วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วันที่ 27 ชนะการทดลอง

จงวิ่งหนีทุกสิ่งที่ให้ความคิดชั่วแก่ท่าน… แต่จงอยู่ใกล้ทุกสิ่งที่ทำให้คุณต้องการทำสิ่งที่ถูกต้อง
2 ทิโมธี 2:22 (LB)

จงระลึกว่า การทดลองที่เข้ามาในชีวิตของท่านนั้น ไม่แตกต่างจากสิ่งที่คนอื่นประสบ และพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อพระองค์จะไม่ให้การทดลองนั้นรุนแรงจนท่านไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้ได้ เมื่อท่านถูกทดลอง พระองค์จะสำแดงทางออกแก่ท่าน เพื่อท่านจะไม่ต้องยอมแพ้มัน
1 โครินธ์ 10:13 (NLT)

มีทางออกเสมอ

บางครั้งคุณอาจรู้สึกว่าการทดลองบางอย่างมีพลังเกินกว่าที่คุณจะทนได้ แต่นั่นเป็นคำโกหกจากซาตาน พระเจ้าได้ทรงสัญญาว่าจะไม่ทรงอนุญาตให้คุณต้องแบกรับสิ่งใดที่หนักเกินกว่าความสามารถซึ่งพระองค์ประทานไว้ภายในคุณเพื่อจะรับมือสิ่งนั้น พระองค์จะไม่อนุญาตให้เกิดการทดลองใด ๆ ที่คุณไม่สามารถเอาชนะได้ อย่างไรก็ตาม คุณต้องทำส่วนของคุณด้วย โดยการใช้กุญแจสี่ประการจากพระคัมภีร์ เพื่อเอาชนะการทดลอง

หันความสนใจของคุณไปจดจ่อสิ่งอื่น มันอาจจะแปลกที่ไม่มีพระคัมภีร์ข้อไหนบอกให้เรา "ต่อสู้การทดลอง" เราได้รับคำสั่งให้ "ต่อสู้กับมาร" (ยากอบ 4:7) แต่นั่น มันต่างกันมาก ซึ่งผมจะอธิบายภายหลัง แต่เราได้รับคำแนะนำให้หันความสนใจของเราไปจดจ่อสิ่งอื่น เพราะว่าการต่อสู้กับความคิดนั้นไม่ได้ผล มันมีแต่จะเพิ่มความรุนแรงของการที่เราจดจ่อในสิ่งที่ผิด และเพิ่มอำนาจการล่อลวงของมัน ผมขออธิบาย

ทุกครั้งที่คุณพยายามยับยั้งความคิดให้ออกไปจากสมอง คุณกลับยิ่งผลักมันลึกลงไปในความทรงจำของคุณมากขึ้น เมื่อคุณต่อต้านมัน แท้ที่จริงคุณกำลังตอกย้ำมันลงไป เรื่องนี้เป็นความจริงโดยเฉพาะกับการทดลอง คุณไม่อาจจะเอาชนะการทดลองโดยการต่อสู้กับความรู้สึกนั้น ยิ่งคุณต่อสู้ความรู้สึกนั้นมากเท่าใด มันก็ยิ่งรุนแรงและควบคุมคุณมากเท่านั้น คุณเพิ่มพลังให้มันทุกครั้งที่คุณคิดถึงมัน

เนื่องจาการทดลองมักเริ่มต้นที่ความคิด ดังนั้นวิธีที่จะทำให้มันหมดอำนาจล่อลวงได้คือ หันความสนใจของคุณไปที่สิ่งอื่น อย่าต่อสู้กับความคิด ขอเพียงเปลี่ยนช่องความคิดของคุณ และสนใจความคิดอื่น นี่คือก้าวแรกที่จะเอาชนะการทดลอง

การต่อสู้กับความบาปนั้นจะชนะหรือแพ้ก็อยู่ที่ความคิดของคุณ อะไรก็ตามที่กุมความสนใจของคุณได้ก็จะชนะคุณ นั่นคือเหตุผลที่โยบพูดว่า "ข้าได้กระทำพันธสัญญากับนัยน์ตาของข้าแล้วที่จะไม่มองหญิงสาวด้วยใจที่มีตัณหา" (โยบ 31:1 NLT) และดาวิดอธิษฐานว่า "ขอทรงช่วยข้าพระองค์ไม่ให้สนใจสิ่งที่ไร้ค่า" (สดุดี 119:37ก TEV)

คุณเคยดูโฆษณาอาหารทางโทรทัศน์แล้วรู้สึหิวขึ้นมาทันทีไหม คุณเคยได้ยินใครไอแล้วรู้สึกอยากจะกระแอมไหม เคยเห็นใครหาวปากกว้างแล้วรู้สึกอยากจะหาวตามไหม (คุณอาจจะหาวขึ้นมาทันทีที่อ่านถึงตรงนี้) นั่นคืออำนาจของการเสนอแนะ เราจดจ่อกับสิ่งใดเราก็จะมุ่งไปหาสิ่งนั้นโดยอัตโนมัติ ยิ่งคุณคิดถึงอะไรบางอย่างมากเท่าไร มันก็ยิ่งครอบงำคุณมากเท่านั้น

นั่นคือเหตุผลที่การย้ำกับตัวเองว่า "ฉันต้องไม่กินมากเกินไป… หรือหยุดสูบบุหรี่… หรือหยุดความใคร่เสีย" เป็นวิธีการที่ล้มเหลวอยู่ในตัว เพราะมันทำให้คุณจดจ่อในสิ่งที่คุณไม่ต้องการ มันก็เหมือนการประกาศว่า "ฉันจะไม่มีวันทำสิ่งที่แม่ของฉันทำ" คุณก็กำลังกำหนดเส้นทางตัวเองให้ทำสิ่งนั้น

การควบคุมอาหารส่วนใหญ่ไม่ได้ผล เพราะว่ามันทำให้คุณคิดถึงอาหารอยู่ตลอดเวลาโดยรับประกันว่าคุณจะหิวโหยแน่ ทำนองเดียวกัน โฆษกที่ย้ำกับตัวเองว่า "อย่าตื่นเต้น…" ก็กำลังทำให้ตัวเองตื่นเต้น แทนที่จะทำเช่นนั้นเธอน่าจะจดจ่อกับอะไรก็ได้ยกเว้นความรู้สึกของเธอ เช่น ที่พระเจ้า ที่ความสำคัญของสิ่งที่เธอจะพูด หรือที่ความจำเป็นของผู้ฟัง

การทดลองเริ่มต้นโดยการจับความสนใจของคุณ สิ่งที่กุมความสนใจของคุณได้ก็จะสามารถเร้าอารมณ์ของคุณ แล้วอารมณ์ของคุณก็ไปกระตุ้นการกระทำ และคุณก็จะทำตามสิ่งที่คุณรู้สึก ยิ่งคุณจดจ่อกับความคิดที่ว่า "ผมไม่อยากทำสิ่งนี้" มันก็ยิ่งดึงคุณเข้าไปสู่กับดักของมัน

การเมินเฉยต่อการทดลองนั้นมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าการต่อสู้มัน เมื่อความคิดของคุณอยู่ที่สิ่งอื่น การทดลองนั้นก็หมดอำนาจ ดังนั้นเมื่อการทดลองโทรศัพท์มาหาคุณ ก็อย่าไปโต้เถียงกับมัน แต่ให้วางหูเสีย

บางครั้ง มันหมายถึงการออกไปจากสถานการณ์ที่มีการทดลอง นี่เป็นกรณีเดียวที่การวิ่งหนีไม่ใช่ความผิด จงลุกขึ้นแล้วก็ปิดโทรทัศน์เสีย เดินหนีจากกลุ่มที่กำลังนินทา ออกจากโรงภาพยนตร์แม้มันจะยังฉายไม่จบ ถ้าไม่อยากถูกต่อยก็จงอยู่ให้ห่างจากผึ้ง จงทำทุกสิ่งที่จำเป็นเพื่อหันความสนใจของคุณไปที่สิ่งอื่น

ในฝ่ายวิญญาณนั้น ความคิดของคุณเป็นอวัยวะที่เปราะบางที่สุด เพื่อจะทำให้การทดลองลดน้อยลง จงจดจ่อความคิดของคุณที่พระวจนะของพระเจ้า และความคิดอื่น ๆ ที่ดีงาม คุณชนะความคิดที่ไม่ดีโดยการคิดสิ่งที่ดีกว่า นี่คือหลักของการแทนที่ คุณชนะความชั่วด้วยความดี (โรม 12:21) ซาตานไม่สามารถชิงความสนใจของคุณได้เมื่อความคิดของคุณจดจ่อที่สิ่งอื่น นั่นคือเหตุผลที่พระคัมภีร์บอกเราหลายครั้งให้รักษาความคิดที่จดจ่อ "จงให้ความคิดของท่านจดจ่อที่พระเยซู" (ฮีบรู 3:1 NIV) "จงคิดถึงพระเยซูคริสต์เสมอ" (2 ทิโมธี 2:8 GWT)

"จงให้ความคิดของท่านเต็มไปด้วยสิ่งที่ล้ำเลิศ สิ่งที่ควรสรรเสริญ คือสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ยุติธรรม สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่น่ายกย่อง" (ฟีลิปปี 4:8 TEV)

ถ้าคุณจริงจังกับการเอาชนะการทดลอง คุณต้องจัดการความคิดของคุณและควบคุมสื่อที่คุณเปิดรับเข้ามา คนฉลาดที่สุดที่เคยมีชีวิตอยู่ได้เตือนว่า "จงระมัดระวังว่าท่านคิดอย่างไร เพราะชีวิตของท่านถูกกำหนดโดยความคิด" (สุภาษิต 4:23 TEV) อย่าให้ขยะเข้ามาในความคิดของคุณโดยไม่มีการแยกแยะ จงคัดเลือก จงเลือกอย่างระมัดระวังว่าคุณจะคิดอะไร ทำตามอย่างเปาโล "เราควบคุมทุกความคิดและให้มันยอมจำนนและเชื่อฟังพระคริสต์" (2 โครินธ์ 10:5 NCV) เรื่องนี้คุณต้องใช้เวลาฝึกตลอดชีวิต แต่ด้วยความช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คุณสามารถกำหนดวิธีคิดของคุณใหม่ได้

เปิดเผยการต่อสู้ของคุณกับเพื่อนที่รักพระเจ้า หรือกลุ่มสนับสนุน คุณไม่จำเป็นต้องประกาศให้ทั้งโลกรู้ แต่คุณต้องการอย่างน้อยหนึ่งคนที่คุณสามารถคุยเรื่องการต่อสู้ของคุณอย่างเปิดเผยได้ พระคัมภีร์กล่าวว่า "มีเพื่อนสักคนก็ดีกว่าอยู่คนเดียว… ถ้าท่านล้มลง เพื่อนของท่านจะได้ช่วยท่านให้ลุกขึ้น แต่ท่านล้มลงโดยไม่มีเพื่อนอยู่ใกล้ ท่านก็แย่แน่" (ปัญญาจารย์ 4:9-10 CEV)

ผมขอพูดให้ชัดเจน ถ้าคุณกำลังพ่ายแพ้ในการต่อสู้กับนิสัยไม่ดี ที่เลิกยาก สิ่งเสพย์ติด หรือการทดลองที่ไม่ยอมรามือ และคุณติดอยู่ในวงจรซ้ำซากที่วนเวียนอยู่กับความตั้งใจดี ๆ - ความล้มเหลว - ความรู้สึกผิด คุณจะไม่ดีขึ้นได้ด้วยตัวคุณเอง คุณต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่น การทดลองบางอย่างจะชนะได้ก็ด้วยความช่วยเหลือของคนที่อธิษฐานเพื่อคุณ หนุนใจคุณ และให้คุณรายงานชีวิตกับเขาเท่านั้น

แผนการของพระเจ้าสำหรับการเติบโตและเสรีภาพของคุณมีคริสเตียนคนอื่น ๆ อยู่ในแผนนั้นด้วย สามัคคีธรรมที่แท้และจริงใจคือยาถอนพิษให้กับการต่อสู้ตามลำพัง กับความบาปเหล่านั้นที่เกาะแน่น พระเจ้าตรัสว่ามันเป็นหนทางเดียวที่คุณจะดิ้นหลุดได้ "จงสารภาพบาปต่อกันและกัน และจงอธิษฐานเพื่อกันและกัน เพื่อท่านทั้งหลายจะพ้นโรคภัย" (ยากอบ 5:16)

คุณต้องการจริง ๆ ที่จะได้รับการรักษาให้หายจากการทดลองที่ไม่ยอมรามือและเอาชนะคุณซ้ำแล้วซ้ำอีกหรือไม่ ทางออกของพระเจ้านั้นง่าย อย่าควบคุมมัน แต่จงสารภาพมัน อย่าปกปิดมัน แต่จงเปิดเผยมัน การเปิดเผยความรู้สึกของคุณเป็นจุดเริ่มต้นการบำบัดรักษา

การซ่อนความเจ็บปวดของคุณมีแต่จะทวีความรุนแรงของมัน ปัญหาจะเติบโตในความมืด และใหญ่ขึ้น ๆ แต่เมื่อถูกเปิดเผยต่อความสว่างแห่งความจริง มันก็หดเล็กลง คุณมีความลับมากเท่าใด คุณก็ป่วยหนักเท่านั้น ดังนั้นจงถอดหน้ากาก หยุดเสแสร้งว่าคุณดีพร้อมและเดินเข้าสู่เสรีภาพ

ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คนั้น เราได้เห็นฤทธิ์เดชอันน่าทึ่งของหลักการนี้ ที่ได้ทำลายการเกาะกุมของภาวะเสพย์ติดที่ดูเหมือนสิ้นหวัง รวมทั้งการทดลองที่ไม่ยอมรามือสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นผ่านโครงการที่เราพัฒนาขึ้น ซึ่งมีชื่อว่า Celebrate Recovery (เฉลิมฉลองการฟื้นตัว) มันเป็นกระบวนการฟื้นตัวตามพระคัมภีร์แปดขั้นตอน ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งผู้เป็นสุขของพระเยซู และใช้กลุ่มย่อยสนับสนุน ในสิบปีที่ผ่านมา ผู้คนกว่า 5,000 คนได้รับการปลดปล่อยจากนิสัย บาดแผล และการเสพย์ติดทุกรูปแบบ วันนี้ คริสตจักรหลายพันแห่งกำลังใช้โครงการนี้อยู่ ซึ่งผมขอสนับสนุนอย่างมากให้คริสตจักรคุณนำไปใช้

ซาตานต้องการให้คุณคิดว่าความบาปและการทดลองของคุณนั้นไม่เหมือนคนอื่นเพื่อคุณจะเก็บสิ่งเหล่านั้นไว้เป็นความลับ แต่ความจริงคือเราทุกคนอยู่ในเรือลำเดียวกันและต่อสู้กับการทดลองเดียวกัน (1 โครินธ์ 10:13) "และเราทุกคนทำบาป" (โรม 3:23) คนนับล้านรู้สึกถึงสิ่งที่คุณรู้สึก และเผชิญการต่อสู้เดียวกันกับที่คุณเผชิญอยู่เดี๋ยวนี้

เหตุผลที่เราซ่อนความผิดของเราคือความเย่อหยิ่ง เราต้องการให้คนอื่นคิดว่าเรา "ควบคุม" ทุกอย่างได้ แต่ความจริงคือสิ่งใดก็ตามที่คุณไม่สามารถพูดถึง สิ่งนั้นก็อยู่นอกเหนือการควบคุมในชีวิตคุณแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเงิน ชีวิตสมรส ลูก ๆ ความคิดเรื่องเพศ นิสัยที่เป็นความลับ หรือสิ่งอื่น ๆ ถ้าคุณสามารถจัดการมันด้วยตัวเอง คุณก็คงจะทำสำเร็จไปแล้ว แต่คุณทำไม่ได้ กำลังใจและความตั้งใจส่วนตัวนั้นยังไม่พอ

ปัญหาบางอย่างฝังลึกเกินไป ติดเป็นนิสัยมากเกินไป และใหญ่เกินกว่าที่คุณจะแก้ได้เอง คุณต้องการกลุ่มย่อยหรือเพื่อนที่จะช่วยรับผิดชอบชีวิต ซึ่งจะหนุนใจคุณ สนับสนุนคุณ อธิษฐานเพื่อคุณ รักคุณอย่างไม่มีเงื่อนไข และให้คุณรายงานต่อเขา แล้วคุณเองก็สามารถช่วยพวกเขาในลักษณะเดียวกัน

เมื่อใดก็ตามที่มีคนปรับทุกข์กับผมว่า "ผมไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครเลยจนถึงเดี๋ยวนี้" ผมก็จะรู้สึกตื่นเต้นแทนคนนั้น เพราะผมรู้ว่าพวกเขากำลังจะพบการเยียวยา และการปลดปล่อยครั้งใหญ่ ความกดดันกำลังจะถูกระบายออกมา และพวกเขาจะเห็นแสงแห่งความหวังสำหรับอนาคตของตนเป็นครั้งแรก สิ่งนี้มักจะเกิดขึ้นเมื่อเราทำสิ่งพระเจ้าตรัสบอกเราให้ทำ โดยการยอมรับการต่อสู้ของเรากับเพื่อนที่เดินในทางของพระเจ้า

ผมขอถามคำถามยาก ๆ ข้อหนึ่งกับคุณ คุณกำลังปกปิดปัญหาอะไรในชีวิตของคุณอยู่ คุณกลัวที่จะพูดถึงเรื่องอะไร คุณจะแก้ปัญหานั้นไม่ได้ด้วยตัวเอง ใช่ครับ การยอมรับความอ่อนแอของเราต่อคนอื่นนั้นเป็นการลดตัวลงต่ำ แต่การขาดความถ่อมใจคือ สิ่งที่ขัดขวางคุณไม่ให้เป็นคนที่ดีขึ้น พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าทรงต่อสู้คนที่หยิ่งจองหอง แต่ประทานพระคุณแก่คนที่ถ่อมใจ เพราะฉะนั้นพวกท่านจงนอบน้อมต่อพระเจ้า" (ยากอบ 4:6-7ก 2002)

จงต่อสู้กับมาร หลังจากที่เราถ่อมตัวและยอมฟังพระเจ้า พระคัมภีร์บอกให้เราต่อต้านมาร ข้อความที่เหลือของยากอบ 4:7 กล่าวว่า "จงต่อสู้กับมาร แล้วมารจะหนีท่านไป" เราจะไม่นิ่งเฉยต่อการโจมตีของมัน แต่เราต้องตอบโต้กลับ

พระคัมภีร์ใหม่มักจะบรรยายชีวิตคริสเตียนว่าเปรียบเสมือนสงครามฝ่ายวิญญาณต่อสู้กับอำนาจของความชั่ว โดยใช้ศัพท์ทางสงครามอย่างเช่น ต่อสู้ พิชิต ฟันฝ่า และเอาชนะ คริสเตียนมักจะถูกเปรียบกับทหารที่ปฏิบัติภารกิจในดินแดนของศัตรู

เราจะต่อสู้กับมารอย่างไร เปาโลบอกเราว่า "จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณ คือพระวจนะของพระเจ้า" (เอเฟซัส 6:17) ขั้นแรกคือการยอมรับความรอดของพระเจ้า คุณไม่สามารถปฏิเสธมารได้ เว้นแต่คุณได้ตอบตกลงกับพระคริสต์แล้ว เราป้องกันตัวเองจากมารไม่ได้ถ้าเราไม่มีพระคริสต์ แต่ด้วย "ความรอดเป็นหมวกเหล็ก" ความคิดของเราก็ได้รับการปกป้องโดยพระเจ้า จงจำข้อนี้ไว้ คือ ถ้าคุณเป็นผู้เชื่อ ซาตานไม่สามารถบังคับคุณให้ทำสิ่งใดเลย มันได้แต่เสนอเท่านั้น

ขั้นตอนที่สอง คุณต้องใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นอาวุธต่อสู้ซาตาน พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างเรื้องนี้ เมื่อพระองค์ทรงถูกทดลองในถิ่นทุรกันดร ทุกครั้งที่ซาตานล่อลวงด้วยข้อเสนอใด ๆ พระเยซูทรงโต้ตอบโดยการอ้างข้อพระคัมภีร์ พระองค์มิได้โต้แย้งกับซาตาน พระองค์ไม่ได้ตรัสว่า "เราไม่หิว" เมื่อทรงถูกทดลองให้ใช้ฤทธิ์เดชของพระองค์สนองความจำเป็นส่วนพระองค์ พระองค์เพียงแต่อ้างข้อพระคัมภีร์จากความจำ เราเองก็ต้องทำสิ่งเดียวกัน มีฤทธิ์เดชอยู่ในพระวจนะพระเจ้า และซาตานกลัวฤทธิ์เดชนั้น

อย่าพยายามโต้แย้งกับมาร มันโต้แย้งเก่งกว่าคุณ เพราะมันฝึกฝนมานับพัน ๆ ปีแล้ว คุณไม่สามารถข่มขวัญซาตานด้วยเหตุผลหรือความคิดเห็นของคุณ แต่คุณสามารถใช้อาวุธที่ทำให้มันตัวสั่นคือ ความจริงของพระเจ้า นี่คือเหตุผลที่การท่องจำพระคัมภีร์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ถ้าเราต้องการเอาชนะการทดลอง คุณจะนำข้อพระคัมภีร์มาใช้ได้อย่างรวดเร็วเมื่อคุณถูกทดลอง และเช่นเดียวกับพระเยซู คุณมีความจริงนั้นสะสมอยู่ในใจของคุณพร้อมจะระลึกถึงได้

ถ้าคุณท่องจำพระคัมภีร์ไม่ได้เลยสักข้อเดียว คุณก็ไม่มีลูกกระสุนในปืนของคุณ ผมท้าทายให้คุณท่องจำสัปดาห์ละหนึ่งข้อตลอดชีวิต ลองจินตนาการดูสิครับว่า คุณจะเข้มแข็งมากขึ้นขนาดไหน

ตระหนักถึงความอ่อนแอของคุณ พระเจ้าทรงเตือนเราไม่ให้ลำพองและมั่นใจเกินไปนั่นคือสูตรสำหรับความหายนะ เยเรมีย์กล่าวว่า "จิตใจก็เป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด… ผู้ใดจะรู้จักใจนั้นเล่า" (เยเรมีย์ 17:9) นั่นหมายความว่าเราเก่งเรื่องการหลอกตัวเอง ถ้าตกในสถานการณ์เหมาะ ๆ เราทุกคนก็สามารถทำบาปชนิดไหนก็ได้ เราต้องไม่เปิดหน้ารับการโจมตี และคิดว่าเราอยู่เหนือการทดลองแล้ว

อย่าชะล่าใจโดยนำตัวเองเข้าสู่สถานการณ์ที่เอื้อให้เกิดการทดลอง แต่จงหลีกเลี่ยงสถานการณ์เหล่านั้น (สุภาษิต 14:16) จงจำไว้ว่า การอยู่ให้ห่างจากการทดลองนั้นง่ายกว่าการเอาตัวออกมา พระคัมภีร์กล่าวว่า "อย่าทำตัวอ่อนหัดและมั่นใจในตัวเอง ท่านไม่ได้ถูกยกเว้น ท่านเองก็ล้มคะมำได้ง่ายเท่าคนอื่น ๆ จงลืมความมั่นใจในตัวเองเสีย มันไร้ประโยชน์ จงปลูกฝังความมั่นใจในพระเจ้า" (1 โครินธ์ 10:12 Msg)

วันที่ 27 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: มีทางออกเสมอ

ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ พระองค์ไม่ให้การทดลองนั้นรุนแรงจนท่านไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้ได้ เมื่อท่านถูกทดลอง พระองค์จะสำแดงทางออกแก่ท่าน เพื่อท่านจะไม่ต้องยอมแพ้มัน" 1 โครินธ์ 10:13ข (NLT)

คำถามสำหรับการพิจารณา: มีใครที่ฉันสามารถขอให้เป็นหุ้นส่วนฝ่ายวิญญาณเพื่อช่วยให้ฉันเอาชนะการทดลองที่ไม่ยอมรามือ ด้วยการอธิษฐานเพื่อฉัน

2 ความคิดเห็น: