พระคัมภีร์กล่าวว่า "ลักษณะประการเดียวที่ผู้รับมอบหมายจะต้องมีก็คือ ซื่อสัตย์ต่อผู้เป็นนายของตน" (1 โครินธ์ 4:2 ประชานิยม) คุณจัดการกับทรัพยากรที่พระเจ้าทรงไว้ใจให้คุณดูแลอย่างไร

ถ้าจะเป็นผู้รับใช้แท้ คุณต้องตัดสินใจเรื่องเงินทองให้เรียบร้อย พระเยซูตรัสว่า "ไม่มีผู้ใดเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้…ท่านจะรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้" (ลูกา 16:13 2002) พระองค์มิได้ตรัสว่า "ไม่ควร" แต่ตรัสว่า "ไม่ได้" มันเป็นไปไม่ได้ การอยู่เพื่อพันธกิจและอยู่เพื่อเงินทองนั้นเป็นเป้าหมายที่แยกจากกันอย่างเด็ดขาด แล้วคุณจะเลือกอะไร ถ้าคุณเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า คุณก็ไม่สามารถมีงานลับ ๆ เพื่อตัวเอง เวลาทั้งหมดของคุณเป็นของพระเจ้า พระองค์ทรงยืนกรานว่าเราต้องถวายความภักดีแบบผูกขาดไม่ใช่ความสัตย์ซื่อบางเวลา

เงินทองมีศักยภาพอย่างมากในการเข้ามาแทนที่พระเจ้า มีคนที่หันเหจากการรับใช้เพราะวัตถุนิยมมากกว่าเพราะสิ่งอื่น พวกเขาบอกว่า "หลังจากที่ผมบรรลุเป้าหมายทางการเงินแล้ว ผมจะรับใช้พระเจ้า" นั่นคือการตัดสินใจอย่างโง่เขลาที่พวกเขาจะเสียใจไปชั่วนิรันดร์ เมื่อพระเยซูทรงเป็นเจ้านายของคุณ เงินทองจะรับใช้คุณ แต่ถ้าเงินทองเป็นเจ้านายของคุณ คุณจะเป็นทาส แน่นอนความมั่งมีไม่ใช่ความบาป แต่การไม่ได้ใช้มันเพื่อพระเกียรติของพระเจ้าเป็นบาป ผู้รับใช้ของพระเจ้าต้องสนใจพันธกิจมากกว่าเงินทองเสมอ

พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนมากว่า พระเจ้าทรงใช้เงินทองเพื่อทดสอบความสัตย์ซื่อในฐานะผู้รับใช้ นั่นคือเหตุผลที่พระเยซูตรัสเรื่องเงินทองมากกว่าตรัสเรื่องสวรรค์หรือนรก พระเยซูตรัสว่า "เหตุฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายไม่ซื่อสัตย์ในการจัดการทรัพย์สมบัติฝ่ายโลกใครจะวางใจท่านให้จัดการทรัพย์สมบัติแท้เล่า" (ลูกา 16:11 NIV) วิธีที่คุณจัดการเงินทองจะมีผลต่อปริมาณพระพรที่พระเจ้าสามารถอำนวยให้เกิดในชีวิตของคุณ

ในบทที่ 31 ผมได้กล่าวถึงคนสองประเภท คือผู้สร้างอาณาจักรของพระเจ้ากับผู้สร้างความมั่งคั่ง คนทั้งสองประเภทเก่งเรื่องการทำให้ธุรกิจเติบโต เจรจาหรือค้าขาย และทำกำไร ผู้สร้างความมั่งคั่งสะสมทรัพย์สมบัติเพื่อตัวเองต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าพวกเขาจะหาเงินได้เท่าไร แต่ผู้สร้างอาณาจักรของพระเจ้าเปลี่ยนกฎการเล่น พวกเขายังพยายามหาเงินให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่พวกเขาทำเพื่อให้เงินออกไป พวกเขาใช้ความมั่งคั่งเพื่อสนับสนุนคริสตจักรของพระเจ้า และภารกิจของคริสตจักรในโลกนี้

ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เรามีกลุ่มผู้บริหารและเจ้าของธุรกิจ ซึ่งพยายามหาเงินให้ได้มากที่สุด เพื่อพวกเขาจะสามารถให้ได้มากที่สุด เพื่อขยายอาณาจักรของพระเจ้า ผมหนุนใจคุณให้คุยกับศิษยาภิบาลของคุณ และเริ่มต้นกลุ่มสร้างอาณาจักรในคริสตจักรของคุณ

ผู้รับใช้คิดถึงงานของตน ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นกำลังทำ พวกเขาไม่เปรียบเทียบ วิพากษ์วิจารณ์ หรือแข่งขันกับผู้รับใช้อื่นหรือพันธกิจอื่น พวกเขายุ่งเกินกว่าจะทำเช่นนั้น เพราะกำลังทำงานที่พระเจ้าทรงมอบหมาย

มีเหตุผลหลายประการที่ทำให้การแข่งขันระหว่างผู้รับใช้พระเจ้าเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผล เราทุกคนล้วนอยู่ในทีมเดียวกัน เป้าหมายของเราคือทำให้พระเจ้าทรงดูดี ไม่ใช่ตัวเราดูดี เราได้รับหน้าที่ที่มอบหมายแตกต่างกัน และเราทุกคนถูกปั้นมาไม่เหมือนกันเปาโลกล่าวว่า "เรามีสิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นที่เราจะทำกับชีวิตของเรา เราแต่ละคนเป็นผลงานของแท้ที่ไม่เหมือนใคร" (กาลาเทีย 5:26 Msg)

ไม่มีที่ว่างสำหรับการอิจฉาคิดเล็กคิดน้อยระหว่างผู้รับใช้ เมื่อคุณยุ่งกับการรับใช้คุณก็จะไม่มีเวลาวิพากษ์วิจารณ์ ช่วงเวลาใดก็ตามที่คุณใช้วิจารณ์คนอื่น เวลานั้นคือเวลาที่คุณสามารถใช้ปรนนิบัติคนอื่นได้ เมื่อมารธาบ่นกับพระเยซูที่มารีย์ไม่ช่วยทำงาน เธอก็สูญเสียหัวใจผู้รับใช้ ผู้รับใช้แท้ไม่บ่นเรื่องความไม่ยุติธรรม ไม่สงสารตัวเอง และไม่ขุ่นเคืองคนที่ไม่รับใช้ พวกเขาเพียงแต่วางใจพระเจ้าและรับใช้ต่อไป

ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะประเมินผู้รับใช้อื่นขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระคัมภีร์กล่าวว่า "ท่านเป็นใครเล่าที่ไปตำหนิผู้รับใช้ของคนอื่น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงตัดสินเองว่าผู้รับใช้ของพระองค์ประสบความสำเร็จหรือไม่" (โรม 14:4 GWT) อีกทั้งไม่ใช่งานของเราที่จะปกป้องตัวเองจากคำวิจารณ์ ปล่อยให้เจ้านายของคุณทรงจัดการเรื่องนั้นเอง จงทำตามตัวอย่างของโมเสส ที่ได้แสดงความถ่อมใจอย่างแท้จริงเมื่อเผชิญการต่อต้าน เช่นเดียวกับเนหะมีย์ซึ่งตอบคนที่วิพากษ์วิจารณ์เพียงแค่ "งานของข้าพเจ้าสำคัญเกินกว่าที่จะหยุดและมาพบท่าน" (เนหะมีย์ 6:3 CEV)

ถ้าคุณรับใช้เหมือนอย่างพระเยซู คุณก็สามารถคาดหมายว่าจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ โลกนี้และแม้แต่คนส่วนใหญ่ในคริสตจักร ไม่เข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงเห็นว่ามีค่า การแสดงความรักต่อพระเยซูอย่างงดงามที่สุดครั้งหนึ่งกลับถูกพวกสาวกตำหนิ มารีย์ได้นำสิ่งมีค่าที่สุดเท่าที่เธอมี คือ น้ำหอมราคาแพง และชโลมพระเยซู การรับใช้แบบเทกระเป๋าของเธอถูกพวกสาวกเรียกว่า "เสียของ" แต่พระเยซูทรงเรียกว่า "มีความหมาย" (มัทธิว 26:10 Msg) และนั่นก็เพียงพอแล้ว การงานที่คุณรับใช้พระคริสต์นั้นไม่เคยสูญเปล่า ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร

ผู้รับใช้เข้าใจตัวตนของเขาตามสายพระเนตรของพระคริสต์ เพราะระลึกว่าพวกเขาเป็นที่รัก และเป็นที่ยอมรับโดยพระคุณ พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องพิสูจรณ์คุณค่าของตนเอง พวกเขาเต็มใจยอมทำงานซึ่งคนจิตใจหวั่นไหวจะถือว่า "ต่ำกว่า" ฐานะของเขา ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการรับใช้ จากด้วยความรู้สึกมั่นคงต่อภาพลักษณ์ของตนเอง คือ การที่พระเยซูทรงล้างเท้าสาวก งานล้างเท้าก็เปรียบเสมือนการเป็นเด็กขัดรองเท้า เป็นงานที่ไม่มีฐานะ แต่พระเยซูทรงทราบว่าพระองค์เป็นใคร งานนี้จึงไม่ได้คุกคามภาพลักษณ์ของพระองค์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเยซูทรงทราบว่าพระบิดาได้ประทานสิ่งทั้งปวงให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และทรงทราบว่าพระองค์มาจากพระเจ้า… พระองค์ทรงลุกขึ้นจากการรับประทานอาหาร ทรงถอดฉลองพระองค์ออกวางไว้ และทรงเอาผ้าเช็ดตัวคาดเอวของพระองค์" (ยอห์น 13:3-4)

ถ้าคุณจะเป็นผู้รับใช้ คุณต้องยอมรับตัวตนของคุณในพระคริสต์ คนที่จิตใจมั่นคงเท่านั้นจึงจะสามารถรับใช้ คนที่จิตใจหวั่นไหวมักจะกังวลว่าคนอื่นจะมองเขาอย่างไร พวกเขากลัวที่จะเปิดเผยความอ่อนแอ และซ่อนอยู่ใต้กระดองแห่งความเย่อหยิ่งและการเสแสร้ง ยิ่งคุณหวั่นไหวมากเท่าใด คุณก็ยิ่งต้องการให้คนอื่นรับใช้และยอมรับคุณมากเท่านั้น

เฮ็นรี่ นูเวน กล่าวว่า "การที่เราจะสามารถรับใช้คนอื่นได้นั้น เราจำเป็นต้องตายต่อพวกเขา นั่นคือ เราต้องเลิกวัดความหมายและคุณค่าของเราด้วยสายวัดของคนอื่น แล้วเราจึงจะเป็นอิสระที่จะมีจิตใจเมตตาสงสารได้" เมื่อคุณวัดคุณค่าและตัวตนของคุณด้วยความสัมพันธ์ของคุณกับพระคริสต์ คุณก็เป็นอิสระจากความคาดหวังของคนอื่น และสิ่งนี้จะปลดปล่อยคุณให้รับใช้พวกเขาได้ดีที่สุดอย่างแท้จริง

ผู้รับใช้ไม่จำเป็นต้องปิดฝาผนังด้วยป้ายและรางวัล เพื่อรับรองคุณค่าการงานของพวกเขา พวกเขาไม่เรียกร้องให้คนอื่นเรียกชื่อเขาพร้อมด้วยตำแหน่ง และพวกเขาไม่สวมใส่ชุดครุยที่บ่งบอกว่าตนเองเหนือกว่า ผู้รับใช้คิดว่าสัญลักษณ์บอกสถานะไม่มีความจำเป็น และพวกเขาไม่วัดคุณค่าของตัวเองด้วยความสำเร็จของพวกเขา เปาโลกล่าวว่า "ท่านอาจจะคุยโอ้อวดตัวเอง แต่คำรับรองประการเดียวที่เชื่อถือได้คือ คำรับรองจากองค์พระผู้เป็นเจ้า" (2 โครินธ์ 10:18 CEV)

ถ้าจะมีใครที่มีโอกาสสุดพิเศษที่จะอวดว่าตัวเองเส้นใหญ่ และ "อ้างชื่อคนดังที่เขารู้จัก" คนนั้นย่อมต้องเป็นยากอบ น้องต่างบิดาของพระเยซู ท่านสามารถอวดอ้างได้เต็มปากว่า ตนเติบโตมาพร้อมกับพระเยซู ในฐานะน้องชายของพระองค์ แต่ในคำขึ้นต้นจดหมายของท่าน ท่านกล่าวถึงตัวเองเพียงแค่ "ผู้รับใช้ของพระเจ้าและของพระเยซูคริสต์เจ้า" (ยากอบ 1:1) ยิ่งคุณใกล้ชิดพระเยซูมากเท่าไร คุณก็ยิ่งยกย่องตัวเองน้อยลงเท่านั้น

ผู้รับใช้คิดว่าพันธกิจเป็นโอกาส ไม่ใช่ภาระหน้าที่ พวกเขายินดีที่จะช่วยเหลือคนอื่นสนองความต้องการต่าง ๆ และทำพันธกิจ พวกเขา "ปรนนิบัติพระเจ้าด้วยความยินดี" (สดุดี 100:2) ทำไมพวกเขาจึงรับใช้ด้วยยินดี ก็เพราะเขารักองค์พระผู้เป็นเจ้า ซาบซึ้งในพระคุณของพระองค์ รู้ว่าการรับใช้คือการใช้ชีวิตอย่างสูงส่งที่สุด และยังรู้ว่าพระเจ้าได้ทรงสัญญาจะประทานรางวัลแก่พวกเขา พระเยซูทรงสัญญว่า "พระบิดาจะประทานเกียรติและรางวัลแก่ทุกคนที่รับใช้เรา" (ยอห์น 12:26 Msg) เปาโลกล่าวว่า "พระองค์จะไม่ทรงลืมการงานที่ท่านทำ หรือไม่ทรงลืมที่ท่านรักพระองค์และช่วยเหลือเพื่อนคริสตชนด้วยกัน" (ฮีบรู 6:10 ประชานิยม)

ลองนึกดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคริสเตียนเพียง 10% จากที่มีทั้งหมดในโลกจริงจังกับบทบาทของตนเองในฐานะผู้รับใช้แท้ ลองนึกดูว่าจะมีสิ่งดีเกิดขึ้นมากมายเพียงใด คุณเต็มใจที่จะเป็นคนหนึ่งในจำนวนนั้นหรือไม่ มันไม่สำคัญว่าคุณจะอายุเท่าไร พระเจ้าจะทรงใช้คุณ ถ้าคุณจะเริ่มประพฤติและคิดอย่างผู้รับใช้ อับเบิร์ต ชไวเซอร์กล่าว่า "คนจำพวกเดียวที่มีความสุขจริง ๆ คือคนเหล่านั้นที่ได้เรียนรู้จักรับใช้"

วันที่ 34 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: ถ้าจะเป็นผู้รับใช้ ฉันต้องคิดอย่างผู้รับใช้

ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "ท่านควรมีท่าทีแบบเดียวกับพระเยซูคริสต์" ฟีลิปปี 2:5 (อมตธรรมร่วมสมัย)

คำถามสำหรับการพิจารณา: ฉันมักจะห่วงว่าคนอื่นต้องรับใช้ฉันหรือว่าฉันมักจะหาหนทางที่จะรับใช้คนอื่น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น