ในใจของมนุษย์มีแผนงานเป็นอันมาก แต่พระประสงค์ของพระเจ้านั่นแหละจะดำรงอยู่ได้
สุภาษิต 19:21
ฝ่ายดาวิดเมื่อได้ปฏิบัติในคราวอายุของท่านตามพระทัยของพระเจ้า
กิจการ 13:36
การดำเนินด้วยวัตถุประสงค์เป็นวิธีเดียวที่จะมีชีวิตอย่างแท้จริง วิธีอื่นล้วนเป็นเพียงการมีตัวตนเฉย ๆ
คนส่วนใหญ่ดิ้นรนค้นหาคำตอบของปัญหาพื้นฐานในชีวิตสามประการ ประการแรกคือตัวตน "ฉันเป็นใคร" ประการที่สองคือความสำคัญ "ฉันสำคัญไหม" ประการที่สามคือผลกระทบ "อะไรคือบทบาทในชีวิตของฉัน" คำตอบสำหรับคำถามทั้งสามข้อนี้พบได้ในพระประสงค์ห้าประการของพระเจ้าสำหรับคุณ
ในห้องชั้นบน เมื่อพระเยซูใกล้จะสิ้นสุดวันท้ายของการทำพันธกิจกับเหล่าสาวกของพระองค์ พระองค์ได้ทรงล้างเท้าพวกเขาเพื่อเป็นตัวอย่าง และตรัสว่า "เมื่อท่านรู้ดังนี้แล้วและท่านประพฤติตาม ท่านก็เป็นสุข" (ยอห์น 13:17) เมื่อคุณรู้สิ่งที่พระเจ้าต้องการให้คุณทำ พระพรก็จะมาจากการลงมือทำสิ่งนั้น เวลานี้เรามาถึงจุดสิ้นสุดของการเดินทางสี่สิบวันไปด้วยกัน เมื่อคุณรู้พระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตคุณแล้ว คุณก็จะได้รับพระพรถ้าคุณลงมือทำสิ่งเหล่านี้
การทำเช่นนี้อาจจะหมายถึงคุณจะต้องหยุดทำสิ่งอื่นบางสิ่ง มีสิ่ง "ดี" หลายอย่างที่คุณสามารถทำได้กับชีวิตของคุณ แต่พระประสงค์ของพระเจ้าคือ สิ่งสำคัญห้าประการที่คุณต้องทำ น่าเสียดาย มันง่ายที่จะหันเหหรือหลงลืมสิ่งที่สำคัญที่สุด มันง่ายที่จะหลุดจากสิ่งที่สำคัญที่สุด และค่อย ๆ ออกนอกเส้นทาง เพื่อป้องกันปัญหานี้ คุณควรจะเขียนแถลงการณ์วัตถุประสงค์สำหรับชีวิตของคุณ แล้วทบทวนเสมอ ๆ
อะไรคือแถลงการณ์วัตถุประสงค์สำหรับชีวิต
มันคือข้อความที่สรุปพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตคุณ คุณยืนยันการอุทิศถวายตัวเพื่อพระประสงค์ห้าประการสำหรับชีวิตคุณด้วยคำพูดของคุณเอง แถลงการณ์วัตถุประสงค์ไม่ใช่รายการเป้าหมาย เป้าหมายเป็นสิ่งชั่วคราว วัตถุประสงค์นั้นนิรันดร์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "แผนการของพระองค์จะดำรงอยู่ตลอดไป พระประสงค์ของพระองค์คงอยู่ชั่วนิรันดร์" (สดุดี 33:11 TEV)
มันเป็นข้อความที่บอกทิศทางแก่ชีวิตของคุณ การเขียนวัตถุประสงค์ของคุณลงไปบนกระดาษจะบังคับให้คุณคิดถึงเส้นทางชีวิตของคุณอย่างเจาะจง พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงรู้ว่าท่านมุ่งหน้าไปทางไหน และท่านจะอยู่บนทางที่มั่นคง" (สุภาษิต 4:26 CEV) แถลงการณ์วัตถุประสงค์ของชีวิตไม่เพียงแต่บอกถึงสิ่งที่คุณตั้งใจจะทำกับเวลา ชีวิต และเงินทองของคุณเท่านั้น แต่ยังบอกถึงสิ่งที่คุณจะไม่ทำด้วย สุภาษิตกล่าวว่า "คนฉลาดมุ่งกระทำสิ่งที่มีปัญญา แต่คนโง่เริ่มต้นโดยการมุ่งหน้าสะเปะสะปะ" (สุภาษิต 17:24 TEV)
มันเป็นข้อความที่กำหนดกรอบ "ความสำเร็จ" สำหรับคุณ มันบอกถึงสิ่งที่คุณเชื่อว่าสำคัญ ไม่ใช่สิ่งที่โลกบอกว่าสำคัญ มันทำให้ค่านิยมของคุณชัดเจน เปาโลกล่าวว่า "ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านเข้าใจว่าสิ่งใดที่สำคัญจริง ๆ" (ฟีลิปปี 1:10 NLT)
มันเป็นข้อความที่ทำให้บทบาทของคุณชัดเจน คุณอาจจะมีบทบาทแตกต่างไปในแต่ละช่วงของชีวิต แต่วัตถุประสงค์ของคุณจะไม่มีวันเปลี่ยน มันยิ่งใหญ่กว่าบทบาทใด ๆ ทั้งหมดของคุณ
มันเป็นข้อความที่แสดงออกถึงลักษณะ (SHAPE) ของคุณ มันสะท้อนเอกลักษณ์ที่พระเจ้าได้ทรงสร้างคุณเพื่อรับใช้พระองค์
จงใช้เวลาเขียนแถลงการณ์วัตถุประสงค์ของชีวิตคุณออกมา ไม่ต้องพยายามเขียนให้เสร็จภายในครั้งเดียว และอย่ามุ่งที่จะเขียนได้อย่างสมบูรณ์แบบตั้งแต่ครั้งแรก ขอเพียงแต่เขียนความคิดของคุณลงไป ให้เร็วที่สุดตามที่คุณนึกได้ การเรียบเรียงนั้นง่ายกว่าการคิดขึ้นใหม่ ต่อไปนี้เป็นคำถามห้าข้อที่คุณควรพิจารณาขณะเขียนแถลงการณ์ของคุณ
ห้าคำถามที่สำคัญที่สุดในชีวิต
อะไรจะเป็นศูนย์กลางในชีวิตฉัน นี่คือคำถามเรื่องการนมัสการ คุณจะใช้ชีวิตอยู่เพื่อใคร ชีวิตคุณจะมุ่งเน้นที่อะไร คุณสามารถจดจ่อชีวิตของคุณกับอาชีพ ครอบครัว กีฬา หรืองานอดิเรก เงินทอง ความสุขสบาย หรือกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งดี แต่มันไม่ใช่ศูนย์กลางชีวิตของคุณ เพราะไม่มีสิ่งใดสำคัญมากพอที่จะยึดคุณเอาไว้ได้เมื่อชีวิตเริ่มแตกสลาย คุณต้องการศูนย์กลางที่มั่นคงไม่หวั่นไหว
กษัตริย์อาสาสั่งประชาชนยูดาห์ให้ "มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางชีวิต" (2 พงศาวดาร 14:4 Msg) ที่จริง สิ่งใดก็ตามที่อยู่ ณ ศูนย์กลางชีวิตคุณก็คือพระเจ้าของคุณ เมื่อคุณถวายชีวิตของคุณแด่พระคริสต์ พระองค์ทรงย้ายเข้ามาที่ศูนย์กลาง แต่คุณต้องรักษาพระองค์ไว้ที่นั่นด้วยการนมัสการ เปาโลกล่าวว่า "ขอให้พระคริสต์ตั้งมั่นคงอยู่ในใจของพวกท่าน" (เอเฟซัส 3:17 อ่านเข้าใจง่าย)
คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไรพระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางในชีวิตคุณ เมื่อพระองค์ทรงเป็นศูนย์กลางชีวิตคุณ คุณจะนมัสการ แต่เมื่อพระองค์ไม่เป็น คุณจะวิตกกังวล ความวิตกเป็นสัญญาณที่เตือนว่าพระเจ้าได้ถูกผลักไสออกไปอยู่รอบนอก ทันทีที่คุณให้พระองค์กลับมาเป็นศูนย์กลาง คุณก็จะมีสันติสุขอีกครั้ง พระคัมภีร์กล่าวว่า "ความรู้สึกถึงความอิ่มเอิบของพระเจ้า… จะเข้ามาทำให้ท่านสงบ สิ่งที่ยอดเยี่ยมนี้เกิดขึ้น เมื่อพระคริสต์ทรงเข้ามาอยู่ที่ศูนย์กลางชีวิตของท่าน แทนที่ความกังวล (ฟีลิปปี 4:7 Msg)
ลักษณะนิสัยของฉันจะเป็นอย่างไร นี่คือคำถามเรื่องการเป็นสาวก คุณจะเป็นคนแบบไหน พระเจ้าทรงสนพระทัยว่าคุณเป็นอย่างไรมากยิ่งกว่าสิ่งที่คุณทำ โปรดจำไว้ว่าคุณจะนำลักษณะนิสัยของคุณไปสวรรค์ ไม่ใช่อาชีพการงาน จงเขียนรายการลักษณะนิสัยที่คุณต้องการฝึกและพัฒนาในชีวิตของคุณ คุณอาจจะเริ่มต้นด้วยผลของพระวิญญาณ (กาลาเทีย 5:22-23) หรือผู้เป็นสุข (มัทธิว 5:3-12)
เปโตรกล่าวว่า "อย่าเสียเวลาไปแม้แต่นาทีเดียวในการสร้างสิ่งที่ท่านได้รับ โดยการเสริมความเชื่อพื้นฐานของท่านด้วยลักษณะนิสัยที่ดี ความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ วินัยที่ตื่นตัว ความอดทนอย่างยิ่งยวด ความยำเกรงพระเจ้า มิตรภาพอันอบอุ่น และความรักด้วยใจกว้างขวาง" (2 เปโตร 1:5-7 Msg) อย่าท้อใจและล้มเลิกเมื่อคุณสะดุดล้ม มันต้องใช้เวลาตลอดชีวิตที่จะสร้างลักษณะนิสัยที่เหมือนพระคริสต์ เปาโลบอกทิโมธีว่า "จงยึดมั่นในเรื่องลักษณะนิสัยและคำสอนของท่าน อย่าว่อกแว่ก จงมุ่งมั่นในสิ่งนี้" (1 ทิโมธี 4:16ข Msg)
ชีวิตของฉันจะทำประโยชน์อะไร นี่คือคำถามเรื่องการรับใช้ พันธกิจของคุณในพระกายของพระคริสต์คืออะไร จากที่ได้รู้องค์ประกอบของลักษณะซึ่งได้แก่ของประทานฝ่ายวิญญาณ หัวใจ ความสามารถ บุคลิกภาพ และประสบการณ์ (SHAPE) อะไรคือ บทบาทที่ดีที่สุดของคุณในครอบครัวของพระเจ้า คุณจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร มีกลุ่มใดในพระกายที่พระเจ้าบรรจงปั้นฉันมาใช้รับใช้โดยเฉพาะหรือไม่ เปาโลได้ชี้ให้เห็นผลประโยชน์อันยอดเยี่ยมสองประการเมื่อคุณทำให้พันธกิจของคุณสำเร็จ "การดีที่ท่านทำนั้นไม่เพียงแต่ช่วยเหลือคนของพระเจ้าที่ขัดสนเท่านั้น แต่ยังทำให้คนทั้งหลายขอบพระคุณพระเจ้าไม่หยุดปาก" (2 โครินธ์ 9:12 ประชานิยม)
แม้พระเจ้าจะปั้นคุณเพื่อรับใช้คนอื่น แต่พระเยซูก็มิได้ตอบสนองความต้องการของทุกคนขณะที่พระองค์อยู่ในโลกนี้ คุณต้องเลือกว่า ใครที่คุณสามารถช่วยได้ดีที่สุดตามลักษณะของคุณ คุณต้องถามว่า "ฉันปราถนาจะช่วยใครมากที่สุด" พระเยซูตรัสว่า "เราแต่งตั้งท่านให้ไปเกิดผลซึ่งเป็นผลถาวร" (ยอห์น 15:16ก ประชานิยม) เราแต่ละคนเกิดผลแตกต่างกัน
อะไรคือสิ่งที่ฉันจะสื่อสารในชีวิต นี่คือคำถามเรื่องภารกิจของคุณต่อผู้ที่ไม่เชื่อ แถลงการณ์ภารกิจของคุณคือ ส่วนหนึ่งของแถลงการณ์วัตถุประสงค์ ซึ่งควรจะรวมถึงการอุทิศตัวเพื่อเล่าคำพยานของคุณ และเล่าข่าวประเสริฐแก่คนอื่น ๆ และคุณควรจะเขียนรายการบทเรียนชีวิตและความร้อนรนในทางพระเจ้า ที่คุณรู้สึกว่าพระเจ้าได้ประทานให้คุณบอกแก่โลกนี้ เมื่อคุณทุ่มเทในการประกาศ อย่าลืมเพิ่มสิ่งนี้เข้าไปในแถลงการณ์ของคุณด้วย
ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ ภารกิจส่วนหนึ่งของคุณคือ การเลี้ยงลูกให้รู้จักพระคริสต์ ช่วยให้เขาเข้าใจพระประสงค์ของพระองค์สำหรับชีวิตเขา และส่งเขาออกไปทำภารกิจของเขาในโลก คุณอาจจะผนวกแถลงการณ์ของโยชูวาไว้ในแถลงการณ์ของคุณคือ "แต่ส่วนข้าพเจ้า และครอบครัวของข้าพเจ้า เราจะปรนนิบัติพระเจ้า" (โยชูวา 24:15)
แน่นอน ชีวิตของเราต้องสนับสนุนและรับรองเรื่องราวที่เราสื่อสาร ก่อนที่ผู้ไม่เชื่อส่วนใหญ่จะยอมรับความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์นั้น พวกเขาต้องการรู้เสียก่อนว่าเราเชื่อถือได้ นี่คือเหตุผลที่พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงแน่ใจว่าท่านได้ดำเนินชีวิตในลักษณะที่ข่าวประเสริฐของพระคริสต์จะได้รับเกียรติ" (ฟีลิปปี 1:27 NCV)
ชุมชนของชีวิตของฉันจะอยู่ที่ไหน นี่คือคำถามเรื่องสามัคคีธรรม คุณจะแสดงออกถึงการอุทิศตัวเพื่อพี่น้องผู้เชื่อ และความสัมพันธ์กับครอบครัวของพระเจ้าอย่างไร คุณจะปฏิบัติตามคำสั่ง "ซึ่งกันและกัน" กับพี่น้องคริสเตียนที่ไหน ครอบครัวของพระเจ้าไหนที่คุณจะร่วมในฐานะสมาชิกที่ทำหน้าที่ของตน ยิ่งคุณเติบโต คุณก็จะยิ่งรักพระกายของพระคริสต์ และต้องการเสียสละเพื่อคริสตจักร พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระคริสต์ทรงรักคริสตจักรและทรงประทานพระองค์เองเพื่อคริสตจักร" (เอเฟซัส 5:25) คุณควรจะรวมประโยคที่แสดงออกถึงความรักต่อคริสตจักรของพระเจ้าไว้ในแถลงการณ์ของคุณ
เมื่อคุณพิจารณาคำตอบของคุณสำหรับคำถามเหล่านี้ จงรวมเอาข้อพระคัมภีร์ที่พูดกับคุณถึงวัตถุประสงค์แต่อย่างเหล่านี้ไว้ด้วย มีหลายข้อในหนังสือเล่มนี้ คุณอาจจะต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ หรือหลายเดือน เพื่อเรียบเรียงแถลงการณ์วัตถุประสงค์ให้ได้อย่างที่คุณต้องการ จงอธิษฐาน คิด คุยกับเพื่อนสนิท และใคร่ครวญพระคัมภีร์ คุณอาจจะต้องเขียนใหม่หลายครั้งกว่าจะได้ข้อความที่ต้องการในที่สุด และถึงกระนั้น คุณคงจะต้องเปลี่ยนแปลงบ้างเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อพระเจ้าประทานความเข้าใจมากขึ้นเรื่องลักษณะ (SHAPE) ของคุณเอง
นอกเหนือจาการเขียนแถลงการณ์วัตถุประสงค์ชีวิตแบบละเอียด การเขียนข้อความแบบสั้นเพื่อให้จำได้และคอยกระตุ้นคุณก็จะเป็นประโยชน์ แล้วคุณจะสามารถเตือนตัวเองได้ทุกวัน ซาโลมอนได้แนะนำว่า "เป็นการดีที่จะจดจำสิ่งเหล่านี้ไว้ในสมอง เพื่อท่านจะพร้อมที่จะพูดทวนสิ่งเหล่านี้ได้" (สุภาษิต 22:18 NCV) มีตัวอย่างบางประโยคดังนี้
๐ "วัตถุประสงค์ชีวิตของฉันคือการนมัสการพระคริสต์ด้วยหัวใจ รับใช้พระองค์ด้วยลักษณะของฉัน สามัคคีธรรมกับครอบครัวของพระองค์ เติบโตเหมือนพระองค์ในเรื่องลักษณะนิสัย และทำให้ภารกิจของพระองค์ในโลกสำเร็จเพื่อพระองค์จะได้รับเกียรติ"
๐ "วัตถุประสงค์ชีวิตของฉันคือการเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระคริสต์ เป็นแบบจำลองลักษณะนิสัยของพระองค์ เป็นผู้รับใช้แห่งพระคุณของพระองค์ เป็นผู้สื่อสารพระวจนะของพระองค์ และเป็นผู้ยกย่องพระสิริของพระองค์"
๐ "วัตถุประสงค์ชีวิตของฉันคือการรักพระคริสต์ เติบโตในพระคริสต์ บอกเรื่องพระคริสต์ และรับใช้พระคริสต์ผ่านทางคริสตจักรของพระองค์ และนำครอบครัวของฉันและคนอื่นให้ทำสิ่งเดียวกัน"
๐ "วัตถุประสงค์ชีวิตของฉันคือการอุทิศตัวต่อพระมหาบัญญัติและพระมหาบัญชา"
๐ "เป้าหมายของฉันคือการเป็นเหมือนพระคริสต์ ครอบครัวของฉันคือ คริสตจักร พันธกิจของฉันคือ……………และภารกิจของฉันคือ……………แรงจูงใจของฉันคือพระสิริของพระเจ้า
คุณอาจจะสงสัยว่า "แล้วน้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับอาชีพการงาน หรือการแต่งงานของฉันล่ะ ฉันจะอาศัยอยู่ที่ไหน หรือไปเรียนที่ไหน" พูดตามตรงนะครับ สิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องรองในชีวิตคุณ และเรื่องเหล่านี้อาจจะมีความเป็นไปได้หลายอย่างที่ล้วนเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับคุณ สิ่งสำคัญที่สุดคือว่า ให้คุณทำให้พระประสงค์นิรันดร์ของพระเจ้าสำเร็จไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ทำงานที่ไหน หรือแต่งงานกับใคร พระคัมภีร์กล่าวว่า "ในใจมนุษย์มีแผนงานเป็นอันมาก แต่พระประสงค์ของพระเจ้านั่นแหละจะดำรงอยู่ได้" (สุภาษิต 19:21) จงจดจ่อที่พระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตคุณ ไม่ใช่ที่แผนการของคุณ เพราะพระประสงค์ของพระเจ้าคือ สิ่งที่คงอยู่ตลอดไป
ครั้งหนึ่ง ผมได้ยินคำแนะนำว่า ให้คุณเขียนแถลงการณ์วัตถุประสงค์ชีวิตของคุณโดยดูว่าคุณต้องการให้คนอื่นพูดถึงคุณอย่างไรในงานศพของคุณ ลองจินตนาการคำเยินยอที่สมบูรณ์ที่สุดที่คุณจะได้รับ แล้วเขียนแถลงการณ์ของคุณตามนั้น พูดตรง ๆ นะครับ นั่นเป็นแผนการที่แย่ เมื่อถึงปั้นปลายของคุณ มันจะไม่สำคัญว่าคนอื่นจะพูดอะไรเกี่ยวกับคุณ สิ่งเดียวที่สำคัญคือพระเจ้าจะตรัสอะไรเกี่ยวกับคุณ พระคัมภีร์กล่าวว่า "จุดหมายของเราคือทำให้พระเจ้าพอพระทัย ไม่ใช่เอาใจมนุษย์" (1 เธสะโลนิกา 2:4ข NLT)
วันหนึ่ง พระเจ้าจะทบทวนคำตอบของคุณสำหรับคำถามชีวิตเหล่านี้ คุณได้ให้พระคริสต์อยู่ที่ศูนย์กลางชีวิตคุณหรือไม่ คุณได้พัฒนาลักษณะนิสัยของคุณหรือไม่ คุณอุทิศชีวิตเพื่อรับใช้คนอื่นหรือไม่ คุณรักและเข้าร่วมในครอบครัวของพระองค์หรือไม่ สิ่งเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นเรื่องสำคัญ ตามที่เปาโลกล่าวว่า "เป้าหมายของเราคือทำให้สำเร็จตามแผนการของพระเจ้าสำหรับเรา" (2 โครินธ์ 10:13 LB)
พระเจ้าต้องการใช้คุณ
ประมาณสามสิบปีก่อน ผมได้สังเกตเห็นวลีสั้น ๆ ในกิจการ 13:36 ซึ่งเปลี่ยนทิศทางชีวิตของผมตลอดไป มันยาวแค่เจ็ดคำในภาษาอังกฤษ แต่มันจารึกลงไปในชีวิตผมอย่างถาวรเหมือนประทับตราด้วยเหล็กร้อน "ดาวิดปรนนิบัติตามพระทัยพระเจ้าในชั่วอายุของท่าน" (กิจการ 13:36 2002) ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่า ทำไมพระเจ้าตรัสถึงดาวิดว่า "คนที่เราชอบใจ" (กิจการ 3:22) ดาวิดได้ถวายชีวิตของท่านเพื่อทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จในโลกนี้
ไม่มีคำจารึกบนหลุมฝังศพใด ๆ ที่ยิ่งใหญ่กว่าข้อความนี้ และลองนึกภาพสิครับว่าข้อความนี้ถูกสลักไว้บนหลุมฝังศพของคุณ สลักว่าคุณได้รับใช้ตามพระประสงค์ของพระเจ้าในชั่วอายุของคุณ คำอธิษฐานของผมคือ ขอให้ผู้คนสามารถพูดถึงผมเช่นนั้นเมื่อผมตายไป และเป็นคำอธิษฐานของผมเช่นกันว่า พวกเขาจะพูดถึงคุณเช่นนั้นด้วย นั่นคือเหตุผลที่ผมเขียนหนังสือเล่มนี้เพื่อคุณ วลีนี้คือคำนิยามสูงสุดของชีวิตที่ดำเนินมาอย่างดี คุณทำสิ่งที่เป็นนิรันดร์และเหนือกาลเวลา (พระประสงค์ของพระเจ้า) ในลักษณะที่ร่วมสมัยและเหมาะสมกับกาลเวลา (ในชั่วอายุของคุณ) นั่นแหละคือชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ คนชั่วอายุก่อนหรือคนในอนาคตไม่สามารถรับใช้ตามพระประสงค์ของพระเจ้าในชั่วอายุนี้เราเท่านั้นที่ทำได้ เช่นเดียวกันกับเอสเธอร์ พระเจ้าทรงสร้างคุณ "เพื่อยามวิกฤตเช่นนี้" (เอสเธอร์ 4:14)
พระเจ้ายังคงมองหาคนที่พระองค์จะทรงใช้ พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าทรงเฝ้าดูพิภพโลกอย่างใกล้ชิด ประทานพลังให้ผู้ที่จงรักภักดีต่อพระองค์" (2 พงศาวดาร 16:9 ประชานิยม) คุณจะเป็นคนที่พระเจ้าสามารถใช้เพื่อพระประสงค์ของพระองค์หรือไม่ คุณจะรับใช้พระประสงค์ของพระเจ้าในชั่วอายุของคุณหรือไม่
เปาโลได้ดำเนินชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ ท่านกล่าวว่า " ข้าพเจ้าวิ่งแข่งโดยมีเป้าหมาย" (1 โครินธ์ 9:26) เหตุผลเดียวของท่านในการดำเนินชีวิตคือ การทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าที่มีไว้สำหรับท่านสำเร็จ ท่านกล่าวว่า "สำหรับข้าพเจ้านั้น การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร" (ฟีลิปปี 1:21) เปาโล ไม่กลัวทั้งการมีชีวิตอยู่หรือตาย จะแบบไหนก็ได้ที่ท่านจะทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จ ท่านไม่มีทางล้มเหลว
วันหนึ่งประวัติศาสตร์จะสิ้นสุด แต่นิรันดรกาลจะดำเนินตลอดไป วิลเลี่ยม แครี่กล่าวว่า "อนาคตนั้นสดใสเท่ากับพระสัญญาของพระเจ้า" เมื่อการบรรลุวัตถุประสงค์ของคุณดูเหมือนยาก จงอย่ายอมแพ้ต่อความท้อใจ จงระลึกถึงรางวัลของคุณซึ่งจะคงอยู่ถาวร พระคัมภีร์กล่าวว่า "เพราะว่าการทุกข์เล็ก ๆ น้อย ๆ ของเรา ซึ่งเรารับอยู่ประเดี๋ยวเดียวนั้นจะทำให้เรามีศักดิ์ศรีถาวรมากหาที่เปรียบมิได้" (2 โครินธ์ 4:17)
ลองจินตนาว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันหนึ่ง เมื่อเราทุกคนจะยืนอยู่ต่อหน้าพระที่นั่งของพระเจ้า มอบถวายชีวิตของเราด้วยความขอบพระคุณอย่างลึกซึ้ง และถวายสรรเสริญแด่พระคริสต์ เราจะพูดพร้อมกันว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระองค์ทรงสมควรที่จะได้รับคำสรรเสริญ พระเกียรติและฤทธิ์เดช เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง และสรรพสิ่งทั้งปวงนั้นก็ทรงสร้างขึ้นแล้วและดำรงอยู่ตามพระทัยของพระองค์" (วิวรณ์ 4:11) เราจะสรรเสริญพระองค์เพราะแผนการของพระองค์และมีชีวิตอยู่เพื่อพระประสงค์ของพระองค์ตลอดไป
วันที่ 40 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: การดำเนินชีวิตด้วยวัตถุประสงค์เป็นวิธีเดียวที่จะมีชีวิตอย่างแท้จริง
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "ดาวิดปรนนิบัติตามพระทัยพระเจ้าในชั่วอายุของท่าน" กิจการ 13:36 (2002)
คำถามสำหรับการพิจารณา: ฉันจะใช้เวลาช่วงไหนเขียนคำตอบสำหรับคำถามสำคัญห้าข้อนี้ ฉันจะเขียนวัตถุประสงค์ของฉันลงบนกระดาษเมื่อไร
วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555
วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2555
วันที่ 39 รักษาชีวิตของคุณให้สมดุล
จงดำเนินชีวิตด้วยสำนึกอันเหมาะสมต่อความรับผิดชอบอย่างคนที่รู้จักความหมายของชีวิตไม่ใช่อย่างคนไม่รู้จัก
เอเฟซัส 5:15 (Ph)
อย่าให้ความผิดพลาดของคนชั่วนำท่านไปในทางที่ผิดและทำให้ท่านสูญเสียความสมดุล
2 เปโตร 3:17 (CEV)
ความสุขเป็นของผู้ที่มีความสมดุล เพราะพวกเขาจะมีชีวิตยืนยาวกว่าทุกคน
หนึ่งในกีฬาที่แข่งขันกันในโอลิมปิกฤดูร้อนคือปัญจกรีฑา ซึ่งประกอบด้วยกีฬาห้าประเภท ได้แก่ยิงปืน ฟันดาบ ขี่ม้า วิ่ง และว่ายน้ำ เป้าหมายของนักปัญจกรีฑาคือ การประสบความสำเร็จในกีฬาทั้งห้าชนิด ไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองชนิด
ชีวิตคุณก็เป็นปัญจกรีฑาของวัตถุประสงค์ห้าประการซึ่งคุณต้องรักษาความสมดุลไว้ วัตถุประสงค์เหล่านี้ถือปฏิบัติโดยคริสเตียนยุคแรกในกิจการบทที่ 2 อธิบายโดยเปาโลในเอเฟซัสบทที่ 4 และทำเป็นแบบอย่างโดยพระเยซูในยอห์น บทที่ 17 แต่สิ่งเหล่านี้สรุปไว้ในพระมหาบัญญัติและพระมหาบัญชาของพระเยซู ข้อพระคัมภีร์ทั้งสองนี้สรุปเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ไว้ทั้งหมด นั่นคือพระประสงค์ทั้งห้าที่พระเจ้าเตรียมไว้สำหรับชีวิตของคุณ
1. "รักพระเจ้าด้วยสุดใจของท่าน" คุณถูกกำหนดไว้เพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย ดังนั้นวัตถุประสงค์ของคุณคือการรักพระเจ้าด้วยการนมัสการ
2. "รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง" พระเจ้าบรรจงปั้นคุณไว้เพื่อการรับใช้ ดังนั้นวัตถุประสงค์ของคุณคือการแสดงความรักต่อผู้อื่นโดยการรับใช้
3. "จงออกไปและสร้างสาวก" คุณถูกสร้างมาเพื่อภารกิจหนึ่งประการหนึ่ง ดังนั้นวัตถุประสงค์ของคุณคือการบอกเรื่องราวของพระเจ้าโดยการประกาศ
4. "บัพติศมาพวกเขาเข้ามา" คุณถูกหล่อหลอมเพื่อครอบครัวของพระเจ้า ดังนั้นวัตถุประสงค์ของคุณคือการเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรโดยการสามัคคีธรรม
5. "สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัด…" คุณถูกสร้างมาเพื่อให้เป็นเหมือนพระคริสต์ ดังนั้นวัตถุประสงค์ของคุณคือการเติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยการเป็นสาวก
การอุทิศตัวอย่างจริงจังเพื่อพระมหาบัญญัติและพระมหาบัญชาจะทำให้คุณเป็นคริสเตียนที่ยิ่งใหญ่
การรักษาวัตถุประสงค์ทั้งห้าประการให้สมดุลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เราทุกคนมักจะเน้นวัตถุประสงค์ที่เราสนใจมากจนเกินไป และละเลยวัตถุประสงค์ประการอื่น ๆ หลายคริสตจักรก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน แต่เราสามารถรักษาชีวิตของกันและกันและรายงานต่อกัน ประเมินสุขภาพฝ่ายวิญญาณของคุณอย่างสม่ำเสมอ บันทึกความก้าวหน้าของคุณในบันทึกส่วนตัว และถ่ายทอดสิ่งที่คุณได้เรียนรู้แก่คนอื่น สิ่งเหล่านี้เป็นกิจกรรมสำคัญสี่อย่างของชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ ถ้าคุณจริงจังกับการรักษาเส้นทาง คุณจำเป็นจะต้องสร้างนิสัยเหล่านี้
คุยกับคู่หูฝ่ายวิญญาณหรือกลุ่มย่อย วิธีที่ดีที่จะซึมซับหลักการในหนังสือเล่มนี้คือคุยเรื่องเหล่านี้กับคนอื่นในกลุ่มย่อย พระคัมภีร์กล่าวว่า "เหล็กลับเหล็กได้อย่างไร คนก็สามารถปรับปรุงกันและกันได้อย่างนั้น" (สุภาษิต 27:17 NCV) เราเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่ออยู่ในชุมชน ความคิดของเราเฉียบแหลมขึ้นและความเชื่อของเราก็หนักแน่นขึ้นโดยการสนทนา
ผมขอกำชับคุณให้รวบรวมเพื่อนกลุ่มเล็ก ๆ และตั้งกลุ่มอ่านหนังสือชีิวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ เพื่อทบทวนบทต่าง ๆ เหล่านี้เป็นประจำทุกสัปดาห์ คุยกันถึงผลที่ได้รับและการประยุกต์ใช้ของแต่ละบท ถามว่า "แล้วยังไง" และ "ถ้าอย่างนั้นจะทำอะไรต่อไป" สิ่งนี้มีความหมายอะไรสำหรับฉัน ครอบครัวของฉัน และคริสตจักรของเรา ฉันจะทำอะไรกับเรื่องนี้ เปาโลกล่าวว่า "จงกระทำทุกสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้" (ฟีลิปปี 4:9) ในภาคผนวก 1 ผมได้เตรียมคำถามสำหรับอภิปรายไว้ให้คุณใช้ในกลุ่มย่อยหรือชั้นรวีวารศึกษา
กลุ่มย่อยที่คุณได้อ่านหนังสือร่วมกันนั้นมีข้อดีหลายอย่างซึ่งหนังสือให้คุณไม่ได้โดยตัวมันเอง คุณสามารถให้และรับฟังการตอบสนองเกี่ยวกับสิ่งที่คุณกำลังเรียนรู้ คุณสามารถอภิปรายตัวอย่างจากชีวิตจริง คุณสามารถอธิษฐานเผื่อ หนุนใจ และสนับสนุนกันและกันขณะที่คุณเริ่มดำเนินชีวิตตามวัตถุประสงค์เหล่านี้ จำไว้ว่าเราต้องเติบโตไปด้วยกัน ไม่ใช่แยกจากกัน พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงหนุนใจกัน และต่างคนต่างจงเสริมสร้างกันขึ้น" (1 เธสะโลนิกา 5:11 2002) หลังจากที่คุณอ่านหนังสือนี้ด้วยกันในกลุ่มจบแล้ว คุณก็อาจจะพิจารณาศึกษาบทเรียนอื่น ๆ ที่มีอยู่เกี่ยวกับชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ ซึ่งจัดทำไว้สำหรับชั้นเรียนและกลุ่มย่อย (ดูภาคผนวก 2)
ผมหนุนใจให้คุณศึกษาพระคัมภีร์ส่วนตัวด้วย ผมมีข้อพระคัมภีร์อ้างอิงกว่าพันข้อที่ใช้ในหนังสือเล่นนี้ ให้คุณได้ศึกษาจากบริบทของมันเอง โปรดอ่านภาคผนวก 3 ซึ่งจะอธิบายว่าทำไมหนังสือเล่มนี้จึงใช้พระคัมภีร์จากฉบับแปลหรือถอดความหลายฉบับเหลือเกิน เนื่องจากต้องเขียนให้แต่ละบทยาวพอเหมาะที่จะอ่านแบบประจำวัน ผมจึงไม่สามารถอธิบายถึงบริบทอันน่าทึ่งของพระคัมภีร์แต่ละข้อที่ใช้ แต่พระคัมภีร์มีไว้สำหรับศึกษาเป็นย่อหน้า เป็นบท หรือแม้แต่ศึกษาพระธรรมทั้งเล่มรวดเดียว หนังสือ Personal Bible Study Method (วิธีศึกษาพระคัมภีร์ส่วนตัว) ของผมสามารถอธิบายให้คุณรู้วิธีศึกษาพระคัมภีร์ด้วยวิธีดึงหลักจากตัวอย่างต่าง ๆ (วิธีอุปนัย)
มอบชีวิตของคุณแก่การตรวจสภาพฝ่ายวิญญาณเป็นประจำ วิธีที่ดีที่สุดในการทำให้วัตถุประสงค์ทั้งห้าประการมีความสมดุลในชีวิตของคุณ คือ การประเมินตัวเองเป็นระยะ ๆ พระเจ้าทรงให้ความสำคัญอย่างสูงต่อนิสัยในการประเมินตัวเอง มีอย่างน้อยห้าครั้งที่พระคัมภีร์บอกให้เราตรวจสอบและพิจารณาสุขภาพฝ่ายวิญญาณ (บทเพลงคร่ำครวญ 3:40, 1 โครินธ์ 11:28, 31, 13:5, กาลาเทีย 6:4) พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงทดสอบตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่าท่านยังมั่นคงในความเชื่อ อย่าปล่อยตัวเพิกเฉยต่อสิ่งต่าง ๆ จงตรวจสอบตัวเองเสมอ… จงทดสอบดู ถ้าท่านสอบตก ก็จงหาทางแก้ไขเสีย" (2 โครินธ์ 13:5 Msg)
ถ้าคุณจะรักษาสุขภาพของคุณ คุณก็ต้องตรวจสุขภาพเป็นประจำกับแพทย์ที่สามารถประเมินสิ่งบ่งชี้สำคัญ ๆ ในตัวคุณ เช่น ความดันเลือด อุณหภูมิ น้ำหนัก และอื่น ๆ สำหรับสุขภาพฝ่ายวิญญาณของคุณ คุณก็ต้องตรวจเป็นประจำถึงสิ่งบ่งชี้สำคัญห้าประการ ได้แก่ การนมัสการ การสามัคคีธรรม การเติบโตของลักษณะนิสัย พันธกิจและภารกิจ เยเรมีย์แนะนำว่า "ให้เราพิจารณาวิถีชีวิตของเรา และจัดการชีวิตของเราใหม่ภายใต้พระเจ้า" (บทเพลงคร่ำครวญ 3:40 Msg)
ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เรามีเครื่องมือประเมินผลส่วนตัวง่าย ๆ ซึ่งได้ช่วยคนนับพัน ๆ ให้คงอยู่ในวัตถุประสงค์เพื่อพระเจ้า ถ้าคุณต้องการแบบประเมินสุขภาพจิตวิญญาณของชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ คุณสามารถส่งอีเมล์ถึงผม (ดูภาคผนวก 2) คุณจะแปลกใจที่เครื่องมือเล็ก ๆ นี้จะช่วยคุณได้มาก ในการรักษาความสมดุลในชีวิตเพื่อสุขภาพและการเติบโต เปาโลได้กำชับว่า "จงลงมือกระทำจริงในเวลานี้ ให้สมกับที่ท่านมีความคิดกระตือรือร้นในตอนเริ่มต้น" (2 โครินธ์ 8:11 LB)
บันทึกความก้าวหน้าของคุณในสมุดบันทึก วิธีที่ดีที่สุดในการเสริมความก้าวหน้าของคุณ ในการทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตคุณสำเร็จคือ การจดบันทึกฝ่ายวิญญาณ นี่ไม่ใช่บันทึกเหตุการณ์ประจำวัน แต่บันทึกบทเรียนชีวิตที่คุณไม่อยากจะลืม พระคัมภีร์กล่าวว่า "เราจะต้องเอาใจใส่สิ่งต่าง ๆ ที่เราได้ยินให้มากขึ้นอีก เพื่อเราจะไม่ห่างไกลไปจากข้อความเหล่านั้น" (ฮีบรู 2:1 2002) เราจะจดจำสิ่งที่เราบันทึก
การเขียนช่วยให้เกิดความชัดเจนในสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำในชีวิตของคุณ ดอว์สัน ทรอทแมน เคยกล่าวว่า "ความคิดลดความสับสนได้เองเมื่อมันไหลผ่านปลายนิ้วของคุณ" พระคัมภีร์มีหลายตัวอย่างที่พระเจ้าตรัสบอกให้ผู้คนจดบันทึกเรื่องราวการเดินทางฝ่ายวิญญาณของคนอิสราเอล ถ้าท่านขี้เกียจ เราคงสูญเสียบทเรียนชีวิตที่สำคัญของการอพยพ
แม้ว่าบันทึกฝ่ายวิญญาณของคุณจะไม่ได้อ่านกันอย่างกว้างขวางเหมือนกับของโมเสส แต่บันทึกของคุณก็ยังมีความสำคัญ พระคัมภีร์ฉบับ New Internation Version ใช้คำว่า "โมเสสบันทึกการเดินทางช่วงต่าง ๆ ของพวกเขา" ชีวิตของคุณคือ การเดินทางและการเดินทางก็ควรจะมีการจดบันทึก ผมหวังว่า คุณจะเขียนถึงช่วงเวลาต่าง ๆ ในการเดินทางฝ่ายวิญญาณของคุณ ในการดำเนินชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์
อย่าเขียนแต่สิ่งที่คุณพอใจ แต่ให้เหมือนกับที่ดาวิดทำ จงบันทึกความสงสัย ความกลัว และการที่คุณปล้ำสู้กับพระเจ้า บรรดาบทเรียนสำคัญที่สุดของเรามาจากความเจ็บปวดและพระคัมภีร์กล่าวว่า พระเจ้าทรงบันทึกหยดน้ำตาของเราไว้ (สดุดี 56:8) เมื่อไรที่เกิดปัญหาขึ้น จงจำไว้ว่า พระเจ้าทรงใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อทำให้วัตถุประสงค์ทั้งห้าประการสำเร็จในชีวิตของคุณ ปัญหาจะบังคับให้คุณจดจ่อที่พระเจ้า ดึงพวกคุณให้ใกล้ชิดกันมากขึ้นในสามัคคีธรรม สร้างลักษณะนิสัยที่เหมือนพระคริสต์ ให้พันธกิจแก่คุณ และให้คำพยานแก่คุณ ปัญหาทุกอย่างเกิดขึ้นจากวัตถุประสงค์
ท่ามกลางประสบการณ์ที่เจ็บปวด ผู้เขียนสดุดีไว้ว่า "จงบันทึกสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำไว้เพื่อให้คนรุ่นต่อไปได้อ่าน เพื่อคนเหล่านั้นที่ยังไม่เกิดมาจะได้สรรเสริญพระองค์" (สดุดี 102:18 TEV) คุณเป็นหนี้คนชั่วอายุต่อไปที่จะต้องบันทึกคำพยานเรื่องการที่พระเจ้าทรงช่วยคุณ ทำให้พระประสงค์ของพระองค์บนโลกนี้สำเร็จ มันจะเป็นพยานซึ่งจะให้การไปอีกนานแสนนานหลังจากที่คุณอยู่ในสวรรค์แล้ว
ถ่ายทอดสิ่งที่คุณรู้แก่คนอื่น ถ้าคุณต้องการเติบโตต่อไป วิธีที่ดีที่สุดในการเรียนรู้มากขึ้นก็คือ ถ่ายทอดสิ่งที่คุณได้เรียนรู้ สุภาษิตบอกเราว่า "บุคคลที่อวยพรคนอื่นก็ได้รับพรอย่างล้นเหลือ คนเหล่านั้นที่ช่วยคนอื่นก็จะได้รับความช่วยเหลือ" (สุภาษิต 11:25 Msg) คนที่ถ่ายทอดความเข้าใจให้คนอื่นก็จะได้รับจากพระเจ้ามากยิ่งขึ้น
เมื่อคุณเข้าใจวัตถุประสงค์ของชีวิตดังนี้แล้ว การนำเรื่องเหล่านี้ไปสู่ผู้อื่นคือ ความรับผิดชอบของคุณ พระเจ้ากำลังเรียกคุณให้เป็นผู้สื่อสารของพระองค์ เปาโลกล่าวไว้ว่า "ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านบอกสิ่งเดียวกันนี้แก่ผู้ติดตามที่วางใจได้ว่าเขาจะบอกคนอื่น" (2 ทิโมธี 2:2ข CEV) ในหนังสือเล่มนี้ ผมได้ถ่ายทอดแก่คุณถึงสิ่งที่คนอื่นสอนผมเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของชีวิต บัดนี้เป็นหน้าที่ของคุณที่จะถ่ายทอดสิ่งนี้ให้แก่ผู้อื่น
คุณคงจะรู้จักคนนับร้อยที่ยังไม่รู้วัตถุประสงค์ของชีวิต จงบอกความจริงเหล่านี้แก่ลูก ๆ เพื่อน ๆ เพื่อนบ้านของคุณ และคนที่คุณทำงานด้วย ถ้าคุณให้หนังสือเล่มนี้แก่เพื่อนคนหนึ่ง จงเขียนข้อความส่วนตัวไว้ที่หน้ามอบหมายให้ด้วยใจรักด้วย
ยิ่งคุณรู้มาก พระเจ้าก็จะยิ่งคาดหวังคุณจะใช้ความรู้นั้นช่วยเหลือคนอื่น ยากอบกล่าวว่า "เหตุฉะนั้นผู้ใดรู้ว่าอะไรเป็นความดี และไม่ได้กระทำคนนั้นจึงมีบาป" (ยากอบ 4:17) ความรู้นั้นเพิ่มความรับผิดชอบ แต่การถ่ายทอดวัตถุประสงค์ของชีวิตนั้น ไม่ใช่แค่หน้าที่ผูกมัด แต่มันยังเป็นสิทธิพิเศษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของชีวิต ลองนึกดูสิครับว่าโลกจะเปลี่ยนไปมากเพียงไรถ้าทุกคนรู้จักวัตถุประสงค์ของตน เปาโลกล่าวว่า "ถ้าท่านจะให้คำแนะนำเหล่านี้แก่พวกพี่น้อง ท่านก็จะเป็นผู้รับใช้ที่ดีของพระเยซูคริสต์" (1 ทิโมธี 4:6)
ทั้งหมดเพื่อพระเกียรติของพระเจ้า
เหตุผลที่เราถ่ายทอดสิ่งที่เราเรียนรู้ก็เพื่อพระเกียรติของพระเจ้า และเพื่ออาณาจักรของพระองค์จะแผ่ขยายไป คืนก่อนที่พระเยซูทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์ทรงรายงานต่อพระบิดาว่า "ข้าพระองค์ได้ถวายเกียรติแด่พระองค์ในโลก เพราะข้าพระองค์ได้กระทำกิจที่พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์กระทำสำเร็จแล้ว" (ยอห์น 17:4) ขณะที่พระเยซูตรัสคำอธิษฐานนี้ พระองค์ยังไม่สิ้นพระชนม์เพื่อบาปของเรา ถ้าอย่างนั้นมันเป็นงานอะไรที่พระองค์ทำสำเร็จแล้ว ในกรณีนี้ พระองค์กำลังตรัสเรื่องงานอื่นที่ไม่ใช่การไถ่บาปและคำตอบก็อยู่ในคำอธิษฐานที่พระองค์ตรัสในยี่สิบข้อต่อจากนั้น (ยอห์น 17:6-26)
พระเยซูทรงทูลพระบิดาถึงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำในช่วงสามปีสุดท้ายคือการเตรียมสาวกของพระองค์ให้อยู่เพื่อพระประสงค์ของพระเจ้า พระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้รู้จักและรักพระเจ้า (นมัสการ) สอนพวกเขาให้รักกันและกัน (สามัคคีธรรม) ประทานพระวจนะแก่พวกเขา เพื่อพวกเขาจะสามารถเติบโตสู่ความเป็นผู้ใหญ่ (การเป็นสาวก) แสดงให้พวกเขาเห็นว่าจะรับใช้อย่างไร (พันธกิจ) และส่งพวกเขาออกไปบอกคนอื่น (ภารกิจ) พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างของชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ และพระองค์สอนคนอื่นว่าจะดำเนินชีวิตเช่นนั้นได้อย่างไร นั่นคือ "งาน" ที่ถวายเกียรติแด่พระองค์
วันนี้ พระเจ้าทรงเรียกเราแต่ละคนให้ทำงานอย่างเดียวกัน ไม่เพียงแต่ต้องการให้เราดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์เท่านั้น แต่พระองค์ยังต้องการให้เราช่วยเหลือคนอื่นให้ทำสิ่งนี้ด้วย พระเจ้าต้องการให้เราแนะนำคนอื่นให้รู้จักพระคริสต์ นำพวกเขาเข้าสู่การสามัคคีธรรม ช่วยพวกเขาให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ และค้นพบงานรับใช้ของพวกเขาแล้วส่งพวกเขาออกไปประกาศแก่คนอื่นด้วย
นี่คือทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ ไม่ว่าคุณ จะมีอายุเท่าไร ชีวิตที่เหลืออยู่ของคุณสามารถเป็นชีวิตที่ดีที่สุดได้ และคุณสามารถเริ่มดำเนินชีวิตตามวัตถุประสงค์ได้เดี๋ยวนี้
วันที่ 39 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: ความสุขเป็นของผู้ที่มีความสมดุล
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "จงดำเนินชีวิตด้วยสำนึกอันเหมาะสมต่อความรับผิดชอบอย่างคนที่รู้จักความหมายของชีวิต ไม่ใช่อย่างคนที่ไม่รู้จัก" เอเฟซัส 5:15 (Ph)
คำถามสำหรับการพิจารณา: ในกิจกรรมสี่อย่างนี้ ฉันจะเริ่มทำกิจกรรมใดก่อน เพื่อจะคงอยู่บนเส้นทางและรักษาความสมดุลในพระประสงค์ทั้งห้าประการของพระเจ้าสำหรับชีวิตของฉัน
เอเฟซัส 5:15 (Ph)
อย่าให้ความผิดพลาดของคนชั่วนำท่านไปในทางที่ผิดและทำให้ท่านสูญเสียความสมดุล
2 เปโตร 3:17 (CEV)
ความสุขเป็นของผู้ที่มีความสมดุล เพราะพวกเขาจะมีชีวิตยืนยาวกว่าทุกคน
หนึ่งในกีฬาที่แข่งขันกันในโอลิมปิกฤดูร้อนคือปัญจกรีฑา ซึ่งประกอบด้วยกีฬาห้าประเภท ได้แก่ยิงปืน ฟันดาบ ขี่ม้า วิ่ง และว่ายน้ำ เป้าหมายของนักปัญจกรีฑาคือ การประสบความสำเร็จในกีฬาทั้งห้าชนิด ไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองชนิด
ชีวิตคุณก็เป็นปัญจกรีฑาของวัตถุประสงค์ห้าประการซึ่งคุณต้องรักษาความสมดุลไว้ วัตถุประสงค์เหล่านี้ถือปฏิบัติโดยคริสเตียนยุคแรกในกิจการบทที่ 2 อธิบายโดยเปาโลในเอเฟซัสบทที่ 4 และทำเป็นแบบอย่างโดยพระเยซูในยอห์น บทที่ 17 แต่สิ่งเหล่านี้สรุปไว้ในพระมหาบัญญัติและพระมหาบัญชาของพระเยซู ข้อพระคัมภีร์ทั้งสองนี้สรุปเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ไว้ทั้งหมด นั่นคือพระประสงค์ทั้งห้าที่พระเจ้าเตรียมไว้สำหรับชีวิตของคุณ
1. "รักพระเจ้าด้วยสุดใจของท่าน" คุณถูกกำหนดไว้เพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย ดังนั้นวัตถุประสงค์ของคุณคือการรักพระเจ้าด้วยการนมัสการ
2. "รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง" พระเจ้าบรรจงปั้นคุณไว้เพื่อการรับใช้ ดังนั้นวัตถุประสงค์ของคุณคือการแสดงความรักต่อผู้อื่นโดยการรับใช้
3. "จงออกไปและสร้างสาวก" คุณถูกสร้างมาเพื่อภารกิจหนึ่งประการหนึ่ง ดังนั้นวัตถุประสงค์ของคุณคือการบอกเรื่องราวของพระเจ้าโดยการประกาศ
4. "บัพติศมาพวกเขาเข้ามา" คุณถูกหล่อหลอมเพื่อครอบครัวของพระเจ้า ดังนั้นวัตถุประสงค์ของคุณคือการเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรโดยการสามัคคีธรรม
5. "สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัด…" คุณถูกสร้างมาเพื่อให้เป็นเหมือนพระคริสต์ ดังนั้นวัตถุประสงค์ของคุณคือการเติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยการเป็นสาวก
การอุทิศตัวอย่างจริงจังเพื่อพระมหาบัญญัติและพระมหาบัญชาจะทำให้คุณเป็นคริสเตียนที่ยิ่งใหญ่
การรักษาวัตถุประสงค์ทั้งห้าประการให้สมดุลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เราทุกคนมักจะเน้นวัตถุประสงค์ที่เราสนใจมากจนเกินไป และละเลยวัตถุประสงค์ประการอื่น ๆ หลายคริสตจักรก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน แต่เราสามารถรักษาชีวิตของกันและกันและรายงานต่อกัน ประเมินสุขภาพฝ่ายวิญญาณของคุณอย่างสม่ำเสมอ บันทึกความก้าวหน้าของคุณในบันทึกส่วนตัว และถ่ายทอดสิ่งที่คุณได้เรียนรู้แก่คนอื่น สิ่งเหล่านี้เป็นกิจกรรมสำคัญสี่อย่างของชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ ถ้าคุณจริงจังกับการรักษาเส้นทาง คุณจำเป็นจะต้องสร้างนิสัยเหล่านี้
คุยกับคู่หูฝ่ายวิญญาณหรือกลุ่มย่อย วิธีที่ดีที่จะซึมซับหลักการในหนังสือเล่มนี้คือคุยเรื่องเหล่านี้กับคนอื่นในกลุ่มย่อย พระคัมภีร์กล่าวว่า "เหล็กลับเหล็กได้อย่างไร คนก็สามารถปรับปรุงกันและกันได้อย่างนั้น" (สุภาษิต 27:17 NCV) เราเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่ออยู่ในชุมชน ความคิดของเราเฉียบแหลมขึ้นและความเชื่อของเราก็หนักแน่นขึ้นโดยการสนทนา
ผมขอกำชับคุณให้รวบรวมเพื่อนกลุ่มเล็ก ๆ และตั้งกลุ่มอ่านหนังสือชีิวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ เพื่อทบทวนบทต่าง ๆ เหล่านี้เป็นประจำทุกสัปดาห์ คุยกันถึงผลที่ได้รับและการประยุกต์ใช้ของแต่ละบท ถามว่า "แล้วยังไง" และ "ถ้าอย่างนั้นจะทำอะไรต่อไป" สิ่งนี้มีความหมายอะไรสำหรับฉัน ครอบครัวของฉัน และคริสตจักรของเรา ฉันจะทำอะไรกับเรื่องนี้ เปาโลกล่าวว่า "จงกระทำทุกสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้" (ฟีลิปปี 4:9) ในภาคผนวก 1 ผมได้เตรียมคำถามสำหรับอภิปรายไว้ให้คุณใช้ในกลุ่มย่อยหรือชั้นรวีวารศึกษา
กลุ่มย่อยที่คุณได้อ่านหนังสือร่วมกันนั้นมีข้อดีหลายอย่างซึ่งหนังสือให้คุณไม่ได้โดยตัวมันเอง คุณสามารถให้และรับฟังการตอบสนองเกี่ยวกับสิ่งที่คุณกำลังเรียนรู้ คุณสามารถอภิปรายตัวอย่างจากชีวิตจริง คุณสามารถอธิษฐานเผื่อ หนุนใจ และสนับสนุนกันและกันขณะที่คุณเริ่มดำเนินชีวิตตามวัตถุประสงค์เหล่านี้ จำไว้ว่าเราต้องเติบโตไปด้วยกัน ไม่ใช่แยกจากกัน พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงหนุนใจกัน และต่างคนต่างจงเสริมสร้างกันขึ้น" (1 เธสะโลนิกา 5:11 2002) หลังจากที่คุณอ่านหนังสือนี้ด้วยกันในกลุ่มจบแล้ว คุณก็อาจจะพิจารณาศึกษาบทเรียนอื่น ๆ ที่มีอยู่เกี่ยวกับชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ ซึ่งจัดทำไว้สำหรับชั้นเรียนและกลุ่มย่อย (ดูภาคผนวก 2)
ผมหนุนใจให้คุณศึกษาพระคัมภีร์ส่วนตัวด้วย ผมมีข้อพระคัมภีร์อ้างอิงกว่าพันข้อที่ใช้ในหนังสือเล่นนี้ ให้คุณได้ศึกษาจากบริบทของมันเอง โปรดอ่านภาคผนวก 3 ซึ่งจะอธิบายว่าทำไมหนังสือเล่มนี้จึงใช้พระคัมภีร์จากฉบับแปลหรือถอดความหลายฉบับเหลือเกิน เนื่องจากต้องเขียนให้แต่ละบทยาวพอเหมาะที่จะอ่านแบบประจำวัน ผมจึงไม่สามารถอธิบายถึงบริบทอันน่าทึ่งของพระคัมภีร์แต่ละข้อที่ใช้ แต่พระคัมภีร์มีไว้สำหรับศึกษาเป็นย่อหน้า เป็นบท หรือแม้แต่ศึกษาพระธรรมทั้งเล่มรวดเดียว หนังสือ Personal Bible Study Method (วิธีศึกษาพระคัมภีร์ส่วนตัว) ของผมสามารถอธิบายให้คุณรู้วิธีศึกษาพระคัมภีร์ด้วยวิธีดึงหลักจากตัวอย่างต่าง ๆ (วิธีอุปนัย)
มอบชีวิตของคุณแก่การตรวจสภาพฝ่ายวิญญาณเป็นประจำ วิธีที่ดีที่สุดในการทำให้วัตถุประสงค์ทั้งห้าประการมีความสมดุลในชีวิตของคุณ คือ การประเมินตัวเองเป็นระยะ ๆ พระเจ้าทรงให้ความสำคัญอย่างสูงต่อนิสัยในการประเมินตัวเอง มีอย่างน้อยห้าครั้งที่พระคัมภีร์บอกให้เราตรวจสอบและพิจารณาสุขภาพฝ่ายวิญญาณ (บทเพลงคร่ำครวญ 3:40, 1 โครินธ์ 11:28, 31, 13:5, กาลาเทีย 6:4) พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงทดสอบตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่าท่านยังมั่นคงในความเชื่อ อย่าปล่อยตัวเพิกเฉยต่อสิ่งต่าง ๆ จงตรวจสอบตัวเองเสมอ… จงทดสอบดู ถ้าท่านสอบตก ก็จงหาทางแก้ไขเสีย" (2 โครินธ์ 13:5 Msg)
ถ้าคุณจะรักษาสุขภาพของคุณ คุณก็ต้องตรวจสุขภาพเป็นประจำกับแพทย์ที่สามารถประเมินสิ่งบ่งชี้สำคัญ ๆ ในตัวคุณ เช่น ความดันเลือด อุณหภูมิ น้ำหนัก และอื่น ๆ สำหรับสุขภาพฝ่ายวิญญาณของคุณ คุณก็ต้องตรวจเป็นประจำถึงสิ่งบ่งชี้สำคัญห้าประการ ได้แก่ การนมัสการ การสามัคคีธรรม การเติบโตของลักษณะนิสัย พันธกิจและภารกิจ เยเรมีย์แนะนำว่า "ให้เราพิจารณาวิถีชีวิตของเรา และจัดการชีวิตของเราใหม่ภายใต้พระเจ้า" (บทเพลงคร่ำครวญ 3:40 Msg)
ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เรามีเครื่องมือประเมินผลส่วนตัวง่าย ๆ ซึ่งได้ช่วยคนนับพัน ๆ ให้คงอยู่ในวัตถุประสงค์เพื่อพระเจ้า ถ้าคุณต้องการแบบประเมินสุขภาพจิตวิญญาณของชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ คุณสามารถส่งอีเมล์ถึงผม (ดูภาคผนวก 2) คุณจะแปลกใจที่เครื่องมือเล็ก ๆ นี้จะช่วยคุณได้มาก ในการรักษาความสมดุลในชีวิตเพื่อสุขภาพและการเติบโต เปาโลได้กำชับว่า "จงลงมือกระทำจริงในเวลานี้ ให้สมกับที่ท่านมีความคิดกระตือรือร้นในตอนเริ่มต้น" (2 โครินธ์ 8:11 LB)
บันทึกความก้าวหน้าของคุณในสมุดบันทึก วิธีที่ดีที่สุดในการเสริมความก้าวหน้าของคุณ ในการทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตคุณสำเร็จคือ การจดบันทึกฝ่ายวิญญาณ นี่ไม่ใช่บันทึกเหตุการณ์ประจำวัน แต่บันทึกบทเรียนชีวิตที่คุณไม่อยากจะลืม พระคัมภีร์กล่าวว่า "เราจะต้องเอาใจใส่สิ่งต่าง ๆ ที่เราได้ยินให้มากขึ้นอีก เพื่อเราจะไม่ห่างไกลไปจากข้อความเหล่านั้น" (ฮีบรู 2:1 2002) เราจะจดจำสิ่งที่เราบันทึก
การเขียนช่วยให้เกิดความชัดเจนในสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำในชีวิตของคุณ ดอว์สัน ทรอทแมน เคยกล่าวว่า "ความคิดลดความสับสนได้เองเมื่อมันไหลผ่านปลายนิ้วของคุณ" พระคัมภีร์มีหลายตัวอย่างที่พระเจ้าตรัสบอกให้ผู้คนจดบันทึกเรื่องราวการเดินทางฝ่ายวิญญาณของคนอิสราเอล ถ้าท่านขี้เกียจ เราคงสูญเสียบทเรียนชีวิตที่สำคัญของการอพยพ
แม้ว่าบันทึกฝ่ายวิญญาณของคุณจะไม่ได้อ่านกันอย่างกว้างขวางเหมือนกับของโมเสส แต่บันทึกของคุณก็ยังมีความสำคัญ พระคัมภีร์ฉบับ New Internation Version ใช้คำว่า "โมเสสบันทึกการเดินทางช่วงต่าง ๆ ของพวกเขา" ชีวิตของคุณคือ การเดินทางและการเดินทางก็ควรจะมีการจดบันทึก ผมหวังว่า คุณจะเขียนถึงช่วงเวลาต่าง ๆ ในการเดินทางฝ่ายวิญญาณของคุณ ในการดำเนินชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์
อย่าเขียนแต่สิ่งที่คุณพอใจ แต่ให้เหมือนกับที่ดาวิดทำ จงบันทึกความสงสัย ความกลัว และการที่คุณปล้ำสู้กับพระเจ้า บรรดาบทเรียนสำคัญที่สุดของเรามาจากความเจ็บปวดและพระคัมภีร์กล่าวว่า พระเจ้าทรงบันทึกหยดน้ำตาของเราไว้ (สดุดี 56:8) เมื่อไรที่เกิดปัญหาขึ้น จงจำไว้ว่า พระเจ้าทรงใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อทำให้วัตถุประสงค์ทั้งห้าประการสำเร็จในชีวิตของคุณ ปัญหาจะบังคับให้คุณจดจ่อที่พระเจ้า ดึงพวกคุณให้ใกล้ชิดกันมากขึ้นในสามัคคีธรรม สร้างลักษณะนิสัยที่เหมือนพระคริสต์ ให้พันธกิจแก่คุณ และให้คำพยานแก่คุณ ปัญหาทุกอย่างเกิดขึ้นจากวัตถุประสงค์
ท่ามกลางประสบการณ์ที่เจ็บปวด ผู้เขียนสดุดีไว้ว่า "จงบันทึกสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำไว้เพื่อให้คนรุ่นต่อไปได้อ่าน เพื่อคนเหล่านั้นที่ยังไม่เกิดมาจะได้สรรเสริญพระองค์" (สดุดี 102:18 TEV) คุณเป็นหนี้คนชั่วอายุต่อไปที่จะต้องบันทึกคำพยานเรื่องการที่พระเจ้าทรงช่วยคุณ ทำให้พระประสงค์ของพระองค์บนโลกนี้สำเร็จ มันจะเป็นพยานซึ่งจะให้การไปอีกนานแสนนานหลังจากที่คุณอยู่ในสวรรค์แล้ว
ถ่ายทอดสิ่งที่คุณรู้แก่คนอื่น ถ้าคุณต้องการเติบโตต่อไป วิธีที่ดีที่สุดในการเรียนรู้มากขึ้นก็คือ ถ่ายทอดสิ่งที่คุณได้เรียนรู้ สุภาษิตบอกเราว่า "บุคคลที่อวยพรคนอื่นก็ได้รับพรอย่างล้นเหลือ คนเหล่านั้นที่ช่วยคนอื่นก็จะได้รับความช่วยเหลือ" (สุภาษิต 11:25 Msg) คนที่ถ่ายทอดความเข้าใจให้คนอื่นก็จะได้รับจากพระเจ้ามากยิ่งขึ้น
เมื่อคุณเข้าใจวัตถุประสงค์ของชีวิตดังนี้แล้ว การนำเรื่องเหล่านี้ไปสู่ผู้อื่นคือ ความรับผิดชอบของคุณ พระเจ้ากำลังเรียกคุณให้เป็นผู้สื่อสารของพระองค์ เปาโลกล่าวไว้ว่า "ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านบอกสิ่งเดียวกันนี้แก่ผู้ติดตามที่วางใจได้ว่าเขาจะบอกคนอื่น" (2 ทิโมธี 2:2ข CEV) ในหนังสือเล่มนี้ ผมได้ถ่ายทอดแก่คุณถึงสิ่งที่คนอื่นสอนผมเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของชีวิต บัดนี้เป็นหน้าที่ของคุณที่จะถ่ายทอดสิ่งนี้ให้แก่ผู้อื่น
คุณคงจะรู้จักคนนับร้อยที่ยังไม่รู้วัตถุประสงค์ของชีวิต จงบอกความจริงเหล่านี้แก่ลูก ๆ เพื่อน ๆ เพื่อนบ้านของคุณ และคนที่คุณทำงานด้วย ถ้าคุณให้หนังสือเล่มนี้แก่เพื่อนคนหนึ่ง จงเขียนข้อความส่วนตัวไว้ที่หน้ามอบหมายให้ด้วยใจรักด้วย
ยิ่งคุณรู้มาก พระเจ้าก็จะยิ่งคาดหวังคุณจะใช้ความรู้นั้นช่วยเหลือคนอื่น ยากอบกล่าวว่า "เหตุฉะนั้นผู้ใดรู้ว่าอะไรเป็นความดี และไม่ได้กระทำคนนั้นจึงมีบาป" (ยากอบ 4:17) ความรู้นั้นเพิ่มความรับผิดชอบ แต่การถ่ายทอดวัตถุประสงค์ของชีวิตนั้น ไม่ใช่แค่หน้าที่ผูกมัด แต่มันยังเป็นสิทธิพิเศษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของชีวิต ลองนึกดูสิครับว่าโลกจะเปลี่ยนไปมากเพียงไรถ้าทุกคนรู้จักวัตถุประสงค์ของตน เปาโลกล่าวว่า "ถ้าท่านจะให้คำแนะนำเหล่านี้แก่พวกพี่น้อง ท่านก็จะเป็นผู้รับใช้ที่ดีของพระเยซูคริสต์" (1 ทิโมธี 4:6)
ทั้งหมดเพื่อพระเกียรติของพระเจ้า
เหตุผลที่เราถ่ายทอดสิ่งที่เราเรียนรู้ก็เพื่อพระเกียรติของพระเจ้า และเพื่ออาณาจักรของพระองค์จะแผ่ขยายไป คืนก่อนที่พระเยซูทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์ทรงรายงานต่อพระบิดาว่า "ข้าพระองค์ได้ถวายเกียรติแด่พระองค์ในโลก เพราะข้าพระองค์ได้กระทำกิจที่พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์กระทำสำเร็จแล้ว" (ยอห์น 17:4) ขณะที่พระเยซูตรัสคำอธิษฐานนี้ พระองค์ยังไม่สิ้นพระชนม์เพื่อบาปของเรา ถ้าอย่างนั้นมันเป็นงานอะไรที่พระองค์ทำสำเร็จแล้ว ในกรณีนี้ พระองค์กำลังตรัสเรื่องงานอื่นที่ไม่ใช่การไถ่บาปและคำตอบก็อยู่ในคำอธิษฐานที่พระองค์ตรัสในยี่สิบข้อต่อจากนั้น (ยอห์น 17:6-26)
พระเยซูทรงทูลพระบิดาถึงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำในช่วงสามปีสุดท้ายคือการเตรียมสาวกของพระองค์ให้อยู่เพื่อพระประสงค์ของพระเจ้า พระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้รู้จักและรักพระเจ้า (นมัสการ) สอนพวกเขาให้รักกันและกัน (สามัคคีธรรม) ประทานพระวจนะแก่พวกเขา เพื่อพวกเขาจะสามารถเติบโตสู่ความเป็นผู้ใหญ่ (การเป็นสาวก) แสดงให้พวกเขาเห็นว่าจะรับใช้อย่างไร (พันธกิจ) และส่งพวกเขาออกไปบอกคนอื่น (ภารกิจ) พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างของชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ และพระองค์สอนคนอื่นว่าจะดำเนินชีวิตเช่นนั้นได้อย่างไร นั่นคือ "งาน" ที่ถวายเกียรติแด่พระองค์
วันนี้ พระเจ้าทรงเรียกเราแต่ละคนให้ทำงานอย่างเดียวกัน ไม่เพียงแต่ต้องการให้เราดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์เท่านั้น แต่พระองค์ยังต้องการให้เราช่วยเหลือคนอื่นให้ทำสิ่งนี้ด้วย พระเจ้าต้องการให้เราแนะนำคนอื่นให้รู้จักพระคริสต์ นำพวกเขาเข้าสู่การสามัคคีธรรม ช่วยพวกเขาให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ และค้นพบงานรับใช้ของพวกเขาแล้วส่งพวกเขาออกไปประกาศแก่คนอื่นด้วย
นี่คือทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ ไม่ว่าคุณ จะมีอายุเท่าไร ชีวิตที่เหลืออยู่ของคุณสามารถเป็นชีวิตที่ดีที่สุดได้ และคุณสามารถเริ่มดำเนินชีวิตตามวัตถุประสงค์ได้เดี๋ยวนี้
วันที่ 39 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: ความสุขเป็นของผู้ที่มีความสมดุล
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "จงดำเนินชีวิตด้วยสำนึกอันเหมาะสมต่อความรับผิดชอบอย่างคนที่รู้จักความหมายของชีวิต ไม่ใช่อย่างคนที่ไม่รู้จัก" เอเฟซัส 5:15 (Ph)
คำถามสำหรับการพิจารณา: ในกิจกรรมสี่อย่างนี้ ฉันจะเริ่มทำกิจกรรมใดก่อน เพื่อจะคงอยู่บนเส้นทางและรักษาความสมดุลในพระประสงค์ทั้งห้าประการของพระเจ้าสำหรับชีวิตของฉัน
วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555
วันที่ 38 การเป็นคริสเตียนระดับโลก
พระองค์ตรัสสั่งพวกสาวกว่า "พวกท่านจงออกไปทั่วโลกประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน"
มาระโก 16:15 (2002)
ขอทรงส่งเราออกไปทั่วโลกด้วยข่าวเรื่องฤทธิ์เดชที่ช่วยให้รอดของพระองค์ และแผนการนิรันดร์ของพระองค์สำหรับมนุษยชาติทั้งสิ้น
สดุดี 67:2 (LB)
พระมหาบัญชาคือคำบัญชาที่จะมาถึงคุณ
คุณต้องเลือกว่าจะเป็นคริสเตียนระดับโลกหรือคริสเตียนฝ่ายโลก
คริสเตียนฝ่ายโลกพึ่งพระเจ้าเพื่อความพึงพอใจส่วนตัวเป็นหลัก แม้จะได้รับความรอดแล้วแต่ก็ยังเห็นแก่ตัว พวกเขาชอบไปฟังการแสดงดนตรีและสัมมนาที่เสริมสร้างตัวเอง แต่คุณจะไม่มีวันพบพวกเขาในสัมมนาพันธกิจเพราะว่าพวกเขาไม่สนใจ คำอธิษฐานของพวกเขาจดจ่อที่ความต้องการ พระพร และความสุขของตัวเอง มันเป็นความเชื่อแบบ "ฉันต้องมาก่อน" พระเจ้าจะทำให้ชีวิตของผมสบายขึ้นได้อย่างไร พวกเขาต้องการใช้พระเจ้าเพื่อวัตถุประสงค์ของพวกเขา แทนที่จะยอมให้พระเจ้าใช้เขาเพื่อพระประสงค์ของพระองค์
ตรงกันข้าม คริสเตียนระดับโลกรู้ว่าพวกเขาได้รับความรอดเพื่อจะรับใช้ และถูกสร้างเพื่อทำภารกิจ พวกเขากระตือรือร้นที่จะทำหน้าที่มอบหมายส่วนตัว และตื่นเต้นกับสิทธิพิเศษในการที่พระเจ้าใช้พวกเขา คริสเตียนระดับโลกเป็นคนจำพวกเดียวที่มีชีวิตอย่างเต็มที่ในโลกนี้ ความยินดี ความมั่นใจ และความกระตือรือร้นของพวกเขาแพร่ระบาดไป เพราะพวกเขารู้ว่าเขากำลังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง พวกเขาตื่นขึ้นทุกเช้าโดยคาดหวังว่าพระเจ้าจะทรงทำงานผ่านพวกเขาในวิธีใหม่ ๆ แล้วคุณล่ะครับต้องการเป็นคริสเตียนแบบไหน
พระเจ้าทรงเชื้อเชิญคุณให้ร่วมในอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด กว้างขวางที่สุด หลากหลายที่สุด และสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ นั่นคืออาณาจักรของพระองค์ ประวัติศาสตร์คือเรื่องราวของพระองค์ พระองค์ทรงสร้างครอบครัวของพระองค์เพื่อนิรันดรกาล ไม่มีอะไรสำคัญกว่า และไม่มีอะไรที่จะคงอยู่นานกว่า จากพระธรรมวิวรณ์ เรารู้ว่าวันหนึ่งภารกิจโลกของพระเจ้าจะสำเร็จ วันหนึ่งพระมหาบัญชาจะเป็นมหาสำเร็จ วันหนึ่งในสวรรค์ฝูงชนมหาศาลคือ ผู้คนจาก "ทุกประชาชาติ ทุกเผ่า ทุกชนชาติ และทุกภาษา" (วิวรณ์ 7:9 2002) จะยืนต่อพระพักตร์พระเยซูคริสต์เพื่อนมัสการพระองค์ การเข้าร่วมเป็นคริสเตียนระดับโลกจะช่วยให้คุณมีประสบการณ์ล่วงหน้าสักเล็กน้อยว่า ในสวรรค์จะเป็นอย่างไร
เมื่อพระเยซูทรงบอกผู้ที่ติดตามพระองค์ว่า "จงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน" สาวกยากจนชาวตะวันออกกลางกลุ่มเล็ก ๆ ต่างหนักใจ นี่พวกเขาต้องเดิน หรือขี่สัตว์ไปอย่างเชื่องช้าใช่ไหม นั่นคือพาหนะที่พวกเขามีสำหรับเดินทาง และไม่มีเรือเดินทางข้ามมหาสมุทร พวกเขาจึงมีอุปสรรคทางกายภาพจริง ๆ ในการจะออกไปทั่วโลก
เวลานี้ เรามีเครื่องบิน เรือ รถไฟ รถโดยสาร และรถยนต์ โลกนี้ช่างแคบเหลือเกินซ้ำยังหดตัวลงทุกวัน คุณสามารถบินข้ามมหาสมุทรภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง และกลับบ้านในวันต่อมา ถ้าคุณต้องการโอกาสสำหรับคริสเตียนธรรมดาที่จะร่วมทำพันธกิจนานนาชาติระยะสั้นนั้นไม่มีข้อจำกัดในเวลานี้ คุณไปทุกมุมโลกได้ ขอเพียงแค่ถามบริษัทท่องเที่ยวเท่านั้น เราไม่มีข้อแก้ตัวที่จะไม่เผยแพร่ข่าวประเสริฐ
เวลานี้ ด้วยอินเตอร์เน็ท โลกก็ยิ่งเล็กลง นอกเหนือจากโทรศัพท์และโทรสาร ผู้เชื่อทุกคนที่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตก็สามารถติดต่อเป็นส่วนตัวกับผู้คนในเกือบทุกประเทศในโลกนี้ โลกทั้งโลกอยู่ที่ปลายนิ้วของคุณ
แม้แต่หมู่บ้านห่างไกลจำนวนมากก็ได้รับอีเมล์ คุณจึงสามารถสนทนา "ประกาศแบบอิเล็กทรอนิกส์" กับคนในอีกซีกโลกโดยไม่ต้องออกจากบ้านของคุณ การทำให้ภารกิจของคุณในการออกไปทั่วโลกสำเร็จนั้นไม่เคยง่ายกว่านี้มาก่อน อุปสรรคประการเดียวคือวิธีคิดของเรา ถ้าจะเป็นคริสเตียนระดับโลก คุณก็ต้องเปลี่ยนแปลงแนวคิดบางอย่าง มุมมองและท่าทีของคุณต้องเปลี่ยนไป
คิดอย่างคริสเตียนระดับโลก
เปลี่ยนจากความคิดที่เห็นแก่ตัวสู่ความคิดที่เห็นแก่คนอื่น พระคัมภีร์กล่าวว่า "พี่น้องทั้งหลาย อย่ามัวคิดอย่างเด็ก ๆ อยู่เลย แต่จงคิดอย่างผู้ใหญ่" (1 โครินธ์ 14:20 ประชานิยม) นี่คือก้าวแรกของการเป็นคริสเตียนระดับโลก เด็ก ๆ คิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้นแต่ผู้ใหญ่จะคิดถึงผู้อื่น พระเจ้าทรงบัญชาว่า "อย่าคิดถึงตนเองฝ่ายเดียว แต่จงคิดถึงผู้อื่นด้วย" (ฟีลิปปี 2:4 ประชานิยม)
แน่นอน นี่เป็นการปรับความคิดที่ยาก เพราะว่าโดยธรรมชาติแล้วเราหมกมุ่นกับตัวเอง และโฆษณาเกือบทุกชิ้นก็ส่งเสริมให้เราคิดถึงตัวเราเอง ทางเดียวที่เราสามารถเปลี่ยนกรอบความคิดนี้ก็คือ การพึ่งพระเจ้าทุกเวลา ยังดีที่พระองค์ไม่ได้ละทิ้งให้เราดิ้นรนด้วยตัวเอง "พระเจ้าได้ประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่เรา นี่คือสาเหตุที่เราคิดไม่เหมือนคนในโลกนี้" (1 โครินธ์ 2:12 CEV)
จงเริ่มทูลขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะทรงช่วยคุณให้คิดถึงความต้องการฝ่ายวิญญาณของคนที่ยังไม่เชื่อเมื่อคุณพูดคุยกับพวกเขา และโดยการฝึกฝนคุณจะสามารถสร้างนิสัยของการอธิษฐานเงียบ ๆ "เป็นลมหายใจ" เพื่อคนเหล่านั้นที่คุณพบเจอ อธิษฐานว่า "พระบิดาขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้เข้าใจสิ่งที่ขัดขวางคนผู้นี้ไม่ให้รู้จักพระองค์"
เป้าหมายของคุณคือ การค้นหาว่าคนอื่นอยู่ที่ไหนในการเดินทางฝ่ายวิญญาณ แล้วก็ทำทุกวิถีทางที่จะนำพวกเขาเข้าใกล้การรู้จักพระคริสต์มากขึ้น คุณสามารถเรียนรู้การทำสิ่งนี้โดยการรับแนวคิดของเปาโลที่กล่าวว่า "ข้าพเจ้ามิได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่เห็นแก่ประโยชน์ของคนทั้งหลาย เพื่อให้เขารอดได้" (1 โครินธ์ 10:33)
เปลี่ยนจากการคิดระดับท้องถิ่นสู่การคิดระดับโลก พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของโลก พระองค์ทรงห่วงใยโลกทั้งโลกตลอดมา "พระเจ้าทรงรักโลก…" (ยอห์น 3:16) ตั้งแต่ปฐมกาลพระองค์ต้องการสมาชิกครอบครัวจากคนทุกชาติที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้น พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติสืบสายโลหิตอันเดียวกันให้อยู่ทั่วพิภพโลก และได้ทรงกำหนดเวลาและเขตแดนให้เขาอยู่ เพื่อเขาจะได้แสวงหาพระเจ้า และมุ่งหวังจะคลำหาให้พบพระองค์" (กิจการ 17:26-27)
เวลานี้คนส่วนใหญ่ในโลกคิดระดับโลกอยู่แล้ว สื่อที่ใหญ่ที่สุดและกลุ่มธุรกิจที่เป็นเครือข่ายล้วนเป็นองค์กรที่ดำเนินกิจการในหลายประเทศ ชีวิตของเราเชื่อมประสานกับคนในชาติอื่น ๆ ด้วยแฟชั่น ความบันเทิง ดนตรี กีฬา และแม้แต่อาหารจานด่วนที่เราบริโภคเหมือน ๆ กัน เสื้อผ้าที่คุณใส่และสิ่งที่คุณกินส่วนมากอาจผลิตขึ้นในประเทศอื่น เรามีความเชื่อมโยงกันมากกว่าที่เรารู้ตัว
นี่เป็นช่วงเวลาที่น่าตื้นเต้นในการมีชีวิตอยู่ เวลานี้มีคริสเตียนในโลกมากกว่าที่เคยมีมาในอดีต เปาโลกล่าวอย่างถูกต้องว่า "ข่าวประเสริฐเดียวกันนี้ที่มาถึงท่านกำลังแพร่ออกไปทั่วโลก มันกำลังเปลี่ยนแปลงชีวิตคนทุกหนทุกแห่ง เช่นเดียวกับที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของท่าน" (โคโลสี 1:6 NLT)
วิธีแรกในการเริ่มต้นคิดระดับโลกคือ การเริ่มอธิษฐานเพื่อบางประเทศอย่างเจาะจงคริสเตียนระดับโลกจะอธิษฐานเพื่อโลก ให้คุณหาลูกโลกหรือแผนที่และอธิษฐานออกชื่อเพื่อประเทศต่าง ๆ พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงขอจากเราเถิด และเราจะมอบบรรดาประชาชาติให้เป็นมรดกของเจ้า ตลอดทั้งแผ่นดินโลกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้า" (สดุดี 2:8)
คำอธิษฐานเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดสำหรับภารกิจของคุณในโลกนี้ คนอาจปฏิเสธความรักของเรา หรือไม่ยอมรับเรื่องราวของเรา แต่พวกเขาไม่สามารถป้องกันตัวจากคำอธิษฐานของเราได้ เช่นเดียวกับขีปนาวุธข้ามทวีป คุณสามารถเล็งคำอธิษฐานที่หัวใจของบุคคลคนหนึ่ง ไม่ว่าคุณอยู่ห่างออกไปสิบฟุตหรือ 10,000 ไมล์ก็ตาม
คุณควรอธิษฐานเผื่ออะไร พระคัมภีร์บอกเราให้อธิษฐานเพื่อโอกาสในการเป็นพยาน (โคโลสี 4:3, โรม 1:10) เพื่อความกล้าที่จะพูด (เอเฟซัส 6:19) เพื่อผู้ที่จะเชื่อ (ยอห์น 17:20) เพื่อการเผยแพร่ข่าวประเสริฐอย่างรวดเร็ว (2 เธสะโลนิกา 3:1) และเพื่อจะมีคนงานมากขึ้น (มัทธิว 9:38) การอธิษฐานทำให้คุณเป็นเพื่อนร่วมงานกับพี่น้องคริสเตียนทั่วโลก
คุณควรจะอธิษฐานเพื่อมิชชันนารี และคนอื่น ๆ ที่มีส่วนร่วมในการเก็บเกี่ยวทั่วโลก เปาโลบอกคู่อธิษฐานของท่านว่า "พวกท่านก็มีส่วนช่วยโดยการทูลขอเผื่อเรา" (2 โครินธ์ 1:11 2002) ถ้าคุณต้องการคำแนะนำเรื่องการอธิษฐานอย่างจริงจังเพื่อโลกและคนงานคริสเตียน ขอให้ดูภาคผนวก 2
อีกวิธีหนึ่งที่จะพัฒนาการคิดระดับโลกคือการอ่านและดูข่าวด้วย "สายตาพระมหาบัญชา" ที่ใดที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือขัดแย้ง คุณสามารถแน่ใจได้ว่า พระเจ้าจะทรงใช้สิ่งนี้เพื่อนำคนมาหาพระองค์ คนเปิดรับพระเจ้ามากที่สุดเมื่อพวกเขาเผชิญความกดดันหรือความเปลี่ยนแปลง และเนื่องจากอัตราการเปลี่ยนแปลงในโลกนี้กำลังเพิ่มขึ้น จึงมีคนที่เปิดใจรับฟังข่าวประเสริฐในเวลานี้มากยิ่งกว่าที่เคยมีมา
วิธีที่ดีที่สุดที่จะเปลี่ยนมาสู่การคิดระดับโลกคือ ลุกขึ้นและไปร่วมโครงการพันธกิจระยะสั้นในอีกประเทศหนึ่ง ไม่มีอะไรจะสามารถทดแทนประสบการณ์ชีวิตจริงที่จับต้องได้ในสังคมต่างวัฒนธรรม จงหยุดศึกษาและอภิปรายเรื่องภาระกิจของคุณ และลงมือทำเลยผมท้าคุณให้ดำดิ่งลงไปสุดตัวไป ในกิจการ 1:8 พระเยซูประทานรูปแบบของการมีส่วนร่วมแก่เราว่า "ท่านจะบอกทุกคนให้รู้เรื่องของเรา ในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และทุกหนทุกแห่งในโลกนี้" (กิจการ 1:8 CEV) ผู้ติดตามพระองค์จะต้องประกาศแก่ชุมชนของพวกเขา (กรุงเยรูซาเล็ม) แก่ประเทศของพวกเขา (แคว้นยูเดีย) แก่วัฒนธรรมอื่น (แคว้นสะมาเรีย) และแก่ประเทศอื่น (ทุกแห่งในโลกนี้) สังเกตว่าพระบัญชาที่เราได้รับนี้เป็นการทำไป พร้อม ๆ กัน ไม่ใช่เรียงตามลำดับ แม้ว่าไม่ใช่ทุกคนจะมีของประทานเป็นมิชชันนารี แต่คริสเตียนทุกคนได้รับการทรงเรียกให้ทำภารกิจกับคนทั้งสี่กลุ่มนี้ในบางรูปแบบ คุณเป็นคริสเตียนกิจการ 1:8 หรือไม่
จงตั้งเป้าที่จะเข้าร่วมในโครงการประกาศแก่เป้าหมายแต่ละกลุ่มในทั้งสี่กลุ่มนี้ ผมของเร่งเร้าคุณให้เก็บเงิน และทำทุกสิ่งที่จำเป็นเพื่อร่วมเดินทางไปทำภารกิจระยะสั้น ในต่างประเทศให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ องค์กรมิชชันนารีเกือบทุกแห่งสามารถช่วยคุณได้ มันจะขยายหัวใจของคุณ ขยายนิมิตของคุณ ยึดความเชื่อของคุณ และทำให้ความเมตตาของคุณหยั่งลึกยิ่งขึ้น รวมทั้งเติมความยินดีให้คุณอย่างที่คุณไม่เคยพบมาก่อน และมันสามารถเป็นจุดหักเหในชีวิตของคุณได้
เปลี่ยนจากความคิด "ที่นี้และเดี๋ยวนี้" เป็นการคิดถึงนิรันดรกาล ถ้าใช้เวลาในโลกนี้ให้คุ้มค่าที่สุด คุณก็ต้องรักษามุมมองนิรันดร์ไว้ เพราะมันจะป้องกันคุณไม่ให้มองเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ และช่วยคุณแยกแยะระหว่างสิ่งเร่งด่วนและสิ่งที่สำคัญที่สุด เปาโลกล่าวว่า "เพราะว่าเราไม่ได้เห็นแก่สิ่งของที่เรามองเห็นอยู่ แต่เห็นแก่สิ่งที่มองไม่เห็นเพราะว่าสิ่งของซึ่งมองเห็นอยู่นั้นเป็นของไม่ยั่งยืน แต่สิ่งซึ่งมองไม่เห็นนั้นก็ถาวรนิรันดร์" (2 โครินธ์ 4:18)
หลายสิ่งที่เราทุ่มเทพลังงานให้ในเวลานี้ จะหมดความสำคัญแม้กระทั่งในหนึ่งปีข้างหน้า ในนิรันดรกาลยิ่งไม่ต้องพูดถึง อย่าแลกชีวิตของคุณกับสิ่งที่คงอยู่ชั่วคราว พระเยซูทรงตรัสว่า "ผู้ใดที่ปล่อยให้ตัวเองหันเหจากงานที่เรากำหนดให้ ก็ไม่คู่ควรกับแผ่นดินของพระเจ้า" (ลูกา 9:62 LB) เปาโลได้เตือนว่า "จงยุ่งกับสิ่งที่โลกยัดเยียดแก่ท่านให้น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ โลกที่คุณเห็นอยู่นี้กำลังจะล่วงไป" (1 โครินธ์ 7:31 Msg)
มีสิ่งใดที่คุณปล่อยให้ยืนขวางทางภารกิจของคุณ มีอะไรขัดขวางคุณจากการเป็นคริสเตียนระดับโลก ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม จงปล่อยมันไป "ให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่และบาปที่เกาะแน่น" (ฮีบรู 12:1)
พระเยซูตรัสบอกเราให้ "สั่งสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์" (มัทธิว 6:20-21) เราจะทำได้อย่างไร ในคำตรัสที่คนเข้าใจผิดมากที่สุดตอนหนึ่ง พระเยซูได้ตรัสว่า "เราบอกท่านทั้งหลายว่า จงกระทำตัวให้มีมิตรสหายด้วยทรัพย์สมบัติฝ่ายโลก เพื่อเมื่อทรัพย์นั้นเสียไปแล้ว เขาจะได้ต้อนรับท่านไว้ในที่อาศัยอันถาวรเป็นนิตย์" (ลูกา 16:9 NIV) พระเยซูมิได้หมายความว่าให้คุณใช้เงิน "ซื้อ" เพื่อน ความหมายของพระองค์คือ คุณควรจะใช้เงินที่พระเจ้าประทานแก่คุณเพื่อนำคนมาถึงพระคริสต์ แล้วพวกเขาก็จะเป็นเพื่อนชั่วนิรันดร์ที่จะต้อนรับคุณเมื่อพวกเขาไปถึงสวรรค์ มันเป็นการลงทุนทางการเงินที่ดีที่สุด ที่คุณจะทำได้
คุณอาจเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า "คุณเอาเงินทองติดตัวไปไม่ได้" แต่พระคัมภีร์บอกว่าคุณสามารถส่งมันไปล่วงหน้า โดยการลงทุนในคนที่จะไปอยู่ที่นั่น พระคัมภีร์กล่าวว่า "เมื่อทำอย่างนี้ พวกเขาก็จะสะสมทรัพย์สมบัติไว้ให้กับตัวเองในสวรรค์ นี่เป็นวิธีเดียวที่จะลงทุนอย่างปลอดภัยสำหรับนิรันดรกาลและพวกเขาจะมีชีวิตคริสเตียนที่เกิดผลบนโลกนี้เช่นกัน" (1 ทิโมธี 6:19 LB)
เปลี่ยนจากการคิดหาข้อแก้ตัว เป็นการคิดหาวิธีการสร้างสรรค์เพื่อทำให้พระบัญชาที่คุณได้รับสำเร็จ ถ้าคุณเต็มใจเสียอย่าง มันก็จะมีวิธีที่จะทำได้เสมอ และยังมีองค์กรต่าง ๆ ที่จะช่วยคุณด้วย ต่อไปนี้เป็นคำแก้ตัวที่ได้ยินกันบ่อย ๆ
๐ "ผมพูดได้แต่ภาษาอังกฤษ" ที่จริง นี่เป็นข้อได้เปรียบในหลายประเทศซึ่งคนนับล้าน ๆ อยากเรียนภาษาอังกฤษ และกระตือรือร้นที่จะฝึกฝนภาษานี้
๐ "ผมไม่มีอะไรที่จะให้" มีสิ คุณมีความสามารถและประสบการณ์ทุกอย่างในลักษณะ (SHAPE) ของคุณสามารถใช้ได้ในสถานที่บางแห่ง
๐ "ผมแก่เกินไป (เด็กเกินไป)" องค์กรมิชชั่นส่วนใหญ่มีโครงการระยะสั้นที่เหมาะสมกับวัย
ไม่ว่าจะเป็นนางซาราห์ที่อ้างว่านางอายุมากเกินไปที่พระเจ้าจะใช้ หรือ เยเรมีย์ที่อ้างว่า ตนอายุน้อยเกินไป พระเจ้าก็ปฏิเสธคำแก้ตัวของพวกเขา พระเจ้าตรัสตอบว่า "อย่าพูดเช่นนั้น เพราะเจ้าต้องไปในทุกที่ซึ่งเราส่งเจ้าไป และพูดทุกสิ่งที่เราบอกเจ้า และอย่ากลัวคนเหล่านั้น เพราะเราจะอยู่กับเจ้าและดูแลเจ้า" (เยเรมีย์ 1:7-8 NLT)
บางทีคุณอาจจะเคยเชื่อว่า คุณต้องได้รับ "การทรงเรียก" พิเศษจากพระเจ้า และคุณได้เฝ้าคอยความรู้สึกหรือประสบการณ์เหนือธรรมชาติบางอย่าง แต่พระเจ้าได้ตรัสเรียกไว้แล้วตั้งหลายครั้ง เราทุกคนได้รับการทรงเรียกให้ทำพระประสงค์ห้าประการสำหรับชีวิตของเราให้สำเร็จ คือ นมัสการ สามัคคีธรรม เติบโตขึ้นเหมือนพระคริสต์รับใช้และทำภารกิจร่วมกับพระเจ้าในโลกนี้ พระเจ้าไม่ได้ต้องการใช้คนของพระองค์เพียงแค่บางคน พระองค์ต้องการใช้คนทั้งหมดในคริสตจักรของพระองค์นำข่าวประเสริฐไปสู่ทั้งโลก
คริสเตียนหลายคนได้พลาดจากแผนการของพระเจ้าสำหรับชีวิตของพวกเขา เพราะว่าพวกเขาไม่เคยแม้แต่จะถามพระเจ้าว่า พระองค์ต้องการให้พวกเขารับใช้ในฐานะมิชชันนารีไปยังที่บางแห่งหรือไม่ ไม่ว่าจะด้วยความกลัวหรือความเขลา พวกเขาได้ปิดสมองของตนโดยอัตโนมัติ จากความเป็นไปได้ในการเป็นมิชชันนารีที่จะอาศัยอยู่ในอีกวัฒนธรรมหนึ่ง ถ้าคุณถูกล่อลวงให้ปฏิเสธ คุณควรจะตรวจสอบดูวิธีการและความเป็นไปได้ต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่ในเวลานี้ (นี่จะทำให้คุณแปลกใจ) และคุณควรจะอธิษฐานอย่างจริงจังและถามพระเจ้าถึงสิ่งที่พระองค์ต้องการจากคุณในหลาย ๆ ปีข้างหน้า มิชันนารีระยะยาวนับพัน ๆ คนกำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากในช่วงเวลาสำคัญของประวัติศาสตร์นี้ซึ่งประตูกำลังเปิดกว้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ถ้าคุณต้องการเป็นเหมือนพระเยซู คุณก็ต้องมีหัวใจเพื่อทั้งโลก คุณไม่สามารถพึงพอใจเพียงแค่ครอบครัวและเพื่อนของคุณได้มาเชื่อพระคริสต์ มีคนกว่า 6 พันล้านคนบนโลก และพระเยซูต้องการให้บุตรที่หลงหายของพระองค์ทุกคนได้กลับมา พระเยซูตรัสว่า "คนที่อยากเอาตัวรอดก็จะสูญเสียชีวิตแท้ไป ส่วนคนที่ยอมสละชีวิตของตัวเองเพื่อเราและข่าวดีนั้นก็จะรักษาชีวิตแท้ไว้ได้" (มาระโก 8:35 อ่านเข้าใจง่าย) มหาบัญชาเป็นคำบัญชาที่มาถึงคุณ และการทำส่วนของคุณก็เป็นเคล็ดลับของการดำเนินชีวิตที่มีความหมาย
วันที่ 38 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: พระมหาบัญชาคือคำบัญชาที่มาถึงฉัน
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "ขอทรงส่งเราออกไปทั่วโลกด้วยข่าวเรื่องฤทธิ์เดชที่ช่วยให้รอดของพระองค์ และแผนการนิรันดร์ของพระองค์สำหรับมนุษยชาติทั้งสิ้น" สดุดี 67:2 (LB)
คำถามสำหรับการพิจารณา: ฉันต้องเตรียมตัวอะไรบ้างเพื่อจะไปกับโครงการพันธกิจระยะสั้นในปีหน้า
มาระโก 16:15 (2002)
ขอทรงส่งเราออกไปทั่วโลกด้วยข่าวเรื่องฤทธิ์เดชที่ช่วยให้รอดของพระองค์ และแผนการนิรันดร์ของพระองค์สำหรับมนุษยชาติทั้งสิ้น
สดุดี 67:2 (LB)
พระมหาบัญชาคือคำบัญชาที่จะมาถึงคุณ
คุณต้องเลือกว่าจะเป็นคริสเตียนระดับโลกหรือคริสเตียนฝ่ายโลก
คริสเตียนฝ่ายโลกพึ่งพระเจ้าเพื่อความพึงพอใจส่วนตัวเป็นหลัก แม้จะได้รับความรอดแล้วแต่ก็ยังเห็นแก่ตัว พวกเขาชอบไปฟังการแสดงดนตรีและสัมมนาที่เสริมสร้างตัวเอง แต่คุณจะไม่มีวันพบพวกเขาในสัมมนาพันธกิจเพราะว่าพวกเขาไม่สนใจ คำอธิษฐานของพวกเขาจดจ่อที่ความต้องการ พระพร และความสุขของตัวเอง มันเป็นความเชื่อแบบ "ฉันต้องมาก่อน" พระเจ้าจะทำให้ชีวิตของผมสบายขึ้นได้อย่างไร พวกเขาต้องการใช้พระเจ้าเพื่อวัตถุประสงค์ของพวกเขา แทนที่จะยอมให้พระเจ้าใช้เขาเพื่อพระประสงค์ของพระองค์
ตรงกันข้าม คริสเตียนระดับโลกรู้ว่าพวกเขาได้รับความรอดเพื่อจะรับใช้ และถูกสร้างเพื่อทำภารกิจ พวกเขากระตือรือร้นที่จะทำหน้าที่มอบหมายส่วนตัว และตื่นเต้นกับสิทธิพิเศษในการที่พระเจ้าใช้พวกเขา คริสเตียนระดับโลกเป็นคนจำพวกเดียวที่มีชีวิตอย่างเต็มที่ในโลกนี้ ความยินดี ความมั่นใจ และความกระตือรือร้นของพวกเขาแพร่ระบาดไป เพราะพวกเขารู้ว่าเขากำลังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง พวกเขาตื่นขึ้นทุกเช้าโดยคาดหวังว่าพระเจ้าจะทรงทำงานผ่านพวกเขาในวิธีใหม่ ๆ แล้วคุณล่ะครับต้องการเป็นคริสเตียนแบบไหน
พระเจ้าทรงเชื้อเชิญคุณให้ร่วมในอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด กว้างขวางที่สุด หลากหลายที่สุด และสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ นั่นคืออาณาจักรของพระองค์ ประวัติศาสตร์คือเรื่องราวของพระองค์ พระองค์ทรงสร้างครอบครัวของพระองค์เพื่อนิรันดรกาล ไม่มีอะไรสำคัญกว่า และไม่มีอะไรที่จะคงอยู่นานกว่า จากพระธรรมวิวรณ์ เรารู้ว่าวันหนึ่งภารกิจโลกของพระเจ้าจะสำเร็จ วันหนึ่งพระมหาบัญชาจะเป็นมหาสำเร็จ วันหนึ่งในสวรรค์ฝูงชนมหาศาลคือ ผู้คนจาก "ทุกประชาชาติ ทุกเผ่า ทุกชนชาติ และทุกภาษา" (วิวรณ์ 7:9 2002) จะยืนต่อพระพักตร์พระเยซูคริสต์เพื่อนมัสการพระองค์ การเข้าร่วมเป็นคริสเตียนระดับโลกจะช่วยให้คุณมีประสบการณ์ล่วงหน้าสักเล็กน้อยว่า ในสวรรค์จะเป็นอย่างไร
เมื่อพระเยซูทรงบอกผู้ที่ติดตามพระองค์ว่า "จงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน" สาวกยากจนชาวตะวันออกกลางกลุ่มเล็ก ๆ ต่างหนักใจ นี่พวกเขาต้องเดิน หรือขี่สัตว์ไปอย่างเชื่องช้าใช่ไหม นั่นคือพาหนะที่พวกเขามีสำหรับเดินทาง และไม่มีเรือเดินทางข้ามมหาสมุทร พวกเขาจึงมีอุปสรรคทางกายภาพจริง ๆ ในการจะออกไปทั่วโลก
เวลานี้ เรามีเครื่องบิน เรือ รถไฟ รถโดยสาร และรถยนต์ โลกนี้ช่างแคบเหลือเกินซ้ำยังหดตัวลงทุกวัน คุณสามารถบินข้ามมหาสมุทรภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง และกลับบ้านในวันต่อมา ถ้าคุณต้องการโอกาสสำหรับคริสเตียนธรรมดาที่จะร่วมทำพันธกิจนานนาชาติระยะสั้นนั้นไม่มีข้อจำกัดในเวลานี้ คุณไปทุกมุมโลกได้ ขอเพียงแค่ถามบริษัทท่องเที่ยวเท่านั้น เราไม่มีข้อแก้ตัวที่จะไม่เผยแพร่ข่าวประเสริฐ
เวลานี้ ด้วยอินเตอร์เน็ท โลกก็ยิ่งเล็กลง นอกเหนือจากโทรศัพท์และโทรสาร ผู้เชื่อทุกคนที่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตก็สามารถติดต่อเป็นส่วนตัวกับผู้คนในเกือบทุกประเทศในโลกนี้ โลกทั้งโลกอยู่ที่ปลายนิ้วของคุณ
แม้แต่หมู่บ้านห่างไกลจำนวนมากก็ได้รับอีเมล์ คุณจึงสามารถสนทนา "ประกาศแบบอิเล็กทรอนิกส์" กับคนในอีกซีกโลกโดยไม่ต้องออกจากบ้านของคุณ การทำให้ภารกิจของคุณในการออกไปทั่วโลกสำเร็จนั้นไม่เคยง่ายกว่านี้มาก่อน อุปสรรคประการเดียวคือวิธีคิดของเรา ถ้าจะเป็นคริสเตียนระดับโลก คุณก็ต้องเปลี่ยนแปลงแนวคิดบางอย่าง มุมมองและท่าทีของคุณต้องเปลี่ยนไป
คิดอย่างคริสเตียนระดับโลก
เปลี่ยนจากความคิดที่เห็นแก่ตัวสู่ความคิดที่เห็นแก่คนอื่น พระคัมภีร์กล่าวว่า "พี่น้องทั้งหลาย อย่ามัวคิดอย่างเด็ก ๆ อยู่เลย แต่จงคิดอย่างผู้ใหญ่" (1 โครินธ์ 14:20 ประชานิยม) นี่คือก้าวแรกของการเป็นคริสเตียนระดับโลก เด็ก ๆ คิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้นแต่ผู้ใหญ่จะคิดถึงผู้อื่น พระเจ้าทรงบัญชาว่า "อย่าคิดถึงตนเองฝ่ายเดียว แต่จงคิดถึงผู้อื่นด้วย" (ฟีลิปปี 2:4 ประชานิยม)
แน่นอน นี่เป็นการปรับความคิดที่ยาก เพราะว่าโดยธรรมชาติแล้วเราหมกมุ่นกับตัวเอง และโฆษณาเกือบทุกชิ้นก็ส่งเสริมให้เราคิดถึงตัวเราเอง ทางเดียวที่เราสามารถเปลี่ยนกรอบความคิดนี้ก็คือ การพึ่งพระเจ้าทุกเวลา ยังดีที่พระองค์ไม่ได้ละทิ้งให้เราดิ้นรนด้วยตัวเอง "พระเจ้าได้ประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่เรา นี่คือสาเหตุที่เราคิดไม่เหมือนคนในโลกนี้" (1 โครินธ์ 2:12 CEV)
จงเริ่มทูลขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะทรงช่วยคุณให้คิดถึงความต้องการฝ่ายวิญญาณของคนที่ยังไม่เชื่อเมื่อคุณพูดคุยกับพวกเขา และโดยการฝึกฝนคุณจะสามารถสร้างนิสัยของการอธิษฐานเงียบ ๆ "เป็นลมหายใจ" เพื่อคนเหล่านั้นที่คุณพบเจอ อธิษฐานว่า "พระบิดาขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้เข้าใจสิ่งที่ขัดขวางคนผู้นี้ไม่ให้รู้จักพระองค์"
เป้าหมายของคุณคือ การค้นหาว่าคนอื่นอยู่ที่ไหนในการเดินทางฝ่ายวิญญาณ แล้วก็ทำทุกวิถีทางที่จะนำพวกเขาเข้าใกล้การรู้จักพระคริสต์มากขึ้น คุณสามารถเรียนรู้การทำสิ่งนี้โดยการรับแนวคิดของเปาโลที่กล่าวว่า "ข้าพเจ้ามิได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่เห็นแก่ประโยชน์ของคนทั้งหลาย เพื่อให้เขารอดได้" (1 โครินธ์ 10:33)
เปลี่ยนจากการคิดระดับท้องถิ่นสู่การคิดระดับโลก พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของโลก พระองค์ทรงห่วงใยโลกทั้งโลกตลอดมา "พระเจ้าทรงรักโลก…" (ยอห์น 3:16) ตั้งแต่ปฐมกาลพระองค์ต้องการสมาชิกครอบครัวจากคนทุกชาติที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้น พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติสืบสายโลหิตอันเดียวกันให้อยู่ทั่วพิภพโลก และได้ทรงกำหนดเวลาและเขตแดนให้เขาอยู่ เพื่อเขาจะได้แสวงหาพระเจ้า และมุ่งหวังจะคลำหาให้พบพระองค์" (กิจการ 17:26-27)
เวลานี้คนส่วนใหญ่ในโลกคิดระดับโลกอยู่แล้ว สื่อที่ใหญ่ที่สุดและกลุ่มธุรกิจที่เป็นเครือข่ายล้วนเป็นองค์กรที่ดำเนินกิจการในหลายประเทศ ชีวิตของเราเชื่อมประสานกับคนในชาติอื่น ๆ ด้วยแฟชั่น ความบันเทิง ดนตรี กีฬา และแม้แต่อาหารจานด่วนที่เราบริโภคเหมือน ๆ กัน เสื้อผ้าที่คุณใส่และสิ่งที่คุณกินส่วนมากอาจผลิตขึ้นในประเทศอื่น เรามีความเชื่อมโยงกันมากกว่าที่เรารู้ตัว
นี่เป็นช่วงเวลาที่น่าตื้นเต้นในการมีชีวิตอยู่ เวลานี้มีคริสเตียนในโลกมากกว่าที่เคยมีมาในอดีต เปาโลกล่าวอย่างถูกต้องว่า "ข่าวประเสริฐเดียวกันนี้ที่มาถึงท่านกำลังแพร่ออกไปทั่วโลก มันกำลังเปลี่ยนแปลงชีวิตคนทุกหนทุกแห่ง เช่นเดียวกับที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของท่าน" (โคโลสี 1:6 NLT)
วิธีแรกในการเริ่มต้นคิดระดับโลกคือ การเริ่มอธิษฐานเพื่อบางประเทศอย่างเจาะจงคริสเตียนระดับโลกจะอธิษฐานเพื่อโลก ให้คุณหาลูกโลกหรือแผนที่และอธิษฐานออกชื่อเพื่อประเทศต่าง ๆ พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงขอจากเราเถิด และเราจะมอบบรรดาประชาชาติให้เป็นมรดกของเจ้า ตลอดทั้งแผ่นดินโลกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้า" (สดุดี 2:8)
คำอธิษฐานเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดสำหรับภารกิจของคุณในโลกนี้ คนอาจปฏิเสธความรักของเรา หรือไม่ยอมรับเรื่องราวของเรา แต่พวกเขาไม่สามารถป้องกันตัวจากคำอธิษฐานของเราได้ เช่นเดียวกับขีปนาวุธข้ามทวีป คุณสามารถเล็งคำอธิษฐานที่หัวใจของบุคคลคนหนึ่ง ไม่ว่าคุณอยู่ห่างออกไปสิบฟุตหรือ 10,000 ไมล์ก็ตาม
คุณควรอธิษฐานเผื่ออะไร พระคัมภีร์บอกเราให้อธิษฐานเพื่อโอกาสในการเป็นพยาน (โคโลสี 4:3, โรม 1:10) เพื่อความกล้าที่จะพูด (เอเฟซัส 6:19) เพื่อผู้ที่จะเชื่อ (ยอห์น 17:20) เพื่อการเผยแพร่ข่าวประเสริฐอย่างรวดเร็ว (2 เธสะโลนิกา 3:1) และเพื่อจะมีคนงานมากขึ้น (มัทธิว 9:38) การอธิษฐานทำให้คุณเป็นเพื่อนร่วมงานกับพี่น้องคริสเตียนทั่วโลก
คุณควรจะอธิษฐานเพื่อมิชชันนารี และคนอื่น ๆ ที่มีส่วนร่วมในการเก็บเกี่ยวทั่วโลก เปาโลบอกคู่อธิษฐานของท่านว่า "พวกท่านก็มีส่วนช่วยโดยการทูลขอเผื่อเรา" (2 โครินธ์ 1:11 2002) ถ้าคุณต้องการคำแนะนำเรื่องการอธิษฐานอย่างจริงจังเพื่อโลกและคนงานคริสเตียน ขอให้ดูภาคผนวก 2
อีกวิธีหนึ่งที่จะพัฒนาการคิดระดับโลกคือการอ่านและดูข่าวด้วย "สายตาพระมหาบัญชา" ที่ใดที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือขัดแย้ง คุณสามารถแน่ใจได้ว่า พระเจ้าจะทรงใช้สิ่งนี้เพื่อนำคนมาหาพระองค์ คนเปิดรับพระเจ้ามากที่สุดเมื่อพวกเขาเผชิญความกดดันหรือความเปลี่ยนแปลง และเนื่องจากอัตราการเปลี่ยนแปลงในโลกนี้กำลังเพิ่มขึ้น จึงมีคนที่เปิดใจรับฟังข่าวประเสริฐในเวลานี้มากยิ่งกว่าที่เคยมีมา
วิธีที่ดีที่สุดที่จะเปลี่ยนมาสู่การคิดระดับโลกคือ ลุกขึ้นและไปร่วมโครงการพันธกิจระยะสั้นในอีกประเทศหนึ่ง ไม่มีอะไรจะสามารถทดแทนประสบการณ์ชีวิตจริงที่จับต้องได้ในสังคมต่างวัฒนธรรม จงหยุดศึกษาและอภิปรายเรื่องภาระกิจของคุณ และลงมือทำเลยผมท้าคุณให้ดำดิ่งลงไปสุดตัวไป ในกิจการ 1:8 พระเยซูประทานรูปแบบของการมีส่วนร่วมแก่เราว่า "ท่านจะบอกทุกคนให้รู้เรื่องของเรา ในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และทุกหนทุกแห่งในโลกนี้" (กิจการ 1:8 CEV) ผู้ติดตามพระองค์จะต้องประกาศแก่ชุมชนของพวกเขา (กรุงเยรูซาเล็ม) แก่ประเทศของพวกเขา (แคว้นยูเดีย) แก่วัฒนธรรมอื่น (แคว้นสะมาเรีย) และแก่ประเทศอื่น (ทุกแห่งในโลกนี้) สังเกตว่าพระบัญชาที่เราได้รับนี้เป็นการทำไป พร้อม ๆ กัน ไม่ใช่เรียงตามลำดับ แม้ว่าไม่ใช่ทุกคนจะมีของประทานเป็นมิชชันนารี แต่คริสเตียนทุกคนได้รับการทรงเรียกให้ทำภารกิจกับคนทั้งสี่กลุ่มนี้ในบางรูปแบบ คุณเป็นคริสเตียนกิจการ 1:8 หรือไม่
จงตั้งเป้าที่จะเข้าร่วมในโครงการประกาศแก่เป้าหมายแต่ละกลุ่มในทั้งสี่กลุ่มนี้ ผมของเร่งเร้าคุณให้เก็บเงิน และทำทุกสิ่งที่จำเป็นเพื่อร่วมเดินทางไปทำภารกิจระยะสั้น ในต่างประเทศให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ องค์กรมิชชันนารีเกือบทุกแห่งสามารถช่วยคุณได้ มันจะขยายหัวใจของคุณ ขยายนิมิตของคุณ ยึดความเชื่อของคุณ และทำให้ความเมตตาของคุณหยั่งลึกยิ่งขึ้น รวมทั้งเติมความยินดีให้คุณอย่างที่คุณไม่เคยพบมาก่อน และมันสามารถเป็นจุดหักเหในชีวิตของคุณได้
เปลี่ยนจากความคิด "ที่นี้และเดี๋ยวนี้" เป็นการคิดถึงนิรันดรกาล ถ้าใช้เวลาในโลกนี้ให้คุ้มค่าที่สุด คุณก็ต้องรักษามุมมองนิรันดร์ไว้ เพราะมันจะป้องกันคุณไม่ให้มองเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ และช่วยคุณแยกแยะระหว่างสิ่งเร่งด่วนและสิ่งที่สำคัญที่สุด เปาโลกล่าวว่า "เพราะว่าเราไม่ได้เห็นแก่สิ่งของที่เรามองเห็นอยู่ แต่เห็นแก่สิ่งที่มองไม่เห็นเพราะว่าสิ่งของซึ่งมองเห็นอยู่นั้นเป็นของไม่ยั่งยืน แต่สิ่งซึ่งมองไม่เห็นนั้นก็ถาวรนิรันดร์" (2 โครินธ์ 4:18)
หลายสิ่งที่เราทุ่มเทพลังงานให้ในเวลานี้ จะหมดความสำคัญแม้กระทั่งในหนึ่งปีข้างหน้า ในนิรันดรกาลยิ่งไม่ต้องพูดถึง อย่าแลกชีวิตของคุณกับสิ่งที่คงอยู่ชั่วคราว พระเยซูทรงตรัสว่า "ผู้ใดที่ปล่อยให้ตัวเองหันเหจากงานที่เรากำหนดให้ ก็ไม่คู่ควรกับแผ่นดินของพระเจ้า" (ลูกา 9:62 LB) เปาโลได้เตือนว่า "จงยุ่งกับสิ่งที่โลกยัดเยียดแก่ท่านให้น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ โลกที่คุณเห็นอยู่นี้กำลังจะล่วงไป" (1 โครินธ์ 7:31 Msg)
มีสิ่งใดที่คุณปล่อยให้ยืนขวางทางภารกิจของคุณ มีอะไรขัดขวางคุณจากการเป็นคริสเตียนระดับโลก ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม จงปล่อยมันไป "ให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่และบาปที่เกาะแน่น" (ฮีบรู 12:1)
พระเยซูตรัสบอกเราให้ "สั่งสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์" (มัทธิว 6:20-21) เราจะทำได้อย่างไร ในคำตรัสที่คนเข้าใจผิดมากที่สุดตอนหนึ่ง พระเยซูได้ตรัสว่า "เราบอกท่านทั้งหลายว่า จงกระทำตัวให้มีมิตรสหายด้วยทรัพย์สมบัติฝ่ายโลก เพื่อเมื่อทรัพย์นั้นเสียไปแล้ว เขาจะได้ต้อนรับท่านไว้ในที่อาศัยอันถาวรเป็นนิตย์" (ลูกา 16:9 NIV) พระเยซูมิได้หมายความว่าให้คุณใช้เงิน "ซื้อ" เพื่อน ความหมายของพระองค์คือ คุณควรจะใช้เงินที่พระเจ้าประทานแก่คุณเพื่อนำคนมาถึงพระคริสต์ แล้วพวกเขาก็จะเป็นเพื่อนชั่วนิรันดร์ที่จะต้อนรับคุณเมื่อพวกเขาไปถึงสวรรค์ มันเป็นการลงทุนทางการเงินที่ดีที่สุด ที่คุณจะทำได้
คุณอาจเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า "คุณเอาเงินทองติดตัวไปไม่ได้" แต่พระคัมภีร์บอกว่าคุณสามารถส่งมันไปล่วงหน้า โดยการลงทุนในคนที่จะไปอยู่ที่นั่น พระคัมภีร์กล่าวว่า "เมื่อทำอย่างนี้ พวกเขาก็จะสะสมทรัพย์สมบัติไว้ให้กับตัวเองในสวรรค์ นี่เป็นวิธีเดียวที่จะลงทุนอย่างปลอดภัยสำหรับนิรันดรกาลและพวกเขาจะมีชีวิตคริสเตียนที่เกิดผลบนโลกนี้เช่นกัน" (1 ทิโมธี 6:19 LB)
เปลี่ยนจากการคิดหาข้อแก้ตัว เป็นการคิดหาวิธีการสร้างสรรค์เพื่อทำให้พระบัญชาที่คุณได้รับสำเร็จ ถ้าคุณเต็มใจเสียอย่าง มันก็จะมีวิธีที่จะทำได้เสมอ และยังมีองค์กรต่าง ๆ ที่จะช่วยคุณด้วย ต่อไปนี้เป็นคำแก้ตัวที่ได้ยินกันบ่อย ๆ
๐ "ผมพูดได้แต่ภาษาอังกฤษ" ที่จริง นี่เป็นข้อได้เปรียบในหลายประเทศซึ่งคนนับล้าน ๆ อยากเรียนภาษาอังกฤษ และกระตือรือร้นที่จะฝึกฝนภาษานี้
๐ "ผมไม่มีอะไรที่จะให้" มีสิ คุณมีความสามารถและประสบการณ์ทุกอย่างในลักษณะ (SHAPE) ของคุณสามารถใช้ได้ในสถานที่บางแห่ง
๐ "ผมแก่เกินไป (เด็กเกินไป)" องค์กรมิชชั่นส่วนใหญ่มีโครงการระยะสั้นที่เหมาะสมกับวัย
ไม่ว่าจะเป็นนางซาราห์ที่อ้างว่านางอายุมากเกินไปที่พระเจ้าจะใช้ หรือ เยเรมีย์ที่อ้างว่า ตนอายุน้อยเกินไป พระเจ้าก็ปฏิเสธคำแก้ตัวของพวกเขา พระเจ้าตรัสตอบว่า "อย่าพูดเช่นนั้น เพราะเจ้าต้องไปในทุกที่ซึ่งเราส่งเจ้าไป และพูดทุกสิ่งที่เราบอกเจ้า และอย่ากลัวคนเหล่านั้น เพราะเราจะอยู่กับเจ้าและดูแลเจ้า" (เยเรมีย์ 1:7-8 NLT)
บางทีคุณอาจจะเคยเชื่อว่า คุณต้องได้รับ "การทรงเรียก" พิเศษจากพระเจ้า และคุณได้เฝ้าคอยความรู้สึกหรือประสบการณ์เหนือธรรมชาติบางอย่าง แต่พระเจ้าได้ตรัสเรียกไว้แล้วตั้งหลายครั้ง เราทุกคนได้รับการทรงเรียกให้ทำพระประสงค์ห้าประการสำหรับชีวิตของเราให้สำเร็จ คือ นมัสการ สามัคคีธรรม เติบโตขึ้นเหมือนพระคริสต์รับใช้และทำภารกิจร่วมกับพระเจ้าในโลกนี้ พระเจ้าไม่ได้ต้องการใช้คนของพระองค์เพียงแค่บางคน พระองค์ต้องการใช้คนทั้งหมดในคริสตจักรของพระองค์นำข่าวประเสริฐไปสู่ทั้งโลก
คริสเตียนหลายคนได้พลาดจากแผนการของพระเจ้าสำหรับชีวิตของพวกเขา เพราะว่าพวกเขาไม่เคยแม้แต่จะถามพระเจ้าว่า พระองค์ต้องการให้พวกเขารับใช้ในฐานะมิชชันนารีไปยังที่บางแห่งหรือไม่ ไม่ว่าจะด้วยความกลัวหรือความเขลา พวกเขาได้ปิดสมองของตนโดยอัตโนมัติ จากความเป็นไปได้ในการเป็นมิชชันนารีที่จะอาศัยอยู่ในอีกวัฒนธรรมหนึ่ง ถ้าคุณถูกล่อลวงให้ปฏิเสธ คุณควรจะตรวจสอบดูวิธีการและความเป็นไปได้ต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่ในเวลานี้ (นี่จะทำให้คุณแปลกใจ) และคุณควรจะอธิษฐานอย่างจริงจังและถามพระเจ้าถึงสิ่งที่พระองค์ต้องการจากคุณในหลาย ๆ ปีข้างหน้า มิชันนารีระยะยาวนับพัน ๆ คนกำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากในช่วงเวลาสำคัญของประวัติศาสตร์นี้ซึ่งประตูกำลังเปิดกว้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ถ้าคุณต้องการเป็นเหมือนพระเยซู คุณก็ต้องมีหัวใจเพื่อทั้งโลก คุณไม่สามารถพึงพอใจเพียงแค่ครอบครัวและเพื่อนของคุณได้มาเชื่อพระคริสต์ มีคนกว่า 6 พันล้านคนบนโลก และพระเยซูต้องการให้บุตรที่หลงหายของพระองค์ทุกคนได้กลับมา พระเยซูตรัสว่า "คนที่อยากเอาตัวรอดก็จะสูญเสียชีวิตแท้ไป ส่วนคนที่ยอมสละชีวิตของตัวเองเพื่อเราและข่าวดีนั้นก็จะรักษาชีวิตแท้ไว้ได้" (มาระโก 8:35 อ่านเข้าใจง่าย) มหาบัญชาเป็นคำบัญชาที่มาถึงคุณ และการทำส่วนของคุณก็เป็นเคล็ดลับของการดำเนินชีวิตที่มีความหมาย
วันที่ 38 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: พระมหาบัญชาคือคำบัญชาที่มาถึงฉัน
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "ขอทรงส่งเราออกไปทั่วโลกด้วยข่าวเรื่องฤทธิ์เดชที่ช่วยให้รอดของพระองค์ และแผนการนิรันดร์ของพระองค์สำหรับมนุษยชาติทั้งสิ้น" สดุดี 67:2 (LB)
คำถามสำหรับการพิจารณา: ฉันต้องเตรียมตัวอะไรบ้างเพื่อจะไปกับโครงการพันธกิจระยะสั้นในปีหน้า
วันที่ 37 เล่าเรื่องราวชีวิตของคุณ
ผู้ที่เชื่อในพระบุตรของพระเจ้าก็มีพยานอยู่ในตัว
1 ยอห์น 5:10ก
ชีวิตของท่านกำลังสะท้อนถ้อยคำขององค์พระผู้เป็นเจ้า… ข่าวเรื่องความเชื่อในพระเจ้าของท่านได้แพร่ออกไป เราไม่ต้องพูดอะไรอีก ท่านเองคือเรื่องราวนั้น
1 เธสะโลนิกา 1:8 (Msg)
พระเจ้าได้ประทานให้คุณมีเรื่องราวชีวิตที่จะบอกคนอื่น
เมื่อคุณมาเป็นผู้เชื่อ คุณก็ได้เป็นผู้สื่อสารของพระเจ้าด้วย พระองค์ต้องการตรัสแก่โลกผ่านทางคุณ เปาโลกล่าวว่า "เราพูดความจริงต่อพระพักตร์พระเจ้า ในฐานะผู้สื่อสารของพระเจ้า" (2 โครินธ์ 2:17ข NCV)
คุณอาจรู้สึกว่าคุณไม่มีอะไรจะพูด แต่นั่นเป็นมารที่พยายามทำให้คุณเงียบ คุณมีประสบการณ์มากมายที่พระเจ้าต้องการใช้เพื่อนำคนอื่นเข้ามาในครอบครัวของพระองค์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "คนเหล่านั้นที่เชื่อในพระบุตรของพระเจ้ามีคำพยานของพระเจ้าอยู่ในตัวเขา" (1 ยอห์น 5:10ก GWT) เรื่องราวชีวิตของคุณมีสี่ส่วนคือ
๐ คำพยานของคุณ: เรื่องราวที่ว่าคุณเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูอย่างไร
๐ บทเรียนชีวิตของคุณ: บรรดาบทเรียนสำคัญที่สุดพระเจ้าได้ทรงสอนคุณ
๐ ความร้อนรนในทางของพระเจ้า: เรื่องที่พระเจ้าทรงปั้นคุณให้ใส่ใจมากที่สุด
๐ ข่าวประเสริฐ: เรื่องราวของความรอด
เรื่องราวชีวิตประกอบด้วยคำพยานของคุณ คำพยานของคุณคือเรื่องที่เล่าว่าพระเยซูได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณอย่างไร เปโตรบอกเราว่า พระเจ้าได้ทรงเลือกเรา "เพื่อทำงานของพระองค์และพูดเพื่อพระองค์ เพื่อบอกคนอื่นถึงความแตกต่างชนิดหน้ามือเป็นหลังมือที่พระองค์ได้ทรงกระทำแก่คุณ" (1 เปโตร 2:9 Msg) นี่คือแก่นแท้ของการเป็นพยาน คือเพียงแค่เล่าประสบการณ์ส่วนตัวของคุณเกี่ยวกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ในศาลพยานไม่ต้องต่อสู้คดี พิสูจน์ความจริง หรือคาดคั้นคำพิพากษา นั่นเป็นงานของทนายความ พยานเพียงแต่รายงานสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขา หรือสิ่งที่พวกเขาเห็น
พระเยซูตรัสว่า "ท่านจะเป็นพยานฝ่ายเรา" (กิจการ 1:8) พระองค์ต้องการให้คุณบอกเรื่องของคุณกับคนอื่น การเล่าคำพยานของคุณคือ ส่วนสำคัญของภารกิจในโลกเพราะว่ามันไม่เหมือนของใคร ไม่มีเรื่องใดที่เหมือนเรื่องของคุณ ดังนั้น คุณเท่านั้นที่พูดเรื่องนี้ได้ แต่ถ้าคุณไม่พูด มันก็จะสูญไปชั่วนิรันดร์ คุณอาจจะไม่ใช่นักวิชาการพระคัมภีร์แต่คุณเป็นผู้เชียวชาญเรื่องชีวิตของคุณ และมันยากที่จะโต้แย้งกับประสบการณ์ส่วนตัว ที่จริงแล้วคำพยานส่วนตัวของคุณมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าคำเทศนาเสียอีก เพราะว่าคนที่ไม่เชื่อ เขามองศิษยภิบาลเป็นนักขายอาชีพ แต่เขามองว่าคุณเป็น "ลูกค้าที่พึงพอใจ" พวกเขาจึงให้ความเชื่อถือแก่คุณมากกว่า
เรื่องส่วนตัวยังเข้าใจง่ายกว่าหลักการต่าง ๆ และคนชอบฟังเรื่องเหล่านี้ เรื่องเหล่านี้จับความสนใจ และเราจดจำมันได้นานกว่า ผู้ที่ไม่เชื่อคงจะไม่สนใจถ้าคุณเริ่มอ้างคำพูดของนักศาสนศาสตร์ แต่พวกเขามีความอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติเกี่ยวกับประสบการณ์ที่พวกเขาไม่เคยพบเจอ เรื่องเล่าช่วยสร้างสะพานความสัมพันธ์ซึ่งพระเยซูสามารถเสด็จข้ามจากหัวใจคุณไปสู่หัวใจของพวกเขา
คุณค่าอีกประการหนึ่งของคำพยานคือ มันสามารถทะลุการปกป้องทางความคิดหลายคนที่ไม่ยอมรับสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์จะยอมฟังเรื่องราวส่วนตัวธรรมดา ๆ นั่นคือเหตุผลที่เปาโลใช้คำพยานของท่านหกครั้งเพื่อเล่าข่าวประเสริฐ แทนที่จะอ้างข้อพระคัมภีร์ (กิจการ 22:26)
พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงเตรียมพร้อมเสมอที่จะอธิบายกับทุกคนที่ขอทราบเหตุผลเกี่ยวกับความหวังของพวกท่าน แต่จงตอบด้วยความสุภาพอ่อนโยนและด้วยความนับถือ" (1 เปโตร 3:15-16 2002) วิธีดีที่สุดที่จะ "เตรียมพร้อม" คือเขียนคำพยานของคุณแล้วท่องจำประเด็นสำคัญ ๆ แบ่งมันออกเป็นสี่ส่วนดังนี้
1. ชีวิตของฉันเป็นอย่างไรก่อนได้พบพระเยซู
2. ฉันรู้ว่าฉันต้องการพระเยซูได้อย่างไร
3. ฉันมอบชีวิตของฉันแด่พระเยซูอย่างไร
4. พระเยซูเปลี่ยนแปลงชีวิตฉันอย่างไร
แน่นอน คุณมีคำพยานอื่นอีกมากนอกเหนือจากเรื่องความรอดของคุณ คุณมีเรื่องราว ประสบการณ์ทุกรูปแบบซึ่งพระเจ้าได้ทรงช่วยเหลือคุณ คุณควรทำรายการของปัญหา สถานการณ์ และวิกฤต ทุกอย่างที่พระเจ้าทรงนำให้คุณผ่านพ้นมา แล้วจงไวต่อความต้องการ และใช้เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเพื่อนที่ไม่เชื่อมากที่สุด สถานการณ์ที่แตกต่างย่อมต้องการคำพยานที่แตกต่างกัน
เรื่องราวชีวิตประกอบด้วยบทเรียนชีวิตของคุณ ส่วนที่สองของเรื่องราวชีวิตคุณคือความจริงที่พระเจ้าได้ทรงสอนคุณจากประสบการณ์กับพระองค์ สิ่งเหล่านี้คือบทเรียนและความเข้าใจที่คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับพระเจ้า เกี่ยวกับความสัมพันธ์ ปัญหา การทดลอง และด้านอื่น ๆ ของชีวิต ดาวิดอธิษฐานว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงสอนบทเรียนการดำเนินชีวิตแก่ข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะไม่ออกนอกทาง" (สดุดี 119:33 Msg) น่าเศร้าที่เราไม่เคยเรียนรู้จากหลายต่อหลายสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา พระคัมภีร์กล่าวถึงคนอิสราเอลว่า "พระเจ้าได้ทรงช่วยกู้พวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่พวกเขาไม่เคยเรียนรู้ จนในที่สุด ความบาปของพวกเขาได้ทำลายพวกเขาเอง" (สดุดี 106:43 Msg) คุณอาจจะเคยพบคนเช่นนั้น
แม้ว่าการเรียนรู้จากประสบการณ์จะเป็นเรื่องที่ฉลาด แต่จะฉลาดยิ่งกว่า ถ้าเราเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่น ไม่มีเวลามากพอที่เราจะเรียนรู้ทุกสิ่งในชีวิตด้วยการลองผิดลองถูก เราต้องเรียนจากบทเรียนชีวิตของกันและกัน พระคัมภีร์กล่าวว่า "คำเตือนของคนที่มีประสบการณ์ที่กล่าวแก่คนที่เต็มใจฟังก็มีค่ามากกว่าเครื่องประดับที่ทำจากทองคำบริสุทธิ์" (สุภาษิต 25:12 TEV)
จงเขียนบทเรียนสำคัญ ๆ ที่คุณได้เรียนรู้ เพื่อคุณจะสามารถบอกสิ่งเหล่านี้แก่คนอื่น เราควรจะขอบคุณที่ซาโรมอนได้ทำเช่นนี้ เพราะมันทำให้เรามีพระธรรมสุภาษิตและปัญญาจารย์ ซึ่งเต็มไปด้วยบทเรียนภาคปฏิบัติในการดำเนินชีวิต ลองจิตนาการดูสิครับว่า เราจะหลีกเลี่ยงความว้าวุ่นที่ไม่จำเป็นได้มากเพียงไร ถ้าเราได้เรียนรู้จากบทเรียนชีวิตของกันและกัน
คนที่เป็นผู้ใหญ่จะฝึกนิสัยดึงบทเรียนออกจากประสบการณ์ประจำวัน ผมขอหนุนใจคุณให้ทำรายการบทเรียนชีวิตของคุณ คุณจะยังไม่ได้คิดถึงสิ่งเหล่านี้อย่างจริงจัง จนกว่าคุณจะได้เขียนสิ่งเหล่านี้ลงไป ต่อไปนี้เป็นคำถามบางข้อที่จะช่วยกระตุ้นความจำของคุณและช่วยคุณเริ่มต้น (ดูสดุดี 51, ฟีลิปปี 4:11-13, 2 โครินธ์ 1:4-10, สดุดี 40, 119:71, ปฐมกาล 50:20)
๐ พระเจ้าสอนอะไรฉันจากความล้มเหลว
๐ พระเจ้าสอนอะไรฉันจากการขาดเงิน
๐ พระเจ้าสอนอะไรฉันจากความเจ็บปวดหรือความโศกเศร้าหรือความหดหู่ใจ
๐ พระเจ้าสอนอะไรฉันจากการรอคอย
๐ พระเจ้าสอนอะไรฉันจากความเจ็บป่วย
๐ พระเจ้าสอนอะไรฉันจากความผิดหวัง
๐ ฉันได้เรียนรู้อะไรจากครอบครัวของฉัน คริสตจักรของฉัน ความสัมพันธ์ของฉัน กลุ่มย่อยของฉัน และคนที่ติเตียนฉัน
เรื่องราวชีวิตประกอบด้วยความร้อนรนของคุณในทางของพระเจ้า พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่มีความรู้สึกเข้มข้น พระองค์ทรงรักบางสิ่งอย่าางสุดหัวใจ และทรงเกลียดชังบางสิ่งเข้ากระดูกดำ เมื่อคุณใกล้ชิดพระองค์มากขึ้น พระองค์ก็จะทรงประทานความรู้สึกเข้มข้นต่อสิ่งที่พระองค์ทรงห่วงใยมาก ๆ เพื่อคุณจะสามารถเป็นกระบอกเสียงให้พระองค์ในโลกนี้ได้ มันอาจจะเป็นความรู้สึกร้อนรนเกี่ยวกับปัญหา วัตถุประสงค์ หลักการ หรือกลุ่มคนหนึ่ง ๆ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร คุณจะรู้สึกถูกเร่งเร้าให้พูดเกี่ยวกับสิ่งนั้น และทำสิ่งที่คุณทำได้เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
คุณไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้พูดเรื่องที่คุณห่วงใยมากที่สุด พระเยซูตรัสว่า "ใจเต็มไปด้วยอะไรปากก็จะพูดสิ่งนั้น" (มัทธิว 12:34 อ่านเข้าใจง่าย) มีตัวอย่างสองคน ได้แก่ดาวิดซึ่งกล่าวว่า "ความร้อนรนเพื่อพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์เผาร้อนอยู่ภายในข้าพระองค์" (สดุดี 69:9 LB) และเยเรมีย์ที่กล่าวว่า "เรื่องราวของพระองค์เผาอยู่ในหัวใจและกระดูกของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ไม่สามารถเงียบได้" (เยเรมีย์ 20:9 CEV)
พระเจ้าประทานความร้อนรนในทางของพระองค์แก่บางคน เพื่อเขาจะต่อสู้ฟันฝ่าไปสู่เป้าหมาย มันมักจะเป็นปัญหาที่พวกเขาประสบเป็นส่วนตัว อย่างเช่น การถูกทำร้าย การเสพย์ติด การเป็นหมัน ความหดหู่ ความเจ็บป่วย หรือความยากลำบากอย่างอื่น บางครั้งพระเจ้าประทานความรู้สึกเข้มข้นแก่บางคนเพื่อพูดแทนกลุ่มคนที่ไม่มีปากเสียง เช่น ทารกที่ยังไม่เกิด คนที่ถูกข่มเหง คนยากจน นักโทษ คนที่ถูกทำร้าย คนที่ถูกเอาเปรียบ คนด้อยโอกาส และคนที่ไม่ได้รับความยุติธรรม พระคัมภีร์เต็มไปด้วยคำสั่งให้ปกป้องผู้ที่ป้องกันตัวเองไม่ได้
พระเจ้าทรงใช้คนที่มีความรู้สึกร้อนรนเพื่อขยายอาณาจักรของพระองค์ พระองค์อาจจะประทานความร้อนรนแก่คุณเพื่อเริ่มต้นคริสตจักรใหม่ เสริมความเข้มแข็งของครอบครัว มอบเงินแก่การแปลพระคัมภีร์ หรือฝึกอบรมผู้นำคริสเตียน คุณอาจจะได้รับความร้อนรนในทางของพระเจ้าที่จะช่วยเหลือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งให้ได้ยินข่าวประเสริฐ เช่น นักธุรกิจ วัยรุ่น นักศึกษาแลกเปลี่ยนจากต่างประเทศ คุณแม่อายุน้อย หรือคนที่มีงานอดิเรก หรือเล่นกีฬาบางอย่าง ถ้าคุณทูลของพระเจ้า พระองค์ก็จะทรงให้ใจคุณมีภาระต่อประเทศหนึ่งหรือกลุ่มเชื้อชาติหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งพวกเขากำลังกระหายหาคำพยานที่หนักแน่นของคริสเตียน
พระเจ้าประทานความร้อนรนที่แตกต่าง เพื่อทุกสิ่งพระองค์ต้องการจะทำให้สำเร็จในโลกนี้ คุณไม่ควรคาดหวังว่าทุกคนจะต้องร้อนรนในเรื่องที่คุณร้อนรน แต่เราต้องฟังและให้คุณค่าแก่เรื่องราวชีวิตของคนอื่น เพราะว่าไม่มีใครสามารถพูดได้ทุกเรื่อง อย่าดูถูกความร้อนรนของคนอื่น พระคัมภีร์กล่าวว่า "การร้อนรนนั้นดี ถ้าหากมีวัตถุประสงค์ที่ดี" (กาลาเทีย 4:18 NIV)
เรื่องราวชีวิตประกอบด้วยข่าวประเสริฐ ข่าวประเสริฐคืออะไร "ข่าวประเสริฐแสดงให้เห็นวิธีที่พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์คืนดีกับพระองค์ มันเริ่มต้นและสิ้นสุดด้วยความเชื่อ" (โรม 1:17 NCV) "พระเจ้าทรงให้โลกนี้คืนดีกับพระองค์โดยพระคริสต์ ไม่ทรงถือโทษในความผิดของพวกเขา และทรงมอบเรื่องราวการคืนดีนี้ให้เราประกาศ" (2 โครินธ์ 5:19 2002) ข่าวประเสริฐคือ เมื่อเราวางใจให้พระคุณพระเจ้าช่วยเราให้รอดโดยสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำ ความบาปของเราก็ได้รับการอภัยโทษ เราได้พบวัตถุประสงค์ของการดำเนินชีวิต และพระเจ้าทรงสัญญาว่าเราจะมีบ้านอนาคตในสวรรค์
มีหนังสือชั้นเยี่ยมนับร้อย ๆ เล่มที่บอกวิธีเล่าข่าวประเสริฐ ผมสามารถบอกรายชื่อหนังสือที่เป็นประโยชน์ต่อคุณ (ดูภาคผนวก 2) แต่การฝึกอบรมทุกอย่างในโลกจะไม่ผลักดันให้คุณเป็นพยานเพื่อพระคริสต์ จนกว่าคุณจะยอมรับความเชื่อแปดประการที่กล่าวไว้ในบทก่อน เข้ามาในชีวิตของคุณ ที่สำคัญที่สุดคือ คุณต้องเรียนรู้ที่จะรักคนที่หลงหายแบบที่พระเจ้าทรงรัก
พระเจ้าไม่เคยสร้างคนที่พระองค์ไม่รัก ทุกคนสำคัญสำหรับพระองค์ เมื่อพระเยซูทรงเหยียดพระกรของพระองค์ออกบนไม้กางเขน พระองค์กำลังตรัสว่า "เรารักเจ้ามากขนาดนี้" พระคัมภีร์กล่าวว่า "เพราะว่าความรักของพระคริสต์ได้ครอบครองเราอยู่ เพราะเราคิดเห็นอย่างนี้ว่า มีผู้หนึ่งได้ตายเพื่อคนทั้งปวง เหตุฉะนั้นคนทั้งปวงจึงตายแล้ว" (2 โครินธ์ 5:14) เมื่อไรก็ตามที่คุณรู้สึกเฉยชาต่อภารกิจในโลกที่พระเจ้ามอบหมายแก่คุณจงใช้เวลาคิดถึงสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำเพื่อคุณบนไม้กางเขน
เราต้องห่วงใยคนที่ไม่เชื่อเพราะว่าพระเจ้าทรงห่วงใยพวกเขา ความรักไม่เคยให้ทางเลือก พระคัมภีร์กล่าวว่า "ในความรักนั้นไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์ก็ได้ขจัดความกลัวเสีย" (1 ยอห์น 4:18) พ่อแม่จะวิ่งเข้าไปในกองเพลิงเพื่อช่วยลูก เพราะความรักที่พวกเขามีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่กว่าความกลัว ถ้าคุณเคยกลัวที่จะเล่าข่าวประเสริฐให้คนที่รอบข้างคุณ จงทูลขอพระเจ้าให้ทรงเติมความรักที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขาลงมาในหัวใจของคุณ
พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้ใครพินาศเลย แต่ทรงประสงค์ให้ทุกคนกลับใจใหม่" (2 เปโตร 3:9 2002) ตราบใดที่คุณยังรู้จักหนึ่งคนที่ไม่รู้จักพระคริสต์คุณก็ต้องอธิษฐานเพื่อพวกเขาต่อไป และรับใช้พวกเขาด้วยความรัก และเล่าข่าวประเสริฐให้เขาฟัง และตราบใดที่มีหนึ่งคนในชุมชนของคุณยังไม่ได้อยู่ในครอบครัวของพระเจ้าคริสตจักรของคุณก็ต้องประกาศต่อไป คริสตจักรที่ไม่อยากเติบโตคือคริสตจักรที่กำลังบอกโลกว่า "จะไปลงนรกซะก็ได้"
คุณเต็มใจจะทำอะไรบ้างเพื่อให้คนที่คุณรู้จักได้ไปสวรรค์ เชิญพวกเขามาคริสตจักร หรือบอกเรื่องราวของคุณ หรือว่าให้หนังสือเล่มนี้แก่พวกเขา พาพวกเขาไปทานอาหาร หรืออธิษฐานเพื่อพวกเขาทุกวันจนกว่าพวกเขาจะได้รับความรอด สถานที่ทำภารกิจของคุณอยู่รอบตัวคุณ อย่าพลาดโอกาสที่พระเจ้าประทานแก่คุณ พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงใช้โอกาสของท่านอย่างเต็มที่ในการบอกข่าวประเสริฐแก่คนอื่น จงฉลาดในการติดต่อกับพวกเขาทุก ๆ ครั้ง" (โคโลสี 4:5 LB)
มีใครได้ไปสวรรค์เพราะคุณไหม จะมีใครในสวรรค์พูดกับคุณไหมว่า "ผมอยากขอบคุณคุณ ผมได้มาอยู่ที่นี่ก็เพราะคุณห่วงใยพอที่จะบอกข่าวประเสริฐแก่ผม" ลองจินตนาการถึงความยินดีที่ได้ทักทายคนในสวรรค์ซึ่งคุณได้ช่วยพวกเขาให้ไปที่นั่นสิครับ ความรอดนิรันดร์ของคน ๆ หนึ่งสำคัญกว่าทุกสิ่งที่คุณจะทำสำเร็จได้ในชีวิตนี้ คนเท่านั้นที่จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์
ในหนังสือเล่มนี้ คุณได้เรียนรู้จักพระประสงค์ห้าประการสำหรับชีวิตของคุณในโลก พระเจ้าทรงสร้างคุณเพื่อให้เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระองค์ เป็นตัวอย่างพระลักษณะของพระองค์ แว่นขยายพระสิริของพระองค์ ผู้รับใช้แห่งพระคุณของพระองค์ และผู้สื่อสารข่าวประเสริฐของพระองค์แก่คนอื่น ในวัตถุประสงค์ห้าประการนี้ ประการที่ห้าเท่านั้นที่คุณทำได้เฉพาะบนโลกนี้ อีกสี่ประการนั้นคุณจะทำต่อไปในนิรันดรกาล นั่นคือเหตุผลที่การเผยแพร่ข่าวประเสริฐจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง คุณมีเวลาเพียงสั้น ๆ ที่จะบอกเรื่องราวชีวิตของคุณ และทำให้ภารกิจของคุณสำเร็จ
วันที่ 37 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: พระเจ้าประสงค์ที่จะตรัสบางอย่างกับโลกนี้ผ่านทางฉัน
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "จงเตรียมพร้อมเสมอที่จะอธิบายกับทุกคนที่ขอทราบเหตุผลเกี่ยวกับความหวังของพวกท่าน แต่จงตอบด้วยความสุภาพอ่อนโยน และด้วยความนับถือ" 1 เปโตร 3:15-16 (2002)
คำถามสำหรับการพิจารณา: เมื่อฉันทบทวนดูเรื่องของตนเอง พระเจ้าต้องการให้ฉันบอกเรื่องเหล่านี้กับใครบ้าง
1 ยอห์น 5:10ก
ชีวิตของท่านกำลังสะท้อนถ้อยคำขององค์พระผู้เป็นเจ้า… ข่าวเรื่องความเชื่อในพระเจ้าของท่านได้แพร่ออกไป เราไม่ต้องพูดอะไรอีก ท่านเองคือเรื่องราวนั้น
1 เธสะโลนิกา 1:8 (Msg)
พระเจ้าได้ประทานให้คุณมีเรื่องราวชีวิตที่จะบอกคนอื่น
เมื่อคุณมาเป็นผู้เชื่อ คุณก็ได้เป็นผู้สื่อสารของพระเจ้าด้วย พระองค์ต้องการตรัสแก่โลกผ่านทางคุณ เปาโลกล่าวว่า "เราพูดความจริงต่อพระพักตร์พระเจ้า ในฐานะผู้สื่อสารของพระเจ้า" (2 โครินธ์ 2:17ข NCV)
คุณอาจรู้สึกว่าคุณไม่มีอะไรจะพูด แต่นั่นเป็นมารที่พยายามทำให้คุณเงียบ คุณมีประสบการณ์มากมายที่พระเจ้าต้องการใช้เพื่อนำคนอื่นเข้ามาในครอบครัวของพระองค์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "คนเหล่านั้นที่เชื่อในพระบุตรของพระเจ้ามีคำพยานของพระเจ้าอยู่ในตัวเขา" (1 ยอห์น 5:10ก GWT) เรื่องราวชีวิตของคุณมีสี่ส่วนคือ
๐ คำพยานของคุณ: เรื่องราวที่ว่าคุณเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูอย่างไร
๐ บทเรียนชีวิตของคุณ: บรรดาบทเรียนสำคัญที่สุดพระเจ้าได้ทรงสอนคุณ
๐ ความร้อนรนในทางของพระเจ้า: เรื่องที่พระเจ้าทรงปั้นคุณให้ใส่ใจมากที่สุด
๐ ข่าวประเสริฐ: เรื่องราวของความรอด
เรื่องราวชีวิตประกอบด้วยคำพยานของคุณ คำพยานของคุณคือเรื่องที่เล่าว่าพระเยซูได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณอย่างไร เปโตรบอกเราว่า พระเจ้าได้ทรงเลือกเรา "เพื่อทำงานของพระองค์และพูดเพื่อพระองค์ เพื่อบอกคนอื่นถึงความแตกต่างชนิดหน้ามือเป็นหลังมือที่พระองค์ได้ทรงกระทำแก่คุณ" (1 เปโตร 2:9 Msg) นี่คือแก่นแท้ของการเป็นพยาน คือเพียงแค่เล่าประสบการณ์ส่วนตัวของคุณเกี่ยวกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ในศาลพยานไม่ต้องต่อสู้คดี พิสูจน์ความจริง หรือคาดคั้นคำพิพากษา นั่นเป็นงานของทนายความ พยานเพียงแต่รายงานสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขา หรือสิ่งที่พวกเขาเห็น
พระเยซูตรัสว่า "ท่านจะเป็นพยานฝ่ายเรา" (กิจการ 1:8) พระองค์ต้องการให้คุณบอกเรื่องของคุณกับคนอื่น การเล่าคำพยานของคุณคือ ส่วนสำคัญของภารกิจในโลกเพราะว่ามันไม่เหมือนของใคร ไม่มีเรื่องใดที่เหมือนเรื่องของคุณ ดังนั้น คุณเท่านั้นที่พูดเรื่องนี้ได้ แต่ถ้าคุณไม่พูด มันก็จะสูญไปชั่วนิรันดร์ คุณอาจจะไม่ใช่นักวิชาการพระคัมภีร์แต่คุณเป็นผู้เชียวชาญเรื่องชีวิตของคุณ และมันยากที่จะโต้แย้งกับประสบการณ์ส่วนตัว ที่จริงแล้วคำพยานส่วนตัวของคุณมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าคำเทศนาเสียอีก เพราะว่าคนที่ไม่เชื่อ เขามองศิษยภิบาลเป็นนักขายอาชีพ แต่เขามองว่าคุณเป็น "ลูกค้าที่พึงพอใจ" พวกเขาจึงให้ความเชื่อถือแก่คุณมากกว่า
เรื่องส่วนตัวยังเข้าใจง่ายกว่าหลักการต่าง ๆ และคนชอบฟังเรื่องเหล่านี้ เรื่องเหล่านี้จับความสนใจ และเราจดจำมันได้นานกว่า ผู้ที่ไม่เชื่อคงจะไม่สนใจถ้าคุณเริ่มอ้างคำพูดของนักศาสนศาสตร์ แต่พวกเขามีความอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติเกี่ยวกับประสบการณ์ที่พวกเขาไม่เคยพบเจอ เรื่องเล่าช่วยสร้างสะพานความสัมพันธ์ซึ่งพระเยซูสามารถเสด็จข้ามจากหัวใจคุณไปสู่หัวใจของพวกเขา
คุณค่าอีกประการหนึ่งของคำพยานคือ มันสามารถทะลุการปกป้องทางความคิดหลายคนที่ไม่ยอมรับสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์จะยอมฟังเรื่องราวส่วนตัวธรรมดา ๆ นั่นคือเหตุผลที่เปาโลใช้คำพยานของท่านหกครั้งเพื่อเล่าข่าวประเสริฐ แทนที่จะอ้างข้อพระคัมภีร์ (กิจการ 22:26)
พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงเตรียมพร้อมเสมอที่จะอธิบายกับทุกคนที่ขอทราบเหตุผลเกี่ยวกับความหวังของพวกท่าน แต่จงตอบด้วยความสุภาพอ่อนโยนและด้วยความนับถือ" (1 เปโตร 3:15-16 2002) วิธีดีที่สุดที่จะ "เตรียมพร้อม" คือเขียนคำพยานของคุณแล้วท่องจำประเด็นสำคัญ ๆ แบ่งมันออกเป็นสี่ส่วนดังนี้
1. ชีวิตของฉันเป็นอย่างไรก่อนได้พบพระเยซู
2. ฉันรู้ว่าฉันต้องการพระเยซูได้อย่างไร
3. ฉันมอบชีวิตของฉันแด่พระเยซูอย่างไร
4. พระเยซูเปลี่ยนแปลงชีวิตฉันอย่างไร
แน่นอน คุณมีคำพยานอื่นอีกมากนอกเหนือจากเรื่องความรอดของคุณ คุณมีเรื่องราว ประสบการณ์ทุกรูปแบบซึ่งพระเจ้าได้ทรงช่วยเหลือคุณ คุณควรทำรายการของปัญหา สถานการณ์ และวิกฤต ทุกอย่างที่พระเจ้าทรงนำให้คุณผ่านพ้นมา แล้วจงไวต่อความต้องการ และใช้เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเพื่อนที่ไม่เชื่อมากที่สุด สถานการณ์ที่แตกต่างย่อมต้องการคำพยานที่แตกต่างกัน
เรื่องราวชีวิตประกอบด้วยบทเรียนชีวิตของคุณ ส่วนที่สองของเรื่องราวชีวิตคุณคือความจริงที่พระเจ้าได้ทรงสอนคุณจากประสบการณ์กับพระองค์ สิ่งเหล่านี้คือบทเรียนและความเข้าใจที่คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับพระเจ้า เกี่ยวกับความสัมพันธ์ ปัญหา การทดลอง และด้านอื่น ๆ ของชีวิต ดาวิดอธิษฐานว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงสอนบทเรียนการดำเนินชีวิตแก่ข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะไม่ออกนอกทาง" (สดุดี 119:33 Msg) น่าเศร้าที่เราไม่เคยเรียนรู้จากหลายต่อหลายสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา พระคัมภีร์กล่าวถึงคนอิสราเอลว่า "พระเจ้าได้ทรงช่วยกู้พวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่พวกเขาไม่เคยเรียนรู้ จนในที่สุด ความบาปของพวกเขาได้ทำลายพวกเขาเอง" (สดุดี 106:43 Msg) คุณอาจจะเคยพบคนเช่นนั้น
แม้ว่าการเรียนรู้จากประสบการณ์จะเป็นเรื่องที่ฉลาด แต่จะฉลาดยิ่งกว่า ถ้าเราเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่น ไม่มีเวลามากพอที่เราจะเรียนรู้ทุกสิ่งในชีวิตด้วยการลองผิดลองถูก เราต้องเรียนจากบทเรียนชีวิตของกันและกัน พระคัมภีร์กล่าวว่า "คำเตือนของคนที่มีประสบการณ์ที่กล่าวแก่คนที่เต็มใจฟังก็มีค่ามากกว่าเครื่องประดับที่ทำจากทองคำบริสุทธิ์" (สุภาษิต 25:12 TEV)
จงเขียนบทเรียนสำคัญ ๆ ที่คุณได้เรียนรู้ เพื่อคุณจะสามารถบอกสิ่งเหล่านี้แก่คนอื่น เราควรจะขอบคุณที่ซาโรมอนได้ทำเช่นนี้ เพราะมันทำให้เรามีพระธรรมสุภาษิตและปัญญาจารย์ ซึ่งเต็มไปด้วยบทเรียนภาคปฏิบัติในการดำเนินชีวิต ลองจิตนาการดูสิครับว่า เราจะหลีกเลี่ยงความว้าวุ่นที่ไม่จำเป็นได้มากเพียงไร ถ้าเราได้เรียนรู้จากบทเรียนชีวิตของกันและกัน
คนที่เป็นผู้ใหญ่จะฝึกนิสัยดึงบทเรียนออกจากประสบการณ์ประจำวัน ผมขอหนุนใจคุณให้ทำรายการบทเรียนชีวิตของคุณ คุณจะยังไม่ได้คิดถึงสิ่งเหล่านี้อย่างจริงจัง จนกว่าคุณจะได้เขียนสิ่งเหล่านี้ลงไป ต่อไปนี้เป็นคำถามบางข้อที่จะช่วยกระตุ้นความจำของคุณและช่วยคุณเริ่มต้น (ดูสดุดี 51, ฟีลิปปี 4:11-13, 2 โครินธ์ 1:4-10, สดุดี 40, 119:71, ปฐมกาล 50:20)
๐ พระเจ้าสอนอะไรฉันจากความล้มเหลว
๐ พระเจ้าสอนอะไรฉันจากการขาดเงิน
๐ พระเจ้าสอนอะไรฉันจากความเจ็บปวดหรือความโศกเศร้าหรือความหดหู่ใจ
๐ พระเจ้าสอนอะไรฉันจากการรอคอย
๐ พระเจ้าสอนอะไรฉันจากความเจ็บป่วย
๐ พระเจ้าสอนอะไรฉันจากความผิดหวัง
๐ ฉันได้เรียนรู้อะไรจากครอบครัวของฉัน คริสตจักรของฉัน ความสัมพันธ์ของฉัน กลุ่มย่อยของฉัน และคนที่ติเตียนฉัน
เรื่องราวชีวิตประกอบด้วยความร้อนรนของคุณในทางของพระเจ้า พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่มีความรู้สึกเข้มข้น พระองค์ทรงรักบางสิ่งอย่าางสุดหัวใจ และทรงเกลียดชังบางสิ่งเข้ากระดูกดำ เมื่อคุณใกล้ชิดพระองค์มากขึ้น พระองค์ก็จะทรงประทานความรู้สึกเข้มข้นต่อสิ่งที่พระองค์ทรงห่วงใยมาก ๆ เพื่อคุณจะสามารถเป็นกระบอกเสียงให้พระองค์ในโลกนี้ได้ มันอาจจะเป็นความรู้สึกร้อนรนเกี่ยวกับปัญหา วัตถุประสงค์ หลักการ หรือกลุ่มคนหนึ่ง ๆ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร คุณจะรู้สึกถูกเร่งเร้าให้พูดเกี่ยวกับสิ่งนั้น และทำสิ่งที่คุณทำได้เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
คุณไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้พูดเรื่องที่คุณห่วงใยมากที่สุด พระเยซูตรัสว่า "ใจเต็มไปด้วยอะไรปากก็จะพูดสิ่งนั้น" (มัทธิว 12:34 อ่านเข้าใจง่าย) มีตัวอย่างสองคน ได้แก่ดาวิดซึ่งกล่าวว่า "ความร้อนรนเพื่อพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์เผาร้อนอยู่ภายในข้าพระองค์" (สดุดี 69:9 LB) และเยเรมีย์ที่กล่าวว่า "เรื่องราวของพระองค์เผาอยู่ในหัวใจและกระดูกของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ไม่สามารถเงียบได้" (เยเรมีย์ 20:9 CEV)
พระเจ้าประทานความร้อนรนในทางของพระองค์แก่บางคน เพื่อเขาจะต่อสู้ฟันฝ่าไปสู่เป้าหมาย มันมักจะเป็นปัญหาที่พวกเขาประสบเป็นส่วนตัว อย่างเช่น การถูกทำร้าย การเสพย์ติด การเป็นหมัน ความหดหู่ ความเจ็บป่วย หรือความยากลำบากอย่างอื่น บางครั้งพระเจ้าประทานความรู้สึกเข้มข้นแก่บางคนเพื่อพูดแทนกลุ่มคนที่ไม่มีปากเสียง เช่น ทารกที่ยังไม่เกิด คนที่ถูกข่มเหง คนยากจน นักโทษ คนที่ถูกทำร้าย คนที่ถูกเอาเปรียบ คนด้อยโอกาส และคนที่ไม่ได้รับความยุติธรรม พระคัมภีร์เต็มไปด้วยคำสั่งให้ปกป้องผู้ที่ป้องกันตัวเองไม่ได้
พระเจ้าทรงใช้คนที่มีความรู้สึกร้อนรนเพื่อขยายอาณาจักรของพระองค์ พระองค์อาจจะประทานความร้อนรนแก่คุณเพื่อเริ่มต้นคริสตจักรใหม่ เสริมความเข้มแข็งของครอบครัว มอบเงินแก่การแปลพระคัมภีร์ หรือฝึกอบรมผู้นำคริสเตียน คุณอาจจะได้รับความร้อนรนในทางของพระเจ้าที่จะช่วยเหลือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งให้ได้ยินข่าวประเสริฐ เช่น นักธุรกิจ วัยรุ่น นักศึกษาแลกเปลี่ยนจากต่างประเทศ คุณแม่อายุน้อย หรือคนที่มีงานอดิเรก หรือเล่นกีฬาบางอย่าง ถ้าคุณทูลของพระเจ้า พระองค์ก็จะทรงให้ใจคุณมีภาระต่อประเทศหนึ่งหรือกลุ่มเชื้อชาติหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งพวกเขากำลังกระหายหาคำพยานที่หนักแน่นของคริสเตียน
พระเจ้าประทานความร้อนรนที่แตกต่าง เพื่อทุกสิ่งพระองค์ต้องการจะทำให้สำเร็จในโลกนี้ คุณไม่ควรคาดหวังว่าทุกคนจะต้องร้อนรนในเรื่องที่คุณร้อนรน แต่เราต้องฟังและให้คุณค่าแก่เรื่องราวชีวิตของคนอื่น เพราะว่าไม่มีใครสามารถพูดได้ทุกเรื่อง อย่าดูถูกความร้อนรนของคนอื่น พระคัมภีร์กล่าวว่า "การร้อนรนนั้นดี ถ้าหากมีวัตถุประสงค์ที่ดี" (กาลาเทีย 4:18 NIV)
เรื่องราวชีวิตประกอบด้วยข่าวประเสริฐ ข่าวประเสริฐคืออะไร "ข่าวประเสริฐแสดงให้เห็นวิธีที่พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์คืนดีกับพระองค์ มันเริ่มต้นและสิ้นสุดด้วยความเชื่อ" (โรม 1:17 NCV) "พระเจ้าทรงให้โลกนี้คืนดีกับพระองค์โดยพระคริสต์ ไม่ทรงถือโทษในความผิดของพวกเขา และทรงมอบเรื่องราวการคืนดีนี้ให้เราประกาศ" (2 โครินธ์ 5:19 2002) ข่าวประเสริฐคือ เมื่อเราวางใจให้พระคุณพระเจ้าช่วยเราให้รอดโดยสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำ ความบาปของเราก็ได้รับการอภัยโทษ เราได้พบวัตถุประสงค์ของการดำเนินชีวิต และพระเจ้าทรงสัญญาว่าเราจะมีบ้านอนาคตในสวรรค์
มีหนังสือชั้นเยี่ยมนับร้อย ๆ เล่มที่บอกวิธีเล่าข่าวประเสริฐ ผมสามารถบอกรายชื่อหนังสือที่เป็นประโยชน์ต่อคุณ (ดูภาคผนวก 2) แต่การฝึกอบรมทุกอย่างในโลกจะไม่ผลักดันให้คุณเป็นพยานเพื่อพระคริสต์ จนกว่าคุณจะยอมรับความเชื่อแปดประการที่กล่าวไว้ในบทก่อน เข้ามาในชีวิตของคุณ ที่สำคัญที่สุดคือ คุณต้องเรียนรู้ที่จะรักคนที่หลงหายแบบที่พระเจ้าทรงรัก
พระเจ้าไม่เคยสร้างคนที่พระองค์ไม่รัก ทุกคนสำคัญสำหรับพระองค์ เมื่อพระเยซูทรงเหยียดพระกรของพระองค์ออกบนไม้กางเขน พระองค์กำลังตรัสว่า "เรารักเจ้ามากขนาดนี้" พระคัมภีร์กล่าวว่า "เพราะว่าความรักของพระคริสต์ได้ครอบครองเราอยู่ เพราะเราคิดเห็นอย่างนี้ว่า มีผู้หนึ่งได้ตายเพื่อคนทั้งปวง เหตุฉะนั้นคนทั้งปวงจึงตายแล้ว" (2 โครินธ์ 5:14) เมื่อไรก็ตามที่คุณรู้สึกเฉยชาต่อภารกิจในโลกที่พระเจ้ามอบหมายแก่คุณจงใช้เวลาคิดถึงสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำเพื่อคุณบนไม้กางเขน
เราต้องห่วงใยคนที่ไม่เชื่อเพราะว่าพระเจ้าทรงห่วงใยพวกเขา ความรักไม่เคยให้ทางเลือก พระคัมภีร์กล่าวว่า "ในความรักนั้นไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์ก็ได้ขจัดความกลัวเสีย" (1 ยอห์น 4:18) พ่อแม่จะวิ่งเข้าไปในกองเพลิงเพื่อช่วยลูก เพราะความรักที่พวกเขามีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่กว่าความกลัว ถ้าคุณเคยกลัวที่จะเล่าข่าวประเสริฐให้คนที่รอบข้างคุณ จงทูลขอพระเจ้าให้ทรงเติมความรักที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขาลงมาในหัวใจของคุณ
พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้ใครพินาศเลย แต่ทรงประสงค์ให้ทุกคนกลับใจใหม่" (2 เปโตร 3:9 2002) ตราบใดที่คุณยังรู้จักหนึ่งคนที่ไม่รู้จักพระคริสต์คุณก็ต้องอธิษฐานเพื่อพวกเขาต่อไป และรับใช้พวกเขาด้วยความรัก และเล่าข่าวประเสริฐให้เขาฟัง และตราบใดที่มีหนึ่งคนในชุมชนของคุณยังไม่ได้อยู่ในครอบครัวของพระเจ้าคริสตจักรของคุณก็ต้องประกาศต่อไป คริสตจักรที่ไม่อยากเติบโตคือคริสตจักรที่กำลังบอกโลกว่า "จะไปลงนรกซะก็ได้"
คุณเต็มใจจะทำอะไรบ้างเพื่อให้คนที่คุณรู้จักได้ไปสวรรค์ เชิญพวกเขามาคริสตจักร หรือบอกเรื่องราวของคุณ หรือว่าให้หนังสือเล่มนี้แก่พวกเขา พาพวกเขาไปทานอาหาร หรืออธิษฐานเพื่อพวกเขาทุกวันจนกว่าพวกเขาจะได้รับความรอด สถานที่ทำภารกิจของคุณอยู่รอบตัวคุณ อย่าพลาดโอกาสที่พระเจ้าประทานแก่คุณ พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงใช้โอกาสของท่านอย่างเต็มที่ในการบอกข่าวประเสริฐแก่คนอื่น จงฉลาดในการติดต่อกับพวกเขาทุก ๆ ครั้ง" (โคโลสี 4:5 LB)
มีใครได้ไปสวรรค์เพราะคุณไหม จะมีใครในสวรรค์พูดกับคุณไหมว่า "ผมอยากขอบคุณคุณ ผมได้มาอยู่ที่นี่ก็เพราะคุณห่วงใยพอที่จะบอกข่าวประเสริฐแก่ผม" ลองจินตนาการถึงความยินดีที่ได้ทักทายคนในสวรรค์ซึ่งคุณได้ช่วยพวกเขาให้ไปที่นั่นสิครับ ความรอดนิรันดร์ของคน ๆ หนึ่งสำคัญกว่าทุกสิ่งที่คุณจะทำสำเร็จได้ในชีวิตนี้ คนเท่านั้นที่จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์
ในหนังสือเล่มนี้ คุณได้เรียนรู้จักพระประสงค์ห้าประการสำหรับชีวิตของคุณในโลก พระเจ้าทรงสร้างคุณเพื่อให้เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระองค์ เป็นตัวอย่างพระลักษณะของพระองค์ แว่นขยายพระสิริของพระองค์ ผู้รับใช้แห่งพระคุณของพระองค์ และผู้สื่อสารข่าวประเสริฐของพระองค์แก่คนอื่น ในวัตถุประสงค์ห้าประการนี้ ประการที่ห้าเท่านั้นที่คุณทำได้เฉพาะบนโลกนี้ อีกสี่ประการนั้นคุณจะทำต่อไปในนิรันดรกาล นั่นคือเหตุผลที่การเผยแพร่ข่าวประเสริฐจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง คุณมีเวลาเพียงสั้น ๆ ที่จะบอกเรื่องราวชีวิตของคุณ และทำให้ภารกิจของคุณสำเร็จ
วันที่ 37 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: พระเจ้าประสงค์ที่จะตรัสบางอย่างกับโลกนี้ผ่านทางฉัน
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "จงเตรียมพร้อมเสมอที่จะอธิบายกับทุกคนที่ขอทราบเหตุผลเกี่ยวกับความหวังของพวกท่าน แต่จงตอบด้วยความสุภาพอ่อนโยน และด้วยความนับถือ" 1 เปโตร 3:15-16 (2002)
คำถามสำหรับการพิจารณา: เมื่อฉันทบทวนดูเรื่องของตนเอง พระเจ้าต้องการให้ฉันบอกเรื่องเหล่านี้กับใครบ้าง
วันที่ 36 สร้างมาเพื่อภารกิจอย่างหนึ่ง
วัตถุประสงค์ที่ 5
คุณถูกสร้างมาเพื่อภารกิจอย่างหนึ่ง
ผลของคนชอบธรรมเป็นต้นไม้แห่งชีวิตและผู้ที่นำวิญญาณก็มีปัญญา
สุภาษิต 11:30 (NIV)
วันที่ 36
สร้างมาเพื่อภารกิจอย่างหนึ่ง
พระองค์ประทานภารกิจในโลกนี้แก่ข้าพระองค์อย่างไร ข้าพระองค์ก็มอบหมายภารกิจในโลกแก่พวกเขาอย่างนั้น
ยอห์น 17:18 (Msg)
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ข้าพเจ้าทำภารกิจของข้าพเจ้าให้เสร็จคืองานที่พระเยซูเจ้าทรงมอบหมายแก่ข้าพเจ้า
กิจการ 20:24 (NCV)
คุณถูกสร้างมาเพื่อภารกิจอย่างหนึ่ง
พระเจ้ากำลังทำงานในโลกนี้ และพระองค์ต้องการให้คุณร่วมงานกับพระองค์ หน้าที่มอบหมายนี้เรียกว่าภารกิจของคุณ พระเจ้าต้องการให้คุณมีทั้งพันธกิจในพระกายของพระคริสต์ และภาระกิจในโลก พันธกิจคือการที่คุณรับใช้ผู้เชื่อ (โคโลสี 1:25, 1 โครินธ์ 12:5) และภารกิจคือการที่คุณรับใช้ผู้ที่ยังไม่เชื่อ การทำให้ภารกิจในโลกนี้สำเร็จ คือ พระประสงค์ประการที่ห้าสำหรับชีวิตคุณ
ภารกิจชีวิตของคุณมีทั้งที่ต้องทำร่วมกับคนอื่นและที่ต้องทำส่วนตัวเฉพาะเจาะจง ส่วนหนึ่งเป็นความรับผิดชอบที่คุณแบกรับร่วมกับคริสเตียนอื่นทุกคน และอีกส่วนหนึ่งเป็นหน้าที่มอบหมายเฉพาะจงสำหรับคุณคนเดียว เราจะดูทั้งสองส่วนในบทต่อ ๆ ไป
คำว่าภารกิจในภาษาอังกฤษ (mission) มาจากภาษาละตินที่แปลว่า "การส่ง" การเป็นคริสเตียนนั้นครอบคลุมถึงการถูกส่งเข้าไปในโลกในฐานะตัวแทนของพระเยซูคริสต์ พระเยซูตรัสว่า "พระบิดาทรงใช้เราฉันใด เราก็ใช้ท่านทั้งหลายไปฉันนั้น" (ยอห์น 20:21)
พระเยซูทรงเข้าใจภารกิจชีวิตของพระองค์ในโลกนี้อย่างชัดเจน เมื่อพระชนม์ได้สิบสองพรรษา พระองค์ตรัสว่า "ลูกต้องทำงานของพระบิดา" (ลูกา 2:49 2002) และอีกยี่สิบเอ็ดปีต่อมา พระองค์ตรัสว่า "สำเร็จแล้ว" (ยอห์น 19:30) ขณะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เช่นเดียวกับหัวท้ายของหนังสือ ข้อความสองประโยคนี้คือกรอบของชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ซึ่งดำเนินมาอย่างดี พระเยซูทรงเสร็จภารกิจที่พระบิดาประทานแก่พระองค์
บัดนี้ภารกิจที่พระเยซูทรงกระทำขณะอยู่ในโลกนี้กลายมาเป็นภารกิจของเรา เพราะว่าเราเป็นพระกายของพระคริสต์ สิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำด้วยพระกายเนื้อหนังของพระองค์เราต้องทำต่อในฐานะพระกายฝ่ายวิญญาณของพระองค์ คือ คริสตจักร แล้วภารกิจนั้นคืออะไร ก็คือการแนะนำคนให้รู้จักพระเจ้า พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าทรงเปลี่ยนเราผู้เป็นศัตรูกับพระองค์ ให้กลับเป็นมิตรกับพระองค์ทางพระเยซูคริสต์ และทรงมอบหน้าที่ให้เราช่วยคนทั้งหลายมาเป็นมิตรกับพระองค์ด้วย" (2 โครินธ์ 5:18 ประชานิยม)
พระเจ้าต้องการไถ่มนุษย์จากซาตาน และทำให้พวกเขาคืนดีกับพระองค์ เพื่อเราจะสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงสร้างเรามา นั่นคือให้รักพระองค์ เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของพระองค์ เป็นเหมือนพระองค์ รับใช้พระองค์ และบอกผู้อื่นเกี่ยวกับพระองค์ เมื่อเราเป็นของพระองค์แล้ว พระเจ้าก็ทรงใช้เราไปหาคนอื่น พระองค์ทรงช่วยเราให้รอด แล้วทรงส่งเราออกไป พระคัมภีร์กล่าวว่า "เราถูกส่งออกไป เพื่อพูดแทนพระคริสต์" (2 โครินธ์ 5:20 NCV) เราเป็นผู้สื่อสารความรักและพระประสงค์ของพระองค์ไปสู่โลกนี้
ความสำคัญแห่งภารกิจของคุณ
การทำให้ภารกิจชีวิตของคุณสำเร็จนั้นเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินชีวิตเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า พระคัมภีร์ให้เหตุผลหลายประการว่า ทำไมภารกิจของคุณจึงสำคัญยิ่งนัก
ภารกิจของคุณเป็นการสืบสานภารกิจของพระคริสต์ในโลกนี้ ในฐานะผู้ติดตามพระองค์ เราต้องทำสิ่งพระเยซูได้ทรงเริ่มต้นไว้ต่อไป พระเยซูทรงเรียกเราไม่เพียงแต่ให้มาหาพระองค์ แต่ให้ออกไปเพื่อพระองค์ด้วย ภารกิจของคุณนั้นสำคัญมากถึงขนาดที่พระเยซูตรัสย้ำเรื่องนี้ห้าครั้งด้วยห้าประโยคที่แตกต่างกันในพระธรรมห้าเล่ม (มัทธิว 28:19-20, มาระโก 16:15, ลูกา 24:47, ยอห์น 20:21, กิจการ 1:8) เหมือนกับพระเยซูกำลังตรัสว่า "เราปราถนาเหลือเกินที่จะให้เจ้าเข้าใจเรื่องนี้" ลองศึกษาพระบัญชาทั้งห้าตอนของพระเยซู และคุณจะรู้รายละเอียดภารกิจของคุณในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไร ที่ไหน ทำไมและอย่างไร
ในพระมหาบัญชา พระเยซูตรัสว่า "เจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้" (มัทธิว 28:19-20) คำสั่งนี้ประทานแก่ผู้ที่ติดตามพระเยซูทุกคน ไม่ใช่แก่ศิษยาภิบาลหรือมิชชั่นนารีเท่านั้น นี่เป็นพระบัญชาที่พระเยซูตรัสสั่งคุณ และมันไม่ใช่ทางเลือก ถ้อยคำเหล่านี้ของพระเยซูไม่ใช่พระมหาคำแนะนำ ถ้าคุณเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า ภารกิจของคุณก็เป็นคำสั่ง การละเลยก็เท่ากับการไม่เชื่อฟัง
คุณอาจจะไม่เคยรู้ว่า พระเจ้าทรงให้คุณรับผิดชอบคนไม่เชื่อที่อยู่รอบข้างคุณ พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงเตือนเขาตามที่เราบอกเจ้า ถ้าเราแจ้งแก่เจ้าว่า คนชั่วช้าจะต้องตาย แต่เจ้าจะต้องรับผิดชอบเพราะความตายของเขา" (เอเสเคียล 3:18 ประชานิยม) คุณเป็นคริสเตียนคนเดียวที่บางคนจะมีโอกาสได้รู้จัก และภารกิจของคุณคือ บอกเรื่องพระเยซูแก่พวกเขา
ภารกิจของคุณเป็นสิทธิพิเศษที่ยอดเยี่ยม แม้เป็นความรับผิดชอบใหญ่หลวง แต่การที่พระเจ้าทรงใช้คุณก็เป็นเกียรติอย่างเหลือเชื่อ เปาโลกล่าวว่า "พระเจ้าได้ประทานสิทธิพิเศษแก่เรา ในการเรียกร้องทุกคนให้มาถึงความกรุณาของพระเจ้า และคืนดีกับพระองค์" (2 โครินธ์ 5:18 LB) ภารกิจของคุณเกี่ยวข้องกับสิทธิพิเศษสำคัญสองประการ คือ การได้ทำงานร่วมกับพระเจ้าและการเป็นผู้แทนของพระองค์ เราได้เป็นผู้ร่วมงานกับพระเจ้าในการสร้างอาณาจักรของพระเจ้า เปาโลเรียกเราว่า "เพื่อนร่วมงาน" และกล่่าว "เราทำงานร่วมกับพระเจ้า" (2 โครินธ์ 6:1 2002)
พระเยซูได้ทรงรับประกันความรอดของเรา ให้เราอยู่ในครอบครัวของพระองค์ ประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่เรา แล้วทำให้เราเป็นผู้แทนของพระองค์ในโลกนี้ ช่างเป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ พระคัมภีร์กล่าวว่า "เราเป็นตัวแทนของพระคริสต์ พระเจ้าทรงใช้เราให้ชักชวนชายและหญิงให้ละทิ้งความเป็นปฏิปักษ์ และเข้าสู่พระราชกิจของพระเจ้าในการทำให้พวกเขาคืนดีกับพระเจ้า เรากำลังพูดแทนพระคริสต์ในเวลานี้ว่า จงมาเป็นมิตรสหายกับพระเจ้า" (2 โครินธ์ 5:20 Msg)
การบอกคนอื่นถึงวิธีที่พวกเขาจะสามารถมีชีวิตนิรันดร์ได้ คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่คุณสามารถทำเพื่อพวกเขา ถ้าเพื่อนบ้านคุณเป็นมะเร็งหรือโรคเอดส์ และคุณรู้วิธีรักษามันคงเป็นอาชญากรรมถ้าคุณปกปิดข้อมูลที่จะช่วยชีวิตเขาได้ ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ การปกปิดหนทางสู่การอภัยโทษ วัตถุประสงค์ สันติสุข และชีวิตนิรันดร์ไว้เป็นความลับ เรามีข่าวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และการบอกข่าวนี้ก็เป็นความเอื้อเฟื้อที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่คุณสามารถให้แก่ทุกคน
ปัญหาอย่างหนึ่งของคนที่เป็นคริสเตียนมานานคือ พวกเขาลืมไปแล้วว่า ตนเคยรู้สึกสิ้นหวังเพียงไรเมื่อไม่มีพระคริสต์ เราต้องระลึกเสมอว่า ไม่ว่าคนจะดูเหมือนพึงพอใจหรือประสบความสำเร็จเพียงไร แต่ปราศจากพระคริสต์ พวกเขาก็เป็นคนหลงทางสิ้นหวังและกำลังมุ่งไปสู่การแยกจากพระเจ้าชั่วนิรันดร์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "ไม่มีใครช่วยเราให้รอดบาปไปได้ นอกจากพระเยซู" (กิจการ 4:12 ประชานิยม) ทุกคนต้องการพระเยซู
ภารกิจของคุณมีความสำคัญนิรันดร์ มันจะมีผลต่อจุดหมายปลายทางนิรันดร์ของคนอื่น ดังนั้นมันจึงสำคัญยิ่งกว่างาน ความสำเร็จ หรือเป้าหมายใด ๆ ที่คุณจะบรรลุในชีวิตบนโลกนี้ ผลสืบเนื่องแห่งภารกิจของคุณจะคงอยู่ชั่วนิรันดร์ แต่ผลสืบเนื่องจากอาชีพของคุณจะไม่ยั่งยืน ในบรรดาสิ่งที่คุณทำได้นั้น ไม่มีสิ่งใดจะสำคัญเท่ากับการช่วยคนอื่นสร้างความสัมพันธ์นิรันดร์กับพระเจ้า
นี่คือเหตุผลที่เราต้องเร่งรีบทำภารกิจของเรา พระเยซูตรัสว่า "เราทุกคนต้องรีบทำงานที่พระองค์ผู้ทรงใช้เรามามอบหมายให้ เพราะเวลาก็เหลือน้อย กลางคืนก็ใกล้เข้ามา และงานทุกอย่างจะสิ้นสุดลง" (ยอห์น 9:4 NLT) นาฬิกากำลังนับถอยหลังภารกิจชีวิตของคุณดังนั้นอย่าผลัดวันประกันพรุ่ง จงเริ่มต้นทำภารกิจของคุณในการประกาศกับคนอื่นเดี๋ยวนี้ เราจะมีเวลาตลอดชั่วนิรันดร์เพื่อเฉลิมฉลองกับคนเหล่านั้น ที่เราได้นำมาถึงพระคริสต์แต่เรามีแค่ชีวิตนี้เท่านั้นที่จะประกาศกับพวกเขา
นี่ไม่ได้หมายความว่า คุณควรลาออกจากงานของคุณเพื่อมาเป็นผู้ประกาศเต็มเวลา พระเจ้าต้องการให้คุณประกาศข่าวประเสริฐในที่ที่คุณอยู่ ในฐานะนักศึกษา แม่ ครูสอนเด็กก่อนวัยเรียน นักขาย หรือผู้จัดการ หรืออะไรก็ตามที่คุณทำ คุณควรมองหาคนที่พระเจ้าทรงนำมาบนเส้นทางของคุณ ซึ่งคุณจะสามารถประกาศข่าวประเสริฐแก่เขา
ภารกิจของคุณทำให้ชีวิตคุณมีความหมาย วิลเลี่ยม เจมส์ได้กล่าวว่า "การใช้ชีวิตที่ดีที่สุดคือการใช้ชีวิตเพื่อสิ่งที่ยืนยาวกว่าตัวมันเอง" ความจริงคือ แผ่นดินของพระเจ้าเท่านั้นที่จะยืนยง สิ่งอื่นทุกสิ่งจะอันตรธานไปในที่สุด นั่นคือเหตุผลที่เราต้องดำเนินชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ ชีวิตที่อุทิศทุ่มเทให้การนมัสการ การสามัคคีธรรม การเติบโตฝ่ายวิญญาณ พันธกิจ และการทำให้ภารกิจของเราบนโลกนี้สำเร็จ ผลของกิจกรรมเหล่านี้จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์ !
ถ้าคุณไม่ได้ทำภารกิจในโลกซึ่งพระเจ้าประทานให้นั้นสำเร็จ คุณก็ทำให้ชีวิตที่พระเจ้าประทานแก่คุณสูญเปล่า เปาโลกล่าวว่า "ชีวิตของข้าพเจ้าไม่มีค่าอะไร เว้นแต่ข้าพเจ้าจะใช้มัน เพื่อทำงานที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบหมายแก่ข้าพเจ้าคือ งานการบอกข่าวประเสริฐเรื่องพระเมตตาและความรักอันอัศจรรย์ของพระเจ้าแก่คนอื่น ๆ" (กิจการ 20:24 NLT) มีแต่คุณเท่านั้นที่เข้าถึงคนบางคนในโลกนี้ได้ ถ้าเพียงคนหนึ่งได้เข้าสวรรค์เพราะคุณ ชีวิตคุณก็ได้ทำให้เกิดผลกระทบชั่วนิรันดร์ จงเริ่มมองดูสถานที่ซึ่งคุณสามารถทำภารกิจส่วนตัว และอธิษฐานว่า "ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงให้ใครผ่านมาในชีวิตของข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะบอกเรื่องพระเยซูแก่เขา"
ตารางเวลาของพระเจ้าสำหรับจุดจบแห่งประวัติศาสตร์นั้น เกี่ยวข้องกับการที่เราทำให้พระมหาบัญชาเสร็จสมบูรณ์ ในวันนี้ การเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์ และจุดจบของโลกได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร ก่อนพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ เหล่าสาวกได้ถามคำถามเดียวกันนี้กับพระองค์ และคำตอบของพระองค์ก็เปิดเผยอะไรหลายอย่าง พระองค์ตรัสว่า "ไม่ใช่ธุระของท่านที่จะรู้เวลาและวาระซึ่งพระบิดาได้ทรงกำหนดไว้โดยสิทธิอำนาจของพระองค์ แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดชเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรียและจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก" (กิจการ 1:7-8)
เมื่อพวกสาวกต้องการคุยเรื่องคำพยากรณ์ พระเยซูทรงเปลี่ยนเรื่องสนทนาอย่างรวดเร็วไปที่เรื่องการประกาศ พระองค์ต้องการให้พวกเขาจดจ่อที่ภารกิจของพวกเขา คำตรัสของพระองค์มีใจความสำคัญว่า "รายละเอียดเรื่องการกลับมาของเราไม่ใช่ธุระของท่าน ธุระของท่านคือ ภารกิจที่เรามอบหมายให้ทำ จงจดจ่อที่สิ่งนั้น"
การคาดเดาเวลาอันเจาะจงที่พระคริสต์จะกลับมานั้นเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ เพราะพระเยซูตรัสว่า "แต่วันนั้น โมงนั้น ไม่มีใครรู้ ถึงบรรดาทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ รู้แต่พระบิดาองค์เดียว" (มัทธิว 24:36) เนื่องจากพระเยซูตรัสว่าพระองค์ไม่ทรงทราบวันนั้นหรือโมงนั้น แล้วทำไมคุณถึงต้องการพยายามจะรู้ด้วยเล่า สิ่งที่เรารู้แน่นอนคือ พระเยซูจะไม่เสด็จกลับมาจนกว่าทุกคนที่พระเจ้าต้องการให้ได้ยินข่าวประเสริฐจะได้ยินข่าวนั้น พระเยซูตรัสว่า "ข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าจะได้ประกาศไปทั่วโลกแก่คนทุกชาติ แล้วที่สุดปลายจะมาถึง" (มัทธิว 24:14 NCV) ถ้าคุณต้องการให้พระเยซูเสด็จกลับมาเร็วขึ้นจงจดจ่อที่การทำภารกิจของคุณสำเร็จ ไม่ใช่การไขปริศนาคำพยากรณ์
มันง่ายที่จะหันเหและเบี่ยงเบนจากภารกิจของเรา เพราะว่าซาตานต้องการให้คุณทำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่การเล่าความเชื่อของคุณให้คนอื่นฟัง มันจะยอมให้คุณทำสิ่งดีอื่น ๆ ทุกอย่างตราบใดที่คุณไม่นำใครไปสวรรค์กับคุณ แต่ทันทีที่คุณเริ่มจริงจังกับภารกิจนี้ คุณก็คาดหมายได้เลยว่ามารจะระดมสิ่งหันเหทุกอย่างมายังคุณ เมื่อเป็นเช่นนี้ จงจดจำถ้อยคำของพระเยซูที่ว่า "ผู้ใดที่ปล่อยให้ตัวเองหันเหจากงานที่เรากำหนดให้ ก็ไม่คู่ควรกับแผ่นดินของพระเจ้า" (ลูกา 9:62 LB)
อะไรคือราคาค่างวดของการทำให้ภารกิจของคุณสำเร็จ
การทำให้ภารกิจของคุณสำเร็จนั้นเรียกร้องให้คุณละทิ้งแผนการของคุณ และรับเอาแผนการของพระเจ้าสำหรับชีวิตคุณ คุณไม่สามารถ "เพิ่มมันเข้ามา" กับสิ่งอื่น ๆ ที่คุณอยากจะทำกับชีวิตของคุณ คุณต้องพูดเหมือนพระเยซูว่า "ข้าแต่พระบิดา… อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์" (ลูกา 22:42 2002) คุณยอมสละสิทธิความคาดหวัง ความใฝ่ฝัน แผนการ และความทะเยอทะยานของคุณแด่พระองค์ คุณเลิกกล่าวคำอธิษฐานที่เห็นแก่ตัวอย่างเช่น "ขอพระเจ้าทรงอวยพรสิ่งที่ข้าพระองค์อยากจะทำ" ตรงกันข้าม คุณจะอธิษฐานว่า "ขอพระเจ้าทรงช่วยข้าพระองค์ให้ทำในสิ่งที่พระองค์ทรงอวยพระพร" คุณมอบกระดาษเปล่าที่ลงลายมือไว้ข้างล่างแด่พระเจ้าและทูลพระองค์ให้ทรงเติมรายละเอียดต่าง ๆ ลงไป พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงถวายตัวของท่านแด่พระเจ้าอย่างหมดสิ้น อวัยวะทุกส่วนของท่าน… เพื่อเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระเจ้าเพื่อใช้สำหรับพระประสงค์อันดีของพระองค์" (โรม 6:13ข LB)
ถ้าคุณอุทิศทุ่มเทเพื่อทำให้ภารกิจในชีวิตของคุณสำเร็จโดยไม่คำนึงว่าจะต้องเสียอะไร คุณก็จะประสบกับพระพรของพระเจ้าในแบบที่น้อยคนได้พบ แทบจะไม่มีสิ่งใดเลยที่พระเจ้าจะไม่ทรงทำเพื่อชายหรือหญิงที่ถวายตัวเพื่อรับใช้อาณาของพระเจ้า พระเยซูทรงสัญญาว่า "พระเจ้าจะประทานทุกสิ่งที่จำเป็นแก่ท่านในแต่ละวัน ถ้าท่านอยู่เพื่อพระองค์และให้แผ่นดินของพระเจ้าเป็นความสนใจหลักของท่าน (มัทธิว 6:33 NLT)
อีกคนหนึ่งเพื่อพระเยซู
คุณพ่อของผมเป็นผู้รับใช้กว่าห้าสิบปี ส่วนใหญ่รับใช้ในคริสตจักรชนบทเล็ก ๆ ท่านเป็นนักเทศน์เรียบง่าย แต่ท่านเป็นคนที่ยึดมั่นในภารกิจ กิจกรรมที่ท่านชอบที่สุด คือ การพาคณะอาสาสมัครไปต่างประเทศเพื่อสร้างอาคารคริสตจักรให้คริสตจักรเล็ก ๆ ตลอดชีวิตของท่าน คุณพ่อได้สร้างคริสตจักรกว่า 150 แห่งทั่วโลก
ในปี 1999 คุณพ่อเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ในสัปดาห์สุดท้ายของชีวิต โรคนี้ทำให้ท่านตื่นอยู่สภาพกึ่งรู้สึกตัวแทบจะตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เมื่อท่านฝัน ท่านจะพูดสิ่งที่ท่านฝันออกมา ผมนั่งข้างเตียงของท่าน และได้รู้หลายอย่างเกี่ยวกับคุณพ่อของผมจากการฟังสิ่งที่ท่านฝัน ท่านทบทวนโครงการก่อสร้างคริสตจักรที่ละแห่ง ๆ
คืนหนึ่งเมื่อท่านใกล้จะสิ้นใจ ขณะที่ภรรยาของผม หลานของผม และผมอยู่ข้าง ๆ ท่าน จู่ ๆ คุณพ่อก็ตื่นตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน และพยายามลุกจากเตียง แน่นอนท่านอ่อนแอเกินไป และภรรยาผมก็พยายามให้ท่านนอนลง แต่ท่านขัดขืนพยายามลงจากเตียงในที่สุดภรรยาผมจึงถามว่า "พ่อคะ พ่อพยายามจะทำอะไร" ท่านตอบว่า "ต้องช่วยอีกคนหนึ่งให้รอดเพื่อพระเยซู ต้องช่วยอีกคนหนึ่งให้รอดเพื่อพระเยซู ต้องช่วยอีกคนหนึ่งให้รอดเพื่อพระเยซู" ท่านเริ่มพูดวลีนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
ตลอดชั่วโมงต่อมา ท่านพูดวลีนี้สักร้อยครั้งเห็นจะได้ "ต้องช่วยอีกคนหนึ่งให้รอดเพื่อพระเยซู" ขณะที่ผมนั่งข้างเตียงท่านด้วยน้ำตาไหลอาบแก้ม ผมก็ก้มศีรษะขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับความเชื่อของคุณพ่อ เวลานั้นเอง คุณพ่อก็ยื่นมือออกมา และวางมือที่อ่อนเปลี้ยของท่านบนศีรษะผม และพูดเหมือนกำลังบัญชาผมว่า "ต้องช่วยอีกคนหนึ่งให้รอดเพื่อพระเยซู ต้องช่วยอีกคนหนึ่งให้รอดเพื่อพระเยซู"
ผมตั้งใจว่าจะให้เรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตผม ผมขอเชื้อเชิญคุณให้ถือว่าเรื่องนี้คือ ความสนใจหลักในชีวิตของคุณด้วย เพราะไม่มีสิ่งใดจะสร้างความเปลี่ยนแปลงนิรันดร์ได้มากกว่าภารกิจนี้ ถ้าคุณต้องการให้พระเจ้าทรงใช้คุณ คุณก็ต้องห่วงใยสิ่งที่พระเจ้าทรงห่วงใย และสิ่งที่พระองค์ห่วงใยมากที่สุดคือ การไถ่มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง พระองค์ต้องการให้ลูกที่หลงหายของพระองค์ได้กลับมา สำหรับพระเจ้าไม่มีอะไรสำคัญมากกว่านี้ กางเขนได้พิสูจน์เรื่องนี้ ผมอธิษฐานขอให้คุณคอยมองหาโอกาสที่จะนำ "อีกคนหนึ่งเพื่อพระเยซู" เพื่อว่าวันหนึ่ง เมื่อคุณยืนต่อพระพักตร์พระเจ้าคุณจะสามารถพูดได้ว่า "ภารกิจสำเร็จแล้ว"
วันที่ 36 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: ฉันถูกสร้างมาเพื่อภารกิจอย่างหนึ่ง
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "เหตุฉะนั้น เจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละ เราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไปจนกว่าจะสิ้นยุค" มัทธิว 28:19-20
คำถามสำหรับการพิจารณา: พระเจ้าสร้างฉันมาเพื่อทำภารกิจอย่างหนึ่ง มีความกลัวอะไรที่ขัดขวางไม่ให้ฉันทำภารกิจนั้นสำเร็จ มีอะไรขัดขวางฉันไม่ให้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอื่น
คุณถูกสร้างมาเพื่อภารกิจอย่างหนึ่ง
ผลของคนชอบธรรมเป็นต้นไม้แห่งชีวิตและผู้ที่นำวิญญาณก็มีปัญญา
สุภาษิต 11:30 (NIV)
วันที่ 36
สร้างมาเพื่อภารกิจอย่างหนึ่ง
พระองค์ประทานภารกิจในโลกนี้แก่ข้าพระองค์อย่างไร ข้าพระองค์ก็มอบหมายภารกิจในโลกแก่พวกเขาอย่างนั้น
ยอห์น 17:18 (Msg)
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ข้าพเจ้าทำภารกิจของข้าพเจ้าให้เสร็จคืองานที่พระเยซูเจ้าทรงมอบหมายแก่ข้าพเจ้า
กิจการ 20:24 (NCV)
คุณถูกสร้างมาเพื่อภารกิจอย่างหนึ่ง
พระเจ้ากำลังทำงานในโลกนี้ และพระองค์ต้องการให้คุณร่วมงานกับพระองค์ หน้าที่มอบหมายนี้เรียกว่าภารกิจของคุณ พระเจ้าต้องการให้คุณมีทั้งพันธกิจในพระกายของพระคริสต์ และภาระกิจในโลก พันธกิจคือการที่คุณรับใช้ผู้เชื่อ (โคโลสี 1:25, 1 โครินธ์ 12:5) และภารกิจคือการที่คุณรับใช้ผู้ที่ยังไม่เชื่อ การทำให้ภารกิจในโลกนี้สำเร็จ คือ พระประสงค์ประการที่ห้าสำหรับชีวิตคุณ
ภารกิจชีวิตของคุณมีทั้งที่ต้องทำร่วมกับคนอื่นและที่ต้องทำส่วนตัวเฉพาะเจาะจง ส่วนหนึ่งเป็นความรับผิดชอบที่คุณแบกรับร่วมกับคริสเตียนอื่นทุกคน และอีกส่วนหนึ่งเป็นหน้าที่มอบหมายเฉพาะจงสำหรับคุณคนเดียว เราจะดูทั้งสองส่วนในบทต่อ ๆ ไป
คำว่าภารกิจในภาษาอังกฤษ (mission) มาจากภาษาละตินที่แปลว่า "การส่ง" การเป็นคริสเตียนนั้นครอบคลุมถึงการถูกส่งเข้าไปในโลกในฐานะตัวแทนของพระเยซูคริสต์ พระเยซูตรัสว่า "พระบิดาทรงใช้เราฉันใด เราก็ใช้ท่านทั้งหลายไปฉันนั้น" (ยอห์น 20:21)
พระเยซูทรงเข้าใจภารกิจชีวิตของพระองค์ในโลกนี้อย่างชัดเจน เมื่อพระชนม์ได้สิบสองพรรษา พระองค์ตรัสว่า "ลูกต้องทำงานของพระบิดา" (ลูกา 2:49 2002) และอีกยี่สิบเอ็ดปีต่อมา พระองค์ตรัสว่า "สำเร็จแล้ว" (ยอห์น 19:30) ขณะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เช่นเดียวกับหัวท้ายของหนังสือ ข้อความสองประโยคนี้คือกรอบของชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ซึ่งดำเนินมาอย่างดี พระเยซูทรงเสร็จภารกิจที่พระบิดาประทานแก่พระองค์
บัดนี้ภารกิจที่พระเยซูทรงกระทำขณะอยู่ในโลกนี้กลายมาเป็นภารกิจของเรา เพราะว่าเราเป็นพระกายของพระคริสต์ สิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำด้วยพระกายเนื้อหนังของพระองค์เราต้องทำต่อในฐานะพระกายฝ่ายวิญญาณของพระองค์ คือ คริสตจักร แล้วภารกิจนั้นคืออะไร ก็คือการแนะนำคนให้รู้จักพระเจ้า พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าทรงเปลี่ยนเราผู้เป็นศัตรูกับพระองค์ ให้กลับเป็นมิตรกับพระองค์ทางพระเยซูคริสต์ และทรงมอบหน้าที่ให้เราช่วยคนทั้งหลายมาเป็นมิตรกับพระองค์ด้วย" (2 โครินธ์ 5:18 ประชานิยม)
พระเจ้าต้องการไถ่มนุษย์จากซาตาน และทำให้พวกเขาคืนดีกับพระองค์ เพื่อเราจะสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงสร้างเรามา นั่นคือให้รักพระองค์ เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของพระองค์ เป็นเหมือนพระองค์ รับใช้พระองค์ และบอกผู้อื่นเกี่ยวกับพระองค์ เมื่อเราเป็นของพระองค์แล้ว พระเจ้าก็ทรงใช้เราไปหาคนอื่น พระองค์ทรงช่วยเราให้รอด แล้วทรงส่งเราออกไป พระคัมภีร์กล่าวว่า "เราถูกส่งออกไป เพื่อพูดแทนพระคริสต์" (2 โครินธ์ 5:20 NCV) เราเป็นผู้สื่อสารความรักและพระประสงค์ของพระองค์ไปสู่โลกนี้
ความสำคัญแห่งภารกิจของคุณ
การทำให้ภารกิจชีวิตของคุณสำเร็จนั้นเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินชีวิตเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า พระคัมภีร์ให้เหตุผลหลายประการว่า ทำไมภารกิจของคุณจึงสำคัญยิ่งนัก
ภารกิจของคุณเป็นการสืบสานภารกิจของพระคริสต์ในโลกนี้ ในฐานะผู้ติดตามพระองค์ เราต้องทำสิ่งพระเยซูได้ทรงเริ่มต้นไว้ต่อไป พระเยซูทรงเรียกเราไม่เพียงแต่ให้มาหาพระองค์ แต่ให้ออกไปเพื่อพระองค์ด้วย ภารกิจของคุณนั้นสำคัญมากถึงขนาดที่พระเยซูตรัสย้ำเรื่องนี้ห้าครั้งด้วยห้าประโยคที่แตกต่างกันในพระธรรมห้าเล่ม (มัทธิว 28:19-20, มาระโก 16:15, ลูกา 24:47, ยอห์น 20:21, กิจการ 1:8) เหมือนกับพระเยซูกำลังตรัสว่า "เราปราถนาเหลือเกินที่จะให้เจ้าเข้าใจเรื่องนี้" ลองศึกษาพระบัญชาทั้งห้าตอนของพระเยซู และคุณจะรู้รายละเอียดภารกิจของคุณในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไร ที่ไหน ทำไมและอย่างไร
ในพระมหาบัญชา พระเยซูตรัสว่า "เจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้" (มัทธิว 28:19-20) คำสั่งนี้ประทานแก่ผู้ที่ติดตามพระเยซูทุกคน ไม่ใช่แก่ศิษยาภิบาลหรือมิชชั่นนารีเท่านั้น นี่เป็นพระบัญชาที่พระเยซูตรัสสั่งคุณ และมันไม่ใช่ทางเลือก ถ้อยคำเหล่านี้ของพระเยซูไม่ใช่พระมหาคำแนะนำ ถ้าคุณเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า ภารกิจของคุณก็เป็นคำสั่ง การละเลยก็เท่ากับการไม่เชื่อฟัง
คุณอาจจะไม่เคยรู้ว่า พระเจ้าทรงให้คุณรับผิดชอบคนไม่เชื่อที่อยู่รอบข้างคุณ พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงเตือนเขาตามที่เราบอกเจ้า ถ้าเราแจ้งแก่เจ้าว่า คนชั่วช้าจะต้องตาย แต่เจ้าจะต้องรับผิดชอบเพราะความตายของเขา" (เอเสเคียล 3:18 ประชานิยม) คุณเป็นคริสเตียนคนเดียวที่บางคนจะมีโอกาสได้รู้จัก และภารกิจของคุณคือ บอกเรื่องพระเยซูแก่พวกเขา
ภารกิจของคุณเป็นสิทธิพิเศษที่ยอดเยี่ยม แม้เป็นความรับผิดชอบใหญ่หลวง แต่การที่พระเจ้าทรงใช้คุณก็เป็นเกียรติอย่างเหลือเชื่อ เปาโลกล่าวว่า "พระเจ้าได้ประทานสิทธิพิเศษแก่เรา ในการเรียกร้องทุกคนให้มาถึงความกรุณาของพระเจ้า และคืนดีกับพระองค์" (2 โครินธ์ 5:18 LB) ภารกิจของคุณเกี่ยวข้องกับสิทธิพิเศษสำคัญสองประการ คือ การได้ทำงานร่วมกับพระเจ้าและการเป็นผู้แทนของพระองค์ เราได้เป็นผู้ร่วมงานกับพระเจ้าในการสร้างอาณาจักรของพระเจ้า เปาโลเรียกเราว่า "เพื่อนร่วมงาน" และกล่่าว "เราทำงานร่วมกับพระเจ้า" (2 โครินธ์ 6:1 2002)
พระเยซูได้ทรงรับประกันความรอดของเรา ให้เราอยู่ในครอบครัวของพระองค์ ประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่เรา แล้วทำให้เราเป็นผู้แทนของพระองค์ในโลกนี้ ช่างเป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ พระคัมภีร์กล่าวว่า "เราเป็นตัวแทนของพระคริสต์ พระเจ้าทรงใช้เราให้ชักชวนชายและหญิงให้ละทิ้งความเป็นปฏิปักษ์ และเข้าสู่พระราชกิจของพระเจ้าในการทำให้พวกเขาคืนดีกับพระเจ้า เรากำลังพูดแทนพระคริสต์ในเวลานี้ว่า จงมาเป็นมิตรสหายกับพระเจ้า" (2 โครินธ์ 5:20 Msg)
การบอกคนอื่นถึงวิธีที่พวกเขาจะสามารถมีชีวิตนิรันดร์ได้ คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่คุณสามารถทำเพื่อพวกเขา ถ้าเพื่อนบ้านคุณเป็นมะเร็งหรือโรคเอดส์ และคุณรู้วิธีรักษามันคงเป็นอาชญากรรมถ้าคุณปกปิดข้อมูลที่จะช่วยชีวิตเขาได้ ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ การปกปิดหนทางสู่การอภัยโทษ วัตถุประสงค์ สันติสุข และชีวิตนิรันดร์ไว้เป็นความลับ เรามีข่าวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และการบอกข่าวนี้ก็เป็นความเอื้อเฟื้อที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่คุณสามารถให้แก่ทุกคน
ปัญหาอย่างหนึ่งของคนที่เป็นคริสเตียนมานานคือ พวกเขาลืมไปแล้วว่า ตนเคยรู้สึกสิ้นหวังเพียงไรเมื่อไม่มีพระคริสต์ เราต้องระลึกเสมอว่า ไม่ว่าคนจะดูเหมือนพึงพอใจหรือประสบความสำเร็จเพียงไร แต่ปราศจากพระคริสต์ พวกเขาก็เป็นคนหลงทางสิ้นหวังและกำลังมุ่งไปสู่การแยกจากพระเจ้าชั่วนิรันดร์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "ไม่มีใครช่วยเราให้รอดบาปไปได้ นอกจากพระเยซู" (กิจการ 4:12 ประชานิยม) ทุกคนต้องการพระเยซู
ภารกิจของคุณมีความสำคัญนิรันดร์ มันจะมีผลต่อจุดหมายปลายทางนิรันดร์ของคนอื่น ดังนั้นมันจึงสำคัญยิ่งกว่างาน ความสำเร็จ หรือเป้าหมายใด ๆ ที่คุณจะบรรลุในชีวิตบนโลกนี้ ผลสืบเนื่องแห่งภารกิจของคุณจะคงอยู่ชั่วนิรันดร์ แต่ผลสืบเนื่องจากอาชีพของคุณจะไม่ยั่งยืน ในบรรดาสิ่งที่คุณทำได้นั้น ไม่มีสิ่งใดจะสำคัญเท่ากับการช่วยคนอื่นสร้างความสัมพันธ์นิรันดร์กับพระเจ้า
นี่คือเหตุผลที่เราต้องเร่งรีบทำภารกิจของเรา พระเยซูตรัสว่า "เราทุกคนต้องรีบทำงานที่พระองค์ผู้ทรงใช้เรามามอบหมายให้ เพราะเวลาก็เหลือน้อย กลางคืนก็ใกล้เข้ามา และงานทุกอย่างจะสิ้นสุดลง" (ยอห์น 9:4 NLT) นาฬิกากำลังนับถอยหลังภารกิจชีวิตของคุณดังนั้นอย่าผลัดวันประกันพรุ่ง จงเริ่มต้นทำภารกิจของคุณในการประกาศกับคนอื่นเดี๋ยวนี้ เราจะมีเวลาตลอดชั่วนิรันดร์เพื่อเฉลิมฉลองกับคนเหล่านั้น ที่เราได้นำมาถึงพระคริสต์แต่เรามีแค่ชีวิตนี้เท่านั้นที่จะประกาศกับพวกเขา
นี่ไม่ได้หมายความว่า คุณควรลาออกจากงานของคุณเพื่อมาเป็นผู้ประกาศเต็มเวลา พระเจ้าต้องการให้คุณประกาศข่าวประเสริฐในที่ที่คุณอยู่ ในฐานะนักศึกษา แม่ ครูสอนเด็กก่อนวัยเรียน นักขาย หรือผู้จัดการ หรืออะไรก็ตามที่คุณทำ คุณควรมองหาคนที่พระเจ้าทรงนำมาบนเส้นทางของคุณ ซึ่งคุณจะสามารถประกาศข่าวประเสริฐแก่เขา
ภารกิจของคุณทำให้ชีวิตคุณมีความหมาย วิลเลี่ยม เจมส์ได้กล่าวว่า "การใช้ชีวิตที่ดีที่สุดคือการใช้ชีวิตเพื่อสิ่งที่ยืนยาวกว่าตัวมันเอง" ความจริงคือ แผ่นดินของพระเจ้าเท่านั้นที่จะยืนยง สิ่งอื่นทุกสิ่งจะอันตรธานไปในที่สุด นั่นคือเหตุผลที่เราต้องดำเนินชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ ชีวิตที่อุทิศทุ่มเทให้การนมัสการ การสามัคคีธรรม การเติบโตฝ่ายวิญญาณ พันธกิจ และการทำให้ภารกิจของเราบนโลกนี้สำเร็จ ผลของกิจกรรมเหล่านี้จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์ !
ถ้าคุณไม่ได้ทำภารกิจในโลกซึ่งพระเจ้าประทานให้นั้นสำเร็จ คุณก็ทำให้ชีวิตที่พระเจ้าประทานแก่คุณสูญเปล่า เปาโลกล่าวว่า "ชีวิตของข้าพเจ้าไม่มีค่าอะไร เว้นแต่ข้าพเจ้าจะใช้มัน เพื่อทำงานที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบหมายแก่ข้าพเจ้าคือ งานการบอกข่าวประเสริฐเรื่องพระเมตตาและความรักอันอัศจรรย์ของพระเจ้าแก่คนอื่น ๆ" (กิจการ 20:24 NLT) มีแต่คุณเท่านั้นที่เข้าถึงคนบางคนในโลกนี้ได้ ถ้าเพียงคนหนึ่งได้เข้าสวรรค์เพราะคุณ ชีวิตคุณก็ได้ทำให้เกิดผลกระทบชั่วนิรันดร์ จงเริ่มมองดูสถานที่ซึ่งคุณสามารถทำภารกิจส่วนตัว และอธิษฐานว่า "ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงให้ใครผ่านมาในชีวิตของข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะบอกเรื่องพระเยซูแก่เขา"
ตารางเวลาของพระเจ้าสำหรับจุดจบแห่งประวัติศาสตร์นั้น เกี่ยวข้องกับการที่เราทำให้พระมหาบัญชาเสร็จสมบูรณ์ ในวันนี้ การเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์ และจุดจบของโลกได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร ก่อนพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ เหล่าสาวกได้ถามคำถามเดียวกันนี้กับพระองค์ และคำตอบของพระองค์ก็เปิดเผยอะไรหลายอย่าง พระองค์ตรัสว่า "ไม่ใช่ธุระของท่านที่จะรู้เวลาและวาระซึ่งพระบิดาได้ทรงกำหนดไว้โดยสิทธิอำนาจของพระองค์ แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดชเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรียและจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก" (กิจการ 1:7-8)
เมื่อพวกสาวกต้องการคุยเรื่องคำพยากรณ์ พระเยซูทรงเปลี่ยนเรื่องสนทนาอย่างรวดเร็วไปที่เรื่องการประกาศ พระองค์ต้องการให้พวกเขาจดจ่อที่ภารกิจของพวกเขา คำตรัสของพระองค์มีใจความสำคัญว่า "รายละเอียดเรื่องการกลับมาของเราไม่ใช่ธุระของท่าน ธุระของท่านคือ ภารกิจที่เรามอบหมายให้ทำ จงจดจ่อที่สิ่งนั้น"
การคาดเดาเวลาอันเจาะจงที่พระคริสต์จะกลับมานั้นเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ เพราะพระเยซูตรัสว่า "แต่วันนั้น โมงนั้น ไม่มีใครรู้ ถึงบรรดาทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ รู้แต่พระบิดาองค์เดียว" (มัทธิว 24:36) เนื่องจากพระเยซูตรัสว่าพระองค์ไม่ทรงทราบวันนั้นหรือโมงนั้น แล้วทำไมคุณถึงต้องการพยายามจะรู้ด้วยเล่า สิ่งที่เรารู้แน่นอนคือ พระเยซูจะไม่เสด็จกลับมาจนกว่าทุกคนที่พระเจ้าต้องการให้ได้ยินข่าวประเสริฐจะได้ยินข่าวนั้น พระเยซูตรัสว่า "ข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าจะได้ประกาศไปทั่วโลกแก่คนทุกชาติ แล้วที่สุดปลายจะมาถึง" (มัทธิว 24:14 NCV) ถ้าคุณต้องการให้พระเยซูเสด็จกลับมาเร็วขึ้นจงจดจ่อที่การทำภารกิจของคุณสำเร็จ ไม่ใช่การไขปริศนาคำพยากรณ์
มันง่ายที่จะหันเหและเบี่ยงเบนจากภารกิจของเรา เพราะว่าซาตานต้องการให้คุณทำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่การเล่าความเชื่อของคุณให้คนอื่นฟัง มันจะยอมให้คุณทำสิ่งดีอื่น ๆ ทุกอย่างตราบใดที่คุณไม่นำใครไปสวรรค์กับคุณ แต่ทันทีที่คุณเริ่มจริงจังกับภารกิจนี้ คุณก็คาดหมายได้เลยว่ามารจะระดมสิ่งหันเหทุกอย่างมายังคุณ เมื่อเป็นเช่นนี้ จงจดจำถ้อยคำของพระเยซูที่ว่า "ผู้ใดที่ปล่อยให้ตัวเองหันเหจากงานที่เรากำหนดให้ ก็ไม่คู่ควรกับแผ่นดินของพระเจ้า" (ลูกา 9:62 LB)
อะไรคือราคาค่างวดของการทำให้ภารกิจของคุณสำเร็จ
การทำให้ภารกิจของคุณสำเร็จนั้นเรียกร้องให้คุณละทิ้งแผนการของคุณ และรับเอาแผนการของพระเจ้าสำหรับชีวิตคุณ คุณไม่สามารถ "เพิ่มมันเข้ามา" กับสิ่งอื่น ๆ ที่คุณอยากจะทำกับชีวิตของคุณ คุณต้องพูดเหมือนพระเยซูว่า "ข้าแต่พระบิดา… อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์" (ลูกา 22:42 2002) คุณยอมสละสิทธิความคาดหวัง ความใฝ่ฝัน แผนการ และความทะเยอทะยานของคุณแด่พระองค์ คุณเลิกกล่าวคำอธิษฐานที่เห็นแก่ตัวอย่างเช่น "ขอพระเจ้าทรงอวยพรสิ่งที่ข้าพระองค์อยากจะทำ" ตรงกันข้าม คุณจะอธิษฐานว่า "ขอพระเจ้าทรงช่วยข้าพระองค์ให้ทำในสิ่งที่พระองค์ทรงอวยพระพร" คุณมอบกระดาษเปล่าที่ลงลายมือไว้ข้างล่างแด่พระเจ้าและทูลพระองค์ให้ทรงเติมรายละเอียดต่าง ๆ ลงไป พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงถวายตัวของท่านแด่พระเจ้าอย่างหมดสิ้น อวัยวะทุกส่วนของท่าน… เพื่อเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระเจ้าเพื่อใช้สำหรับพระประสงค์อันดีของพระองค์" (โรม 6:13ข LB)
ถ้าคุณอุทิศทุ่มเทเพื่อทำให้ภารกิจในชีวิตของคุณสำเร็จโดยไม่คำนึงว่าจะต้องเสียอะไร คุณก็จะประสบกับพระพรของพระเจ้าในแบบที่น้อยคนได้พบ แทบจะไม่มีสิ่งใดเลยที่พระเจ้าจะไม่ทรงทำเพื่อชายหรือหญิงที่ถวายตัวเพื่อรับใช้อาณาของพระเจ้า พระเยซูทรงสัญญาว่า "พระเจ้าจะประทานทุกสิ่งที่จำเป็นแก่ท่านในแต่ละวัน ถ้าท่านอยู่เพื่อพระองค์และให้แผ่นดินของพระเจ้าเป็นความสนใจหลักของท่าน (มัทธิว 6:33 NLT)
อีกคนหนึ่งเพื่อพระเยซู
คุณพ่อของผมเป็นผู้รับใช้กว่าห้าสิบปี ส่วนใหญ่รับใช้ในคริสตจักรชนบทเล็ก ๆ ท่านเป็นนักเทศน์เรียบง่าย แต่ท่านเป็นคนที่ยึดมั่นในภารกิจ กิจกรรมที่ท่านชอบที่สุด คือ การพาคณะอาสาสมัครไปต่างประเทศเพื่อสร้างอาคารคริสตจักรให้คริสตจักรเล็ก ๆ ตลอดชีวิตของท่าน คุณพ่อได้สร้างคริสตจักรกว่า 150 แห่งทั่วโลก
ในปี 1999 คุณพ่อเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ในสัปดาห์สุดท้ายของชีวิต โรคนี้ทำให้ท่านตื่นอยู่สภาพกึ่งรู้สึกตัวแทบจะตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เมื่อท่านฝัน ท่านจะพูดสิ่งที่ท่านฝันออกมา ผมนั่งข้างเตียงของท่าน และได้รู้หลายอย่างเกี่ยวกับคุณพ่อของผมจากการฟังสิ่งที่ท่านฝัน ท่านทบทวนโครงการก่อสร้างคริสตจักรที่ละแห่ง ๆ
คืนหนึ่งเมื่อท่านใกล้จะสิ้นใจ ขณะที่ภรรยาของผม หลานของผม และผมอยู่ข้าง ๆ ท่าน จู่ ๆ คุณพ่อก็ตื่นตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน และพยายามลุกจากเตียง แน่นอนท่านอ่อนแอเกินไป และภรรยาผมก็พยายามให้ท่านนอนลง แต่ท่านขัดขืนพยายามลงจากเตียงในที่สุดภรรยาผมจึงถามว่า "พ่อคะ พ่อพยายามจะทำอะไร" ท่านตอบว่า "ต้องช่วยอีกคนหนึ่งให้รอดเพื่อพระเยซู ต้องช่วยอีกคนหนึ่งให้รอดเพื่อพระเยซู ต้องช่วยอีกคนหนึ่งให้รอดเพื่อพระเยซู" ท่านเริ่มพูดวลีนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
ตลอดชั่วโมงต่อมา ท่านพูดวลีนี้สักร้อยครั้งเห็นจะได้ "ต้องช่วยอีกคนหนึ่งให้รอดเพื่อพระเยซู" ขณะที่ผมนั่งข้างเตียงท่านด้วยน้ำตาไหลอาบแก้ม ผมก็ก้มศีรษะขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับความเชื่อของคุณพ่อ เวลานั้นเอง คุณพ่อก็ยื่นมือออกมา และวางมือที่อ่อนเปลี้ยของท่านบนศีรษะผม และพูดเหมือนกำลังบัญชาผมว่า "ต้องช่วยอีกคนหนึ่งให้รอดเพื่อพระเยซู ต้องช่วยอีกคนหนึ่งให้รอดเพื่อพระเยซู"
ผมตั้งใจว่าจะให้เรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตผม ผมขอเชื้อเชิญคุณให้ถือว่าเรื่องนี้คือ ความสนใจหลักในชีวิตของคุณด้วย เพราะไม่มีสิ่งใดจะสร้างความเปลี่ยนแปลงนิรันดร์ได้มากกว่าภารกิจนี้ ถ้าคุณต้องการให้พระเจ้าทรงใช้คุณ คุณก็ต้องห่วงใยสิ่งที่พระเจ้าทรงห่วงใย และสิ่งที่พระองค์ห่วงใยมากที่สุดคือ การไถ่มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง พระองค์ต้องการให้ลูกที่หลงหายของพระองค์ได้กลับมา สำหรับพระเจ้าไม่มีอะไรสำคัญมากกว่านี้ กางเขนได้พิสูจน์เรื่องนี้ ผมอธิษฐานขอให้คุณคอยมองหาโอกาสที่จะนำ "อีกคนหนึ่งเพื่อพระเยซู" เพื่อว่าวันหนึ่ง เมื่อคุณยืนต่อพระพักตร์พระเจ้าคุณจะสามารถพูดได้ว่า "ภารกิจสำเร็จแล้ว"
วันที่ 36 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: ฉันถูกสร้างมาเพื่อภารกิจอย่างหนึ่ง
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "เหตุฉะนั้น เจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละ เราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไปจนกว่าจะสิ้นยุค" มัทธิว 28:19-20
คำถามสำหรับการพิจารณา: พระเจ้าสร้างฉันมาเพื่อทำภารกิจอย่างหนึ่ง มีความกลัวอะไรที่ขัดขวางไม่ให้ฉันทำภารกิจนั้นสำเร็จ มีอะไรขัดขวางฉันไม่ให้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอื่น
วันที่ 35 ฤทธิ์เดชของพระเจ้า
ในความอ่อนแอของคุณ เราอ่อนแอ… แต่ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์เพื่อรับใช้พวกท่าน
2 โครินธ์ 13:4 (อมตธรรมร่วมสมัย)
เราอยู่กับเจ้า นั่นคือทั้งหมดที่เจ้าต้องการฤทธานุภาพของเราปรากฏชัดที่สุดในคนอ่อนแอ
2 โครินธ์ 12:9ก (LB)
พระเจ้าชอบใช้คนอ่อนแอ
ทุกคนมีความอ่อนแอ ที่จริง คุณมีความบกพร่องและความไม่สมบูรณ์มากมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย อารมณ์ สติปัญญา และจิตวิญญาณ และอาจจะมีสถานการณ์ที่คุณควบคุมไม่ได้ซึ่งทำให้คุณอ่อนแอ อย่างเช่น ความจำกัดด้านการเงิน และความสัมพันธ์ ปัญหาที่สำคัญกว่าคือ คุณทำอะไรกับสิ่งเหล่านี้ ตามปกติ เราปฏิเสธความอ่อนแอของเรา ปกป้อง แก้ตัว ซุกซ่อน และขุ่นเคืองต่อสิ่งเหล่านั้น แต่การกระทำเหล่านี้ขัดขวางไม่ให้พระเจ้าทรงใช้ความอ่อนแอในลักษณะที่พระองค์ต้องการ
พระเจ้าทรงมีมุมมองที่แตกต่างในเรื่องความอ่อนแอของคุณ พระองค์ตรัสว่า "วิถีของเราสูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้า" (อิสยาห์ 55:9) ดังนั้นพระองค์มักจะทรงกระทำตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราคาดคิด เราคิดว่าพระเจ้าต้องการใช้แต่ข้อดีของเรา แต่พระองค์ต้องการใช้ความอ่อนแอของเราเพื่อพระสิริของพระองค์ด้วย
พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าอ่อนแอเพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย" (1 โครินธ์ 1:23) ความอ่อนแอของคุณไม่ใช่ความบังเอิญ พระเจ้าทรงจงใจอนุญาตให้มีสิ่งเหล่านี้ในชีวิตของเรา เพื่อพระประสงค์ในการสำแดงฤทธิ์เดชของพระองค์ผ่านตัวคุณ
พระเจ้าไม่เคยประทับใจกำลังหรือความเก่งกาจของตัวคุณ ที่จริงพระองค์มักจะโน้มลงมาหาคนที่อ่อนแอและยอมรับมัน พระเยซูทรงถือว่าการที่เรายอมรับความขัดสนคือ "ความรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ" ซึ่งเป็นท่าทีอันดับแรกที่พระองค์ทรงอวยพระพร (มัทธิว 5:3)
พระคัมภีร์เต็มไปด้วยตัวอย่างที่พระเจ้าชอบใช้คนธรรมดาที่ไม่สมบูรณ์เพื่อทำสิ่งไม่ธรรมดา โดยไม่คำนึงถึงความอ่อนแอของพวกเขา ถ้าพระเจ้าทรงใช้แต่คนที่ดีพร้อม ก็คงไม่มีอะไรสำเร็จเลยสักอย่าง เพราะว่าไม่มีใครในพวกเราที่ไม่มีจุดบกพร่อง การที่พระเจ้าทรงใช้คนที่ไม่สมบูรณ์นั้นเป็นข่าวดีที่ให้กำลังใจเราทุกคน
ความอ่อนแอหรือ "หนาม" ที่เปาโลเรียกนั้น (2 โครินธ์ 12:7) ไม่ใช่ความบาป ความชั่ว หรือความบกพร่องในลักษณะนิสัยซึ่งคุณสามารถเปลี่ยนแปลงได้ อย่างเช่น การกินมากเกินไป หรือความไม่อดทน แต่ความอ่อนแอคือข้อจำกัดใด ๆ ก็ตามที่คุณได้รับตกทอดมา หรือไม่มีกำลังที่จะเปลี่ยนแปลงได้ มันอาจเป็นข้อจำกัดทางร่างกาย อย่างเช่น ความพิการ ความเจ็บป่วยเรื้อรัง การมีเรี่ยวแรงน้อยโดยธรรมชาติ หรือสภาพไร้ความสามารถอย่างใดอย่างหนึ่ง มันอาจจะเป็นข้อจำกัดทางอารมณ์ เช่นแผลจากความเจ็บช้ำน้ำใจ ความทรงจำอันเจ็บปวด บุคลิกประหลาด หรือความโน้มเอียงทางกรรมพันธ์ุ หรือมันอาจเป็นข้อจำกัดด้านความสามารถหรือสติปัญญา เราไม่ได้ปราดเปรื่องหรือเก่งกาจกันหมดทุกคน
เมื่อคิดถึงข้อจำกัดในชีวิตคุณ คุณอาจจะถูกล่อลวงให้สรุปว่า "พระเจ้าคงไม่มีวันใช้ผมหรอก" แต่พระเจ้าไม่เคยถูกจำกัดด้วยข้อจำกัดของเรา ที่จริง พระองค์ทรงพอพระทัยที่จะเติมฤทธิ์เดชยิ่งใหญ่ลงในภาชนะธรรมดา ๆ พระคัมภีร์กล่าวว่า "เราเป็นเหมือนภาชนะดินที่บรรจุของมีค่านี้ ฤทธิ์เดชที่แท้นั้นมาจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากตัวเรา" (2 โครินธ์ 4:7 CEV) เช่นเดียวกับภาชนะดินทั่ว ๆ ไป เราเปราะบาง มีตำหนิ และแตกง่าย แต่พระเจ้าจะใช้เราเช่นนั้น เราต้องทำตามแบบอย่่างของเปาโล
ยอมรับความอ่อนแอของเรา จงยอมรับความไม่สมบูรณ์ของคุณ เลิกเสแสร้งว่า คุณดีพร้อมทุกอย่าง และซื่อสัตย์กับตัวเอง แทนที่จะดำเนินชีวิตด้วยการปฏิเสธหรือแก้ตัวจงใช้เวลาทำความรู้จักความอ่อนแอส่วนตัวของคุณ คุณอาจจะเขียนรายการความอ่อนแอเหล่านั้นก็ได้
คำยอมรับครั้งสำคัญสองครั้งในพระคัมภีร์ใหม่แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เราจำเป็นต้องมีเพื่อจะดำเนินชีวิตแข็งแรง ครั้งแรกคือคำยอมรับของเปโตร ซึ่งทูลพระเยซูว่า "พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่" (มัทธิว 16:16) ครั้งที่สองคือ คำยอมรับของเปาโล ซึ่งกล่าวแก่ฝูงชนที่ไหว้รูปเคารพว่า "เราก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดา ๆ เหมือนกับพวกท่าน" (กิจการ 14:15 อ่านเข้าใจง่าย) ถ้าคุณต้องการให้พระเจ้าทรงใช้คุณ คุณจะต้องรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใด และคุณเองเป็นใคร คริสเตียนหลายคนโดยเฉพาะผู้นำลืมความจริงประการที่สอง เราเป็นเพียงมนุษย์ และถ้าจะต้องอาศัยวิกฤตเพื่อให้คุณยอมรับสิ่งนี้ พระเจ้าก็จะไม่ลังเลที่จะอนุญาตให้มันเกิดขึ้น เพราะว่าพระองค์ทรงรักคุณ
จงพอใจในความอ่อนแอของคุณ เปาโลกล่าวไว้ว่า "ข้าพเจ้ายินดีจะโอ้อวดความอ่อนแอของข้าพเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะทำงานผ่านข้าพเจ้า เนื่องจากข้าพเจ้ารู้ว่าทุกสิ่งเพื่อสิ่งดีของพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงพอใจอย่างยิ่งในความอ่อนของข้าพเจ้า" (2 โครินธ์ 12:9-10 NLT) ทีแรกเรื่องนี้คงดูไม่สมเหตุสมผล เราอยากเป็นอิสระจากความอ่อนแอของเรา ไม่ใช่พอใจกับมัน แต่ความพอใจคือการแสดงออกว่า เราเชื่อในความดีของพระเจ้า มันคือการกล่าวว่า "พระเจ้า ข้าพระองค์เชื่อว่าพระองค์ทรงรักข้าพระองค์ และทรงรู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับข้าพระองค์"
เปาโลให้เหตุผลหลายประการ เพื่อให้เราพอใจในความอ่อนแอที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ประการแรก สิ่งเหล่านี้ทำให้เราพึ่งพระเจ้า เมื่อกล่าวถึงความอ่อนแอของท่าน ซึ่งพระเจ้าทรงปฏิเสธที่จะขจัดออกไป เปาโลกล่าวว่า "ข้าพเจ้ามีความสุขกับ "หนามนั้น"… เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อนั้นข้าพเจ้าก็จะเข้มแข็ง คือยิ่งข้าพเจ้ามีน้อย ข้าพเจ้าก็ยิ่งพึ่งพระองค์มาก" (2 โครินธ์ 12:10 LB ) เมื่อไรก็ตามที่คุณรู้สึกอ่อนแอ พระเจ้ากำลังเตือนคุณให้พึ่งพระองค์
ควาอ่อนแอยังช่วยป้องกันไม่ให้หยิ่งยโส มันทำให้เราถ่อมใจ เปาโลกล่าวว่า "เพื่อข้าพเจ้าจะไม่อวดดี ข้าพเจ้าจึงได้รับของประทานเป็นความพิการ เพื่อข้าพเจ้าจะไม่ลืมความจำกัดของข้าพเจ้า" (2 โครินธ์ 12:7 Msg) พระเจ้ามักจะผูกความอ่อนแอสำคัญ ๆ เข้ากับจุดแข็งที่โดเด่น เพื่อควบคุมอัตตาของเรา ข้อจำกัดสามารถทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองที่ควบคุมเราไม่ให้มุ่งหน้าเร็วเกินไป หรือทำอะไรล้ำหน้าพระเจ้า
เมื่อกิเดโอนเกณ์ทหาร 32,000 คนเพื่อสู้รบกับคนมีเดียน พระเจ้าทอนจำนวนลงเหลือ 300 คน ทำให้อัตราส่วนกลายเป็น 450 ต่อ 1 เมื่อพวกเขาออกไปสู้กับกองทัพศัตรู 135,000 คน มันดูเหมือนจะเป็นสูตรสำหรับความหายนะ แต่พระเจ้าทรงทำเช่นนั้นเพื่อคนอิสราเอลจะรู้ว่าเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า ไม่ใช่กำลังของเขาเองที่ช่วยพวกเขาให้รอด
ความอ่อนแอของเรายังส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างผู้เชื่อ ขณะที่ความเข้มแข็งทำให้เกิดท่าทีไม่อยากพึ่งพาอาศัยใคร (ฉันไม่ต้องการคนอื่น) ข้อจำกัดต่าง ๆ ของเรา ทำให้เห็นว่าเราต้องการกันและกันมากเพียงไร เมื่อเราถักทอสายใยความอ่อนแอของเราเข้าด้วยกัน ก็จะเกิดเป็นเส้นเชือกที่แข็งแรง เวนส์ เฮฟเนอร์เยาะว่า "คริสเตียนก็บอบบางเหมือนเกล็ดหิมะ แต่เมื่อพวกเขารวมตัวกัน พวกเขาก็สามารถหยุดการจราจรได้"
ที่สำคัญที่สุด ความอ่อนแอของเราจะเพิ่มพูนศักยภาพในการเห็นอกเห็นใจและการรับใช้ เราจะสงสารและห่วงใยความอ่อนแอของคนอื่นมากขึ้นอีกแยะ พระเจ้าต้องการให้คุณมีพันธกิจเหมือนพระคริสต์ในโลกนี้ นั่นหมายความว่าคนอื่นจะได้พบการบำบัดรักษาจากบาดแผลของคุณ เรื่องราวชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคุณ และพันธกิจที่เกิดผลมากที่สุดของคุณ จะมาจากบาดแผลที่ลึกที่สุดของคุณ สิ่งที่คุณขายหน้าที่สุด ละอายที่สุด และลังเลที่จะพูดถึงที่สุดคือ เครื่องมือที่พระเจ้าสามารถใช้อย่างทรงพลังที่สุด เพื่อเยียวยารักษาคนอื่น
ฮัดสัน เทเลอร์ มิชชันนารีผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า "คนสำคัญของพระเจ้าเป็นคนอ่อนแอกันทุกคน" ความอ่อนแอของโมเสสคืออารมณ์ของท่าน มันทำให้ท่านฆ่าคนอียิปต์ ตีหินที่ท่านควรจะพูดกับมัน และทุ่มแผ่นศิลาบัญญัติสิบประการจนแตก แต่พระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงโมเสสให้เป็น "คนถ่อมใจมากยิ่งกว่าคนทั้งปวงที่พื้นแผ่นดิน" (กันดารวิถี 12:3)
ความอ่อนแอของกิเดโอนคือการมองตัวเองด้อยค่า และความรู้สึกหวั่นไหวอยู่ลึก ๆ แต่พระเจ้าทรงเปลี่ยนท่านให้เป็น "บุรุษผู้กล้าหาญ" (ผู้วินิจฉัย 6:12) ความอ่อนแอของอับราฮัมคือความกลัว ไม่ใช่ครั้งเดียว แต่ถึงสองครั้ง ที่ท่านอ้างว่าภรรยาเป็นน้องสาวเพื่อปกป้องตัวเอง แต่พระเจ้าทรงเปลี่ยนอับราฮัมให้เป็น "บิดาของคนทั้งปวงที่เชื่อ" (โรม 4:11) เปโตรผู้หุนหันและไม่หนักแน่นกลายเป็น "ศิลา" (มัทธิว 16:18) ดาวิดผู้ล่วงประเวณีกลายเป็น "คนที่เราชอบใจ" (กิจการ 13:22) และยอห์นหนึ่งใน "ลูกฟ้าร้อง" ผู้เย่อหยิ่งได้กลายเป็น "อัครทูตแห่งความรัก"
ตัวอย่างเหล่านี้มีไม่จบไม่สิ้น "ไม่มีเวลาพอที่จะกล่าวถึง… บาราด แซมสัน เยฟธาร์ ดาวิด ซามูเอล และผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย… ความอ่อนแอของท่านก็กลับเป็นความเข้มแข็ง" (ฮีบรู 11:32-34) พระเจ้าทรงเชี่ยวชาญในการเปลี่ยนแปลงความอ่อนแอให้กลับกลายเป็นความเข้มแข็ง พระองค์ต้องการรับเอาความอ่อนแอที่น่าหนักใจที่สุดของคุณ และเปลี่ยนแปลงมัน
เปิดเผยความอ่อนแอของคุณอย่างตรงไปตรงมา พันธกิจเริ่มต้นด้วยการเปิดโอกาสให้โจมตี ยิ่งคุณหยุดปกป้องตัวเอง ยิ่งคุณถอดหน้ากากของคุณ และเล่าเรื่องการต่อสู้ดิ้นรนให้คนอื่น พระเจ้าก็จะยิ่งสามารถใช้คุณในการปรนนิบัติคนอื่น
เปาโลแสดงแบบอย่างของการเปิดโอกาสให้โจมตีในจดหมายทุกฉบับของท่าน ท่านบอกอย่างเปิดเผยถึง
๐ ความล้มเหลวของท่าน "การดีนั้นซึ่งข้าพเจ้าปราถนาทำ ข้าพเจ้าไม่ได้ทำแต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปราถนาทำ ข้าพเจ้ายังทำอยู่ (โรม 7:19)
๐ ความรู้สึกของท่าน "ข้าพเจ้าได้บอกความรู้สึกทั้งหมดแก่พวกท่าน" (2 โครินธ์ 6:11 LB)
๐ ความหนักใจของท่าน "เราหนักใจเหลือกำลังจนเราเกือบหมดหวังที่จะเอาชีวิตรอดมาได้" (2 โครินธ์ 1:8)
๐ ความกลัวของท่าน "ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลายด้วยความอ่อนแอ ด้วยความกลัวและความหวาดหวั่นมาก" (1 โครินธ์ 2:3 2002)
แน่นอน การเปิดโอกาสให้โจมตีนั้นอันตราย มันน่ากลัวที่คุณจะลดการป้องกันตัว และเปิดเผยชีวิตของคุณต่อคนอื่น เมื่อคุณเปิดเผยความล้มเหลว ความรู้สึก ความหนักใจ และความกลัวของคุณ คุณก็เสี่ยงที่จะถูกปฏิเสธ แต่ประโยชน์ต่าง ๆ นั้นคุ้มกับการเสี่ยง การเปิดโอกาสให้โจมตีนั้นเป็นการปลดพันธนาการทางอารมณ์ การเปิดเผยจะช่วยลดความเคลียด ปลดชนวนความกลัว และเป็นก้าวแรกสู่เสรีภาพ
เราได้เห็นแล้วว่า พระเจ้า "ประทานพระคุณแก่คนที่ถ่อมใจ" แต่หลายคนเข้าใจ ความถ่อมใจผิด ความถ่อมใจไม่ใช่การกดตัวคุณเองลง หรือปฏิเสธข้อดีของคุณ แต่เป็นการเปิดเผยความอ่อนแอของคุณ ยิ่งคุณเปิดเผยมากเท่าไร พระคุณของพระเจ้าก็จะมาถึงคุณมากเท่านั้น คุณยังจะได้รับความกรุณาจากคนอื่นด้วย การเปิดโอกาสให้โจมตีเป็นคุณสมบัติที่ทำให้เราเป็นที่รัก โดยธรรมชาติแล้วเรามักจะชอบคนถ่อมใจ การเสแสร้งจะผลักไสคนอื่นแต่การแสดงตัวตนที่แท้จริงจะดึงดูดผู้อื่น และการเปิดโอกาสให้โจมตีก็เป็นหนทางสู่ความสนิทสนม
นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าต้องการใช้ความอ่อนแอของคุณ ไม่ใช่ความเข้มแข็งของคุณเพียงอย่างเดียว ถ้าทุกคนเห็นแต่ความเข้มแข็งของคุณ พวกเขาก็จะท้อใจและคิดว่า "มันคงดีสำหรับเขา แต่ฉันคงไม่มีวันทำสิ่งนั้นได้" แต่เมื่อพวกเขาเห็นพระเจ้าทรงใช้คุณ แม้ว่าคุณอ่อนแอ มันก็จะหนุนใจพวกเขาให้คิดว่า "บางทีพระเจ้าอาจจะสามารถใช้ฉันก็ได้" ความเข้มแข็งของเราก่อให้เกิดการแข่งขัน แต่ความอ่อนแอก่อให้เกิดชุมชน
ณ บางจุดในชีวิต คุณจะต้องตัดสินใจว่า คุณอยากทำให้คนอื่นประทับใจ หรือคุณอยากมีอิทธิพลต่อชีวิตเขา คุณสามารถทำให้คนอื่นประทับใจโดยยืนอยู่ห่วง ๆ แต่คุณต้องใกล้ชิดจึงจะสามารถมีอิทธิพลต่อพวกเขา และเมื่อคุณทำเช่นนั้น พวกเขาจะสามารถเห็นความบกพร่องของคุณ แต่นั่นไม่เป็นไร คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดสำหรับการเป็นผู้นำไม่ใช่การเป็นคนดีพร้อมไร้ที่ติ แต่เป็นความน่าเชื่อถือ คนอื่นต้องสามารถวางใจคุณได้ มิฉะนั้นพวกเขาก็จะไม่ติดตามคุณ คุณจะสร้างความน่าเชื่อถือได้อย่างไร ไม่ใช่โดยการแสร้งทำเป็นดีพร้อม แต่โดยการยอมรับความจริง
ยกย่องความอ่อนแอของคุณ เปาโลกล่าวว่า "ข้าพเจ้าจะโอ้อวดเฉพาะเรื่องที่ว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเพียงไร และพระเจ้าทรงใช้ความอ่อนแอเช่นนี้อย่างไรเพื่อพระเกียรติของพระองค์" (2 โครินธ์ 12:5ข LB) แทนที่จะแสดงความมั่นใจในตัวเอง และความแข็งแกร่ง จงมองว่าตัวคุณคือรางวัลแห่งพระคุณ เมื่อซาตานชี้ความอ่อนแอของคุณ จงเห็นด้วยกับมัน และเติมหัวใจคุณให้เต็มด้วยคำสรรเสริญพระเยซู ผู้ทรง "เห็นใจในความอ่อนแอของเรา" (ฮีบรู 4:15) และสรรเสริญพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ "ทรงช่วยเราเมื่อเราอ่อนกำลัง" (โรม 8:26ก)
อย่างไรก็ตาม บางครั้งพระเจ้าก็ทรงเปลี่ยนความเข้มแข็งเป็นความอ่อนแอเพื่อจะทรงใช้เรามากขึ้น ยาโคบเป็นนักหลอกลวงซึ่งใช้ชีวิตด้วยการวางอุบาย แล้วก็วิ่งหนีจากผลที่จะตามมา คืนหนึ่ง ท่านปล้ำสู้กับพระเจ้าและกล่าวว่า "ข้าพเจ้าจะไม่ปล่อย จนกว่าท่านจะอวยพรข้าพเจ้า" พระเจ้าตรัสว่า "ตกลง" แต่แล้วพระองค์ทรงฉวยต้นขาของยาโคบและเคลื่อนสะโพกของท่าน เรื่องนี้มีความหมายอย่างไร
พระเจ้าทรงสัมผัสพละกำลังของยาโคบ (กล้ามเนื้อต้นขาคือส่วนที่แข็งแรงที่สุดในร่างกาย) และเปลี่ยนเป็นความอ่อนแอ ตั้งแต่วันนั้นมา ยาโคบจึงเดินกระเผลก ท่านไม่สามารถวิ่งหนีได้อีก ความอ่อนแอนี้บังคับท่านให้พึ่งพระเจ้าไม่ว่าท่านจะชอบหรือไม่ก็ตาม ถ้าคุณต้องการให้พระเจ้าทรงอวยพระพรและใช้คุณมาก ๆ คุณก็ต้องเต็มใจที่เดินกระเผลกไปตลอดเวลาที่เหลือในชีวิตของคุณ เพราะว่าพระเจ้าทรงใช้คนอ่อนแอ
วันที่ 35 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: พระเจ้าทรงทำงานได้ดีที่สุดเมื่อฉันยอมรับความอ่อนแอของตัวเอง
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น" 2 โครินธ์ 12:9ก
คำถามสำหรับการพิจารณา: ฉันกำลังจำกัดฤทธิ์เดชของพระเจ้าในชีวิตของตัวเอง โดยการพยายามปกปิดความอ่อนแอของฉันหรือไม่ ฉันต้องเปิดเผยเรื่องอะไรบ้าง จึงจะสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้
2 โครินธ์ 13:4 (อมตธรรมร่วมสมัย)
เราอยู่กับเจ้า นั่นคือทั้งหมดที่เจ้าต้องการฤทธานุภาพของเราปรากฏชัดที่สุดในคนอ่อนแอ
2 โครินธ์ 12:9ก (LB)
พระเจ้าชอบใช้คนอ่อนแอ
ทุกคนมีความอ่อนแอ ที่จริง คุณมีความบกพร่องและความไม่สมบูรณ์มากมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย อารมณ์ สติปัญญา และจิตวิญญาณ และอาจจะมีสถานการณ์ที่คุณควบคุมไม่ได้ซึ่งทำให้คุณอ่อนแอ อย่างเช่น ความจำกัดด้านการเงิน และความสัมพันธ์ ปัญหาที่สำคัญกว่าคือ คุณทำอะไรกับสิ่งเหล่านี้ ตามปกติ เราปฏิเสธความอ่อนแอของเรา ปกป้อง แก้ตัว ซุกซ่อน และขุ่นเคืองต่อสิ่งเหล่านั้น แต่การกระทำเหล่านี้ขัดขวางไม่ให้พระเจ้าทรงใช้ความอ่อนแอในลักษณะที่พระองค์ต้องการ
พระเจ้าทรงมีมุมมองที่แตกต่างในเรื่องความอ่อนแอของคุณ พระองค์ตรัสว่า "วิถีของเราสูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้า" (อิสยาห์ 55:9) ดังนั้นพระองค์มักจะทรงกระทำตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราคาดคิด เราคิดว่าพระเจ้าต้องการใช้แต่ข้อดีของเรา แต่พระองค์ต้องการใช้ความอ่อนแอของเราเพื่อพระสิริของพระองค์ด้วย
พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าอ่อนแอเพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย" (1 โครินธ์ 1:23) ความอ่อนแอของคุณไม่ใช่ความบังเอิญ พระเจ้าทรงจงใจอนุญาตให้มีสิ่งเหล่านี้ในชีวิตของเรา เพื่อพระประสงค์ในการสำแดงฤทธิ์เดชของพระองค์ผ่านตัวคุณ
พระเจ้าไม่เคยประทับใจกำลังหรือความเก่งกาจของตัวคุณ ที่จริงพระองค์มักจะโน้มลงมาหาคนที่อ่อนแอและยอมรับมัน พระเยซูทรงถือว่าการที่เรายอมรับความขัดสนคือ "ความรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ" ซึ่งเป็นท่าทีอันดับแรกที่พระองค์ทรงอวยพระพร (มัทธิว 5:3)
พระคัมภีร์เต็มไปด้วยตัวอย่างที่พระเจ้าชอบใช้คนธรรมดาที่ไม่สมบูรณ์เพื่อทำสิ่งไม่ธรรมดา โดยไม่คำนึงถึงความอ่อนแอของพวกเขา ถ้าพระเจ้าทรงใช้แต่คนที่ดีพร้อม ก็คงไม่มีอะไรสำเร็จเลยสักอย่าง เพราะว่าไม่มีใครในพวกเราที่ไม่มีจุดบกพร่อง การที่พระเจ้าทรงใช้คนที่ไม่สมบูรณ์นั้นเป็นข่าวดีที่ให้กำลังใจเราทุกคน
ความอ่อนแอหรือ "หนาม" ที่เปาโลเรียกนั้น (2 โครินธ์ 12:7) ไม่ใช่ความบาป ความชั่ว หรือความบกพร่องในลักษณะนิสัยซึ่งคุณสามารถเปลี่ยนแปลงได้ อย่างเช่น การกินมากเกินไป หรือความไม่อดทน แต่ความอ่อนแอคือข้อจำกัดใด ๆ ก็ตามที่คุณได้รับตกทอดมา หรือไม่มีกำลังที่จะเปลี่ยนแปลงได้ มันอาจเป็นข้อจำกัดทางร่างกาย อย่างเช่น ความพิการ ความเจ็บป่วยเรื้อรัง การมีเรี่ยวแรงน้อยโดยธรรมชาติ หรือสภาพไร้ความสามารถอย่างใดอย่างหนึ่ง มันอาจจะเป็นข้อจำกัดทางอารมณ์ เช่นแผลจากความเจ็บช้ำน้ำใจ ความทรงจำอันเจ็บปวด บุคลิกประหลาด หรือความโน้มเอียงทางกรรมพันธ์ุ หรือมันอาจเป็นข้อจำกัดด้านความสามารถหรือสติปัญญา เราไม่ได้ปราดเปรื่องหรือเก่งกาจกันหมดทุกคน
เมื่อคิดถึงข้อจำกัดในชีวิตคุณ คุณอาจจะถูกล่อลวงให้สรุปว่า "พระเจ้าคงไม่มีวันใช้ผมหรอก" แต่พระเจ้าไม่เคยถูกจำกัดด้วยข้อจำกัดของเรา ที่จริง พระองค์ทรงพอพระทัยที่จะเติมฤทธิ์เดชยิ่งใหญ่ลงในภาชนะธรรมดา ๆ พระคัมภีร์กล่าวว่า "เราเป็นเหมือนภาชนะดินที่บรรจุของมีค่านี้ ฤทธิ์เดชที่แท้นั้นมาจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากตัวเรา" (2 โครินธ์ 4:7 CEV) เช่นเดียวกับภาชนะดินทั่ว ๆ ไป เราเปราะบาง มีตำหนิ และแตกง่าย แต่พระเจ้าจะใช้เราเช่นนั้น เราต้องทำตามแบบอย่่างของเปาโล
ยอมรับความอ่อนแอของเรา จงยอมรับความไม่สมบูรณ์ของคุณ เลิกเสแสร้งว่า คุณดีพร้อมทุกอย่าง และซื่อสัตย์กับตัวเอง แทนที่จะดำเนินชีวิตด้วยการปฏิเสธหรือแก้ตัวจงใช้เวลาทำความรู้จักความอ่อนแอส่วนตัวของคุณ คุณอาจจะเขียนรายการความอ่อนแอเหล่านั้นก็ได้
คำยอมรับครั้งสำคัญสองครั้งในพระคัมภีร์ใหม่แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เราจำเป็นต้องมีเพื่อจะดำเนินชีวิตแข็งแรง ครั้งแรกคือคำยอมรับของเปโตร ซึ่งทูลพระเยซูว่า "พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่" (มัทธิว 16:16) ครั้งที่สองคือ คำยอมรับของเปาโล ซึ่งกล่าวแก่ฝูงชนที่ไหว้รูปเคารพว่า "เราก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดา ๆ เหมือนกับพวกท่าน" (กิจการ 14:15 อ่านเข้าใจง่าย) ถ้าคุณต้องการให้พระเจ้าทรงใช้คุณ คุณจะต้องรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใด และคุณเองเป็นใคร คริสเตียนหลายคนโดยเฉพาะผู้นำลืมความจริงประการที่สอง เราเป็นเพียงมนุษย์ และถ้าจะต้องอาศัยวิกฤตเพื่อให้คุณยอมรับสิ่งนี้ พระเจ้าก็จะไม่ลังเลที่จะอนุญาตให้มันเกิดขึ้น เพราะว่าพระองค์ทรงรักคุณ
จงพอใจในความอ่อนแอของคุณ เปาโลกล่าวไว้ว่า "ข้าพเจ้ายินดีจะโอ้อวดความอ่อนแอของข้าพเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะทำงานผ่านข้าพเจ้า เนื่องจากข้าพเจ้ารู้ว่าทุกสิ่งเพื่อสิ่งดีของพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงพอใจอย่างยิ่งในความอ่อนของข้าพเจ้า" (2 โครินธ์ 12:9-10 NLT) ทีแรกเรื่องนี้คงดูไม่สมเหตุสมผล เราอยากเป็นอิสระจากความอ่อนแอของเรา ไม่ใช่พอใจกับมัน แต่ความพอใจคือการแสดงออกว่า เราเชื่อในความดีของพระเจ้า มันคือการกล่าวว่า "พระเจ้า ข้าพระองค์เชื่อว่าพระองค์ทรงรักข้าพระองค์ และทรงรู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับข้าพระองค์"
เปาโลให้เหตุผลหลายประการ เพื่อให้เราพอใจในความอ่อนแอที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ประการแรก สิ่งเหล่านี้ทำให้เราพึ่งพระเจ้า เมื่อกล่าวถึงความอ่อนแอของท่าน ซึ่งพระเจ้าทรงปฏิเสธที่จะขจัดออกไป เปาโลกล่าวว่า "ข้าพเจ้ามีความสุขกับ "หนามนั้น"… เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อนั้นข้าพเจ้าก็จะเข้มแข็ง คือยิ่งข้าพเจ้ามีน้อย ข้าพเจ้าก็ยิ่งพึ่งพระองค์มาก" (2 โครินธ์ 12:10 LB ) เมื่อไรก็ตามที่คุณรู้สึกอ่อนแอ พระเจ้ากำลังเตือนคุณให้พึ่งพระองค์
ควาอ่อนแอยังช่วยป้องกันไม่ให้หยิ่งยโส มันทำให้เราถ่อมใจ เปาโลกล่าวว่า "เพื่อข้าพเจ้าจะไม่อวดดี ข้าพเจ้าจึงได้รับของประทานเป็นความพิการ เพื่อข้าพเจ้าจะไม่ลืมความจำกัดของข้าพเจ้า" (2 โครินธ์ 12:7 Msg) พระเจ้ามักจะผูกความอ่อนแอสำคัญ ๆ เข้ากับจุดแข็งที่โดเด่น เพื่อควบคุมอัตตาของเรา ข้อจำกัดสามารถทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองที่ควบคุมเราไม่ให้มุ่งหน้าเร็วเกินไป หรือทำอะไรล้ำหน้าพระเจ้า
เมื่อกิเดโอนเกณ์ทหาร 32,000 คนเพื่อสู้รบกับคนมีเดียน พระเจ้าทอนจำนวนลงเหลือ 300 คน ทำให้อัตราส่วนกลายเป็น 450 ต่อ 1 เมื่อพวกเขาออกไปสู้กับกองทัพศัตรู 135,000 คน มันดูเหมือนจะเป็นสูตรสำหรับความหายนะ แต่พระเจ้าทรงทำเช่นนั้นเพื่อคนอิสราเอลจะรู้ว่าเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า ไม่ใช่กำลังของเขาเองที่ช่วยพวกเขาให้รอด
ความอ่อนแอของเรายังส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างผู้เชื่อ ขณะที่ความเข้มแข็งทำให้เกิดท่าทีไม่อยากพึ่งพาอาศัยใคร (ฉันไม่ต้องการคนอื่น) ข้อจำกัดต่าง ๆ ของเรา ทำให้เห็นว่าเราต้องการกันและกันมากเพียงไร เมื่อเราถักทอสายใยความอ่อนแอของเราเข้าด้วยกัน ก็จะเกิดเป็นเส้นเชือกที่แข็งแรง เวนส์ เฮฟเนอร์เยาะว่า "คริสเตียนก็บอบบางเหมือนเกล็ดหิมะ แต่เมื่อพวกเขารวมตัวกัน พวกเขาก็สามารถหยุดการจราจรได้"
ที่สำคัญที่สุด ความอ่อนแอของเราจะเพิ่มพูนศักยภาพในการเห็นอกเห็นใจและการรับใช้ เราจะสงสารและห่วงใยความอ่อนแอของคนอื่นมากขึ้นอีกแยะ พระเจ้าต้องการให้คุณมีพันธกิจเหมือนพระคริสต์ในโลกนี้ นั่นหมายความว่าคนอื่นจะได้พบการบำบัดรักษาจากบาดแผลของคุณ เรื่องราวชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคุณ และพันธกิจที่เกิดผลมากที่สุดของคุณ จะมาจากบาดแผลที่ลึกที่สุดของคุณ สิ่งที่คุณขายหน้าที่สุด ละอายที่สุด และลังเลที่จะพูดถึงที่สุดคือ เครื่องมือที่พระเจ้าสามารถใช้อย่างทรงพลังที่สุด เพื่อเยียวยารักษาคนอื่น
ฮัดสัน เทเลอร์ มิชชันนารีผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า "คนสำคัญของพระเจ้าเป็นคนอ่อนแอกันทุกคน" ความอ่อนแอของโมเสสคืออารมณ์ของท่าน มันทำให้ท่านฆ่าคนอียิปต์ ตีหินที่ท่านควรจะพูดกับมัน และทุ่มแผ่นศิลาบัญญัติสิบประการจนแตก แต่พระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงโมเสสให้เป็น "คนถ่อมใจมากยิ่งกว่าคนทั้งปวงที่พื้นแผ่นดิน" (กันดารวิถี 12:3)
ความอ่อนแอของกิเดโอนคือการมองตัวเองด้อยค่า และความรู้สึกหวั่นไหวอยู่ลึก ๆ แต่พระเจ้าทรงเปลี่ยนท่านให้เป็น "บุรุษผู้กล้าหาญ" (ผู้วินิจฉัย 6:12) ความอ่อนแอของอับราฮัมคือความกลัว ไม่ใช่ครั้งเดียว แต่ถึงสองครั้ง ที่ท่านอ้างว่าภรรยาเป็นน้องสาวเพื่อปกป้องตัวเอง แต่พระเจ้าทรงเปลี่ยนอับราฮัมให้เป็น "บิดาของคนทั้งปวงที่เชื่อ" (โรม 4:11) เปโตรผู้หุนหันและไม่หนักแน่นกลายเป็น "ศิลา" (มัทธิว 16:18) ดาวิดผู้ล่วงประเวณีกลายเป็น "คนที่เราชอบใจ" (กิจการ 13:22) และยอห์นหนึ่งใน "ลูกฟ้าร้อง" ผู้เย่อหยิ่งได้กลายเป็น "อัครทูตแห่งความรัก"
ตัวอย่างเหล่านี้มีไม่จบไม่สิ้น "ไม่มีเวลาพอที่จะกล่าวถึง… บาราด แซมสัน เยฟธาร์ ดาวิด ซามูเอล และผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย… ความอ่อนแอของท่านก็กลับเป็นความเข้มแข็ง" (ฮีบรู 11:32-34) พระเจ้าทรงเชี่ยวชาญในการเปลี่ยนแปลงความอ่อนแอให้กลับกลายเป็นความเข้มแข็ง พระองค์ต้องการรับเอาความอ่อนแอที่น่าหนักใจที่สุดของคุณ และเปลี่ยนแปลงมัน
เปิดเผยความอ่อนแอของคุณอย่างตรงไปตรงมา พันธกิจเริ่มต้นด้วยการเปิดโอกาสให้โจมตี ยิ่งคุณหยุดปกป้องตัวเอง ยิ่งคุณถอดหน้ากากของคุณ และเล่าเรื่องการต่อสู้ดิ้นรนให้คนอื่น พระเจ้าก็จะยิ่งสามารถใช้คุณในการปรนนิบัติคนอื่น
เปาโลแสดงแบบอย่างของการเปิดโอกาสให้โจมตีในจดหมายทุกฉบับของท่าน ท่านบอกอย่างเปิดเผยถึง
๐ ความล้มเหลวของท่าน "การดีนั้นซึ่งข้าพเจ้าปราถนาทำ ข้าพเจ้าไม่ได้ทำแต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปราถนาทำ ข้าพเจ้ายังทำอยู่ (โรม 7:19)
๐ ความรู้สึกของท่าน "ข้าพเจ้าได้บอกความรู้สึกทั้งหมดแก่พวกท่าน" (2 โครินธ์ 6:11 LB)
๐ ความหนักใจของท่าน "เราหนักใจเหลือกำลังจนเราเกือบหมดหวังที่จะเอาชีวิตรอดมาได้" (2 โครินธ์ 1:8)
๐ ความกลัวของท่าน "ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลายด้วยความอ่อนแอ ด้วยความกลัวและความหวาดหวั่นมาก" (1 โครินธ์ 2:3 2002)
แน่นอน การเปิดโอกาสให้โจมตีนั้นอันตราย มันน่ากลัวที่คุณจะลดการป้องกันตัว และเปิดเผยชีวิตของคุณต่อคนอื่น เมื่อคุณเปิดเผยความล้มเหลว ความรู้สึก ความหนักใจ และความกลัวของคุณ คุณก็เสี่ยงที่จะถูกปฏิเสธ แต่ประโยชน์ต่าง ๆ นั้นคุ้มกับการเสี่ยง การเปิดโอกาสให้โจมตีนั้นเป็นการปลดพันธนาการทางอารมณ์ การเปิดเผยจะช่วยลดความเคลียด ปลดชนวนความกลัว และเป็นก้าวแรกสู่เสรีภาพ
เราได้เห็นแล้วว่า พระเจ้า "ประทานพระคุณแก่คนที่ถ่อมใจ" แต่หลายคนเข้าใจ ความถ่อมใจผิด ความถ่อมใจไม่ใช่การกดตัวคุณเองลง หรือปฏิเสธข้อดีของคุณ แต่เป็นการเปิดเผยความอ่อนแอของคุณ ยิ่งคุณเปิดเผยมากเท่าไร พระคุณของพระเจ้าก็จะมาถึงคุณมากเท่านั้น คุณยังจะได้รับความกรุณาจากคนอื่นด้วย การเปิดโอกาสให้โจมตีเป็นคุณสมบัติที่ทำให้เราเป็นที่รัก โดยธรรมชาติแล้วเรามักจะชอบคนถ่อมใจ การเสแสร้งจะผลักไสคนอื่นแต่การแสดงตัวตนที่แท้จริงจะดึงดูดผู้อื่น และการเปิดโอกาสให้โจมตีก็เป็นหนทางสู่ความสนิทสนม
นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าต้องการใช้ความอ่อนแอของคุณ ไม่ใช่ความเข้มแข็งของคุณเพียงอย่างเดียว ถ้าทุกคนเห็นแต่ความเข้มแข็งของคุณ พวกเขาก็จะท้อใจและคิดว่า "มันคงดีสำหรับเขา แต่ฉันคงไม่มีวันทำสิ่งนั้นได้" แต่เมื่อพวกเขาเห็นพระเจ้าทรงใช้คุณ แม้ว่าคุณอ่อนแอ มันก็จะหนุนใจพวกเขาให้คิดว่า "บางทีพระเจ้าอาจจะสามารถใช้ฉันก็ได้" ความเข้มแข็งของเราก่อให้เกิดการแข่งขัน แต่ความอ่อนแอก่อให้เกิดชุมชน
ณ บางจุดในชีวิต คุณจะต้องตัดสินใจว่า คุณอยากทำให้คนอื่นประทับใจ หรือคุณอยากมีอิทธิพลต่อชีวิตเขา คุณสามารถทำให้คนอื่นประทับใจโดยยืนอยู่ห่วง ๆ แต่คุณต้องใกล้ชิดจึงจะสามารถมีอิทธิพลต่อพวกเขา และเมื่อคุณทำเช่นนั้น พวกเขาจะสามารถเห็นความบกพร่องของคุณ แต่นั่นไม่เป็นไร คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดสำหรับการเป็นผู้นำไม่ใช่การเป็นคนดีพร้อมไร้ที่ติ แต่เป็นความน่าเชื่อถือ คนอื่นต้องสามารถวางใจคุณได้ มิฉะนั้นพวกเขาก็จะไม่ติดตามคุณ คุณจะสร้างความน่าเชื่อถือได้อย่างไร ไม่ใช่โดยการแสร้งทำเป็นดีพร้อม แต่โดยการยอมรับความจริง
ยกย่องความอ่อนแอของคุณ เปาโลกล่าวว่า "ข้าพเจ้าจะโอ้อวดเฉพาะเรื่องที่ว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเพียงไร และพระเจ้าทรงใช้ความอ่อนแอเช่นนี้อย่างไรเพื่อพระเกียรติของพระองค์" (2 โครินธ์ 12:5ข LB) แทนที่จะแสดงความมั่นใจในตัวเอง และความแข็งแกร่ง จงมองว่าตัวคุณคือรางวัลแห่งพระคุณ เมื่อซาตานชี้ความอ่อนแอของคุณ จงเห็นด้วยกับมัน และเติมหัวใจคุณให้เต็มด้วยคำสรรเสริญพระเยซู ผู้ทรง "เห็นใจในความอ่อนแอของเรา" (ฮีบรู 4:15) และสรรเสริญพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ "ทรงช่วยเราเมื่อเราอ่อนกำลัง" (โรม 8:26ก)
อย่างไรก็ตาม บางครั้งพระเจ้าก็ทรงเปลี่ยนความเข้มแข็งเป็นความอ่อนแอเพื่อจะทรงใช้เรามากขึ้น ยาโคบเป็นนักหลอกลวงซึ่งใช้ชีวิตด้วยการวางอุบาย แล้วก็วิ่งหนีจากผลที่จะตามมา คืนหนึ่ง ท่านปล้ำสู้กับพระเจ้าและกล่าวว่า "ข้าพเจ้าจะไม่ปล่อย จนกว่าท่านจะอวยพรข้าพเจ้า" พระเจ้าตรัสว่า "ตกลง" แต่แล้วพระองค์ทรงฉวยต้นขาของยาโคบและเคลื่อนสะโพกของท่าน เรื่องนี้มีความหมายอย่างไร
พระเจ้าทรงสัมผัสพละกำลังของยาโคบ (กล้ามเนื้อต้นขาคือส่วนที่แข็งแรงที่สุดในร่างกาย) และเปลี่ยนเป็นความอ่อนแอ ตั้งแต่วันนั้นมา ยาโคบจึงเดินกระเผลก ท่านไม่สามารถวิ่งหนีได้อีก ความอ่อนแอนี้บังคับท่านให้พึ่งพระเจ้าไม่ว่าท่านจะชอบหรือไม่ก็ตาม ถ้าคุณต้องการให้พระเจ้าทรงอวยพระพรและใช้คุณมาก ๆ คุณก็ต้องเต็มใจที่เดินกระเผลกไปตลอดเวลาที่เหลือในชีวิตของคุณ เพราะว่าพระเจ้าทรงใช้คนอ่อนแอ
วันที่ 35 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: พระเจ้าทรงทำงานได้ดีที่สุดเมื่อฉันยอมรับความอ่อนแอของตัวเอง
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น" 2 โครินธ์ 12:9ก
คำถามสำหรับการพิจารณา: ฉันกำลังจำกัดฤทธิ์เดชของพระเจ้าในชีวิตของตัวเอง โดยการพยายามปกปิดความอ่อนแอของฉันหรือไม่ ฉันต้องเปิดเผยเรื่องอะไรบ้าง จึงจะสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้
วันที่ 34 คิดอย่างผู้รับใช้
คาเลบผู้รับใช้ของเราคิดไม่เหมือนคนเหล่านี้ เขาติดตามเรามาตลอด
กันดารวิถี 14:24 (NCV)
จงคิดถึงตน อย่างที่พระคริสต์ทรงคิดถึงพระองค์เอง
ฟีลิปปี 2:5 (Msg)
การรับใช้เริ่มต้นที่ความคิดของคุณ
การจะเป็นผู้รับใช้นั้นจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนความคิดและเปลี่ยนแปลงท่าที่ พระเจ้าสนพระทัยเหตุผลเบื้องหลังของสิ่งที่เราทำมากกว่าสิ่งที่ทำ ท่าทีสำคัญกว่าความสำเร็จ กษัตริย์อามาซิยาห์สูญเสียความพอพระทัยของพระเจ้า เพราะ "พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชอบในสายพระเนตรพระเจ้า แต่มิใช่ด้วยพระทัยที่แท้จริง" (2 พงศาวดาร 25:2) ผู้รับใช้แท้รับใช้พระเจ้าด้วยท่าทีห้าประการต่อไปนี้
ผู้รับใช้คิดถึงผู้อื่นมากกว่าตัวเอง ผู้รับใช้จะจดจ่อที่คนอื่น ไม่ใช่ตัวเอง นี่คือถ่อมใจแท้ คือไม่ใช่การคิดว่าตัวเองด้อย แต่คิดถึงตัวเองน้อยลง พวกเขามักจะลืมนึกถึงตัวเอง เปาโลกล่าวว่า "จงลืมนึกถึงตัวเองนานพอที่จะช่วยเหลือคนอื่น" (ฟีลิปปี 2:4 Msg) นี่คือความหมายของการ "สูญเสียชีวิตของท่าน" คือลืมนึกถึงตัวเองในการรับใช้คนอื่นเมื่อเราเลิกจดจ่อที่ความต้องการของเราเอง เราก็ตื่นตัวต่อความต้องการที่อยู่รอบตัวเรา
พระเยซูทรง "สละทุกสิ่งหมด มารับสภาพอย่างทาส" (ฟีลิปปี 2:7 ประชานิยม) ครั้งสุดท้ายที่คุณสละตัวเองเพื่อผลประโยชน์ของคนอื่นคือเมื่อไหร่ คุณไม่สามารถเป็นผู้รับใช้ได้ถ้าคุณคิดถึงแต่ตัวเอง เราจะทำสิ่งที่ควรแก่การจดจำก็เมื่อเราลืมนึกถึงตัวเอง
น่าเสียดายที่การรับใช้มากมายของเรามักจะเป็นการรับใช้ตัวเอง เรารับใช้เพื่อให้คนอื่นชอบเรา เพื่อจะเป็นที่ยกย่อง หรือเพื่อบรรลุเป้าหมายของเรา นั่นไม่ใช่พันธกิจ แต่เป็นการพยายามควบคุมและใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือ ตลอดเวลา เราคิดถึงแต่ตัวเองและคิดว่าเรา น่านับถือและวิเศษเพียงไร บางคนพยายามใช้การรับใช้เป็นเครื่องมือต่อรองกับพระเจ้า "ข้าพระองค์จะทำสิ่งนี้เพื่อพระองค์ ถ้าพระองค์ทรงทำบางสิ่งให้ข้าพระองค์" ผู้รับใช้แท้ไม่พยายามใช้พระเจ้าเพื่อวัตถุประสงค์ของพวกเขา ตรงกันข้าม พวกเขาให้พระเจ้าใช้เขาเพื่อวัตถุประสงค์ของพระองค์
การลืมนึกถึงตัวเองนั้นก็เหมือนกับความสัตย์ซื่อ คือหาได้ยาก ในบรรดาคนทั้งหมดที่เปาโลรู้จัก ทิโมธีเป็นตัวอย่างเดียวที่ท่านสามารถกล่าวถึงได้ (ฟีลิปปี 2:20-21) การคิดอย่างผู้รับใช้นั้นเป็นเรื่องยาก เพราะมันท้าทายปัญหาพื้นฐานของชีวิตผม โดยธรรมชาติแล้วผมเป็นคนเห็นแก่ตัว ผมคิดถึงตัวเองมากที่สุด นั่นคือเหตุผลที่ความถ่อมใจจึงเป็นการต่อสู้ประจำวัน เป็นบทเรียนที่ต้องเรียนซ้ำแล้วซ้ำอีก โอกาสที่จะเป็นผู้รับใช้อยู่ตรงหน้าผมวันละหลายสิบครั้ง ซึ่งผมจะมีโอกาสเลือกระหว่างการสนองความต้องการของตัวเองหรือความต้องการของคนอื่น การปฏิเสธตัวเองคือ แก่นแท้ของการเป็นผู้รับใช้
เราสามารถวัดว่าเรามีหัวใจผู้รับใช้มากแค่ไหน โดยดูวิธีที่เราตอบสนองเมื่อคนอื่นปฏิบัติต่อเราเหมือนเป็นคนรับใช้ คุณตอบสนองอย่างไรเมื่อคนอื่นไม่ขอบคุณคุณ สั่งคุณให้ทำนั่นทำนี่ หรือปฏิบัติต่อคุณอย่างคนที่ด้อยกว่า พระคัมภีร์กล่าวว่า "ถ้าใครเอาเปรียบท่านอย่างอยุติธรรม จงใช้โอกาสนั้นฝึกชีวิตผู้รับใช้" (มัทธิว 5:41 Msg)
ผู้รับใช้คิดว่าตนเป็นผู้อารัขาไม่ใช่เจ้าของ ผู้รับใช้ระลึกว่าพระเจ้าทรงเป็นเจ้าของทุกสิ่ง ในพระคัมภีร์ ผู้อารักขาคือคนที่ได้รับความไว้วางใจให้ดูแลทรัพย์สมบัติ โยเซฟเป็นคนใช้ประเภทนี้ในฐานะนักโทษในอียิปต์ โปทิฟาร์วางใจโยเซฟให้ดูแลบ้านของเขาแล้วนายคุกก็วางใจโยเซฟให้ดูแลคุก ในที่สุด ฟาโรห์วางใจท่านให้ดูแลทั้งประเทศ การเป็นผู้รับใช้ และการเป็นผู้อารักขานั้นไปด้วยกัน (1 โครินธ์ 4:1) เนื่องจากพระเจ้าทรงคาดหวังว่าเราจะไว้ใจได้ในทั้งสองบทบาท พระคัมภีร์กล่าวว่า "ลักษณะประการเดียวที่ผู้รับมอบหมายจะต้องมีก็คือ ซื่อสัตย์ต่อผู้เป็นนายของตน" (1 โครินธ์ 4:2 ประชานิยม) คุณจัดการกับทรัพยากรที่พระเจ้าทรงไว้ใจให้คุณดูแลอย่างไร
ถ้าจะเป็นผู้รับใช้แท้ คุณต้องตัดสินใจเรื่องเงินทองให้เรียบร้อย พระเยซูตรัสว่า "ไม่มีผู้ใดเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้…ท่านจะรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้" (ลูกา 16:13 2002) พระองค์มิได้ตรัสว่า "ไม่ควร" แต่ตรัสว่า "ไม่ได้" มันเป็นไปไม่ได้ การอยู่เพื่อพันธกิจและอยู่เพื่อเงินทองนั้นเป็นเป้าหมายที่แยกจากกันอย่างเด็ดขาด แล้วคุณจะเลือกอะไร ถ้าคุณเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า คุณก็ไม่สามารถมีงานลับ ๆ เพื่อตัวเอง เวลาทั้งหมดของคุณเป็นของพระเจ้า พระองค์ทรงยืนกรานว่าเราต้องถวายความภักดีแบบผูกขาดไม่ใช่ความสัตย์ซื่อบางเวลา
เงินทองมีศักยภาพอย่างมากในการเข้ามาแทนที่พระเจ้า มีคนที่หันเหจากการรับใช้เพราะวัตถุนิยมมากกว่าเพราะสิ่งอื่น พวกเขาบอกว่า "หลังจากที่ผมบรรลุเป้าหมายทางการเงินแล้ว ผมจะรับใช้พระเจ้า" นั่นคือการตัดสินใจอย่างโง่เขลาที่พวกเขาจะเสียใจไปชั่วนิรันดร์ เมื่อพระเยซูทรงเป็นเจ้านายของคุณ เงินทองจะรับใช้คุณ แต่ถ้าเงินทองเป็นเจ้านายของคุณ คุณจะเป็นทาส แน่นอนความมั่งมีไม่ใช่ความบาป แต่การไม่ได้ใช้มันเพื่อพระเกียรติของพระเจ้าเป็นบาป ผู้รับใช้ของพระเจ้าต้องสนใจพันธกิจมากกว่าเงินทองเสมอ
พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนมากว่า พระเจ้าทรงใช้เงินทองเพื่อทดสอบความสัตย์ซื่อในฐานะผู้รับใช้ นั่นคือเหตุผลที่พระเยซูตรัสเรื่องเงินทองมากกว่าตรัสเรื่องสวรรค์หรือนรก พระเยซูตรัสว่า "เหตุฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายไม่ซื่อสัตย์ในการจัดการทรัพย์สมบัติฝ่ายโลกใครจะวางใจท่านให้จัดการทรัพย์สมบัติแท้เล่า" (ลูกา 16:11 NIV) วิธีที่คุณจัดการเงินทองจะมีผลต่อปริมาณพระพรที่พระเจ้าสามารถอำนวยให้เกิดในชีวิตของคุณ
ในบทที่ 31 ผมได้กล่าวถึงคนสองประเภท คือผู้สร้างอาณาจักรของพระเจ้ากับผู้สร้างความมั่งคั่ง คนทั้งสองประเภทเก่งเรื่องการทำให้ธุรกิจเติบโต เจรจาหรือค้าขาย และทำกำไร ผู้สร้างความมั่งคั่งสะสมทรัพย์สมบัติเพื่อตัวเองต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าพวกเขาจะหาเงินได้เท่าไร แต่ผู้สร้างอาณาจักรของพระเจ้าเปลี่ยนกฎการเล่น พวกเขายังพยายามหาเงินให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่พวกเขาทำเพื่อให้เงินออกไป พวกเขาใช้ความมั่งคั่งเพื่อสนับสนุนคริสตจักรของพระเจ้า และภารกิจของคริสตจักรในโลกนี้
ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เรามีกลุ่มผู้บริหารและเจ้าของธุรกิจ ซึ่งพยายามหาเงินให้ได้มากที่สุด เพื่อพวกเขาจะสามารถให้ได้มากที่สุด เพื่อขยายอาณาจักรของพระเจ้า ผมหนุนใจคุณให้คุยกับศิษยาภิบาลของคุณ และเริ่มต้นกลุ่มสร้างอาณาจักรในคริสตจักรของคุณ
ผู้รับใช้คิดถึงงานของตน ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นกำลังทำ พวกเขาไม่เปรียบเทียบ วิพากษ์วิจารณ์ หรือแข่งขันกับผู้รับใช้อื่นหรือพันธกิจอื่น พวกเขายุ่งเกินกว่าจะทำเช่นนั้น เพราะกำลังทำงานที่พระเจ้าทรงมอบหมาย
มีเหตุผลหลายประการที่ทำให้การแข่งขันระหว่างผู้รับใช้พระเจ้าเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผล เราทุกคนล้วนอยู่ในทีมเดียวกัน เป้าหมายของเราคือทำให้พระเจ้าทรงดูดี ไม่ใช่ตัวเราดูดี เราได้รับหน้าที่ที่มอบหมายแตกต่างกัน และเราทุกคนถูกปั้นมาไม่เหมือนกันเปาโลกล่าวว่า "เรามีสิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นที่เราจะทำกับชีวิตของเรา เราแต่ละคนเป็นผลงานของแท้ที่ไม่เหมือนใคร" (กาลาเทีย 5:26 Msg)
ไม่มีที่ว่างสำหรับการอิจฉาคิดเล็กคิดน้อยระหว่างผู้รับใช้ เมื่อคุณยุ่งกับการรับใช้คุณก็จะไม่มีเวลาวิพากษ์วิจารณ์ ช่วงเวลาใดก็ตามที่คุณใช้วิจารณ์คนอื่น เวลานั้นคือเวลาที่คุณสามารถใช้ปรนนิบัติคนอื่นได้ เมื่อมารธาบ่นกับพระเยซูที่มารีย์ไม่ช่วยทำงาน เธอก็สูญเสียหัวใจผู้รับใช้ ผู้รับใช้แท้ไม่บ่นเรื่องความไม่ยุติธรรม ไม่สงสารตัวเอง และไม่ขุ่นเคืองคนที่ไม่รับใช้ พวกเขาเพียงแต่วางใจพระเจ้าและรับใช้ต่อไป
ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะประเมินผู้รับใช้อื่นขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระคัมภีร์กล่าวว่า "ท่านเป็นใครเล่าที่ไปตำหนิผู้รับใช้ของคนอื่น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงตัดสินเองว่าผู้รับใช้ของพระองค์ประสบความสำเร็จหรือไม่" (โรม 14:4 GWT) อีกทั้งไม่ใช่งานของเราที่จะปกป้องตัวเองจากคำวิจารณ์ ปล่อยให้เจ้านายของคุณทรงจัดการเรื่องนั้นเอง จงทำตามตัวอย่างของโมเสส ที่ได้แสดงความถ่อมใจอย่างแท้จริงเมื่อเผชิญการต่อต้าน เช่นเดียวกับเนหะมีย์ซึ่งตอบคนที่วิพากษ์วิจารณ์เพียงแค่ "งานของข้าพเจ้าสำคัญเกินกว่าที่จะหยุดและมาพบท่าน" (เนหะมีย์ 6:3 CEV)
ถ้าคุณรับใช้เหมือนอย่างพระเยซู คุณก็สามารถคาดหมายว่าจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ โลกนี้และแม้แต่คนส่วนใหญ่ในคริสตจักร ไม่เข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงเห็นว่ามีค่า การแสดงความรักต่อพระเยซูอย่างงดงามที่สุดครั้งหนึ่งกลับถูกพวกสาวกตำหนิ มารีย์ได้นำสิ่งมีค่าที่สุดเท่าที่เธอมี คือ น้ำหอมราคาแพง และชโลมพระเยซู การรับใช้แบบเทกระเป๋าของเธอถูกพวกสาวกเรียกว่า "เสียของ" แต่พระเยซูทรงเรียกว่า "มีความหมาย" (มัทธิว 26:10 Msg) และนั่นก็เพียงพอแล้ว การงานที่คุณรับใช้พระคริสต์นั้นไม่เคยสูญเปล่า ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร
ผู้รับใช้เข้าใจตัวตนของเขาตามสายพระเนตรของพระคริสต์ เพราะระลึกว่าพวกเขาเป็นที่รัก และเป็นที่ยอมรับโดยพระคุณ พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องพิสูจรณ์คุณค่าของตนเอง พวกเขาเต็มใจยอมทำงานซึ่งคนจิตใจหวั่นไหวจะถือว่า "ต่ำกว่า" ฐานะของเขา ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการรับใช้ จากด้วยความรู้สึกมั่นคงต่อภาพลักษณ์ของตนเอง คือ การที่พระเยซูทรงล้างเท้าสาวก งานล้างเท้าก็เปรียบเสมือนการเป็นเด็กขัดรองเท้า เป็นงานที่ไม่มีฐานะ แต่พระเยซูทรงทราบว่าพระองค์เป็นใคร งานนี้จึงไม่ได้คุกคามภาพลักษณ์ของพระองค์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเยซูทรงทราบว่าพระบิดาได้ประทานสิ่งทั้งปวงให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และทรงทราบว่าพระองค์มาจากพระเจ้า… พระองค์ทรงลุกขึ้นจากการรับประทานอาหาร ทรงถอดฉลองพระองค์ออกวางไว้ และทรงเอาผ้าเช็ดตัวคาดเอวของพระองค์" (ยอห์น 13:3-4)
ถ้าคุณจะเป็นผู้รับใช้ คุณต้องยอมรับตัวตนของคุณในพระคริสต์ คนที่จิตใจมั่นคงเท่านั้นจึงจะสามารถรับใช้ คนที่จิตใจหวั่นไหวมักจะกังวลว่าคนอื่นจะมองเขาอย่างไร พวกเขากลัวที่จะเปิดเผยความอ่อนแอ และซ่อนอยู่ใต้กระดองแห่งความเย่อหยิ่งและการเสแสร้ง ยิ่งคุณหวั่นไหวมากเท่าใด คุณก็ยิ่งต้องการให้คนอื่นรับใช้และยอมรับคุณมากเท่านั้น
เฮ็นรี่ นูเวน กล่าวว่า "การที่เราจะสามารถรับใช้คนอื่นได้นั้น เราจำเป็นต้องตายต่อพวกเขา นั่นคือ เราต้องเลิกวัดความหมายและคุณค่าของเราด้วยสายวัดของคนอื่น แล้วเราจึงจะเป็นอิสระที่จะมีจิตใจเมตตาสงสารได้" เมื่อคุณวัดคุณค่าและตัวตนของคุณด้วยความสัมพันธ์ของคุณกับพระคริสต์ คุณก็เป็นอิสระจากความคาดหวังของคนอื่น และสิ่งนี้จะปลดปล่อยคุณให้รับใช้พวกเขาได้ดีที่สุดอย่างแท้จริง
ผู้รับใช้ไม่จำเป็นต้องปิดฝาผนังด้วยป้ายและรางวัล เพื่อรับรองคุณค่าการงานของพวกเขา พวกเขาไม่เรียกร้องให้คนอื่นเรียกชื่อเขาพร้อมด้วยตำแหน่ง และพวกเขาไม่สวมใส่ชุดครุยที่บ่งบอกว่าตนเองเหนือกว่า ผู้รับใช้คิดว่าสัญลักษณ์บอกสถานะไม่มีความจำเป็น และพวกเขาไม่วัดคุณค่าของตัวเองด้วยความสำเร็จของพวกเขา เปาโลกล่าวว่า "ท่านอาจจะคุยโอ้อวดตัวเอง แต่คำรับรองประการเดียวที่เชื่อถือได้คือ คำรับรองจากองค์พระผู้เป็นเจ้า" (2 โครินธ์ 10:18 CEV)
ถ้าจะมีใครที่มีโอกาสสุดพิเศษที่จะอวดว่าตัวเองเส้นใหญ่ และ "อ้างชื่อคนดังที่เขารู้จัก" คนนั้นย่อมต้องเป็นยากอบ น้องต่างบิดาของพระเยซู ท่านสามารถอวดอ้างได้เต็มปากว่า ตนเติบโตมาพร้อมกับพระเยซู ในฐานะน้องชายของพระองค์ แต่ในคำขึ้นต้นจดหมายของท่าน ท่านกล่าวถึงตัวเองเพียงแค่ "ผู้รับใช้ของพระเจ้าและของพระเยซูคริสต์เจ้า" (ยากอบ 1:1) ยิ่งคุณใกล้ชิดพระเยซูมากเท่าไร คุณก็ยิ่งยกย่องตัวเองน้อยลงเท่านั้น
ผู้รับใช้คิดว่าพันธกิจเป็นโอกาส ไม่ใช่ภาระหน้าที่ พวกเขายินดีที่จะช่วยเหลือคนอื่นสนองความต้องการต่าง ๆ และทำพันธกิจ พวกเขา "ปรนนิบัติพระเจ้าด้วยความยินดี" (สดุดี 100:2) ทำไมพวกเขาจึงรับใช้ด้วยยินดี ก็เพราะเขารักองค์พระผู้เป็นเจ้า ซาบซึ้งในพระคุณของพระองค์ รู้ว่าการรับใช้คือการใช้ชีวิตอย่างสูงส่งที่สุด และยังรู้ว่าพระเจ้าได้ทรงสัญญาจะประทานรางวัลแก่พวกเขา พระเยซูทรงสัญญว่า "พระบิดาจะประทานเกียรติและรางวัลแก่ทุกคนที่รับใช้เรา" (ยอห์น 12:26 Msg) เปาโลกล่าวว่า "พระองค์จะไม่ทรงลืมการงานที่ท่านทำ หรือไม่ทรงลืมที่ท่านรักพระองค์และช่วยเหลือเพื่อนคริสตชนด้วยกัน" (ฮีบรู 6:10 ประชานิยม)
ลองนึกดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคริสเตียนเพียง 10% จากที่มีทั้งหมดในโลกจริงจังกับบทบาทของตนเองในฐานะผู้รับใช้แท้ ลองนึกดูว่าจะมีสิ่งดีเกิดขึ้นมากมายเพียงใด คุณเต็มใจที่จะเป็นคนหนึ่งในจำนวนนั้นหรือไม่ มันไม่สำคัญว่าคุณจะอายุเท่าไร พระเจ้าจะทรงใช้คุณ ถ้าคุณจะเริ่มประพฤติและคิดอย่างผู้รับใช้ อับเบิร์ต ชไวเซอร์กล่าว่า "คนจำพวกเดียวที่มีความสุขจริง ๆ คือคนเหล่านั้นที่ได้เรียนรู้จักรับใช้"
วันที่ 34 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: ถ้าจะเป็นผู้รับใช้ ฉันต้องคิดอย่างผู้รับใช้
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "ท่านควรมีท่าทีแบบเดียวกับพระเยซูคริสต์" ฟีลิปปี 2:5 (อมตธรรมร่วมสมัย)
คำถามสำหรับการพิจารณา: ฉันมักจะห่วงว่าคนอื่นต้องรับใช้ฉันหรือว่าฉันมักจะหาหนทางที่จะรับใช้คนอื่น
กันดารวิถี 14:24 (NCV)
จงคิดถึงตน อย่างที่พระคริสต์ทรงคิดถึงพระองค์เอง
ฟีลิปปี 2:5 (Msg)
การรับใช้เริ่มต้นที่ความคิดของคุณ
การจะเป็นผู้รับใช้นั้นจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนความคิดและเปลี่ยนแปลงท่าที่ พระเจ้าสนพระทัยเหตุผลเบื้องหลังของสิ่งที่เราทำมากกว่าสิ่งที่ทำ ท่าทีสำคัญกว่าความสำเร็จ กษัตริย์อามาซิยาห์สูญเสียความพอพระทัยของพระเจ้า เพราะ "พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชอบในสายพระเนตรพระเจ้า แต่มิใช่ด้วยพระทัยที่แท้จริง" (2 พงศาวดาร 25:2) ผู้รับใช้แท้รับใช้พระเจ้าด้วยท่าทีห้าประการต่อไปนี้
ผู้รับใช้คิดถึงผู้อื่นมากกว่าตัวเอง ผู้รับใช้จะจดจ่อที่คนอื่น ไม่ใช่ตัวเอง นี่คือถ่อมใจแท้ คือไม่ใช่การคิดว่าตัวเองด้อย แต่คิดถึงตัวเองน้อยลง พวกเขามักจะลืมนึกถึงตัวเอง เปาโลกล่าวว่า "จงลืมนึกถึงตัวเองนานพอที่จะช่วยเหลือคนอื่น" (ฟีลิปปี 2:4 Msg) นี่คือความหมายของการ "สูญเสียชีวิตของท่าน" คือลืมนึกถึงตัวเองในการรับใช้คนอื่นเมื่อเราเลิกจดจ่อที่ความต้องการของเราเอง เราก็ตื่นตัวต่อความต้องการที่อยู่รอบตัวเรา
พระเยซูทรง "สละทุกสิ่งหมด มารับสภาพอย่างทาส" (ฟีลิปปี 2:7 ประชานิยม) ครั้งสุดท้ายที่คุณสละตัวเองเพื่อผลประโยชน์ของคนอื่นคือเมื่อไหร่ คุณไม่สามารถเป็นผู้รับใช้ได้ถ้าคุณคิดถึงแต่ตัวเอง เราจะทำสิ่งที่ควรแก่การจดจำก็เมื่อเราลืมนึกถึงตัวเอง
น่าเสียดายที่การรับใช้มากมายของเรามักจะเป็นการรับใช้ตัวเอง เรารับใช้เพื่อให้คนอื่นชอบเรา เพื่อจะเป็นที่ยกย่อง หรือเพื่อบรรลุเป้าหมายของเรา นั่นไม่ใช่พันธกิจ แต่เป็นการพยายามควบคุมและใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือ ตลอดเวลา เราคิดถึงแต่ตัวเองและคิดว่าเรา น่านับถือและวิเศษเพียงไร บางคนพยายามใช้การรับใช้เป็นเครื่องมือต่อรองกับพระเจ้า "ข้าพระองค์จะทำสิ่งนี้เพื่อพระองค์ ถ้าพระองค์ทรงทำบางสิ่งให้ข้าพระองค์" ผู้รับใช้แท้ไม่พยายามใช้พระเจ้าเพื่อวัตถุประสงค์ของพวกเขา ตรงกันข้าม พวกเขาให้พระเจ้าใช้เขาเพื่อวัตถุประสงค์ของพระองค์
การลืมนึกถึงตัวเองนั้นก็เหมือนกับความสัตย์ซื่อ คือหาได้ยาก ในบรรดาคนทั้งหมดที่เปาโลรู้จัก ทิโมธีเป็นตัวอย่างเดียวที่ท่านสามารถกล่าวถึงได้ (ฟีลิปปี 2:20-21) การคิดอย่างผู้รับใช้นั้นเป็นเรื่องยาก เพราะมันท้าทายปัญหาพื้นฐานของชีวิตผม โดยธรรมชาติแล้วผมเป็นคนเห็นแก่ตัว ผมคิดถึงตัวเองมากที่สุด นั่นคือเหตุผลที่ความถ่อมใจจึงเป็นการต่อสู้ประจำวัน เป็นบทเรียนที่ต้องเรียนซ้ำแล้วซ้ำอีก โอกาสที่จะเป็นผู้รับใช้อยู่ตรงหน้าผมวันละหลายสิบครั้ง ซึ่งผมจะมีโอกาสเลือกระหว่างการสนองความต้องการของตัวเองหรือความต้องการของคนอื่น การปฏิเสธตัวเองคือ แก่นแท้ของการเป็นผู้รับใช้
เราสามารถวัดว่าเรามีหัวใจผู้รับใช้มากแค่ไหน โดยดูวิธีที่เราตอบสนองเมื่อคนอื่นปฏิบัติต่อเราเหมือนเป็นคนรับใช้ คุณตอบสนองอย่างไรเมื่อคนอื่นไม่ขอบคุณคุณ สั่งคุณให้ทำนั่นทำนี่ หรือปฏิบัติต่อคุณอย่างคนที่ด้อยกว่า พระคัมภีร์กล่าวว่า "ถ้าใครเอาเปรียบท่านอย่างอยุติธรรม จงใช้โอกาสนั้นฝึกชีวิตผู้รับใช้" (มัทธิว 5:41 Msg)
ผู้รับใช้คิดว่าตนเป็นผู้อารัขาไม่ใช่เจ้าของ ผู้รับใช้ระลึกว่าพระเจ้าทรงเป็นเจ้าของทุกสิ่ง ในพระคัมภีร์ ผู้อารักขาคือคนที่ได้รับความไว้วางใจให้ดูแลทรัพย์สมบัติ โยเซฟเป็นคนใช้ประเภทนี้ในฐานะนักโทษในอียิปต์ โปทิฟาร์วางใจโยเซฟให้ดูแลบ้านของเขาแล้วนายคุกก็วางใจโยเซฟให้ดูแลคุก ในที่สุด ฟาโรห์วางใจท่านให้ดูแลทั้งประเทศ การเป็นผู้รับใช้ และการเป็นผู้อารักขานั้นไปด้วยกัน (1 โครินธ์ 4:1) เนื่องจากพระเจ้าทรงคาดหวังว่าเราจะไว้ใจได้ในทั้งสองบทบาท พระคัมภีร์กล่าวว่า "ลักษณะประการเดียวที่ผู้รับมอบหมายจะต้องมีก็คือ ซื่อสัตย์ต่อผู้เป็นนายของตน" (1 โครินธ์ 4:2 ประชานิยม) คุณจัดการกับทรัพยากรที่พระเจ้าทรงไว้ใจให้คุณดูแลอย่างไร
ถ้าจะเป็นผู้รับใช้แท้ คุณต้องตัดสินใจเรื่องเงินทองให้เรียบร้อย พระเยซูตรัสว่า "ไม่มีผู้ใดเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้…ท่านจะรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้" (ลูกา 16:13 2002) พระองค์มิได้ตรัสว่า "ไม่ควร" แต่ตรัสว่า "ไม่ได้" มันเป็นไปไม่ได้ การอยู่เพื่อพันธกิจและอยู่เพื่อเงินทองนั้นเป็นเป้าหมายที่แยกจากกันอย่างเด็ดขาด แล้วคุณจะเลือกอะไร ถ้าคุณเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า คุณก็ไม่สามารถมีงานลับ ๆ เพื่อตัวเอง เวลาทั้งหมดของคุณเป็นของพระเจ้า พระองค์ทรงยืนกรานว่าเราต้องถวายความภักดีแบบผูกขาดไม่ใช่ความสัตย์ซื่อบางเวลา
เงินทองมีศักยภาพอย่างมากในการเข้ามาแทนที่พระเจ้า มีคนที่หันเหจากการรับใช้เพราะวัตถุนิยมมากกว่าเพราะสิ่งอื่น พวกเขาบอกว่า "หลังจากที่ผมบรรลุเป้าหมายทางการเงินแล้ว ผมจะรับใช้พระเจ้า" นั่นคือการตัดสินใจอย่างโง่เขลาที่พวกเขาจะเสียใจไปชั่วนิรันดร์ เมื่อพระเยซูทรงเป็นเจ้านายของคุณ เงินทองจะรับใช้คุณ แต่ถ้าเงินทองเป็นเจ้านายของคุณ คุณจะเป็นทาส แน่นอนความมั่งมีไม่ใช่ความบาป แต่การไม่ได้ใช้มันเพื่อพระเกียรติของพระเจ้าเป็นบาป ผู้รับใช้ของพระเจ้าต้องสนใจพันธกิจมากกว่าเงินทองเสมอ
พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนมากว่า พระเจ้าทรงใช้เงินทองเพื่อทดสอบความสัตย์ซื่อในฐานะผู้รับใช้ นั่นคือเหตุผลที่พระเยซูตรัสเรื่องเงินทองมากกว่าตรัสเรื่องสวรรค์หรือนรก พระเยซูตรัสว่า "เหตุฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายไม่ซื่อสัตย์ในการจัดการทรัพย์สมบัติฝ่ายโลกใครจะวางใจท่านให้จัดการทรัพย์สมบัติแท้เล่า" (ลูกา 16:11 NIV) วิธีที่คุณจัดการเงินทองจะมีผลต่อปริมาณพระพรที่พระเจ้าสามารถอำนวยให้เกิดในชีวิตของคุณ
ในบทที่ 31 ผมได้กล่าวถึงคนสองประเภท คือผู้สร้างอาณาจักรของพระเจ้ากับผู้สร้างความมั่งคั่ง คนทั้งสองประเภทเก่งเรื่องการทำให้ธุรกิจเติบโต เจรจาหรือค้าขาย และทำกำไร ผู้สร้างความมั่งคั่งสะสมทรัพย์สมบัติเพื่อตัวเองต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าพวกเขาจะหาเงินได้เท่าไร แต่ผู้สร้างอาณาจักรของพระเจ้าเปลี่ยนกฎการเล่น พวกเขายังพยายามหาเงินให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่พวกเขาทำเพื่อให้เงินออกไป พวกเขาใช้ความมั่งคั่งเพื่อสนับสนุนคริสตจักรของพระเจ้า และภารกิจของคริสตจักรในโลกนี้
ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เรามีกลุ่มผู้บริหารและเจ้าของธุรกิจ ซึ่งพยายามหาเงินให้ได้มากที่สุด เพื่อพวกเขาจะสามารถให้ได้มากที่สุด เพื่อขยายอาณาจักรของพระเจ้า ผมหนุนใจคุณให้คุยกับศิษยาภิบาลของคุณ และเริ่มต้นกลุ่มสร้างอาณาจักรในคริสตจักรของคุณ
ผู้รับใช้คิดถึงงานของตน ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นกำลังทำ พวกเขาไม่เปรียบเทียบ วิพากษ์วิจารณ์ หรือแข่งขันกับผู้รับใช้อื่นหรือพันธกิจอื่น พวกเขายุ่งเกินกว่าจะทำเช่นนั้น เพราะกำลังทำงานที่พระเจ้าทรงมอบหมาย
มีเหตุผลหลายประการที่ทำให้การแข่งขันระหว่างผู้รับใช้พระเจ้าเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผล เราทุกคนล้วนอยู่ในทีมเดียวกัน เป้าหมายของเราคือทำให้พระเจ้าทรงดูดี ไม่ใช่ตัวเราดูดี เราได้รับหน้าที่ที่มอบหมายแตกต่างกัน และเราทุกคนถูกปั้นมาไม่เหมือนกันเปาโลกล่าวว่า "เรามีสิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นที่เราจะทำกับชีวิตของเรา เราแต่ละคนเป็นผลงานของแท้ที่ไม่เหมือนใคร" (กาลาเทีย 5:26 Msg)
ไม่มีที่ว่างสำหรับการอิจฉาคิดเล็กคิดน้อยระหว่างผู้รับใช้ เมื่อคุณยุ่งกับการรับใช้คุณก็จะไม่มีเวลาวิพากษ์วิจารณ์ ช่วงเวลาใดก็ตามที่คุณใช้วิจารณ์คนอื่น เวลานั้นคือเวลาที่คุณสามารถใช้ปรนนิบัติคนอื่นได้ เมื่อมารธาบ่นกับพระเยซูที่มารีย์ไม่ช่วยทำงาน เธอก็สูญเสียหัวใจผู้รับใช้ ผู้รับใช้แท้ไม่บ่นเรื่องความไม่ยุติธรรม ไม่สงสารตัวเอง และไม่ขุ่นเคืองคนที่ไม่รับใช้ พวกเขาเพียงแต่วางใจพระเจ้าและรับใช้ต่อไป
ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะประเมินผู้รับใช้อื่นขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระคัมภีร์กล่าวว่า "ท่านเป็นใครเล่าที่ไปตำหนิผู้รับใช้ของคนอื่น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงตัดสินเองว่าผู้รับใช้ของพระองค์ประสบความสำเร็จหรือไม่" (โรม 14:4 GWT) อีกทั้งไม่ใช่งานของเราที่จะปกป้องตัวเองจากคำวิจารณ์ ปล่อยให้เจ้านายของคุณทรงจัดการเรื่องนั้นเอง จงทำตามตัวอย่างของโมเสส ที่ได้แสดงความถ่อมใจอย่างแท้จริงเมื่อเผชิญการต่อต้าน เช่นเดียวกับเนหะมีย์ซึ่งตอบคนที่วิพากษ์วิจารณ์เพียงแค่ "งานของข้าพเจ้าสำคัญเกินกว่าที่จะหยุดและมาพบท่าน" (เนหะมีย์ 6:3 CEV)
ถ้าคุณรับใช้เหมือนอย่างพระเยซู คุณก็สามารถคาดหมายว่าจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ โลกนี้และแม้แต่คนส่วนใหญ่ในคริสตจักร ไม่เข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงเห็นว่ามีค่า การแสดงความรักต่อพระเยซูอย่างงดงามที่สุดครั้งหนึ่งกลับถูกพวกสาวกตำหนิ มารีย์ได้นำสิ่งมีค่าที่สุดเท่าที่เธอมี คือ น้ำหอมราคาแพง และชโลมพระเยซู การรับใช้แบบเทกระเป๋าของเธอถูกพวกสาวกเรียกว่า "เสียของ" แต่พระเยซูทรงเรียกว่า "มีความหมาย" (มัทธิว 26:10 Msg) และนั่นก็เพียงพอแล้ว การงานที่คุณรับใช้พระคริสต์นั้นไม่เคยสูญเปล่า ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร
ผู้รับใช้เข้าใจตัวตนของเขาตามสายพระเนตรของพระคริสต์ เพราะระลึกว่าพวกเขาเป็นที่รัก และเป็นที่ยอมรับโดยพระคุณ พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องพิสูจรณ์คุณค่าของตนเอง พวกเขาเต็มใจยอมทำงานซึ่งคนจิตใจหวั่นไหวจะถือว่า "ต่ำกว่า" ฐานะของเขา ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการรับใช้ จากด้วยความรู้สึกมั่นคงต่อภาพลักษณ์ของตนเอง คือ การที่พระเยซูทรงล้างเท้าสาวก งานล้างเท้าก็เปรียบเสมือนการเป็นเด็กขัดรองเท้า เป็นงานที่ไม่มีฐานะ แต่พระเยซูทรงทราบว่าพระองค์เป็นใคร งานนี้จึงไม่ได้คุกคามภาพลักษณ์ของพระองค์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเยซูทรงทราบว่าพระบิดาได้ประทานสิ่งทั้งปวงให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และทรงทราบว่าพระองค์มาจากพระเจ้า… พระองค์ทรงลุกขึ้นจากการรับประทานอาหาร ทรงถอดฉลองพระองค์ออกวางไว้ และทรงเอาผ้าเช็ดตัวคาดเอวของพระองค์" (ยอห์น 13:3-4)
ถ้าคุณจะเป็นผู้รับใช้ คุณต้องยอมรับตัวตนของคุณในพระคริสต์ คนที่จิตใจมั่นคงเท่านั้นจึงจะสามารถรับใช้ คนที่จิตใจหวั่นไหวมักจะกังวลว่าคนอื่นจะมองเขาอย่างไร พวกเขากลัวที่จะเปิดเผยความอ่อนแอ และซ่อนอยู่ใต้กระดองแห่งความเย่อหยิ่งและการเสแสร้ง ยิ่งคุณหวั่นไหวมากเท่าใด คุณก็ยิ่งต้องการให้คนอื่นรับใช้และยอมรับคุณมากเท่านั้น
เฮ็นรี่ นูเวน กล่าวว่า "การที่เราจะสามารถรับใช้คนอื่นได้นั้น เราจำเป็นต้องตายต่อพวกเขา นั่นคือ เราต้องเลิกวัดความหมายและคุณค่าของเราด้วยสายวัดของคนอื่น แล้วเราจึงจะเป็นอิสระที่จะมีจิตใจเมตตาสงสารได้" เมื่อคุณวัดคุณค่าและตัวตนของคุณด้วยความสัมพันธ์ของคุณกับพระคริสต์ คุณก็เป็นอิสระจากความคาดหวังของคนอื่น และสิ่งนี้จะปลดปล่อยคุณให้รับใช้พวกเขาได้ดีที่สุดอย่างแท้จริง
ผู้รับใช้ไม่จำเป็นต้องปิดฝาผนังด้วยป้ายและรางวัล เพื่อรับรองคุณค่าการงานของพวกเขา พวกเขาไม่เรียกร้องให้คนอื่นเรียกชื่อเขาพร้อมด้วยตำแหน่ง และพวกเขาไม่สวมใส่ชุดครุยที่บ่งบอกว่าตนเองเหนือกว่า ผู้รับใช้คิดว่าสัญลักษณ์บอกสถานะไม่มีความจำเป็น และพวกเขาไม่วัดคุณค่าของตัวเองด้วยความสำเร็จของพวกเขา เปาโลกล่าวว่า "ท่านอาจจะคุยโอ้อวดตัวเอง แต่คำรับรองประการเดียวที่เชื่อถือได้คือ คำรับรองจากองค์พระผู้เป็นเจ้า" (2 โครินธ์ 10:18 CEV)
ถ้าจะมีใครที่มีโอกาสสุดพิเศษที่จะอวดว่าตัวเองเส้นใหญ่ และ "อ้างชื่อคนดังที่เขารู้จัก" คนนั้นย่อมต้องเป็นยากอบ น้องต่างบิดาของพระเยซู ท่านสามารถอวดอ้างได้เต็มปากว่า ตนเติบโตมาพร้อมกับพระเยซู ในฐานะน้องชายของพระองค์ แต่ในคำขึ้นต้นจดหมายของท่าน ท่านกล่าวถึงตัวเองเพียงแค่ "ผู้รับใช้ของพระเจ้าและของพระเยซูคริสต์เจ้า" (ยากอบ 1:1) ยิ่งคุณใกล้ชิดพระเยซูมากเท่าไร คุณก็ยิ่งยกย่องตัวเองน้อยลงเท่านั้น
ผู้รับใช้คิดว่าพันธกิจเป็นโอกาส ไม่ใช่ภาระหน้าที่ พวกเขายินดีที่จะช่วยเหลือคนอื่นสนองความต้องการต่าง ๆ และทำพันธกิจ พวกเขา "ปรนนิบัติพระเจ้าด้วยความยินดี" (สดุดี 100:2) ทำไมพวกเขาจึงรับใช้ด้วยยินดี ก็เพราะเขารักองค์พระผู้เป็นเจ้า ซาบซึ้งในพระคุณของพระองค์ รู้ว่าการรับใช้คือการใช้ชีวิตอย่างสูงส่งที่สุด และยังรู้ว่าพระเจ้าได้ทรงสัญญาจะประทานรางวัลแก่พวกเขา พระเยซูทรงสัญญว่า "พระบิดาจะประทานเกียรติและรางวัลแก่ทุกคนที่รับใช้เรา" (ยอห์น 12:26 Msg) เปาโลกล่าวว่า "พระองค์จะไม่ทรงลืมการงานที่ท่านทำ หรือไม่ทรงลืมที่ท่านรักพระองค์และช่วยเหลือเพื่อนคริสตชนด้วยกัน" (ฮีบรู 6:10 ประชานิยม)
ลองนึกดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคริสเตียนเพียง 10% จากที่มีทั้งหมดในโลกจริงจังกับบทบาทของตนเองในฐานะผู้รับใช้แท้ ลองนึกดูว่าจะมีสิ่งดีเกิดขึ้นมากมายเพียงใด คุณเต็มใจที่จะเป็นคนหนึ่งในจำนวนนั้นหรือไม่ มันไม่สำคัญว่าคุณจะอายุเท่าไร พระเจ้าจะทรงใช้คุณ ถ้าคุณจะเริ่มประพฤติและคิดอย่างผู้รับใช้ อับเบิร์ต ชไวเซอร์กล่าว่า "คนจำพวกเดียวที่มีความสุขจริง ๆ คือคนเหล่านั้นที่ได้เรียนรู้จักรับใช้"
วันที่ 34 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: ถ้าจะเป็นผู้รับใช้ ฉันต้องคิดอย่างผู้รับใช้
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "ท่านควรมีท่าทีแบบเดียวกับพระเยซูคริสต์" ฟีลิปปี 2:5 (อมตธรรมร่วมสมัย)
คำถามสำหรับการพิจารณา: ฉันมักจะห่วงว่าคนอื่นต้องรับใช้ฉันหรือว่าฉันมักจะหาหนทางที่จะรับใช้คนอื่น
วันที่ 33 ผู้รับใช้ปฏิบัติตนอย่างไร
ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ในพวกท่าน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติ
มาระโก 10:43
ท่านจะรู้จักเขาได้จากความประพฤติของเขา
มัทธิว 7:16 (ประชานิยม)
เรารับใช้พระเจ้าโดยการรับใช้ผู้อื่น
โลกนิยามความยิ่งใหญ่ด้วยอำนาจ ทรัพย์สิ่งของ เกียรติ และตำแหน่ง ถ้าคุณเรียกร้องให้คนอื่นรับใช้คุณได้ คุณก็บรรลุถึงเป้าหมายแล้ว ในวัฒนธรรมที่เห็นแก่ตัวของเราตามแนวคิดว่าฉันต้องมาก่อน การทำตัวเหมือนคนใช้นั้นไม่ใช่แนวคิดที่น่านิยม
อย่างไรก็ตาม พระเยซูทรงวัดความยิ่งใหญ่ด้วยการรับใช้ ไม่ใช่ฐานะ พระเจ้าทรงตัดสินความยิ่งใหญ่ของคุณจากจำนวนคนที่คุณรับใช้ ไม่ใช่จำนวนคนที่รับใช้คุณ เรื่องนี้ช่างสวนทางกับความยิ่งใหญ่ตามความคิดของโลก จนเรารู้สึกว่ามันเข้าใจยากเหลือเกิน ส่วนการปฏิบัติตามก็ยิ่งน้อยลงไปอีก พวกสาวกโต้เถียงกันว่า ใครสมควรได้รับตำแหน่งที่สำคัญที่สุด และ 2,000 ปีต่อมา ผู้นำคริสตจักรก็ยังพลิกแพลงแสวงหาตำแหน่งและความสำคัญในคริสตจักร คณะ และองค์กรต่าง ๆ
มีหนังสือนับพัน ๆ เล่มเขียนเรื่องการเป็นผู้นำ แต่มีไม่กี่เล่มที่เขียนเรื่องการเป็นผู้รับใช้ ทุกคนอยากนำ แต่ไม่มีใครอยากเป็นผู้รับใช้ เราอยากเป็นนายพลมากกว่าพลทหารแม้แต่คริสเตียนก็อยากเป็น "ผู้รับใช้ในบทบาทผู้นำ" ไม่ใช่ผู้รับใช้เฉย ๆ แต่การเป็นเหมือนพระเยซูคือ การเป็นผู้รับใช้ นั่นคือสิ่งที่พระองค์ทรงเรียกพระองค์เอง
การรู้จักลักษณะ (shape) ของคุณมีความสำคัญต่อการรับใช้พระเจ้า แต่การมีหัวใจของผู้รับใช้นั้นสำคัญยิ่งกว่า โปรดระลึกว่า พระเจ้าบรรจงปั้นคุณเพื่อการรับใช้ ไม่ใช่เพื่อความเห็นแก่ตัว ถ้าปราศจากหัวใจของผู้รับใช้ คุณก็จะถูกล่อลวงให้ใช้ลักษณะของคุณเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว คุณยังจะถูกล่อลวงให้ใช้มันเป็นข้อแก้ตัวเพื่อตัวเองจะไม่ต้องสนองความต้องการบางอย่างของคนอื่น
พระเจ้ามักจะทดลองใจของเรา โดยการขอให้เรารับใช้ในแบบที่เราไม่ได้รับการปั้นมาถ้าคุณเห็นคนตกลงไปในบ่อ พระเจ้าก็คาดหวังว่าคุณจะช่วยฉุดเขาขึ้นมา อย่าพูดว่า "ผมไม่มีของประทานด้านความเมตตาหรือการปรนนิบัติ" คุณอาจจะไม่มีของประทานสำหรับงานบางอย่าง แต่คุณก็อาจถูกเรียกให้ทำงานนั้น ถ้าไม่มีคนอื่นที่มีของประทานดังกล่าวอยู่ใกล้ ๆ พันธกิจหลักของคุณจะอยู่ในขอบเขตลักษณะของคุณ แต่งานรับใช้ของคุณคือ งานที่คุณจำเป็นต้องช่วยในเวลานั้น
ลักษณะ (SHAPE) ของคุณจะเป็นตัวบ่งบอกพันธกิจของคุณ แต่หัวใจผู้รับใช้จะบ่งบอกถึงความเป็นผู้ใหญ่ของคุณ การอยู่ต่อหลังเลิกประชุมเพื่อเก็บขยะหรือเก็บเก้าอี้นั้นไม่ต้องอาศัยพรสวรรค์หรือของประทานพิเศษอะไร ใคร ๆ ก็สามารถเป็นผู้รับใช้ได้ สิ่งที่ต้องมีคือ ลักษณะนิสัย
เป็นไปได้ที่เราจะรับใช้ในคริสตจักรตลอดชีวิต โดยที่ไม่เคยเป็นผู้รับใช้เลย คุณต้องมีหัวใจของผู้รับใช้ คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าตนเองมีหัวใจของผู้รับใช้ พระเยซูตรัสว่า "ท่านจะรู้จักเขาจากความประพฤติของเขา" (มัทธิว 7:16 ประชานิยม)
ผู้รับใช้แท้ทำตัวให้ว่างเพื่อจะรับใช้ ผู้รับใช้ย่อมไม่ทำตัวให้ยุ่งไปกับกิจธุระอื่นจนไม่มีเวลาว่างให้นายเรียกใช้ พวกเขาอยากจะพร้อมที่จะกระโดดเข้าไปรับใช้ทันทีที่ได้รับคำสั่ง เช่นเดียวกับทหาร ผู้รับใช้ต้องพร้อมจะทำหน้าที่เสมอ "ไม่มีทหารคนใดที่เข้าประจำการ แล้วจะยุ่งอยู่กับงานฝ่ายพลเรือน ด้วยว่าเขามุ่งที่จะทำให้ผู้บังคับบัญชาพอใจ" ผู้รับใช้แท้จะทำสิ่งที่จำเป็นแม้เวลาที่ไม่สะดวก
คุณพร้อมสำหรับพระเจ้าทุกเวลาหรือไม่ คุณสามารถทิ้งแผนการของคุณโดยไม่รู้สึกขุ่นเคืองหรือไม่ ในฐานะผู้รับใช้ คุณไม่สามารถเลือกเวลาหรือสถานที่ที่คุณจะรับใช้ การเป็นผู้รับใช้หมายถึงการยกเลิกสิทธิในการควบคุมตารางเวลาของคุณ และปล่อยให้พระเจ้าทรงแทรกแซงมันเมื่อใดก็ได้ที่พระองค์ต้องการจะทำ
ถ้าคุณจะเตือนตัวเองทุกเช้าวันใหม่ว่า คุณเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า การแทรกแซงก็จะไม่ทำให้คุณหัวเสียมากนัก เพราะว่าแผนการของคุณจะเป็นอะไรก็ได้ที่พระเจ้าทรงต้องการนำเข้ามาในชีวิตของคุณ คนรับใช้มองการแทรกแซงว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้ากำหนดไว้เพื่อพันธกิจ และรู้สึกดีใจที่มีโอกาสจะรับใช้
ผู้รับใช้แท้จะสนใจที่ความจำเป็น ผู้รับใช้มักจะมองหาหนทางที่จะช่วยเหลือคนอื่นเมื่อเขาเห็นความจำเป็น เขาก็จะฉวยโอกาสที่จะสนองความต้องการนั้น เช่นเดียวกับที่พระคัมภีร์สั่งเราว่า "เหตุฉะนั้นเมื่อเรามีโอกาส ให้เราทำดีต่อคนทั้งปวง และเฉพาะอย่างยิ่งต่อครอบครัวที่มีความเชื่อ" (กาลาเทีย 6:10) เมื่อพระเจ้าทรงให้คนที่ขัดสนมาอยู่ตรงหน้าคุณ พระองค์ก็กำลังให้โอกาสแก่คุณที่จะเติบโตในการเป็นผู้รับใช้ ขอให้สังเกตว่า พระเจ้าตรัสว่า ความจำเป็นของครอบครัวคริสตจักรคุณต้องมาก่อน ไม่ใช่อยู่ท้ายสุดของรายการ "สิ่งที่ต้องทำ"
เราพลาดโอกาสในการรับใช้ไปมากมาย เพราะเราไม่ไวต่อความต้องการและไม่ตอบสนองโดยทันที โอกาสสำคัญ ๆ ในการรับใช้ไม่เคยอยู่นาน มันผ่านไปอย่างรวดเร็ว บางครั้งก็ไม่หวนกลับมาอีก คุณอาจจะมีโอกาสเดียวที่จะรับใช้ใครสักคน ดังนั้นจงฉวยโอกาสนั้นไว้ "อย่าบอกเพื่อนบ้านของท่านให้คอยถึงพรุ่งนี้ ถ้าท่านสามารถช่วยพวกเขาได้เดี๋ยวนี้" (สุภาษิต 3:28 TEV)
จอห์น เวสเล่ย์ เป็นผู้รับใช้ที่เหลือเชื่อ คติของท่านคือ "ทำความดีทุกอย่างที่ทำได้ ด้วยทุกวิธีที่ทำได้ ในทุกสถานที่ที่ทำได้ ทุกเวลาที่ทำได้ แก่ทุกคนที่ทำได้ และนานตราบเท่าที่คุณยังทำได้" นี่แหละคือความยิ่งใหญ่ คุณสามารถเริ่มมองหางานเล็ก ๆ ที่คนอื่นไม่อยากทำ และทำสิ่งเล็กน้อยเหล่านั้นเหมือนมันเป็นงานสำคัญเพราะว่าพระเจ้าทรงเฝ้ามองดูอยู่
ผู้รับใช้แท้ทำดีที่สุดด้วยสิ่งที่พวกเขามีอยู่ ผู้รับใช้จะไม่แก้ตัว ประวิงเวลา หรือคอยสถานการณ์เหมาะ ๆ ผู้รับใช้ไม่เคยพูดว่า "เดี๋ยวสักวันผมจะทำ" หรือ "ให้ถึงเวลาเหมาะ ๆ ก่อน" พวกเขาเพียงแต่ลงมือทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำ พระคัมภีร์กล่าวว่า "ถ้าท่านมัวคอยสภาพที่ดีพร้อม ท่านจะไม่มีวันทำอะไรเสร็จเลย" (ปัญญาจารย์ 11:4 NLT) พระเจ้าทรงคาดหวังว่าคุณจะทำสิ่งที่คุณทำได้ ด้วยสิ่งที่คุณมี ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน การรับใช้ที่ยังไม่สมบูรณ์แบบยังดีกว่าความตั้งใจที่ดีที่สุด
เหตุผลหนึ่งที่หลายคนไม่เคยรับใช้คือ พวกเขากลัวว่าพวกเขายังไม่ดีพอที่จะรับใช้ พวกเขาเชื่อคำมุสาที่ว่า การรับใช้พระเจ้านั้นมีไว้สำหรับยอดคนเท่านั้น บางคริสตจักรสนับสนุนความเชื่อผิด ๆ นี้โดยการยกย่อง "ความเป็นเลิศ" จนกลายเป็นรูปเคารพ ซึ่งทำให้คนที่มีพรสวรรค์ระดับปกติลังเลที่จะมีส่วนร่วม
คุณอาจจะเคยได้ยินคนพูดว่า "ถ้าทำให้ดีไม่ได้ ก็จงอย่าทำ" พระเยซูไม่เคยตรัสเช่นนั้นนะครับ ความจริงคือ เกือบทุกสิ่งที่เราทำนั้น เราทำได้ไม่ดีเท่าไรในตอนที่เราเริ่มทำครั้งแรก แต่นั่นคือวิธีที่เราเรียนรู้ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราใช้หลัก "ดีพอ" คือมันไม่ต้องดีสมบูรณ์แบบแล้วพระเจ้าถึงจะใช้และอวยพระพร เราอยากให้คนธรรมดานับพัน ๆ คนมีส่วนในพันธกิจ มากกว่ามีคริสตจักรที่สมบูรณ์แบบแต่มีอัจฉริยะทำงานอยู่ไม่กี่คน
ผู้รับใช้แท้ทำงานทุกอย่างด้วยความทุ่มเทเท่า ๆ กัน ไม่ว่าพวกเขาทำอะไร คนรับใช้จะ "ทำอย่างสุดใจ" (โคโลสี 3:23 อ่านเข้าใจง่าย) มันไม่เกี่ยวกับขนาดของงาน สิ่งสำคัญประการเดียวคือ มันจำเป็นต้องทำหรือไม่
คุณจะไม่มีวันเดินทางถึงจุดที่คุณเป็นคนสำคัญเกินกว่าจะมาช่วยงานต่ำต้อย พระเจ้าจะไม่มีวันยกเว้นคุณจากงานจำเจ มันเป็นส่วนสำคัญของหลักสูตรสร้างลักษณะนิสัยของคุณ พระคัมภีร์กล่าวว่า "ถ้าท่านคิดว่า ตัวเองสำคัญเกินกว่าที่จะช่วยเหลือคนที่ขัดสน ท่านก็หลอกลวงตัวเอง ที่จริงแล้วท่านไม่ใช่คนสำคัญอะไร" (กาลาเทีย 6:3 NLT) งานรับใช้เล็ก ๆ เหล่านี้เองที่ช่วยให้เราเติบโตขึ้นเหมือนพระคริสต์
พระเยซูทรงเชี่ยวชาญในงานต่ำต้อยที่คนอื่นพยายามหลีกเลี่ยง เช่น การล้างเท้า การช่วยเด็ก ๆ การเตรียมอาหาร และการปรนนิบัติคนโรคเรื้อน ไม่มีสิ่งใดที่ต่ำกว่าพระองค์ เพราะว่าพระองค์เสด็จมาเพื่อรับใช้ มันไม่ใช่ว่าพระองค์ทรงทำเช่นนี้แม้ว่าพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ แต่พระองค์ทำเช่นนี้เพราะพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ และพระองค์ทรงคาดหวังว่าเราจะทำตามแบบอย่างของพระองค์ (ยอห์น 13:15)
งานเล็ก ๆ มักจะแสดงถึงจิตใจที่ยิ่งใหญ่ หัวใจผู้รับใช้ของคุณปรากฏในการกระทำเล็กน้อยที่คนอื่นไม่คิดจะทำ อย่างเมื่อเปาโลเก็บฟืนมาใส่ไฟเพื่อให้ทุกคนอุ่นหลังจากเรือแตก (กิจการ 28:3) ในเวลานั้นท่านก็อ่อนเพลียเหมือนกับคนอื่น ๆ แต่ท่านทำสิ่งที่ทุกคนมีความต้องการ จะไม่มีงานใดต่ำเกินไปเมื่อคุณมีหัวใจของผู้รับใช้
โอกาสสำคัญ ๆ มักจะแฝงตัวมาในรูปงานเล็ก ๆ สิ่งเล็กน้อยในชีวิตเป็นตัวกำหนดสิ่งใหญ่ ๆ อย่ามองหางานใหญ่ที่จะทำถวายพระเจ้า แต่จงทำงานที่ไม่ใหญ่โตอะไรนัก และพระเจ้าจะทรงมอบหมายงานอะไรก็ได้ที่พระองค์ต้องการให้คุณทำ และก่อนจะพยายามทำสิ่งที่ไม่ธรรมดา จงพยายามรับใช้ในแบบธรรมดา ๆ เสียก่อน (ลูกา 16:10-12)
คนที่เต็มใจจะทำสิ่ง "ใหญ่" เพื่อพระเจ้านั้นมักจะมีมากกว่า คนที่เต็มใจจะเป็นคนใช้นั้นเปิดกว้าง บางครั้งคุณรับใช้ผู้มีอำนาจที่อยู่เหนือกว่า และบางครั้งคุณก็รับใช้คนขัดสนที่ดูเหมือนด้อยกว่า ไม่ว่าจะแบบใดก็ตาม คุณจะได้พัฒนาหัวใจของผู้รับใช้ เมื่อคุณเต็มใจทำอะไรก็ได้ที่จำเป็น
ผู้รับใช้แท้สัตย์ซื่อต่อพันธกิจของตน ผู้รับใช้จะทำงานจนเสร็จ ทำตามความรับผิดชอบจนสำเร็จ รักษาสัญญา และทำตามความตั้งใจจนครบถ้วน พวกเขาไม่ทิ้งงานครึ่ง ๆ กลาง ๆ และไม่หยุดเมื่อท้อใจ พวกเขาเชื่อถือได้และพึ่งพาได้
ความสัตย์ซื่อเป็นคุณสมบัติที่หายากทุกยุคทุกสมัย (สดุดี 12:1, สุภาษิต 20:6, ฟีลิปปี 2:19-22) คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักความหมายของคำมั่นสัญญา พวกเขาสัญญาไปตามอารมณ์แล้วก็ผิดสัญญาด้วยเหตุผลที่ไร้สาระที่สุด โดยไม่รีรอ สำนึกผิด หรือเสียใจ ทุกสัปดาห์ คริสตจักรและองค์กรอื่น ๆ ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพราะว่าอาสาสมัครไม่พร้อม ไม่มาหรือไม่โทรศัพท์มาบอกด้วยซ้ำว่าเขาจะไม่มา
คนอื่นวางใจคุณได้หรือไม่ มีคำสัญญาที่คุณต้องรักษา คำปฏิญาณที่คุณต้องทำตามหรือความตั้งใจที่คุณต้องเคารพหรือไม่ นี่เป็นการทดลอง คุณก็อยู่ในกลุ่มคนที่ใช้ได้ คือ อับราฮัม โมเสส ซามูเอล ดาวิด ดาเนียล ทิโมธี และเปาโล พวกเขาล้วนได้ชื่อว่าผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อของพระเจ้าแต่สิ่งที่ดียิ่งกว่านั้นคือ พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะประทานบำเหน็จแก่ความสัตย์ซื่อของคุณในนิรัดรกาล ลองนึกดูว่าคุณจะรู้สึกอย่างไร เมื่อวันหนึ่งพระเจ้าตรัสกับคุณว่า "ดีแล้วเจ้าเป็นทาสดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด" (มัทธิว 25:23)
อนึ่ง ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อไม่เคยมีการปลดเกษียณ แต่รับใช้อย่างสัตย์ซื่อตราบเท่าที่เขายังมีชีวิตอยู่ คุณสามารถเกษียณจากอาชีพของคุณ แต่คุณจะไม่มีวันเกษียณจากการรับใช้พระเจ้า
ผู้รับใช้แท้ยอมคงอยู่ในฐานะที่ไม่มีใครยกย่อง ผู้รับใช้ไม่โฆษณาตัวเองหรือเรียกร้องความสนใจ แทนที่จะแสดงบทบาทให้คนอื่นประทับใจ และแต่งตัวไปรับรางวัล พวกเขา "สวมผ้ากันเปื้อนแห่งความถ่อมใจเพื่อรับใช้กันและกัน" (1 เปโตร 5:5 TEV) ถ้ามีคนยกย่องการรับใช้ของพวกเขามพวกเขาก็ยอมรับด้วยถ่อมใจ แต่ไม่ยอมให้ชื่อเสียงหันเหพวกเขาไปจากงานของตน
เปาโลเปิดโปงการรับใช้ชนิดที่ดูเหมือนเป็นฝ่ายวิญญาณ แต่ที่จริงเป็นการโอ้อวด การแสดง การกระทำเพื่อให้คนอื่นสนใจ ท่านเรียกว่าการ "ทำแต่ต่อหน้า" (รับใช้ให้คนเห็น) (เอเฟซัส 6:6, โคโลสี 3:22) คือการรับใช้เพื่อให้ผู้คนประทับใจว่าเราช่างอยู่ฝ่ายวิญญาณเหลือเกิน นี่คือความบาปของพวกฟาริสี พวกเขาเปลี่ยนการช่วยเหลือคนอื่น การให้ และแม้แต่การอธิษฐาน เป็นการแสดงเพื่อให้คนอื่นเห็น พระเยซูทรงเกลียดชังท่าทีนี้ และทรงเตือนว่า "ระวังให้ดี อย่าทำความดีเพื่ออวดคนอื่น เพราะท่านจะไม่ได้รับรางวัลจากพระเจ้าของท่านที่อยู่บนสวรรค์" (มัทธิว 6:1 อ่านเข้าใจง่าย)
การยกตัวเองกับการเป็นผู้รับใช้ไม่สามารถไปด้วยกันได้ ผู้รับใช้แท้ไม่ได้รับใช้เพื่อให้คนอื่นยอมรับหรือยกย่อง พวกเขามีชีวิตอยู่เพื่อผู้ชมแต่พระองค์เดียว ตามที่เปาโลกล่าวว่า "ถ้าข้าพเจ้ากำลังประจบประแจงมนุษย์อยู่ ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ผู้รับใช้ของพระคริสต์" (กาลาเทีย 1:10)
คุณจะไม่พบผู้รับใช้แท้มากนักภายใต้แสงสปอร์ตไลท์ อันที่จริงถ้าเป็นไปได้พวกเขาจะหลีกเลี่ยงมัน พวกเขาพอใจที่จะรับใช้เงียบ ๆ ในเงามืด โยเซฟเป็นตัวอย่างที่ดี ท่านไม่ได้ดึงความสนใจมาที่ตัวเองแต่รับใช้โปทิฟาร์เงียบ ๆ แล้วก็รับใช้นายคุก แล้วก็คนทำขนมและคนเชิญถ้วยของฟาโรห์ และพระเจ้าทรงอวยพรท่าทีเช่นนั้น เมื่อฟาโรห์เลื่อนท่านให้มีฐานะสำคัญ โยเซฟก็ยังคงรักษาหัวใจของผู้รับใช้ แม้กระทั่งกับพวกพี่ชายที่เคยทรยศท่าน
น่าเสียดาย ผู้นำในปัจจุบันหลายคนเริ่มต้นในฐานะผู้รับใช้ แต่ลงเอยด้วยการเป็นดารา พวกเขาเสพย์ติดความสนใจ โดยไม่รู้ตัวว่า การอยู่ในแสงสปอร์ตไลท์นาน ๆ จะทำให้ตาบอด
คุณอาจกำลังรับใช้โดยไม่มีใครรู้ ในสถานที่ไม่สลักสำคัญ โดยรู้สึกว่า ไม่มีใครรู้จักหรือชื่นชม โปรดฟังตรงนี้นะครับ พระเจ้าทรงให้คุณอยู่ในที่ที่คุณอยู่เพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่ง พระองค์ทรงนับผมทุกเส้นบนศีรษะคุณ และพระองค์ทรงรู้ที่อยู่ของคุณ คุณน่าจะอยู่ที่นั่นจนกว่าพระองค์จะตัดสินพระทัยพาคุณไปที่อื่น พระองค์จะบอกให้คุณรู้ถ้าพระองค์ต้องการให้คุณอยู่ที่อื่น พันธกิจของคุณมีความสำคัญต่ออาณาจักรของพระเจ้า "เมื่อพระคริสต์ทรงปรากฏอีกครั้งในโลกนี้ ท่านก็จะปรากฏด้วยคือ ตัวตนที่แท้จริงของท่าน ตัวท่านที่มีสง่าราศี ในระหว่างนี้ ท่านจงพอใจกับการไม่เป็นที่รู้จัก" (โคโลสี 3:4 Msg)
มี "หอเกียรติยศ" ในอเมริกามากกว่า 750 แห่ง และมีหนังสือ "ใครเป็นใคร" มากกว่า 450 ฉบับ แต่คุณจะไม่พบผู้รับใช้แท้มากนักในบรรดารายชื่อเหล่านั้น ชื่อเสียงไม่มีความหมายสำหรับผู้รับใช้แท้ เพราะพวกเขาเข้าใจความแตกต่างระหว่างความเด่นดังกับความสำคัญ คุณสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากลักษณะเด่นหลายอย่างในร่างกายคุณ แต่ส่วนที่มองไม่เห็นในร่างกายต่างหากที่คุณขาดไม่ได้ พระกายของคริสตจักรก็เช่นเดียวกัน การรับใช้ที่สำคัญที่สุดมักจะเป็นการรับใช้ที่ไม่มีใครเห็น (1 โครินธ์ 12:22-24)
ในสวรรค์ พระเจ้าจะประทานบำเหน็จอย่างเปิดเผยแก่ผู้รับใช้ของพระองค์บางคนที่ไม่โดดเด่นและไม่เป็นที่รู้จัก คนที่เราไม่เคยได้ยินชื่อเสียงในโลกนี้ เช่น คนที่สอนเด็กซึ่งมีสภาพอารมณ์ผิดปกติ ทำความสะอาดให้คนชราที่ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ ดูแลผู้ป่วยโรคเอดส์ และรับใช้คนพัน ๆ ในลักษณะต่าง ๆ ที่ไม่มีใครเห็น
เมื่อคุณรู้เช่นนี้ ก็จงอย่าท้อใจเมื่อไม่มีใครเห็นการรับใช้ของคุณ หรือไม่มีใครขอบคุณที่คุณทำสิ่งนั้น แต่จงรับใช้พระเจ้าต่อไป "จงทุ่มเทตนเองทำงานขององค์พระเป็นเจ้า โดยมั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดที่คุณทำเพื่อพระองค์ จะเป็นการเสียเวลาหรือเปล่าประโยชน์" (1 โครินธ์ 15:58 Msg) พระเจ้าทรงเห็นแม้แต่การรับใช้ที่เล็กน้อยที่สุด และจะประทานรางวัล จงจดจำคำของพระเยซูที่ว่า "ถ้าในฐานะตัวแทนของเรา ท่านได้ให้น้ำเย็นแม้สักแก้วหนึ่งแก่เด็กเล็ก ๆ ท่านจะได้รับบำเหน็จอย่างแน่นอน" (มัทธิว 10:42 LB)
วันที่ 33 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: ฉันรับใช้พระเจ้าโดยการรับใช้ผู้อื่น
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "ผู้ใดให้น้ำเย็นแก่ผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในพวกสาวกของเราดื่ม เพราะเห็นว่าเขาเป็นสาวกของเรา ผู้นั้นจะได้รับบำเหน็จรางวัลอย่างแน่นอน" มัทธิว 10:42 (ประชานิยม)
คำถามสำหรับการพิจารณา: ลักษณะข้อใดในคุณสมบัติหกประการของผู้รับใช้แท้ซึ่งเป็นเรื่องยากที่สุดสำหรับฉัน
มาระโก 10:43
ท่านจะรู้จักเขาได้จากความประพฤติของเขา
มัทธิว 7:16 (ประชานิยม)
เรารับใช้พระเจ้าโดยการรับใช้ผู้อื่น
โลกนิยามความยิ่งใหญ่ด้วยอำนาจ ทรัพย์สิ่งของ เกียรติ และตำแหน่ง ถ้าคุณเรียกร้องให้คนอื่นรับใช้คุณได้ คุณก็บรรลุถึงเป้าหมายแล้ว ในวัฒนธรรมที่เห็นแก่ตัวของเราตามแนวคิดว่าฉันต้องมาก่อน การทำตัวเหมือนคนใช้นั้นไม่ใช่แนวคิดที่น่านิยม
อย่างไรก็ตาม พระเยซูทรงวัดความยิ่งใหญ่ด้วยการรับใช้ ไม่ใช่ฐานะ พระเจ้าทรงตัดสินความยิ่งใหญ่ของคุณจากจำนวนคนที่คุณรับใช้ ไม่ใช่จำนวนคนที่รับใช้คุณ เรื่องนี้ช่างสวนทางกับความยิ่งใหญ่ตามความคิดของโลก จนเรารู้สึกว่ามันเข้าใจยากเหลือเกิน ส่วนการปฏิบัติตามก็ยิ่งน้อยลงไปอีก พวกสาวกโต้เถียงกันว่า ใครสมควรได้รับตำแหน่งที่สำคัญที่สุด และ 2,000 ปีต่อมา ผู้นำคริสตจักรก็ยังพลิกแพลงแสวงหาตำแหน่งและความสำคัญในคริสตจักร คณะ และองค์กรต่าง ๆ
มีหนังสือนับพัน ๆ เล่มเขียนเรื่องการเป็นผู้นำ แต่มีไม่กี่เล่มที่เขียนเรื่องการเป็นผู้รับใช้ ทุกคนอยากนำ แต่ไม่มีใครอยากเป็นผู้รับใช้ เราอยากเป็นนายพลมากกว่าพลทหารแม้แต่คริสเตียนก็อยากเป็น "ผู้รับใช้ในบทบาทผู้นำ" ไม่ใช่ผู้รับใช้เฉย ๆ แต่การเป็นเหมือนพระเยซูคือ การเป็นผู้รับใช้ นั่นคือสิ่งที่พระองค์ทรงเรียกพระองค์เอง
การรู้จักลักษณะ (shape) ของคุณมีความสำคัญต่อการรับใช้พระเจ้า แต่การมีหัวใจของผู้รับใช้นั้นสำคัญยิ่งกว่า โปรดระลึกว่า พระเจ้าบรรจงปั้นคุณเพื่อการรับใช้ ไม่ใช่เพื่อความเห็นแก่ตัว ถ้าปราศจากหัวใจของผู้รับใช้ คุณก็จะถูกล่อลวงให้ใช้ลักษณะของคุณเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว คุณยังจะถูกล่อลวงให้ใช้มันเป็นข้อแก้ตัวเพื่อตัวเองจะไม่ต้องสนองความต้องการบางอย่างของคนอื่น
พระเจ้ามักจะทดลองใจของเรา โดยการขอให้เรารับใช้ในแบบที่เราไม่ได้รับการปั้นมาถ้าคุณเห็นคนตกลงไปในบ่อ พระเจ้าก็คาดหวังว่าคุณจะช่วยฉุดเขาขึ้นมา อย่าพูดว่า "ผมไม่มีของประทานด้านความเมตตาหรือการปรนนิบัติ" คุณอาจจะไม่มีของประทานสำหรับงานบางอย่าง แต่คุณก็อาจถูกเรียกให้ทำงานนั้น ถ้าไม่มีคนอื่นที่มีของประทานดังกล่าวอยู่ใกล้ ๆ พันธกิจหลักของคุณจะอยู่ในขอบเขตลักษณะของคุณ แต่งานรับใช้ของคุณคือ งานที่คุณจำเป็นต้องช่วยในเวลานั้น
ลักษณะ (SHAPE) ของคุณจะเป็นตัวบ่งบอกพันธกิจของคุณ แต่หัวใจผู้รับใช้จะบ่งบอกถึงความเป็นผู้ใหญ่ของคุณ การอยู่ต่อหลังเลิกประชุมเพื่อเก็บขยะหรือเก็บเก้าอี้นั้นไม่ต้องอาศัยพรสวรรค์หรือของประทานพิเศษอะไร ใคร ๆ ก็สามารถเป็นผู้รับใช้ได้ สิ่งที่ต้องมีคือ ลักษณะนิสัย
เป็นไปได้ที่เราจะรับใช้ในคริสตจักรตลอดชีวิต โดยที่ไม่เคยเป็นผู้รับใช้เลย คุณต้องมีหัวใจของผู้รับใช้ คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าตนเองมีหัวใจของผู้รับใช้ พระเยซูตรัสว่า "ท่านจะรู้จักเขาจากความประพฤติของเขา" (มัทธิว 7:16 ประชานิยม)
ผู้รับใช้แท้ทำตัวให้ว่างเพื่อจะรับใช้ ผู้รับใช้ย่อมไม่ทำตัวให้ยุ่งไปกับกิจธุระอื่นจนไม่มีเวลาว่างให้นายเรียกใช้ พวกเขาอยากจะพร้อมที่จะกระโดดเข้าไปรับใช้ทันทีที่ได้รับคำสั่ง เช่นเดียวกับทหาร ผู้รับใช้ต้องพร้อมจะทำหน้าที่เสมอ "ไม่มีทหารคนใดที่เข้าประจำการ แล้วจะยุ่งอยู่กับงานฝ่ายพลเรือน ด้วยว่าเขามุ่งที่จะทำให้ผู้บังคับบัญชาพอใจ" ผู้รับใช้แท้จะทำสิ่งที่จำเป็นแม้เวลาที่ไม่สะดวก
คุณพร้อมสำหรับพระเจ้าทุกเวลาหรือไม่ คุณสามารถทิ้งแผนการของคุณโดยไม่รู้สึกขุ่นเคืองหรือไม่ ในฐานะผู้รับใช้ คุณไม่สามารถเลือกเวลาหรือสถานที่ที่คุณจะรับใช้ การเป็นผู้รับใช้หมายถึงการยกเลิกสิทธิในการควบคุมตารางเวลาของคุณ และปล่อยให้พระเจ้าทรงแทรกแซงมันเมื่อใดก็ได้ที่พระองค์ต้องการจะทำ
ถ้าคุณจะเตือนตัวเองทุกเช้าวันใหม่ว่า คุณเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า การแทรกแซงก็จะไม่ทำให้คุณหัวเสียมากนัก เพราะว่าแผนการของคุณจะเป็นอะไรก็ได้ที่พระเจ้าทรงต้องการนำเข้ามาในชีวิตของคุณ คนรับใช้มองการแทรกแซงว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้ากำหนดไว้เพื่อพันธกิจ และรู้สึกดีใจที่มีโอกาสจะรับใช้
ผู้รับใช้แท้จะสนใจที่ความจำเป็น ผู้รับใช้มักจะมองหาหนทางที่จะช่วยเหลือคนอื่นเมื่อเขาเห็นความจำเป็น เขาก็จะฉวยโอกาสที่จะสนองความต้องการนั้น เช่นเดียวกับที่พระคัมภีร์สั่งเราว่า "เหตุฉะนั้นเมื่อเรามีโอกาส ให้เราทำดีต่อคนทั้งปวง และเฉพาะอย่างยิ่งต่อครอบครัวที่มีความเชื่อ" (กาลาเทีย 6:10) เมื่อพระเจ้าทรงให้คนที่ขัดสนมาอยู่ตรงหน้าคุณ พระองค์ก็กำลังให้โอกาสแก่คุณที่จะเติบโตในการเป็นผู้รับใช้ ขอให้สังเกตว่า พระเจ้าตรัสว่า ความจำเป็นของครอบครัวคริสตจักรคุณต้องมาก่อน ไม่ใช่อยู่ท้ายสุดของรายการ "สิ่งที่ต้องทำ"
เราพลาดโอกาสในการรับใช้ไปมากมาย เพราะเราไม่ไวต่อความต้องการและไม่ตอบสนองโดยทันที โอกาสสำคัญ ๆ ในการรับใช้ไม่เคยอยู่นาน มันผ่านไปอย่างรวดเร็ว บางครั้งก็ไม่หวนกลับมาอีก คุณอาจจะมีโอกาสเดียวที่จะรับใช้ใครสักคน ดังนั้นจงฉวยโอกาสนั้นไว้ "อย่าบอกเพื่อนบ้านของท่านให้คอยถึงพรุ่งนี้ ถ้าท่านสามารถช่วยพวกเขาได้เดี๋ยวนี้" (สุภาษิต 3:28 TEV)
จอห์น เวสเล่ย์ เป็นผู้รับใช้ที่เหลือเชื่อ คติของท่านคือ "ทำความดีทุกอย่างที่ทำได้ ด้วยทุกวิธีที่ทำได้ ในทุกสถานที่ที่ทำได้ ทุกเวลาที่ทำได้ แก่ทุกคนที่ทำได้ และนานตราบเท่าที่คุณยังทำได้" นี่แหละคือความยิ่งใหญ่ คุณสามารถเริ่มมองหางานเล็ก ๆ ที่คนอื่นไม่อยากทำ และทำสิ่งเล็กน้อยเหล่านั้นเหมือนมันเป็นงานสำคัญเพราะว่าพระเจ้าทรงเฝ้ามองดูอยู่
ผู้รับใช้แท้ทำดีที่สุดด้วยสิ่งที่พวกเขามีอยู่ ผู้รับใช้จะไม่แก้ตัว ประวิงเวลา หรือคอยสถานการณ์เหมาะ ๆ ผู้รับใช้ไม่เคยพูดว่า "เดี๋ยวสักวันผมจะทำ" หรือ "ให้ถึงเวลาเหมาะ ๆ ก่อน" พวกเขาเพียงแต่ลงมือทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำ พระคัมภีร์กล่าวว่า "ถ้าท่านมัวคอยสภาพที่ดีพร้อม ท่านจะไม่มีวันทำอะไรเสร็จเลย" (ปัญญาจารย์ 11:4 NLT) พระเจ้าทรงคาดหวังว่าคุณจะทำสิ่งที่คุณทำได้ ด้วยสิ่งที่คุณมี ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน การรับใช้ที่ยังไม่สมบูรณ์แบบยังดีกว่าความตั้งใจที่ดีที่สุด
เหตุผลหนึ่งที่หลายคนไม่เคยรับใช้คือ พวกเขากลัวว่าพวกเขายังไม่ดีพอที่จะรับใช้ พวกเขาเชื่อคำมุสาที่ว่า การรับใช้พระเจ้านั้นมีไว้สำหรับยอดคนเท่านั้น บางคริสตจักรสนับสนุนความเชื่อผิด ๆ นี้โดยการยกย่อง "ความเป็นเลิศ" จนกลายเป็นรูปเคารพ ซึ่งทำให้คนที่มีพรสวรรค์ระดับปกติลังเลที่จะมีส่วนร่วม
คุณอาจจะเคยได้ยินคนพูดว่า "ถ้าทำให้ดีไม่ได้ ก็จงอย่าทำ" พระเยซูไม่เคยตรัสเช่นนั้นนะครับ ความจริงคือ เกือบทุกสิ่งที่เราทำนั้น เราทำได้ไม่ดีเท่าไรในตอนที่เราเริ่มทำครั้งแรก แต่นั่นคือวิธีที่เราเรียนรู้ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็ค เราใช้หลัก "ดีพอ" คือมันไม่ต้องดีสมบูรณ์แบบแล้วพระเจ้าถึงจะใช้และอวยพระพร เราอยากให้คนธรรมดานับพัน ๆ คนมีส่วนในพันธกิจ มากกว่ามีคริสตจักรที่สมบูรณ์แบบแต่มีอัจฉริยะทำงานอยู่ไม่กี่คน
ผู้รับใช้แท้ทำงานทุกอย่างด้วยความทุ่มเทเท่า ๆ กัน ไม่ว่าพวกเขาทำอะไร คนรับใช้จะ "ทำอย่างสุดใจ" (โคโลสี 3:23 อ่านเข้าใจง่าย) มันไม่เกี่ยวกับขนาดของงาน สิ่งสำคัญประการเดียวคือ มันจำเป็นต้องทำหรือไม่
คุณจะไม่มีวันเดินทางถึงจุดที่คุณเป็นคนสำคัญเกินกว่าจะมาช่วยงานต่ำต้อย พระเจ้าจะไม่มีวันยกเว้นคุณจากงานจำเจ มันเป็นส่วนสำคัญของหลักสูตรสร้างลักษณะนิสัยของคุณ พระคัมภีร์กล่าวว่า "ถ้าท่านคิดว่า ตัวเองสำคัญเกินกว่าที่จะช่วยเหลือคนที่ขัดสน ท่านก็หลอกลวงตัวเอง ที่จริงแล้วท่านไม่ใช่คนสำคัญอะไร" (กาลาเทีย 6:3 NLT) งานรับใช้เล็ก ๆ เหล่านี้เองที่ช่วยให้เราเติบโตขึ้นเหมือนพระคริสต์
พระเยซูทรงเชี่ยวชาญในงานต่ำต้อยที่คนอื่นพยายามหลีกเลี่ยง เช่น การล้างเท้า การช่วยเด็ก ๆ การเตรียมอาหาร และการปรนนิบัติคนโรคเรื้อน ไม่มีสิ่งใดที่ต่ำกว่าพระองค์ เพราะว่าพระองค์เสด็จมาเพื่อรับใช้ มันไม่ใช่ว่าพระองค์ทรงทำเช่นนี้แม้ว่าพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ แต่พระองค์ทำเช่นนี้เพราะพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ และพระองค์ทรงคาดหวังว่าเราจะทำตามแบบอย่างของพระองค์ (ยอห์น 13:15)
งานเล็ก ๆ มักจะแสดงถึงจิตใจที่ยิ่งใหญ่ หัวใจผู้รับใช้ของคุณปรากฏในการกระทำเล็กน้อยที่คนอื่นไม่คิดจะทำ อย่างเมื่อเปาโลเก็บฟืนมาใส่ไฟเพื่อให้ทุกคนอุ่นหลังจากเรือแตก (กิจการ 28:3) ในเวลานั้นท่านก็อ่อนเพลียเหมือนกับคนอื่น ๆ แต่ท่านทำสิ่งที่ทุกคนมีความต้องการ จะไม่มีงานใดต่ำเกินไปเมื่อคุณมีหัวใจของผู้รับใช้
โอกาสสำคัญ ๆ มักจะแฝงตัวมาในรูปงานเล็ก ๆ สิ่งเล็กน้อยในชีวิตเป็นตัวกำหนดสิ่งใหญ่ ๆ อย่ามองหางานใหญ่ที่จะทำถวายพระเจ้า แต่จงทำงานที่ไม่ใหญ่โตอะไรนัก และพระเจ้าจะทรงมอบหมายงานอะไรก็ได้ที่พระองค์ต้องการให้คุณทำ และก่อนจะพยายามทำสิ่งที่ไม่ธรรมดา จงพยายามรับใช้ในแบบธรรมดา ๆ เสียก่อน (ลูกา 16:10-12)
คนที่เต็มใจจะทำสิ่ง "ใหญ่" เพื่อพระเจ้านั้นมักจะมีมากกว่า คนที่เต็มใจจะเป็นคนใช้นั้นเปิดกว้าง บางครั้งคุณรับใช้ผู้มีอำนาจที่อยู่เหนือกว่า และบางครั้งคุณก็รับใช้คนขัดสนที่ดูเหมือนด้อยกว่า ไม่ว่าจะแบบใดก็ตาม คุณจะได้พัฒนาหัวใจของผู้รับใช้ เมื่อคุณเต็มใจทำอะไรก็ได้ที่จำเป็น
ผู้รับใช้แท้สัตย์ซื่อต่อพันธกิจของตน ผู้รับใช้จะทำงานจนเสร็จ ทำตามความรับผิดชอบจนสำเร็จ รักษาสัญญา และทำตามความตั้งใจจนครบถ้วน พวกเขาไม่ทิ้งงานครึ่ง ๆ กลาง ๆ และไม่หยุดเมื่อท้อใจ พวกเขาเชื่อถือได้และพึ่งพาได้
ความสัตย์ซื่อเป็นคุณสมบัติที่หายากทุกยุคทุกสมัย (สดุดี 12:1, สุภาษิต 20:6, ฟีลิปปี 2:19-22) คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักความหมายของคำมั่นสัญญา พวกเขาสัญญาไปตามอารมณ์แล้วก็ผิดสัญญาด้วยเหตุผลที่ไร้สาระที่สุด โดยไม่รีรอ สำนึกผิด หรือเสียใจ ทุกสัปดาห์ คริสตจักรและองค์กรอื่น ๆ ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพราะว่าอาสาสมัครไม่พร้อม ไม่มาหรือไม่โทรศัพท์มาบอกด้วยซ้ำว่าเขาจะไม่มา
คนอื่นวางใจคุณได้หรือไม่ มีคำสัญญาที่คุณต้องรักษา คำปฏิญาณที่คุณต้องทำตามหรือความตั้งใจที่คุณต้องเคารพหรือไม่ นี่เป็นการทดลอง คุณก็อยู่ในกลุ่มคนที่ใช้ได้ คือ อับราฮัม โมเสส ซามูเอล ดาวิด ดาเนียล ทิโมธี และเปาโล พวกเขาล้วนได้ชื่อว่าผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อของพระเจ้าแต่สิ่งที่ดียิ่งกว่านั้นคือ พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะประทานบำเหน็จแก่ความสัตย์ซื่อของคุณในนิรัดรกาล ลองนึกดูว่าคุณจะรู้สึกอย่างไร เมื่อวันหนึ่งพระเจ้าตรัสกับคุณว่า "ดีแล้วเจ้าเป็นทาสดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด" (มัทธิว 25:23)
อนึ่ง ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อไม่เคยมีการปลดเกษียณ แต่รับใช้อย่างสัตย์ซื่อตราบเท่าที่เขายังมีชีวิตอยู่ คุณสามารถเกษียณจากอาชีพของคุณ แต่คุณจะไม่มีวันเกษียณจากการรับใช้พระเจ้า
ผู้รับใช้แท้ยอมคงอยู่ในฐานะที่ไม่มีใครยกย่อง ผู้รับใช้ไม่โฆษณาตัวเองหรือเรียกร้องความสนใจ แทนที่จะแสดงบทบาทให้คนอื่นประทับใจ และแต่งตัวไปรับรางวัล พวกเขา "สวมผ้ากันเปื้อนแห่งความถ่อมใจเพื่อรับใช้กันและกัน" (1 เปโตร 5:5 TEV) ถ้ามีคนยกย่องการรับใช้ของพวกเขามพวกเขาก็ยอมรับด้วยถ่อมใจ แต่ไม่ยอมให้ชื่อเสียงหันเหพวกเขาไปจากงานของตน
เปาโลเปิดโปงการรับใช้ชนิดที่ดูเหมือนเป็นฝ่ายวิญญาณ แต่ที่จริงเป็นการโอ้อวด การแสดง การกระทำเพื่อให้คนอื่นสนใจ ท่านเรียกว่าการ "ทำแต่ต่อหน้า" (รับใช้ให้คนเห็น) (เอเฟซัส 6:6, โคโลสี 3:22) คือการรับใช้เพื่อให้ผู้คนประทับใจว่าเราช่างอยู่ฝ่ายวิญญาณเหลือเกิน นี่คือความบาปของพวกฟาริสี พวกเขาเปลี่ยนการช่วยเหลือคนอื่น การให้ และแม้แต่การอธิษฐาน เป็นการแสดงเพื่อให้คนอื่นเห็น พระเยซูทรงเกลียดชังท่าทีนี้ และทรงเตือนว่า "ระวังให้ดี อย่าทำความดีเพื่ออวดคนอื่น เพราะท่านจะไม่ได้รับรางวัลจากพระเจ้าของท่านที่อยู่บนสวรรค์" (มัทธิว 6:1 อ่านเข้าใจง่าย)
การยกตัวเองกับการเป็นผู้รับใช้ไม่สามารถไปด้วยกันได้ ผู้รับใช้แท้ไม่ได้รับใช้เพื่อให้คนอื่นยอมรับหรือยกย่อง พวกเขามีชีวิตอยู่เพื่อผู้ชมแต่พระองค์เดียว ตามที่เปาโลกล่าวว่า "ถ้าข้าพเจ้ากำลังประจบประแจงมนุษย์อยู่ ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ผู้รับใช้ของพระคริสต์" (กาลาเทีย 1:10)
คุณจะไม่พบผู้รับใช้แท้มากนักภายใต้แสงสปอร์ตไลท์ อันที่จริงถ้าเป็นไปได้พวกเขาจะหลีกเลี่ยงมัน พวกเขาพอใจที่จะรับใช้เงียบ ๆ ในเงามืด โยเซฟเป็นตัวอย่างที่ดี ท่านไม่ได้ดึงความสนใจมาที่ตัวเองแต่รับใช้โปทิฟาร์เงียบ ๆ แล้วก็รับใช้นายคุก แล้วก็คนทำขนมและคนเชิญถ้วยของฟาโรห์ และพระเจ้าทรงอวยพรท่าทีเช่นนั้น เมื่อฟาโรห์เลื่อนท่านให้มีฐานะสำคัญ โยเซฟก็ยังคงรักษาหัวใจของผู้รับใช้ แม้กระทั่งกับพวกพี่ชายที่เคยทรยศท่าน
น่าเสียดาย ผู้นำในปัจจุบันหลายคนเริ่มต้นในฐานะผู้รับใช้ แต่ลงเอยด้วยการเป็นดารา พวกเขาเสพย์ติดความสนใจ โดยไม่รู้ตัวว่า การอยู่ในแสงสปอร์ตไลท์นาน ๆ จะทำให้ตาบอด
คุณอาจกำลังรับใช้โดยไม่มีใครรู้ ในสถานที่ไม่สลักสำคัญ โดยรู้สึกว่า ไม่มีใครรู้จักหรือชื่นชม โปรดฟังตรงนี้นะครับ พระเจ้าทรงให้คุณอยู่ในที่ที่คุณอยู่เพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่ง พระองค์ทรงนับผมทุกเส้นบนศีรษะคุณ และพระองค์ทรงรู้ที่อยู่ของคุณ คุณน่าจะอยู่ที่นั่นจนกว่าพระองค์จะตัดสินพระทัยพาคุณไปที่อื่น พระองค์จะบอกให้คุณรู้ถ้าพระองค์ต้องการให้คุณอยู่ที่อื่น พันธกิจของคุณมีความสำคัญต่ออาณาจักรของพระเจ้า "เมื่อพระคริสต์ทรงปรากฏอีกครั้งในโลกนี้ ท่านก็จะปรากฏด้วยคือ ตัวตนที่แท้จริงของท่าน ตัวท่านที่มีสง่าราศี ในระหว่างนี้ ท่านจงพอใจกับการไม่เป็นที่รู้จัก" (โคโลสี 3:4 Msg)
มี "หอเกียรติยศ" ในอเมริกามากกว่า 750 แห่ง และมีหนังสือ "ใครเป็นใคร" มากกว่า 450 ฉบับ แต่คุณจะไม่พบผู้รับใช้แท้มากนักในบรรดารายชื่อเหล่านั้น ชื่อเสียงไม่มีความหมายสำหรับผู้รับใช้แท้ เพราะพวกเขาเข้าใจความแตกต่างระหว่างความเด่นดังกับความสำคัญ คุณสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากลักษณะเด่นหลายอย่างในร่างกายคุณ แต่ส่วนที่มองไม่เห็นในร่างกายต่างหากที่คุณขาดไม่ได้ พระกายของคริสตจักรก็เช่นเดียวกัน การรับใช้ที่สำคัญที่สุดมักจะเป็นการรับใช้ที่ไม่มีใครเห็น (1 โครินธ์ 12:22-24)
ในสวรรค์ พระเจ้าจะประทานบำเหน็จอย่างเปิดเผยแก่ผู้รับใช้ของพระองค์บางคนที่ไม่โดดเด่นและไม่เป็นที่รู้จัก คนที่เราไม่เคยได้ยินชื่อเสียงในโลกนี้ เช่น คนที่สอนเด็กซึ่งมีสภาพอารมณ์ผิดปกติ ทำความสะอาดให้คนชราที่ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ ดูแลผู้ป่วยโรคเอดส์ และรับใช้คนพัน ๆ ในลักษณะต่าง ๆ ที่ไม่มีใครเห็น
เมื่อคุณรู้เช่นนี้ ก็จงอย่าท้อใจเมื่อไม่มีใครเห็นการรับใช้ของคุณ หรือไม่มีใครขอบคุณที่คุณทำสิ่งนั้น แต่จงรับใช้พระเจ้าต่อไป "จงทุ่มเทตนเองทำงานขององค์พระเป็นเจ้า โดยมั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดที่คุณทำเพื่อพระองค์ จะเป็นการเสียเวลาหรือเปล่าประโยชน์" (1 โครินธ์ 15:58 Msg) พระเจ้าทรงเห็นแม้แต่การรับใช้ที่เล็กน้อยที่สุด และจะประทานรางวัล จงจดจำคำของพระเยซูที่ว่า "ถ้าในฐานะตัวแทนของเรา ท่านได้ให้น้ำเย็นแม้สักแก้วหนึ่งแก่เด็กเล็ก ๆ ท่านจะได้รับบำเหน็จอย่างแน่นอน" (มัทธิว 10:42 LB)
วันที่ 33 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: ฉันรับใช้พระเจ้าโดยการรับใช้ผู้อื่น
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "ผู้ใดให้น้ำเย็นแก่ผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในพวกสาวกของเราดื่ม เพราะเห็นว่าเขาเป็นสาวกของเรา ผู้นั้นจะได้รับบำเหน็จรางวัลอย่างแน่นอน" มัทธิว 10:42 (ประชานิยม)
คำถามสำหรับการพิจารณา: ลักษณะข้อใดในคุณสมบัติหกประการของผู้รับใช้แท้ซึ่งเป็นเรื่องยากที่สุดสำหรับฉัน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)