วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วันที่ 35 ฤทธิ์เดชของพระเจ้า

ในความอ่อนแอของคุณ เราอ่อนแอ… แต่ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์เพื่อรับใช้พวกท่าน
2 โครินธ์ 13:4 (อมตธรรมร่วมสมัย)

เราอยู่กับเจ้า นั่นคือทั้งหมดที่เจ้าต้องการฤทธานุภาพของเราปรากฏชัดที่สุดในคนอ่อนแอ
2 โครินธ์ 12:9ก (LB)

พระเจ้าชอบใช้คนอ่อนแอ

ทุกคนมีความอ่อนแอ ที่จริง คุณมีความบกพร่องและความไม่สมบูรณ์มากมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย อารมณ์ สติปัญญา และจิตวิญญาณ และอาจจะมีสถานการณ์ที่คุณควบคุมไม่ได้ซึ่งทำให้คุณอ่อนแอ อย่างเช่น ความจำกัดด้านการเงิน และความสัมพันธ์ ปัญหาที่สำคัญกว่าคือ คุณทำอะไรกับสิ่งเหล่านี้ ตามปกติ เราปฏิเสธความอ่อนแอของเรา ปกป้อง แก้ตัว ซุกซ่อน และขุ่นเคืองต่อสิ่งเหล่านั้น แต่การกระทำเหล่านี้ขัดขวางไม่ให้พระเจ้าทรงใช้ความอ่อนแอในลักษณะที่พระองค์ต้องการ

พระเจ้าทรงมีมุมมองที่แตกต่างในเรื่องความอ่อนแอของคุณ พระองค์ตรัสว่า "วิถีของเราสูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้า" (อิสยาห์ 55:9) ดังนั้นพระองค์มักจะทรงกระทำตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราคาดคิด เราคิดว่าพระเจ้าต้องการใช้แต่ข้อดีของเรา แต่พระองค์ต้องการใช้ความอ่อนแอของเราเพื่อพระสิริของพระองค์ด้วย

พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าอ่อนแอเพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย" (1 โครินธ์ 1:23) ความอ่อนแอของคุณไม่ใช่ความบังเอิญ พระเจ้าทรงจงใจอนุญาตให้มีสิ่งเหล่านี้ในชีวิตของเรา เพื่อพระประสงค์ในการสำแดงฤทธิ์เดชของพระองค์ผ่านตัวคุณ

พระเจ้าไม่เคยประทับใจกำลังหรือความเก่งกาจของตัวคุณ ที่จริงพระองค์มักจะโน้มลงมาหาคนที่อ่อนแอและยอมรับมัน พระเยซูทรงถือว่าการที่เรายอมรับความขัดสนคือ "ความรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ" ซึ่งเป็นท่าทีอันดับแรกที่พระองค์ทรงอวยพระพร (มัทธิว 5:3)

พระคัมภีร์เต็มไปด้วยตัวอย่างที่พระเจ้าชอบใช้คนธรรมดาที่ไม่สมบูรณ์เพื่อทำสิ่งไม่ธรรมดา โดยไม่คำนึงถึงความอ่อนแอของพวกเขา ถ้าพระเจ้าทรงใช้แต่คนที่ดีพร้อม ก็คงไม่มีอะไรสำเร็จเลยสักอย่าง เพราะว่าไม่มีใครในพวกเราที่ไม่มีจุดบกพร่อง การที่พระเจ้าทรงใช้คนที่ไม่สมบูรณ์นั้นเป็นข่าวดีที่ให้กำลังใจเราทุกคน

ความอ่อนแอหรือ "หนาม" ที่เปาโลเรียกนั้น (2 โครินธ์ 12:7) ไม่ใช่ความบาป ความชั่ว หรือความบกพร่องในลักษณะนิสัยซึ่งคุณสามารถเปลี่ยนแปลงได้ อย่างเช่น การกินมากเกินไป หรือความไม่อดทน แต่ความอ่อนแอคือข้อจำกัดใด ๆ ก็ตามที่คุณได้รับตกทอดมา หรือไม่มีกำลังที่จะเปลี่ยนแปลงได้ มันอาจเป็นข้อจำกัดทางร่างกาย อย่างเช่น ความพิการ ความเจ็บป่วยเรื้อรัง การมีเรี่ยวแรงน้อยโดยธรรมชาติ หรือสภาพไร้ความสามารถอย่างใดอย่างหนึ่ง มันอาจจะเป็นข้อจำกัดทางอารมณ์ เช่นแผลจากความเจ็บช้ำน้ำใจ ความทรงจำอันเจ็บปวด บุคลิกประหลาด หรือความโน้มเอียงทางกรรมพันธ์ุ หรือมันอาจเป็นข้อจำกัดด้านความสามารถหรือสติปัญญา เราไม่ได้ปราดเปรื่องหรือเก่งกาจกันหมดทุกคน

เมื่อคิดถึงข้อจำกัดในชีวิตคุณ คุณอาจจะถูกล่อลวงให้สรุปว่า "พระเจ้าคงไม่มีวันใช้ผมหรอก" แต่พระเจ้าไม่เคยถูกจำกัดด้วยข้อจำกัดของเรา ที่จริง พระองค์ทรงพอพระทัยที่จะเติมฤทธิ์เดชยิ่งใหญ่ลงในภาชนะธรรมดา ๆ พระคัมภีร์กล่าวว่า "เราเป็นเหมือนภาชนะดินที่บรรจุของมีค่านี้ ฤทธิ์เดชที่แท้นั้นมาจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากตัวเรา" (2 โครินธ์ 4:7 CEV) เช่นเดียวกับภาชนะดินทั่ว ๆ ไป เราเปราะบาง มีตำหนิ และแตกง่าย แต่พระเจ้าจะใช้เราเช่นนั้น เราต้องทำตามแบบอย่่างของเปาโล

ยอมรับความอ่อนแอของเรา จงยอมรับความไม่สมบูรณ์ของคุณ เลิกเสแสร้งว่า คุณดีพร้อมทุกอย่าง และซื่อสัตย์กับตัวเอง แทนที่จะดำเนินชีวิตด้วยการปฏิเสธหรือแก้ตัวจงใช้เวลาทำความรู้จักความอ่อนแอส่วนตัวของคุณ คุณอาจจะเขียนรายการความอ่อนแอเหล่านั้นก็ได้

คำยอมรับครั้งสำคัญสองครั้งในพระคัมภีร์ใหม่แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เราจำเป็นต้องมีเพื่อจะดำเนินชีวิตแข็งแรง ครั้งแรกคือคำยอมรับของเปโตร ซึ่งทูลพระเยซูว่า "พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่" (มัทธิว 16:16) ครั้งที่สองคือ คำยอมรับของเปาโล ซึ่งกล่าวแก่ฝูงชนที่ไหว้รูปเคารพว่า "เราก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดา ๆ เหมือนกับพวกท่าน" (กิจการ 14:15 อ่านเข้าใจง่าย) ถ้าคุณต้องการให้พระเจ้าทรงใช้คุณ คุณจะต้องรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใด และคุณเองเป็นใคร คริสเตียนหลายคนโดยเฉพาะผู้นำลืมความจริงประการที่สอง เราเป็นเพียงมนุษย์ และถ้าจะต้องอาศัยวิกฤตเพื่อให้คุณยอมรับสิ่งนี้ พระเจ้าก็จะไม่ลังเลที่จะอนุญาตให้มันเกิดขึ้น เพราะว่าพระองค์ทรงรักคุณ

จงพอใจในความอ่อนแอของคุณ เปาโลกล่าวไว้ว่า "ข้าพเจ้ายินดีจะโอ้อวดความอ่อนแอของข้าพเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะทำงานผ่านข้าพเจ้า เนื่องจากข้าพเจ้ารู้ว่าทุกสิ่งเพื่อสิ่งดีของพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงพอใจอย่างยิ่งในความอ่อนของข้าพเจ้า" (2 โครินธ์ 12:9-10 NLT) ทีแรกเรื่องนี้คงดูไม่สมเหตุสมผล เราอยากเป็นอิสระจากความอ่อนแอของเรา ไม่ใช่พอใจกับมัน แต่ความพอใจคือการแสดงออกว่า เราเชื่อในความดีของพระเจ้า มันคือการกล่าวว่า "พระเจ้า ข้าพระองค์เชื่อว่าพระองค์ทรงรักข้าพระองค์ และทรงรู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับข้าพระองค์"

เปาโลให้เหตุผลหลายประการ เพื่อให้เราพอใจในความอ่อนแอที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ประการแรก สิ่งเหล่านี้ทำให้เราพึ่งพระเจ้า เมื่อกล่าวถึงความอ่อนแอของท่าน ซึ่งพระเจ้าทรงปฏิเสธที่จะขจัดออกไป เปาโลกล่าวว่า "ข้าพเจ้ามีความสุขกับ "หนามนั้น"… เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อนั้นข้าพเจ้าก็จะเข้มแข็ง คือยิ่งข้าพเจ้ามีน้อย ข้าพเจ้าก็ยิ่งพึ่งพระองค์มาก" (2 โครินธ์ 12:10 LB ) เมื่อไรก็ตามที่คุณรู้สึกอ่อนแอ พระเจ้ากำลังเตือนคุณให้พึ่งพระองค์

ควาอ่อนแอยังช่วยป้องกันไม่ให้หยิ่งยโส มันทำให้เราถ่อมใจ เปาโลกล่าวว่า "เพื่อข้าพเจ้าจะไม่อวดดี ข้าพเจ้าจึงได้รับของประทานเป็นความพิการ เพื่อข้าพเจ้าจะไม่ลืมความจำกัดของข้าพเจ้า" (2 โครินธ์ 12:7 Msg) พระเจ้ามักจะผูกความอ่อนแอสำคัญ ๆ เข้ากับจุดแข็งที่โดเด่น เพื่อควบคุมอัตตาของเรา ข้อจำกัดสามารถทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองที่ควบคุมเราไม่ให้มุ่งหน้าเร็วเกินไป หรือทำอะไรล้ำหน้าพระเจ้า

เมื่อกิเดโอนเกณ์ทหาร 32,000 คนเพื่อสู้รบกับคนมีเดียน พระเจ้าทอนจำนวนลงเหลือ 300 คน ทำให้อัตราส่วนกลายเป็น 450 ต่อ 1 เมื่อพวกเขาออกไปสู้กับกองทัพศัตรู 135,000 คน มันดูเหมือนจะเป็นสูตรสำหรับความหายนะ แต่พระเจ้าทรงทำเช่นนั้นเพื่อคนอิสราเอลจะรู้ว่าเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า ไม่ใช่กำลังของเขาเองที่ช่วยพวกเขาให้รอด

ความอ่อนแอของเรายังส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างผู้เชื่อ ขณะที่ความเข้มแข็งทำให้เกิดท่าทีไม่อยากพึ่งพาอาศัยใคร (ฉันไม่ต้องการคนอื่น) ข้อจำกัดต่าง ๆ ของเรา ทำให้เห็นว่าเราต้องการกันและกันมากเพียงไร เมื่อเราถักทอสายใยความอ่อนแอของเราเข้าด้วยกัน ก็จะเกิดเป็นเส้นเชือกที่แข็งแรง เวนส์ เฮฟเนอร์เยาะว่า "คริสเตียนก็บอบบางเหมือนเกล็ดหิมะ แต่เมื่อพวกเขารวมตัวกัน พวกเขาก็สามารถหยุดการจราจรได้"

ที่สำคัญที่สุด ความอ่อนแอของเราจะเพิ่มพูนศักยภาพในการเห็นอกเห็นใจและการรับใช้ เราจะสงสารและห่วงใยความอ่อนแอของคนอื่นมากขึ้นอีกแยะ พระเจ้าต้องการให้คุณมีพันธกิจเหมือนพระคริสต์ในโลกนี้ นั่นหมายความว่าคนอื่นจะได้พบการบำบัดรักษาจากบาดแผลของคุณ เรื่องราวชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคุณ และพันธกิจที่เกิดผลมากที่สุดของคุณ จะมาจากบาดแผลที่ลึกที่สุดของคุณ สิ่งที่คุณขายหน้าที่สุด ละอายที่สุด และลังเลที่จะพูดถึงที่สุดคือ เครื่องมือที่พระเจ้าสามารถใช้อย่างทรงพลังที่สุด เพื่อเยียวยารักษาคนอื่น

ฮัดสัน เทเลอร์ มิชชันนารีผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า "คนสำคัญของพระเจ้าเป็นคนอ่อนแอกันทุกคน" ความอ่อนแอของโมเสสคืออารมณ์ของท่าน มันทำให้ท่านฆ่าคนอียิปต์ ตีหินที่ท่านควรจะพูดกับมัน และทุ่มแผ่นศิลาบัญญัติสิบประการจนแตก แต่พระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงโมเสสให้เป็น "คนถ่อมใจมากยิ่งกว่าคนทั้งปวงที่พื้นแผ่นดิน" (กันดารวิถี 12:3)

ความอ่อนแอของกิเดโอนคือการมองตัวเองด้อยค่า และความรู้สึกหวั่นไหวอยู่ลึก ๆ แต่พระเจ้าทรงเปลี่ยนท่านให้เป็น "บุรุษผู้กล้าหาญ" (ผู้วินิจฉัย 6:12) ความอ่อนแอของอับราฮัมคือความกลัว ไม่ใช่ครั้งเดียว แต่ถึงสองครั้ง ที่ท่านอ้างว่าภรรยาเป็นน้องสาวเพื่อปกป้องตัวเอง แต่พระเจ้าทรงเปลี่ยนอับราฮัมให้เป็น "บิดาของคนทั้งปวงที่เชื่อ" (โรม 4:11) เปโตรผู้หุนหันและไม่หนักแน่นกลายเป็น "ศิลา" (มัทธิว 16:18) ดาวิดผู้ล่วงประเวณีกลายเป็น "คนที่เราชอบใจ" (กิจการ 13:22) และยอห์นหนึ่งใน "ลูกฟ้าร้อง" ผู้เย่อหยิ่งได้กลายเป็น "อัครทูตแห่งความรัก"

ตัวอย่างเหล่านี้มีไม่จบไม่สิ้น "ไม่มีเวลาพอที่จะกล่าวถึง… บาราด แซมสัน เยฟธาร์ ดาวิด ซามูเอล และผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย… ความอ่อนแอของท่านก็กลับเป็นความเข้มแข็ง" (ฮีบรู 11:32-34) พระเจ้าทรงเชี่ยวชาญในการเปลี่ยนแปลงความอ่อนแอให้กลับกลายเป็นความเข้มแข็ง พระองค์ต้องการรับเอาความอ่อนแอที่น่าหนักใจที่สุดของคุณ และเปลี่ยนแปลงมัน

เปิดเผยความอ่อนแอของคุณอย่างตรงไปตรงมา พันธกิจเริ่มต้นด้วยการเปิดโอกาสให้โจมตี ยิ่งคุณหยุดปกป้องตัวเอง ยิ่งคุณถอดหน้ากากของคุณ และเล่าเรื่องการต่อสู้ดิ้นรนให้คนอื่น พระเจ้าก็จะยิ่งสามารถใช้คุณในการปรนนิบัติคนอื่น

เปาโลแสดงแบบอย่างของการเปิดโอกาสให้โจมตีในจดหมายทุกฉบับของท่าน ท่านบอกอย่างเปิดเผยถึง

๐ ความล้มเหลวของท่าน "การดีนั้นซึ่งข้าพเจ้าปราถนาทำ ข้าพเจ้าไม่ได้ทำแต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปราถนาทำ ข้าพเจ้ายังทำอยู่ (โรม 7:19)

๐ ความรู้สึกของท่าน "ข้าพเจ้าได้บอกความรู้สึกทั้งหมดแก่พวกท่าน" (2 โครินธ์ 6:11 LB)

๐ ความหนักใจของท่าน "เราหนักใจเหลือกำลังจนเราเกือบหมดหวังที่จะเอาชีวิตรอดมาได้" (2 โครินธ์ 1:8)

๐ ความกลัวของท่าน "ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลายด้วยความอ่อนแอ ด้วยความกลัวและความหวาดหวั่นมาก" (1 โครินธ์ 2:3 2002)

แน่นอน การเปิดโอกาสให้โจมตีนั้นอันตราย มันน่ากลัวที่คุณจะลดการป้องกันตัว และเปิดเผยชีวิตของคุณต่อคนอื่น เมื่อคุณเปิดเผยความล้มเหลว ความรู้สึก ความหนักใจ และความกลัวของคุณ คุณก็เสี่ยงที่จะถูกปฏิเสธ แต่ประโยชน์ต่าง ๆ นั้นคุ้มกับการเสี่ยง การเปิดโอกาสให้โจมตีนั้นเป็นการปลดพันธนาการทางอารมณ์ การเปิดเผยจะช่วยลดความเคลียด ปลดชนวนความกลัว และเป็นก้าวแรกสู่เสรีภาพ

เราได้เห็นแล้วว่า พระเจ้า "ประทานพระคุณแก่คนที่ถ่อมใจ" แต่หลายคนเข้าใจ ความถ่อมใจผิด ความถ่อมใจไม่ใช่การกดตัวคุณเองลง หรือปฏิเสธข้อดีของคุณ แต่เป็นการเปิดเผยความอ่อนแอของคุณ ยิ่งคุณเปิดเผยมากเท่าไร พระคุณของพระเจ้าก็จะมาถึงคุณมากเท่านั้น คุณยังจะได้รับความกรุณาจากคนอื่นด้วย การเปิดโอกาสให้โจมตีเป็นคุณสมบัติที่ทำให้เราเป็นที่รัก โดยธรรมชาติแล้วเรามักจะชอบคนถ่อมใจ การเสแสร้งจะผลักไสคนอื่นแต่การแสดงตัวตนที่แท้จริงจะดึงดูดผู้อื่น และการเปิดโอกาสให้โจมตีก็เป็นหนทางสู่ความสนิทสนม

นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าต้องการใช้ความอ่อนแอของคุณ ไม่ใช่ความเข้มแข็งของคุณเพียงอย่างเดียว ถ้าทุกคนเห็นแต่ความเข้มแข็งของคุณ พวกเขาก็จะท้อใจและคิดว่า "มันคงดีสำหรับเขา แต่ฉันคงไม่มีวันทำสิ่งนั้นได้" แต่เมื่อพวกเขาเห็นพระเจ้าทรงใช้คุณ แม้ว่าคุณอ่อนแอ มันก็จะหนุนใจพวกเขาให้คิดว่า "บางทีพระเจ้าอาจจะสามารถใช้ฉันก็ได้" ความเข้มแข็งของเราก่อให้เกิดการแข่งขัน แต่ความอ่อนแอก่อให้เกิดชุมชน

ณ บางจุดในชีวิต คุณจะต้องตัดสินใจว่า คุณอยากทำให้คนอื่นประทับใจ หรือคุณอยากมีอิทธิพลต่อชีวิตเขา คุณสามารถทำให้คนอื่นประทับใจโดยยืนอยู่ห่วง ๆ แต่คุณต้องใกล้ชิดจึงจะสามารถมีอิทธิพลต่อพวกเขา และเมื่อคุณทำเช่นนั้น พวกเขาจะสามารถเห็นความบกพร่องของคุณ แต่นั่นไม่เป็นไร คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดสำหรับการเป็นผู้นำไม่ใช่การเป็นคนดีพร้อมไร้ที่ติ แต่เป็นความน่าเชื่อถือ คนอื่นต้องสามารถวางใจคุณได้ มิฉะนั้นพวกเขาก็จะไม่ติดตามคุณ คุณจะสร้างความน่าเชื่อถือได้อย่างไร ไม่ใช่โดยการแสร้งทำเป็นดีพร้อม แต่โดยการยอมรับความจริง

ยกย่องความอ่อนแอของคุณ เปาโลกล่าวว่า "ข้าพเจ้าจะโอ้อวดเฉพาะเรื่องที่ว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเพียงไร และพระเจ้าทรงใช้ความอ่อนแอเช่นนี้อย่างไรเพื่อพระเกียรติของพระองค์" (2 โครินธ์ 12:5ข LB) แทนที่จะแสดงความมั่นใจในตัวเอง และความแข็งแกร่ง จงมองว่าตัวคุณคือรางวัลแห่งพระคุณ เมื่อซาตานชี้ความอ่อนแอของคุณ จงเห็นด้วยกับมัน และเติมหัวใจคุณให้เต็มด้วยคำสรรเสริญพระเยซู ผู้ทรง "เห็นใจในความอ่อนแอของเรา" (ฮีบรู 4:15) และสรรเสริญพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ "ทรงช่วยเราเมื่อเราอ่อนกำลัง" (โรม 8:26ก)

อย่างไรก็ตาม บางครั้งพระเจ้าก็ทรงเปลี่ยนความเข้มแข็งเป็นความอ่อนแอเพื่อจะทรงใช้เรามากขึ้น ยาโคบเป็นนักหลอกลวงซึ่งใช้ชีวิตด้วยการวางอุบาย แล้วก็วิ่งหนีจากผลที่จะตามมา คืนหนึ่ง ท่านปล้ำสู้กับพระเจ้าและกล่าวว่า "ข้าพเจ้าจะไม่ปล่อย จนกว่าท่านจะอวยพรข้าพเจ้า" พระเจ้าตรัสว่า "ตกลง" แต่แล้วพระองค์ทรงฉวยต้นขาของยาโคบและเคลื่อนสะโพกของท่าน เรื่องนี้มีความหมายอย่างไร

พระเจ้าทรงสัมผัสพละกำลังของยาโคบ (กล้ามเนื้อต้นขาคือส่วนที่แข็งแรงที่สุดในร่างกาย) และเปลี่ยนเป็นความอ่อนแอ ตั้งแต่วันนั้นมา ยาโคบจึงเดินกระเผลก ท่านไม่สามารถวิ่งหนีได้อีก ความอ่อนแอนี้บังคับท่านให้พึ่งพระเจ้าไม่ว่าท่านจะชอบหรือไม่ก็ตาม ถ้าคุณต้องการให้พระเจ้าทรงอวยพระพรและใช้คุณมาก ๆ คุณก็ต้องเต็มใจที่เดินกระเผลกไปตลอดเวลาที่เหลือในชีวิตของคุณ เพราะว่าพระเจ้าทรงใช้คนอ่อนแอ

วันที่ 35 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: พระเจ้าทรงทำงานได้ดีที่สุดเมื่อฉันยอมรับความอ่อนแอของตัวเอง

ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น" 2 โครินธ์ 12:9ก

คำถามสำหรับการพิจารณา: ฉันกำลังจำกัดฤทธิ์เดชของพระเจ้าในชีวิตของตัวเอง โดยการพยายามปกปิดความอ่อนแอของฉันหรือไม่ ฉันต้องเปิดเผยเรื่องอะไรบ้าง จึงจะสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น