วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วันที่ 32 ใช้สิ่งที่พระเจ้าประทานแก่คุณ

เมื่อเรารู้ว่าเราได้ถูกบรรจงสร้างให้เป็นอวัยวะที่ล้ำเลิศ และทำหน้าที่อย่างยอดเยี่ยมในพระกายของพระคริสต์ก็ให้เราดำเนินต่อไป และเป็นอย่างที่เราถูกสร้างให้เป็น
โรม 12:5 (Msg)

สิ่งที่คุณเป็นคือของขวัญที่พระเจ้าประทานแก่คุณ สิ่งที่คุณทำกับตัวคุณคือของขวัญที่คุณถวายแด่พระเจ้า
สุภาษิตเดนมาร์ก

พระเจ้าสมควรได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจากคุณ

พระองค์บรรจงปั้นคุณเพื่อวัตถุประสงค์ และพระองค์คาดหวังว่าคุณจะใช้สิ่งที่คุณได้รับอย่างดีที่สุด พระองค์ไม่ต้องการให้คุณกังวลหรือรู้สึกโลภอยากได้ความสามารถที่คุณไม่มี แต่พระองค์ต้องการให้คุณจดจ่อที่ตะลันต์ซึ่งพระองค์ประทานให้คุณใช้

เมื่อคุณพยายามรับใช้พระเจ้าในแบบที่คุณไม่ได้ถูกปั้นมา ก็จะเหมือนการพยายามยัดลูกบาศก์เหลี่ยมลงไปในรูกลม ๆ มันน่าอึดอัดใจและได้ผลที่จำกัด มันยังเสียเวลาพรสวรรค์ และแรงกายของคุณ วิธีใช้ชีวิตของคุณอย่างดีที่สุดคือ รับใช้พระเจ้าตามลักษณะ (SHAPE) ของคุณ และถ้าจะทำเช่นนั้นคุณก็ต้องค้นหาลักษณะ (SHAPE) เรียนรู้ที่จะยอมรับและสนุกกับมัน แล้วก็พัฒนามันจนเต็มศักยภาพ

การค้นหาลักษณะ (SHAPE) ของคุณ

พระคัมภีร์กล่าวว่า "อย่าประพฤติอย่างไร้ความคิด แต่จงพยายามค้นว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าต้องการให้ท่านทำอะไร และจงทำสิ่งนั้น" (เอเฟซัส 5:17 LB) อย่าปล่อยให้อีกวันผ่านไปเฉย ๆ แต่จงเริ่มต้นค้นหาและรู้ให้ชัดเจนว่าพระเจ้าประสงค์ให้คุณเป็นและทำอะไร

เริ่มต้นโดยการประเมินของประทานและความสามารถของคุณ ให้คุณพิจารณานาน ๆ และตามความเป็นจริง ถึงสิ่งที่คุณเก่งและไม่เก่ง เปาโลได้แนะนำว่า "จงพยายามประเมินความสามารถของท่านอย่างถูกต้อง" (โรม 12:3ข Ph) เขียนรายการไว้ ขอให้คนอื่นออกความเห็นอย่างตรงไปตรงมา บอกพวกเขาว่าคุณกำลังหาความจริง ไม่ใช่หลอกเอาคำชม ของประทานฝ่ายวิญญาณและความสามารถตามธรรมชาติมักจะได้รับการยืนยันจากคนอื่น ถ้าคุณคิดว่าคุณมีของประทานเป็นครูอาจารย์หรือนักร้อง แต่ไม่มีใครเห็นด้วยเลย คุณก็ลองเดาดูว่ามันเป็นเพราะอะไร ถ้าคุณอยากรู้ว่าคุณมีของประทานในการเป็นผู้นำหรือไม่ ก็ลองหันไปมองข้างหลังดู ถ้าไม่มีใครตามคุณ คุณก็ไม่ใช่ผู้นำ

ถามคำถามอย่างเช่น ฉันเห็นผลในชีวิตของตัวเองตรงไหน ซึ่งคนอื่นก็ยืนยัน ฉันเคยประสบความสำเร็จตรงไหน แบบทดสอบของประทานฝ่ายวิญญาณ และความสามารถก็มีประโยชน์อยู่บ้าง แต่สิ่งเหล่านี้ให้ประโยชน์ได้อย่างจำกัด ประการแรก แบบทดสอบเหล่านี้พยายามทำให้ได้เกณฑ์มาตราฐาน ดังนั้น มันจึงไม่พิจารณาถึงเอกลักษณ์ของคุณ ประการที่สอง พระคัมภีร์ไม่ได้ให้คำนิยามเกี่ยวกับของประทานฝ่ายวิญญาณต่าง ๆ ดังนั้นคำนิยามทุกคำที่กำหนดขึ้นนั้นจึงมาจากดุลยพินิจ และมักจะสะท้อนถึงความลำเอียงของคณะนิกาย ปัญหาอีกประการคือ ยิ่งคุณเป็นผู้ใหญ่มากเท่าไร คุณก็ยิ่งแสดงคุณลักษณะของของประทานหลายอย่าง คุณอาจจะปรนนิบัติ หรือสอน หรือถวายด้วยใจกว้างขวางเพราะความเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่เพราะมันเป็นของประทานฝ่ายวิญญาณของคุณ

วิธีที่ดีที่สุดในการค้นพบของประทานและความสามารถของคุณ คือการทดลองรับใช้ในด้านต่าง ๆ สมัยหนุ่ม ๆ ผมอาจจะเคยทำแบบทดสอบของประทานและความสามารถมานับร้อยครั้ง แต่ไม่เคยพบว่าตนเองมีของประทานในการสอน เพราะว่าผมไม่เคยสอนอะไรเลย จนกระทั่งหลังจากที่ผมเริ่มตอบรับคำเชิญให้ไปสอน ผมจึงเริ่มเห็นผลลัพธ์ อีกทั้งได้รับคำยืนยันจากคนอื่น แล้วจึงได้ตระหนักว่า "พระเจ้าประทานความสามารถให้ผมทำสิ่งนี้"

หนังสือหลายเล่มทำให้กระบวนการค้นหาของประทานถอยหลัง หนังสือเหล่านั้นบอกว่า "จงค้นหาของประทานฝ่ายวิญญาณของคุณ แล้วคุณจึงจะรู้ว่าควรทำพันธกิจอะไร" ที่จริงมันต้องเป็นตรงกันข้าม คือ ให้เริ่มต้นทำงานรับใช้ ทดลองพันธกิจต่าง ๆ แล้วคุณจึงจะพบของประทานของคุณ คุณจะไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรได้เก่ง จนกว่าคุณจะได้มีส่วนในการรับใช้จริง ๆ

คุณมีความสามารถและของประทานนับสิบ ๆ อย่างที่คุณไม่รู้ตัว เพราะคุณไม่เคยลองทำสิ่งเหล่านั้น ดังนั้น ผมขอหนุนใจให้คุณลองทำบางสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน ไม่ว่าคุณจะอายุมากแค่ไหน ผมวิงวอนขออย่าให้คุณหยุดทดลอง ผมได้รู้จักหลายคนซึ่งพบพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่เมื่อเขาอายุเจ็ดสิบ หรือแปดสิบ ผมรู้จักผูหญิงคนหนึ่งที่อายุเก้าสิบกว่าปี และชนะในการวิ่ง 10 กิโลเมตร และไม่เคยค้นพบว่าตัวเองชอบวิ่งจนกระทั่งอายุเจ็บสิบแปด

อย่าพยายามประเมินของประทานจนกว่าจะได้อาสารับใช้ในที่ใดที่หนึ่ง จงเริ่มต้นรับใช้ คุณจะค้นพบของประทานได้โดยการมีส่วนในพันธกิจ ลองสอน ลองนำ จัดการ เล่นดนตรี หรือทำงานกับวัยรุ่น คุณจะไม่มีวันรู้ว่าตัวเองทำอะไรเก่งจนกว่าจะได้ลองดู ถ้ามันไม่ได้ผล ก็ให้เรียกมันว่า "การทดลอง" ไม่ใช่ความล้มเหลว ในที่สุดคุณก็จะรู้ว่าตัวเองเก่งอะไร

พิจารณาใจและบุคลิกภาพของคุณ เปาโลได้แนะนำว่า "จงสำรวจอย่างละเอียดว่าท่านเป็นใคร และได้รับมอบหมายให้ทำงานอะไร จากนั้นจงทุ่มเททำสิ่งนั้น" (กาลาเทีย 6:4ข Msg) ขอย้ำว่า การรับข้อมูลจากคนที่รู้จักคุณดีที่สุดนั้นเป็นประโยชน์ ถามตัวเองว่าฉันสนุกกับการทำอะไรมากที่สุด ฉันรู้สึกมีชีวิตชีวามากที่สุดเมื่อทำอะไร มีอะไรที่ฉันทำเพลินจนลืมนึกถึงเวลา ฉันชอบทำงานแบบเป็นกิจวัตรหรืองานที่หลากหลาย ฉันชอบร่วมรับใช้กับทีมหรือทำงานคนเดียว ฉันเป็นคนเก็บตัวหรือชอบเข้าสังคม ฉันชอบใช้ความคิดหรือความรู้สึก ฉันชอบอะไรมากระหว่างการแข่งขันกับการร่วมมือ

พิเคราะห์ประสบการณ์และกลั่นกรองบทเรียนที่คุณได้รับ ให้คุณทบทวนชีวิตและคิดว่ามันได้ปั้นชีวิตของคุณอย่างไรโมเสสบอกคนอิสราเอลว่า "ในวันนี้จงนึกถึงสิ่งที่ท่านเรียนรู้ถึงพระเจ้าจากประสบการณ์ของท่านเองกับพระองค์" (เฉลยธรรมบัญญัติ 11:2 ประชานิยม) ประสบการณ์ที่ถูกลืมนั้นไร้ค่า นั่นคือเหตุผลที่ดี ที่คุณจะเขียนบันทึกประจำวันฝ่ายวิญญาณ เปาโลเป็นห่วงว่าผู้เชื่อในกาลาเทียจะทำให้ความเจ็บปวดที่พวกเขาได้รับนั้นสูญเปล่า ท่านกล่าวว่า "ประสบการณ์มากมายที่ท่านเจอมาไม่มีความหมายอะไรเลยหรือ ข้าพเจ้าหวังว่ามันจะมีความหมาย" (กาลาเทีย 3:4 อ่านเข้าใจง่าย)

เรามักจะไม่เห็นพระประสงค์ที่ดีของพระเจ้าในเวลาที่เรากำลังประสบกับความเจ็บปวด หรือความล้มเหลว หรือความอับอายขายหน้า เมื่อพระเยซูทรงล้างเท้าเปโตร พระองค์ตรัสว่า "สิ่งที่เรากระทำในขณะนี้ท่านยังไม่รู้เรื่อง แต่ภายหลังท่านจะเข้าใจ" (ยอห์น 13:7) เราจะสามารถเข้าใจว่าพระเจ้าประสงค์ให้ปัญหานั้นกลายเป็นผลดีอย่างไร ก็ต่อเมื่อเรามองย้อนกลับไปหลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นแล้ว

การจะดึงบทเรียนจากประสบการณ์ของคุณนั้นต้องใช้เวลา ผมขอแนะนำให้คุณใช้เวลาสุดสัปดาห์ เข้าค่ายทบทวนชีวิต ซึ่งคุณจะสามารถหยุดเพื่อมองดูว่า พระเจ้าได้ทรงทำงานอย่างไรในช่วงเวลาสำคัญ ๆ ของชีวิตคุณ และพิจารณาว่า พระเจ้าต้องการใช้บทเรียนเหล่านั้นอย่างไรเพื่อช่วยคนอื่น มีอุปกรณ์หลายอย่างที่สามารถช่วยคุณทำสิ่งนี้ (ดูที่ www.puposedrivelife.com)

ยอมรับและชื่นชอบลักษณะ (SHAPE) ของคุณ

เนื่องจากพระเจ้าทรงทราบว่าอะไรที่ดีที่สุดสำหรับคุณ คุณจึงควรจะยอมรับลักษณะที่พระเจ้าบรรจงปั้นคุณด้วยท่าทีขอบพระคุณ พระคัมภีร์กล่าวว่า "ในฐานะมนุษย์ ท่านมีสิทธิ์อะไรที่จะตรวจสอบพระเจ้า สิ่งซึ่งถูกปั้นไม่มีสิทธิ์ที่จะกล่าวแก่ผู้ปั้นว่า "ทำไมท่านจึงปั้นข้าพเจ้าอย่างนี้" แน่นอน ช่างปั้นย่อมมีสิทธิ์ที่ทำกับดินก้อนนั้นตามที่เขาต้องการ" (โรม 9:20-21 JB)

ลักษณะของคุณถูกกำหนดโดยอำนาจสิทธิ์ขาดของพระเจ้าเพื่อพระประสงค์ของพระองค์ คุณจึงไม่ควรขุ่นเคืองหรือปฏิเสธมัน แทนที่จะพยายามปั้นตัวเองใหม่ให้เป็นคนอื่น คุณควรเฉลิมฉลองลักษณะที่พระเจ้าประทานแก่คุณเพียงคนเดียว "เราแต่ละคนได้รับความสามารถพิเศษ ตามส่วนสัดที่พระเยซูคริสต์ประทานให้" (เอเฟซัส 4:7 ประชานิยม)

ส่วนหนึ่งของการยอมรับลักษณะของคุณคือ การยอมรับข้อจำกัดของคุณ ไม่มีใครเก่งไปหมดทุกเรื่อง และไม่มีใครได้รับการทรงเรียกให้เป็นทุกอย่าง เราทุกคนมีบทบาทที่กำหนดไว้ เปาโลเข้าใจว่าการทรงเรียกของท่านนั้นไม่ใช่เพื่อทำทุกสิ่งให้สำเร็จ หรือทำให้ทุกคนพอใจ แต่ให้จดจ่อเฉพาะพันธกิจที่พระเจ้าบรรจงปั้นท่านให้ทำ (กาลาเทีย 2:7-8) ท่านกล่าวว่า "เป้าหมายของเราคือการอยู่ภายในขอบเขตซึ่งพระเจ้าทรงวางแผนไว้สำหรับเรา" (2 โครินธ์ 10:13 NLT)

คำว่าขอบเขตหมายถึง การที่พระเจ้าทรงมอบหมายลักษณะงาน หรือสถานที่ในการรับใช้แก่เราแต่ละคน ลักษณะของคุณกำหนดความเชี่ยวชาญของคุณ เมื่อเราพยายามขยายพันธกิจของเราไปเกินกว่าที่พระเจ้าทรงปั้นเราให้ทำ เราก็จะประสบความตึงเครียดเช่นเดียวกับที่ในการแข่งขันนักวิ่งทุกคนมีลู่วิ่งคนละลู่ เราแต่ละคนก็ต้อง "วิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายามตามที่ได้กำหนดไว้สำหรับเรา" (ฮีบรู 12:1) อย่าอิจฉานักวิ่งในลู่ข้าง ๆ แต่จงจดจ่อที่การวิ่งให้ถึงเส้นชัยของคุณ

พระเจ้าต้องการให้คุณมีความสุขกับการใช้ลักษณะที่พระองค์ประทานแก่คุณ พระคัมภีร์กล่าวว่า "อย่าลืมทำสิ่งที่ท่านควรทำ เพราะเมื่อทำเช่นนั้นท่านก็จะพึงพอใจที่ได้ทำงานของตนอย่างดี และท่านจะไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่น" (กาลาเทีย 6:4 NLT) ซาตานจะพยายามแย่งชิงความยินดีในการรับใช้ไปจากคุณด้วยสองวิธีคือ โดยการล่อลวงคุณให้เปรียบเทียบพันธกิจกับคนอื่น และโดยการล่อลวงให้คุณปรับเปลี่ยนพันธกิจไปตามความคาดหวังของคนอื่น ทั้งสองอย่างเป็นกับดักอันตรายถึงตาย ซึ่งจะหันเหคุณจากการรับใช้ในแบบที่พระเจ้าประสงค์ เมื่อไรก็ตามที่คุณสูญเสียความยินดีในการรับใช้ ให้คุณเริ่มต้นด้วยการพิจารณาว่าการล่อลวงเหล่านี้เป็นสาเหตุหรือไม่

พระคัมภีร์เตือนเราว่า อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น "จงทำงานของท่านให้ดีแล้วท่านก็จะมีเหตุให้ภูมิใจ แต่อย่าเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่น" (กาลาเทีย 6:4 CEV) มีเหตุผลสองประการที่คุณไม่ควรเปรียบเทียบลักษณะพันธกิจ หรือผลของพันธกิจของตนกับคนอื่น ประการแรก คุณจะสามารถหาบางคนที่ทำงานได้ดีกว่าคุณเสมอ แล้วคุณก็จะท้อใจ หรือคุณอาจพบบางคนที่ดูเหมือนไม่มีประสิทธิภาพเท่าคุณ และคุณก็จะรู้สึกเย่อหยิ่ง ท่าทีทั้งสองอย่างนี้จะดึงคุณออกจากการรับใช้ และชิงเอาความชื่นชมยินดีไปจากคุณ

เปาโลกล่าวว่าเป็นเรื่องโง่เขลาที่จะเปรียบเทียบตัวเราเองกับคนอื่น ท่านกล่าวว่า "เราไม่ต้องการที่จะเปรียบเทียบตัวเราเองกับคนบางคนที่ยกย่องตัวเอง แต่เมื่อเขาเอาตัวของเขาเป็นเครื่องวัดกันและกัน และเอาตัวเปรียบเทียบกันและกันแล้ว เขาก็เป็นคนขาดความเข้าใจ" (2 โครินธ์ 10:12) พระคัมภีร์ฉบับ The Message กล่าวว่า "เมื่อเขา เปรียบเทียบกัน แบ่งชั้นกัน และแข่งขันกันเช่นนี้ พวกเขาก็ได้พลาดประเด็นสำคัญไปแล้ว" (2 โครินธ์ 10:12ข Msg)

คุณจะพบคนที่ไม่เข้าใจลักษณะของคุณในการทำพันธกิจ และจะวิพากษ์วิจารณ์คุณและพยายามให้คุณปรับเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่พวกเขาคิดว่าคุณควรจะทำ อย่าไปสนใจพวกเขา เปาโลมักจะต้องรับมือกับนักวิจารณ์ที่เข้าใจผิด หรือกล่าวร้ายการรับใช้ของท่าน แต่การตอบสนองของท่านเหมือนเดิมเสมอคือ หลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบ ต่อต้านการพูดเกินความจริง และแสวงหาการรับรองของพระเจ้าเท่านั้น (1 โครินธ์ 10:12-18)

เหตุผลหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้เปาโลอย่างมากคือ ท่านปฏิเสธที่จะหันเหเพราะคำติเตียน หรือโดยการเปรียบเทียบพันธกิจของท่านกับคนอื่น หรือโดยการถูกชักนำเข้าสู่การถกเถียงที่ไร้ประโยชน์เกี่ยวกับพันธกิจของท่าน เหมือนที่จอห์น บันยันได้กล่าวว่า "ถ้าชีวิตของผมไม่เกิดผล ก็ไม่สำคัญว่าใครจะสรรเสริญผม และถ้าชีวิตของผมเกิดผลก็ไม่สำคัญว่าใครจะติเตียนผม"

พัฒนาลักษณะของคุณต่อไป

คำอุปมาของพระเยซูเรื่องเงินตะลันต์แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าทรงคาดหวังให้เราใช้สิ่งที่พระองค์ประทานแก่เราอย่างดีที่สุด เราต้องดูแลปรับปรุงของประทานและความสามารถของเรา รักษาใจของเราให้ร้อนรน ส่งเสริมให้ลักษณะนิสัยและบุคลิกภาพของเราเติบโต และขยายประสบการณ์ของเรา เพื่อเราจะเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้นในการรับใช้เปาโลได้บอกชาวฟีลิปปีให้ "เติบโตต่อไปในความรู้และความเข้าใจของท่าน" (ฟีลิปปี 1:9 NLT) และท่านย้ำเตือนทิโมธีว่า "จงกระพือของประทานของพระเจ้าซึ่งอยู่ในท่านให้ลุกโชติช่วงขึ้น" (2 ทิโมธี 1:6 NASB)

ถ้าคุณไม่ออกกำลังกล้ามเนื้อของคุณ มันก็จะอ่อนแอและฝ่อลีบ ในทำนองเดียวกันถ้าคุณไม่ใช้ความสามารถและทักษะที่พระเจ้าประทานแก่คุณ คุณก็จะสูญเสียสิ่งเหล่านั้นพระเยซูทรงสอนคำอุปมาเรื่องเงินตะลันต์เพื่อเน้นความจริงข้อนี้ เจ้านายกล่าวถึงทาสซึ่งไม่ได้ใช้ตะลันต์ของเขาว่า "เพราะฉะนั้นจงเอาตะลันต์เดียวนั้นจากเขาไปให้คนที่มีสิบตะลันต์" (มัทธิว 25:28) ถ้าคุณไม่ใช้สิ่งที่คุณได้รับ คุณก็จะสูญเสียมันไป แต่เมื่อคุณใช้ความสามารถที่คุณได้รับ พระเจ้าก็จะเพิ่มเติมให้ เปาโลบอกทิโมธีว่า "อย่าลืมใช้ความสามารถที่พระเจ้าประทานแก่ท่าน… จงใช้ความสามารถเหล่านี้ทำงาน" (1 ทิโมธี 4:14-15 LB)

ไม่ว่าของประทานที่คุณได้รับจะเป็นอะไรก็ตาม มันก็สามารถขยายและพัฒนาได้เมื่อคุณใช้มัน ยกตัวอย่าง ไม่มีใครมีของประทานในการสั่งสอนที่ช่ำชองมาตั้งแต่แรกแต่ด้วยการศึกษา การฟัง การตอบสนอง และการฝึกฝน ครูที่ "ดี" ก็สามารถกลายเป็นครูที่ดีขึ้น และเมื่อเวลาผ่านไป เขาก็จะเติบโตเป็นปรมาจารย์ ดังนั้นอย่าพอใจกับของประทานที่พัฒนาเพียงครึ่งเดียว แต่จงยืดตัวของคุณ แล้วเรียนรู้ทุกสิ่งที่คุณสามารถเรียนได้ "จงจดจ่อที่การทำสุดความสามารถเพื่อพระเจ้า คือทำการงานที่คุณจะไม่ต้องอาย" (2 ทิโมธี 2:15 Msg) จงฉวยโอกาสจากการอบรมทุกครั้งเพื่อพัฒนาลักษณะและเพิ่มทักษะในการรับใช้ของคุณ

ในสวรรค์ เราจะรับใช้พระเจ้าตลอดไป เวลานี้เราสามารถเตรียมตัวเพื่อการรับใช้นิรันดร์นั้นโดยการฝึกฝนต่อไปเพื่อวันสำคัญ "พวกเขาทำเพื่อเหรียญทองซึ่งวันหนึ่งจะหมองคล้ำไปแต่ท่านกำลังทำเพื่อสิ่งที่เป็นทองคำนิรันดร์" (1 โครินธ์ 9:25 Msg ) เรากำลังเตรียมพร้อมเพื่อความรับผิดชอบและรางวัลนิรันดร์

วันที่ 32 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: พระเจ้าสมควรได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจากฉัน

ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "จงอุตส่าห์สำแดงตนว่าได้พิสูจน์แล้ว เป็นคนงานที่ไม่ต้องอาย ใช้พระวจนะแห่งความจริงอย่างถูกต้อง" 2 ทิโมธี 2:15

คำถามสำหรับการพิจารณา: ฉันจะใช้สิ่งที่พระเจ้าประทานแก่ฉันอย่างดีที่สุดได้อย่างไร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น