วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วันที่ 37 เล่าเรื่องราวชีวิตของคุณ

ผู้ที่เชื่อในพระบุตรของพระเจ้าก็มีพยานอยู่ในตัว
1 ยอห์น 5:10ก

ชีวิตของท่านกำลังสะท้อนถ้อยคำขององค์พระผู้เป็นเจ้า… ข่าวเรื่องความเชื่อในพระเจ้าของท่านได้แพร่ออกไป เราไม่ต้องพูดอะไรอีก ท่านเองคือเรื่องราวนั้น
1 เธสะโลนิกา 1:8 (Msg)

พระเจ้าได้ประทานให้คุณมีเรื่องราวชีวิตที่จะบอกคนอื่น

เมื่อคุณมาเป็นผู้เชื่อ คุณก็ได้เป็นผู้สื่อสารของพระเจ้าด้วย พระองค์ต้องการตรัสแก่โลกผ่านทางคุณ เปาโลกล่าวว่า "เราพูดความจริงต่อพระพักตร์พระเจ้า ในฐานะผู้สื่อสารของพระเจ้า" (2 โครินธ์ 2:17ข NCV)

คุณอาจรู้สึกว่าคุณไม่มีอะไรจะพูด แต่นั่นเป็นมารที่พยายามทำให้คุณเงียบ คุณมีประสบการณ์มากมายที่พระเจ้าต้องการใช้เพื่อนำคนอื่นเข้ามาในครอบครัวของพระองค์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "คนเหล่านั้นที่เชื่อในพระบุตรของพระเจ้ามีคำพยานของพระเจ้าอยู่ในตัวเขา" (1 ยอห์น 5:10ก GWT) เรื่องราวชีวิตของคุณมีสี่ส่วนคือ

๐ คำพยานของคุณ: เรื่องราวที่ว่าคุณเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูอย่างไร
๐ บทเรียนชีวิตของคุณ: บรรดาบทเรียนสำคัญที่สุดพระเจ้าได้ทรงสอนคุณ
๐ ความร้อนรนในทางของพระเจ้า: เรื่องที่พระเจ้าทรงปั้นคุณให้ใส่ใจมากที่สุด
๐ ข่าวประเสริฐ: เรื่องราวของความรอด

เรื่องราวชีวิตประกอบด้วยคำพยานของคุณ คำพยานของคุณคือเรื่องที่เล่าว่าพระเยซูได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณอย่างไร เปโตรบอกเราว่า พระเจ้าได้ทรงเลือกเรา "เพื่อทำงานของพระองค์และพูดเพื่อพระองค์ เพื่อบอกคนอื่นถึงความแตกต่างชนิดหน้ามือเป็นหลังมือที่พระองค์ได้ทรงกระทำแก่คุณ" (1 เปโตร 2:9 Msg) นี่คือแก่นแท้ของการเป็นพยาน คือเพียงแค่เล่าประสบการณ์ส่วนตัวของคุณเกี่ยวกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ในศาลพยานไม่ต้องต่อสู้คดี พิสูจน์ความจริง หรือคาดคั้นคำพิพากษา นั่นเป็นงานของทนายความ พยานเพียงแต่รายงานสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขา หรือสิ่งที่พวกเขาเห็น

พระเยซูตรัสว่า "ท่านจะเป็นพยานฝ่ายเรา" (กิจการ 1:8) พระองค์ต้องการให้คุณบอกเรื่องของคุณกับคนอื่น การเล่าคำพยานของคุณคือ ส่วนสำคัญของภารกิจในโลกเพราะว่ามันไม่เหมือนของใคร ไม่มีเรื่องใดที่เหมือนเรื่องของคุณ ดังนั้น คุณเท่านั้นที่พูดเรื่องนี้ได้ แต่ถ้าคุณไม่พูด มันก็จะสูญไปชั่วนิรันดร์ คุณอาจจะไม่ใช่นักวิชาการพระคัมภีร์แต่คุณเป็นผู้เชียวชาญเรื่องชีวิตของคุณ และมันยากที่จะโต้แย้งกับประสบการณ์ส่วนตัว ที่จริงแล้วคำพยานส่วนตัวของคุณมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าคำเทศนาเสียอีก เพราะว่าคนที่ไม่เชื่อ เขามองศิษยภิบาลเป็นนักขายอาชีพ แต่เขามองว่าคุณเป็น "ลูกค้าที่พึงพอใจ" พวกเขาจึงให้ความเชื่อถือแก่คุณมากกว่า

เรื่องส่วนตัวยังเข้าใจง่ายกว่าหลักการต่าง ๆ และคนชอบฟังเรื่องเหล่านี้ เรื่องเหล่านี้จับความสนใจ และเราจดจำมันได้นานกว่า ผู้ที่ไม่เชื่อคงจะไม่สนใจถ้าคุณเริ่มอ้างคำพูดของนักศาสนศาสตร์ แต่พวกเขามีความอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติเกี่ยวกับประสบการณ์ที่พวกเขาไม่เคยพบเจอ เรื่องเล่าช่วยสร้างสะพานความสัมพันธ์ซึ่งพระเยซูสามารถเสด็จข้ามจากหัวใจคุณไปสู่หัวใจของพวกเขา

คุณค่าอีกประการหนึ่งของคำพยานคือ มันสามารถทะลุการปกป้องทางความคิดหลายคนที่ไม่ยอมรับสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์จะยอมฟังเรื่องราวส่วนตัวธรรมดา ๆ นั่นคือเหตุผลที่เปาโลใช้คำพยานของท่านหกครั้งเพื่อเล่าข่าวประเสริฐ แทนที่จะอ้างข้อพระคัมภีร์ (กิจการ 22:26)

พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงเตรียมพร้อมเสมอที่จะอธิบายกับทุกคนที่ขอทราบเหตุผลเกี่ยวกับความหวังของพวกท่าน แต่จงตอบด้วยความสุภาพอ่อนโยนและด้วยความนับถือ" (1 เปโตร 3:15-16 2002) วิธีดีที่สุดที่จะ "เตรียมพร้อม" คือเขียนคำพยานของคุณแล้วท่องจำประเด็นสำคัญ ๆ แบ่งมันออกเป็นสี่ส่วนดังนี้

1. ชีวิตของฉันเป็นอย่างไรก่อนได้พบพระเยซู
2. ฉันรู้ว่าฉันต้องการพระเยซูได้อย่างไร
3. ฉันมอบชีวิตของฉันแด่พระเยซูอย่างไร
4. พระเยซูเปลี่ยนแปลงชีวิตฉันอย่างไร

แน่นอน คุณมีคำพยานอื่นอีกมากนอกเหนือจากเรื่องความรอดของคุณ คุณมีเรื่องราว ประสบการณ์ทุกรูปแบบซึ่งพระเจ้าได้ทรงช่วยเหลือคุณ คุณควรทำรายการของปัญหา สถานการณ์ และวิกฤต ทุกอย่างที่พระเจ้าทรงนำให้คุณผ่านพ้นมา แล้วจงไวต่อความต้องการ และใช้เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเพื่อนที่ไม่เชื่อมากที่สุด สถานการณ์ที่แตกต่างย่อมต้องการคำพยานที่แตกต่างกัน

เรื่องราวชีวิตประกอบด้วยบทเรียนชีวิตของคุณ ส่วนที่สองของเรื่องราวชีวิตคุณคือความจริงที่พระเจ้าได้ทรงสอนคุณจากประสบการณ์กับพระองค์ สิ่งเหล่านี้คือบทเรียนและความเข้าใจที่คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับพระเจ้า เกี่ยวกับความสัมพันธ์ ปัญหา การทดลอง และด้านอื่น ๆ ของชีวิต ดาวิดอธิษฐานว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงสอนบทเรียนการดำเนินชีวิตแก่ข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะไม่ออกนอกทาง" (สดุดี 119:33 Msg) น่าเศร้าที่เราไม่เคยเรียนรู้จากหลายต่อหลายสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา พระคัมภีร์กล่าวถึงคนอิสราเอลว่า "พระเจ้าได้ทรงช่วยกู้พวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่พวกเขาไม่เคยเรียนรู้ จนในที่สุด ความบาปของพวกเขาได้ทำลายพวกเขาเอง" (สดุดี 106:43 Msg) คุณอาจจะเคยพบคนเช่นนั้น

แม้ว่าการเรียนรู้จากประสบการณ์จะเป็นเรื่องที่ฉลาด แต่จะฉลาดยิ่งกว่า ถ้าเราเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่น ไม่มีเวลามากพอที่เราจะเรียนรู้ทุกสิ่งในชีวิตด้วยการลองผิดลองถูก เราต้องเรียนจากบทเรียนชีวิตของกันและกัน พระคัมภีร์กล่าวว่า "คำเตือนของคนที่มีประสบการณ์ที่กล่าวแก่คนที่เต็มใจฟังก็มีค่ามากกว่าเครื่องประดับที่ทำจากทองคำบริสุทธิ์" (สุภาษิต 25:12 TEV)

จงเขียนบทเรียนสำคัญ ๆ ที่คุณได้เรียนรู้ เพื่อคุณจะสามารถบอกสิ่งเหล่านี้แก่คนอื่น เราควรจะขอบคุณที่ซาโรมอนได้ทำเช่นนี้ เพราะมันทำให้เรามีพระธรรมสุภาษิตและปัญญาจารย์ ซึ่งเต็มไปด้วยบทเรียนภาคปฏิบัติในการดำเนินชีวิต ลองจิตนาการดูสิครับว่า เราจะหลีกเลี่ยงความว้าวุ่นที่ไม่จำเป็นได้มากเพียงไร ถ้าเราได้เรียนรู้จากบทเรียนชีวิตของกันและกัน

คนที่เป็นผู้ใหญ่จะฝึกนิสัยดึงบทเรียนออกจากประสบการณ์ประจำวัน ผมขอหนุนใจคุณให้ทำรายการบทเรียนชีวิตของคุณ คุณจะยังไม่ได้คิดถึงสิ่งเหล่านี้อย่างจริงจัง จนกว่าคุณจะได้เขียนสิ่งเหล่านี้ลงไป ต่อไปนี้เป็นคำถามบางข้อที่จะช่วยกระตุ้นความจำของคุณและช่วยคุณเริ่มต้น (ดูสดุดี 51, ฟีลิปปี 4:11-13, 2 โครินธ์ 1:4-10, สดุดี 40, 119:71, ปฐมกาล 50:20)

๐ พระเจ้าสอนอะไรฉันจากความล้มเหลว
๐ พระเจ้าสอนอะไรฉันจากการขาดเงิน
๐ พระเจ้าสอนอะไรฉันจากความเจ็บปวดหรือความโศกเศร้าหรือความหดหู่ใจ
๐ พระเจ้าสอนอะไรฉันจากการรอคอย
๐ พระเจ้าสอนอะไรฉันจากความเจ็บป่วย
๐ พระเจ้าสอนอะไรฉันจากความผิดหวัง
๐ ฉันได้เรียนรู้อะไรจากครอบครัวของฉัน คริสตจักรของฉัน ความสัมพันธ์ของฉัน กลุ่มย่อยของฉัน และคนที่ติเตียนฉัน

เรื่องราวชีวิตประกอบด้วยความร้อนรนของคุณในทางของพระเจ้า พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่มีความรู้สึกเข้มข้น พระองค์ทรงรักบางสิ่งอย่าางสุดหัวใจ และทรงเกลียดชังบางสิ่งเข้ากระดูกดำ เมื่อคุณใกล้ชิดพระองค์มากขึ้น พระองค์ก็จะทรงประทานความรู้สึกเข้มข้นต่อสิ่งที่พระองค์ทรงห่วงใยมาก ๆ เพื่อคุณจะสามารถเป็นกระบอกเสียงให้พระองค์ในโลกนี้ได้ มันอาจจะเป็นความรู้สึกร้อนรนเกี่ยวกับปัญหา วัตถุประสงค์ หลักการ หรือกลุ่มคนหนึ่ง ๆ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร คุณจะรู้สึกถูกเร่งเร้าให้พูดเกี่ยวกับสิ่งนั้น และทำสิ่งที่คุณทำได้เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

คุณไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้พูดเรื่องที่คุณห่วงใยมากที่สุด พระเยซูตรัสว่า "ใจเต็มไปด้วยอะไรปากก็จะพูดสิ่งนั้น" (มัทธิว 12:34 อ่านเข้าใจง่าย) มีตัวอย่างสองคน ได้แก่ดาวิดซึ่งกล่าวว่า "ความร้อนรนเพื่อพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์เผาร้อนอยู่ภายในข้าพระองค์" (สดุดี 69:9 LB) และเยเรมีย์ที่กล่าวว่า "เรื่องราวของพระองค์เผาอยู่ในหัวใจและกระดูกของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ไม่สามารถเงียบได้" (เยเรมีย์ 20:9 CEV)

พระเจ้าประทานความร้อนรนในทางของพระองค์แก่บางคน เพื่อเขาจะต่อสู้ฟันฝ่าไปสู่เป้าหมาย มันมักจะเป็นปัญหาที่พวกเขาประสบเป็นส่วนตัว อย่างเช่น การถูกทำร้าย การเสพย์ติด การเป็นหมัน ความหดหู่ ความเจ็บป่วย หรือความยากลำบากอย่างอื่น บางครั้งพระเจ้าประทานความรู้สึกเข้มข้นแก่บางคนเพื่อพูดแทนกลุ่มคนที่ไม่มีปากเสียง เช่น ทารกที่ยังไม่เกิด คนที่ถูกข่มเหง คนยากจน นักโทษ คนที่ถูกทำร้าย คนที่ถูกเอาเปรียบ คนด้อยโอกาส และคนที่ไม่ได้รับความยุติธรรม พระคัมภีร์เต็มไปด้วยคำสั่งให้ปกป้องผู้ที่ป้องกันตัวเองไม่ได้

พระเจ้าทรงใช้คนที่มีความรู้สึกร้อนรนเพื่อขยายอาณาจักรของพระองค์ พระองค์อาจจะประทานความร้อนรนแก่คุณเพื่อเริ่มต้นคริสตจักรใหม่ เสริมความเข้มแข็งของครอบครัว มอบเงินแก่การแปลพระคัมภีร์ หรือฝึกอบรมผู้นำคริสเตียน คุณอาจจะได้รับความร้อนรนในทางของพระเจ้าที่จะช่วยเหลือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งให้ได้ยินข่าวประเสริฐ เช่น นักธุรกิจ วัยรุ่น นักศึกษาแลกเปลี่ยนจากต่างประเทศ คุณแม่อายุน้อย หรือคนที่มีงานอดิเรก หรือเล่นกีฬาบางอย่าง ถ้าคุณทูลของพระเจ้า พระองค์ก็จะทรงให้ใจคุณมีภาระต่อประเทศหนึ่งหรือกลุ่มเชื้อชาติหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งพวกเขากำลังกระหายหาคำพยานที่หนักแน่นของคริสเตียน

พระเจ้าประทานความร้อนรนที่แตกต่าง เพื่อทุกสิ่งพระองค์ต้องการจะทำให้สำเร็จในโลกนี้ คุณไม่ควรคาดหวังว่าทุกคนจะต้องร้อนรนในเรื่องที่คุณร้อนรน แต่เราต้องฟังและให้คุณค่าแก่เรื่องราวชีวิตของคนอื่น เพราะว่าไม่มีใครสามารถพูดได้ทุกเรื่อง อย่าดูถูกความร้อนรนของคนอื่น พระคัมภีร์กล่าวว่า "การร้อนรนนั้นดี ถ้าหากมีวัตถุประสงค์ที่ดี" (กาลาเทีย 4:18 NIV)

เรื่องราวชีวิตประกอบด้วยข่าวประเสริฐ ข่าวประเสริฐคืออะไร "ข่าวประเสริฐแสดงให้เห็นวิธีที่พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์คืนดีกับพระองค์ มันเริ่มต้นและสิ้นสุดด้วยความเชื่อ" (โรม 1:17 NCV) "พระเจ้าทรงให้โลกนี้คืนดีกับพระองค์โดยพระคริสต์ ไม่ทรงถือโทษในความผิดของพวกเขา และทรงมอบเรื่องราวการคืนดีนี้ให้เราประกาศ" (2 โครินธ์ 5:19 2002) ข่าวประเสริฐคือ เมื่อเราวางใจให้พระคุณพระเจ้าช่วยเราให้รอดโดยสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำ ความบาปของเราก็ได้รับการอภัยโทษ เราได้พบวัตถุประสงค์ของการดำเนินชีวิต และพระเจ้าทรงสัญญาว่าเราจะมีบ้านอนาคตในสวรรค์

มีหนังสือชั้นเยี่ยมนับร้อย ๆ เล่มที่บอกวิธีเล่าข่าวประเสริฐ ผมสามารถบอกรายชื่อหนังสือที่เป็นประโยชน์ต่อคุณ (ดูภาคผนวก 2) แต่การฝึกอบรมทุกอย่างในโลกจะไม่ผลักดันให้คุณเป็นพยานเพื่อพระคริสต์ จนกว่าคุณจะยอมรับความเชื่อแปดประการที่กล่าวไว้ในบทก่อน เข้ามาในชีวิตของคุณ ที่สำคัญที่สุดคือ คุณต้องเรียนรู้ที่จะรักคนที่หลงหายแบบที่พระเจ้าทรงรัก

พระเจ้าไม่เคยสร้างคนที่พระองค์ไม่รัก ทุกคนสำคัญสำหรับพระองค์ เมื่อพระเยซูทรงเหยียดพระกรของพระองค์ออกบนไม้กางเขน พระองค์กำลังตรัสว่า "เรารักเจ้ามากขนาดนี้" พระคัมภีร์กล่าวว่า "เพราะว่าความรักของพระคริสต์ได้ครอบครองเราอยู่ เพราะเราคิดเห็นอย่างนี้ว่า มีผู้หนึ่งได้ตายเพื่อคนทั้งปวง เหตุฉะนั้นคนทั้งปวงจึงตายแล้ว" (2 โครินธ์ 5:14) เมื่อไรก็ตามที่คุณรู้สึกเฉยชาต่อภารกิจในโลกที่พระเจ้ามอบหมายแก่คุณจงใช้เวลาคิดถึงสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำเพื่อคุณบนไม้กางเขน

เราต้องห่วงใยคนที่ไม่เชื่อเพราะว่าพระเจ้าทรงห่วงใยพวกเขา ความรักไม่เคยให้ทางเลือก พระคัมภีร์กล่าวว่า "ในความรักนั้นไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์ก็ได้ขจัดความกลัวเสีย" (1 ยอห์น 4:18) พ่อแม่จะวิ่งเข้าไปในกองเพลิงเพื่อช่วยลูก เพราะความรักที่พวกเขามีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่กว่าความกลัว ถ้าคุณเคยกลัวที่จะเล่าข่าวประเสริฐให้คนที่รอบข้างคุณ จงทูลขอพระเจ้าให้ทรงเติมความรักที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขาลงมาในหัวใจของคุณ

พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้ใครพินาศเลย แต่ทรงประสงค์ให้ทุกคนกลับใจใหม่" (2 เปโตร 3:9 2002) ตราบใดที่คุณยังรู้จักหนึ่งคนที่ไม่รู้จักพระคริสต์คุณก็ต้องอธิษฐานเพื่อพวกเขาต่อไป และรับใช้พวกเขาด้วยความรัก และเล่าข่าวประเสริฐให้เขาฟัง และตราบใดที่มีหนึ่งคนในชุมชนของคุณยังไม่ได้อยู่ในครอบครัวของพระเจ้าคริสตจักรของคุณก็ต้องประกาศต่อไป คริสตจักรที่ไม่อยากเติบโตคือคริสตจักรที่กำลังบอกโลกว่า "จะไปลงนรกซะก็ได้"

คุณเต็มใจจะทำอะไรบ้างเพื่อให้คนที่คุณรู้จักได้ไปสวรรค์ เชิญพวกเขามาคริสตจักร หรือบอกเรื่องราวของคุณ หรือว่าให้หนังสือเล่มนี้แก่พวกเขา พาพวกเขาไปทานอาหาร หรืออธิษฐานเพื่อพวกเขาทุกวันจนกว่าพวกเขาจะได้รับความรอด สถานที่ทำภารกิจของคุณอยู่รอบตัวคุณ อย่าพลาดโอกาสที่พระเจ้าประทานแก่คุณ พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงใช้โอกาสของท่านอย่างเต็มที่ในการบอกข่าวประเสริฐแก่คนอื่น จงฉลาดในการติดต่อกับพวกเขาทุก ๆ ครั้ง" (โคโลสี 4:5 LB)

มีใครได้ไปสวรรค์เพราะคุณไหม จะมีใครในสวรรค์พูดกับคุณไหมว่า "ผมอยากขอบคุณคุณ ผมได้มาอยู่ที่นี่ก็เพราะคุณห่วงใยพอที่จะบอกข่าวประเสริฐแก่ผม" ลองจินตนาการถึงความยินดีที่ได้ทักทายคนในสวรรค์ซึ่งคุณได้ช่วยพวกเขาให้ไปที่นั่นสิครับ ความรอดนิรันดร์ของคน ๆ หนึ่งสำคัญกว่าทุกสิ่งที่คุณจะทำสำเร็จได้ในชีวิตนี้ คนเท่านั้นที่จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์

ในหนังสือเล่มนี้ คุณได้เรียนรู้จักพระประสงค์ห้าประการสำหรับชีวิตของคุณในโลก พระเจ้าทรงสร้างคุณเพื่อให้เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระองค์ เป็นตัวอย่างพระลักษณะของพระองค์ แว่นขยายพระสิริของพระองค์ ผู้รับใช้แห่งพระคุณของพระองค์ และผู้สื่อสารข่าวประเสริฐของพระองค์แก่คนอื่น ในวัตถุประสงค์ห้าประการนี้ ประการที่ห้าเท่านั้นที่คุณทำได้เฉพาะบนโลกนี้ อีกสี่ประการนั้นคุณจะทำต่อไปในนิรันดรกาล นั่นคือเหตุผลที่การเผยแพร่ข่าวประเสริฐจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง คุณมีเวลาเพียงสั้น ๆ ที่จะบอกเรื่องราวชีวิตของคุณ และทำให้ภารกิจของคุณสำเร็จ

วันที่ 37 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: พระเจ้าประสงค์ที่จะตรัสบางอย่างกับโลกนี้ผ่านทางฉัน

ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "จงเตรียมพร้อมเสมอที่จะอธิบายกับทุกคนที่ขอทราบเหตุผลเกี่ยวกับความหวังของพวกท่าน แต่จงตอบด้วยความสุภาพอ่อนโยน และด้วยความนับถือ" 1 เปโตร 3:15-16 (2002)

คำถามสำหรับการพิจารณา: เมื่อฉันทบทวนดูเรื่องของตนเอง พระเจ้าต้องการให้ฉันบอกเรื่องเหล่านี้กับใครบ้าง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น