มนุษย์มิได้ดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียว แต่ดำรงชีวิตด้วยพระโอวาททุกถ้อยคำของพระเจ้า
มัทธิว 4:4 (ประชานิยม)
พระโอวาทที่เปี่ยมไปด้วยพระกรุณาธิคุณของพระองค์ ซึ่งสามารถกระทำให้ท่านเจริญขึ้น และจะประทานพรต่าง ๆ ซึ่งพระองค์ย่อมประทานแก่ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาในพระองค์
กิจกรรม 20:32 (ประชานิยม)
ความจริงจะเปลี่ยนแปลงเรา
การเติบโตฝ่ายวิญญาณคือกระบวนการแทนที่คำโกรธด้วยความจริง พระเยซูทรงอธิษฐานว่า "ขอทรงโปรดชำระเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง" (ยอห์น 17:17) การชำระให้บริสุทธิ์ต้องอาศัยการเปิดเผยจากพระเจ้า พระวิญญาณของพระเจ้าทรงใช้พระวจนะของพระเจ้าเพื่อทำให้เราเป็นเหมือนพระบุตรของพระเจ้า ถ้าจะเป็นเหมือนพระเยซู เราก็ต้องเติมชีวิตของเราให้เต็มล้มด้วยพระวจนะของพระองค์ พระคัมภีร์กล่าวว่า โดยทางพระวจนะ เราจะ "พรักพร้อมที่จะทำการดีทุกอย่าง" ซึ่งพระเจ้าประสงค์จะมอบหมายให้เราทำ (2 ทิโมธี 3:17)
พระวจนะของพระเจ้าไม่เหมือนคำพูดอื่นใด พระวจนะมีชีวิต (ฮีบรู 4:12, กิจการ 7:38, 1 เปโตร 1:23) พระเยซูตรัสว่า "ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้นเป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต" (ยอห์น 6:63) เมื่อพระเจ้าตรัส สิ่งต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไป ทุกสิ่งรอบตัวคุณคือ ทุกสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น ดำรงอยู่เพราะ "พระเจ้าตรัส" พระองค์ตรัสให้ทุกสิ่งเกิดขึ้น ถ้าปราศจากพระวจนะของพระเจ้า คุณจะไม่มีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ ยากอบกล่าวว่า "พระเจ้าได้ทรงตั้งพระทัยที่จะประทานชีวิตแก่เราโดยทางพระวจนะแห่งความจริง เพื่อเราจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ในบรรดาสรรพสิ่งทั้งสิ้นที่ทรงสร้าง" (ยากอบ 1:18 NCV)
พระคัมภีร์ไม่ได้เป็นแค่หนังสือแนะนำหลักข้อเชื่อ พระวจนะของพระเจ้าให้ชีวิต สร้างความเชื่อ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้มารกลัว ทำให้เกิดการอัศจรรย์ รักษาบาดแผล สร้างลักษณะนิสัย เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ มอบความยินดี ชนะควายากลำบาก พิชิตการทดลอง จุดประกายความหวัง ปลดปล่อยฤทธิ์เดช ชำระความคิดของเรา ทำให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้น และรับประกันอนาคตของเราชั่วนิรันดร์ เราไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากพระวจนะของพระเจ้า อย่ามองข้ามคุณค่าของพระคัมภีร์ คุณควรถือว่า พระคัมภีร์สำคัญต่อชีวิตคุณเหมือนกับอาหาร โยบ กล่าวว่า "ข้าพระองค์ตีราคาพระวจนะแห่งพระโอษฐ์ของพระองค์สูงกว่าอาหารประจำวันของข้าพระองค์" (โยบ 23:12 NIV)
พระวจนะเป็นอาหารบำรุงเลี้ยงจิตวิญญาณที่คุณต้องรับประทาน เพื่อจะทำให้วัตถุประสงค์ของคุณสำเร็จ พระคัมภีร์ได้ชื่อว่าน้ำนม อาหาร อาหารแข็ง และของหวานสำหรับเรา (1 เปโตร 2:2, มัทธิว 4:4, โครินธ์ 3:2, สดุดี 119:103) อาหารสี่ประเภทนี้คือรายการอาหารของพระวิญญาณ เพื่อให้เกิดพละกำลังและการเติบโตฝ่ายวิญญาณ เปโตรแนะนำเราว่า "จงปราถนาน้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ เพื่อโดยน้ำนมนั้นจะทำให้ท่านทั้งหลายเจริญขึ้นสู่ความรอด" (1 เปโตร 2:2)
ยึดมั่นอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า
เวลานี้มีพระคัมภีร์ได้รับการตีพิมพ์มากยิ่งกว่าที่เคยมีมา แต่พระคัมภีร์ที่วางอยู่บนหิ้งเฉย ๆ นั้นไร้ค่า ผู้เชื่อรับล้านถูกคุกคามด้วยโรคกลัวอ้วนฝ่ายวิญญาณ (โรคทางจิตที่ผู้ป่วยมักคิดว่าตนเองอ้วนเกินไปทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นเช่นนั้น จึงพยายามกินให้น้อยที่สุด) และอดโซจนตายเพราะขาดธาตุอาหารฝ่ายวิญญาณ ถ้าจะเป็นสาวกที่แข็งแรงของพระเยซู การกินพระวจนะของพระเจ้าต้องเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคุณ พระเยซูทรงเรียกการทำเช่นนี้ว่า "ยึดมั่น" พระองค์ตรัสว่า "ถ้าพวกท่านยึดมั่นในคำสอนของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราอย่างแท้จริง" (ยอห์น 8:31 2002) ในการดำเนินชีวิตวันต่อวัน การยึดมั่นในพระวจนะของพระเจ้าครอบคุมถึงกิจกรรมสามอย่าง
ผมต้องยอมรับสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์ พระคัมภีร์ต้องเป็นมาตรฐานสิทธิ์ขาดในชีวิตของผม เป็นเข็มทิศที่ผมอาศัยนำทาง ที่ปรึกษาที่ผมฟังเพื่อจะตัดสินใจอย่างฉลาดและเป็นมาตรวัดที่ผมใช้ประเมินทุกสิ่ง พระคัมภีร์ต้องเป็นความเห็นอันดับแรก และคำชี้ขาดสุดท้ายในชีวิตของผม
ปัญหาหลายอย่างของเราเกิดขึ้นเพราะเราตัดสินใจโดยยึดถือสิทธิอำนาจที่พึ่งพาไม่ได้เช่น วัฒนธรรม (ใคร ๆ เขาก็ทำ) ประเพณี (เราทำอย่างนี้มาตลอด) เหตุผล (มันดูสมเหตุสมผลนะ) หรืออารมณ์ (ก็มันรู้สึกดี) ทั้งสี่อย่างนี้มีข้อบกพร่องเพราะความบาป สิ่งที่เราต้องการคือมาตรฐานที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งจะไม่นำเราไปผิดทิศ พระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่ตอบสนองความจำเป็นข้อนี้ ซาโลมอนเตือนเราว่า "พระวจนะทุกคำของพระเจ้านั้นไร้ที่ติ" (สุภาษิต 30:5 NIV) และเปาโลอธิบายว่า "พระคัมภีร์ทุกตอนเป็นคำของพระเจ้า ทุกข้อเป็นประโยชน์ในการสั่งสอนและช่วยเหลือผู้คนและแสดงให้พวกเขารู้ว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไร" (2 ทิโมธี 3:16 CEV)
ในช่วงต้นของการทำงานรับใช้ บิลลี่ แกรมแฮมต้องผ่านช่วงเวลาที่ท่านต่อสู้กับความสงสัย ในเรื่องความถูกต้องและสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์ คืนวันหนึ่งภายใต้แสงจันทร์ท่านคุกเข่าลงด้วยน้ำตา และทูลพระเจ้าว่า แม้จะมีตอนที่สับสนซึ่งท่านไม่เข้าใจ แต่จากเวลานั้นเป็นต้นไป ท่านจะวางใจในพระคัมภีร์อย่างสุดใจ ให้เป็นสิทธิอำนาจเดียวในชีวิตและการรับใช้ของท่าน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชีวิตของบิลลี่ก็ได้รับการอวยพรให้มีฤทธิ์เดชและประสิทธิภาพอย่างอัศจรรย์
เวลานี้ การตัดสินใจที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณคือ การตกลงใจในเรื่องนี้ว่าสิ่งใดจะเป็นสิทธิอำนาจสูงสุดในชีวิตของคุณ จงตัดสินใจว่า ไม่ว่าวัฒนธรรม ประเพณี เหตุผล หรือ อารมณ์จะว่าอย่างไร คุณจะเลือกพระคัมภีร์เป็นสิทธิอำนาจชี้ขาดของคุณ และเมื่อคุณจะตัดสินใจอะไรก็ตาม ให้คุณตั้งใจแน่วแน่ที่จะถามเป็นอันดับแรกว่า "พระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร" และจงตั้งใจว่าเมื่อพระเจ้าตรัสให้ทำสิ่งใดก็ตาม คุณจะวางใจพระวจนะของพระเจ้าและทำสิ่งนั้นไม่ว่ามันจะดูสมเหตุสมผลหรือไม่ และคุณจะอยากทำหรือไม่ จงรับเอาคำพูดของเปาโลเป็นคำแถลงการณ์ความเชื่อส่วนตัวของคุณคือ "ข้าพเจ้าเชื่อทุกสิ่งที่สอดคล้องด้วยกับบทบัญญัติและทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือผู้เผยพระวจนะ" (กิจการ 24:14 อมตธรรมร่วมสมัย)
ผมต้องซึมซับความจริงของพระคัมภีร์ เพียงแค่เชื่อพระคัมภีร์นั้นยังไม่พอ ผมต้องเติมพระคัมภีร์ลงไปในความคิดของผม เพื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะสามารถเปลี่ยนแปลงผมด้วยความจริงนั้น มีห้าวิธีที่จะทำสิ่งนี้ คุณสามารถ รับ อ่าน ค้นคว้า จดจำ และใคร่ครวญ
ประการแรก คุณรับพระวจนะของพระเจ้าเมื่อคุณฟังและยอมรับด้วยใจที่เปิด คำอุปมาเรื่องผู้หว่านพืชแสดงให้เห็นว่า การรับของเราคือตัวกำหนดว่า พระวจนะของพระเจ้าจะฝังรากในชีวิตเราและเกิดผลหรือไม่ พระเยซูทรงระบุท่าทีที่ไม่เปิดรับอยู่สามประการ คือ ใจที่ปิด (ดินแข็ง) ใจที่คิดผิวเผิน (ดินตื้น) และใจที่หันเห (ดินที่มีวัชพืช) แล้วพระองค์ก็ตรัสว่า "จงพิจารณาอย่างรอบคอยว่าท่านฟังอย่างไร" (ลูกา 8:18 อมตธรรมร่วมสมัย)
เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกว่า คุณไม่ได้เรียนรู้อะไรยจากคำเทศนาหรือครูสอนพระคัมภีร์ คุณควรตรวจดูท่าทีของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดูว่ามีความเย่อหยิ่งหรือไม่ เพราะพระเจ้าสามารถตรัสผ่านแม้กระทั่งครูที่น่าเบื่อที่สุดก็ได้ ถ้าเวลานั้นคุณถ่อมใจและเปิดรับ ยากอบแนะนำว่า "ด้วยท่าทีถ่อมใจ (อ่อนน้อม ประมาณตน) จงยอมรับและต้อนรับพระวจนะซึ่งทรงปลูกผัง และหยั่งรากในใจของพวกท่าน ซึ่งมีฤทธิ์อำนาจช่วยวิญญาณจิตของท่านให้รอดได้" (ยากอบ 1:21 Amp)
ประการที่สอง ตลอดช่วงเวลาส่วนใหญ่ใน 2,000 ปีแห่งประวัติศาสตร์คริสตจักรบาทหลวงเท่านั้นที่ได้อ่านพระคัมภีร์เป็นการส่วนตัว แต่เวลานี้พวกเรานับพันล้านสามารถหาพระคัมภีร์อ่านได้ แต่ถึงกระนั้น ผู้เชื่อจำนวนมากก็ยังสัตย์ซื่อต่อการอ่านหนังสือพิมพ์รายวันมากกว่าการอ่านพระคัมภีร์ ไม่ต้องสงสัยเลยที่เราไม่โต เราไม่สามารถดูโทรทัศน์สามชั่วโมง แล้วอ่านพระคัมภีร์สามนาที และคาดหวังที่จะเติบโต
หลายคนที่อ้างว่าตนเชื่อพระคัมภีร์ "ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย" นั้นยังไม่เคยอ่านตั้งแต่หน้าแรกถึงหน้าสุดท้ายเลย แต่ถ้าคุณอ่านพระคัมภีร์เพียงวันละสิบห้านาที คุณก็จะอ่านจบปีละหนึ่งเที่ยว ถ้าคุณงดดูรายการโทรทัศน์วันละหนึ่งรายการ และอ่านพระคัมภีร์แทน คุณก็จะอ่านจบทั้งเล่มปีละสองเที่ยว
การอ่านพระคัมภีร์ประจำวันจะช่วยให้คุณได้ยินพระสุระเสียงของพระเจ้า นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าตรัสสั่งบรรดากษัตริย์ของอิสราเอลให้เก็บพระวจนะของพระองค์ไว้ใกล้ตัวเสมอ "พระองค์ (กษัตริย์) จะต้องเก็บรักษาหนังสือนี้ (พระวจนะ) ไว้ใกล้พระองค์และอ่านอยู่เสมอตลอดพระชนม์ชีพ" (เฉลยธรรมบัญญัติ 17:19ก ประชานิยม) แต่อย่าเพียงเก็บไว้ใกล้ตัวจงอ่านเป็นประจำ เครื่องมือง่าย ๆ ที่มีประโยชน์คือตารางอ่านพระคัมภีร์ประจำวัน ซึ่งจะป้องกันคุณจากการอ่านสะเปะสะปะและข้ามบางตอนไป (ถ้าคุณอยากได้ตารางการอ่านส่วนตัวของผม ขอให้ดูในภาคผนวก 2)
ประการที่สาม การค้นคว้าหรือการศึกษาพระคัมภีร์ เป็นวิธีการภาคปฏิบัติอีกหนึ่งวิธีที่จะยึดมั่นในพระวจนะ ความแตกต่างระหว่่างการอ่านและการศึกษาตอนที่อ่าน และเขียนความเข้าใจของคุณลงไป คุณจะยังไม่ได้ศึกษาพระคัมภีร์จริง ๆ จนกว่าคุณจะเขียนความคิดของคุณลงบนกระดาษหรือคอมพิวเตอร์
ผมไม่มีหน้ากระดาษพอที่จะอธิบายวิธีต่าง ๆ ในการศึกษาพระคัมภีร์ แต่หนังสือที่มีประโยชน์เรื่องวิธีการศึกษาพระคัมภีร์นั้นมีอยู่หลายเล่ม รวมทั้งเล่มที่ผมเขียนเมื่อกว่ายี่สิบปีก่อน เคล็บลับของการศึกษาที่ดีคือ การเรียนรู้ที่จะถามคำถามที่ถูกต้อง แต่ละวิธีก็ใช้คำถามที่แตกต่างกันไป คุณจะค้นพบอะไรอีกมากมายถ้าคุณหยุดและถาม คำถามง่าย ๆ เช่นใคร อะไร เมื่อไร ที่ไหน ทำไม และอย่างไร พระคัมภีร์กล่าวว่า "คนที่มีความสุขแท้คือ คนเหล่านั้นที่ศึกษาพระบัญญัติอันสมบูรณ์ของพระเจ้าอย่างละเอียดถี่ถ้วนคือ พระบัญญัติซึ่งทำให้คนเป็นอิสระ และพวกเขาศึกษาเรื่อยไป พวกเขาไม่ลืมสิ่งที่พวกเขาได้ยินแต่พวกเขาเชื่อฟังสิ่งที่พระเจ้าตรัส บรรดาคนที่ทำเช่นนี้จะได้รับความสุข" (ยากอบ 1:25 NCV)
ประการที่สี่ของการยึดมั่นในพระวจนะของพระเจ้าคือโดยการจดจำ ความสามารถในการจำ เป็นของประทานที่คุณได้รับจากพระเจ้า คุณอาจจะคิดว่าคุณความจำไม่ดี แต่ความจริงคือ คุณมีความคิด ความจริง ข้อเท็จจริง และตัวเลขนับล้าน ๆ บันทึกอยู่ในสมอง คุณจำสิ่งที่สำคัญสำหรับคุณ ถ้าพระวจนะของพระเจ้าสำคัญ คุณก็จะใช้เวลาในการท่องจำข้อพระคัมภีร์
การท่องข้อพระคัมภีร์นั้นมีประโยชน์มหาศาล มันจะช่วยคุณต่อสู้การทดลอง ตัดสินใจอย่างฉลาด ลดความตึงเครียด สร้างความมั่นใจ ให้คำแนะนำที่ดี และบอกความเชื่อของคุณแก่คนอื่น (สดุดี 119:11, 49-50, 105, เยเรมีย์ 15:16, สุภาษิต 22:18, 1 เปโตร 3:15)
ความจำของคุณนั้นเปรียบเสมือนกล้ามเนื้อ ยิ่งคุณใช้มันมากเท่าไร มันก็ยิ่งแข็งแรงมากเท่านั้น และการท่องจำข้อพระคัมภีร์ก็จะง่ายขึ้น คุณอาจจะเริ่มต้นโดยการเลือกพระคัมภีร์สองสามข้อจากหนังสือเล่มนี้ที่ประทับใจคุณ และเขียนข้อเหล่านั้นลงบนบัตรที่คุณสามารถพกติดตัวไปได้ แล้วอ่านออกเสียงทบทวนตลอดวัน คุณสามารถท่องจำพระคัมภีร์ได้ทุกที่ ขณะทำงาน หรือออกกำลังกาย หรือขับรถหรือคอยเพื่อน หรือตอนเข้านอน กุญแจสามประการในการท่องจำพระคัมภีร์คือ ทบทวน ทบทวน และทบทวน พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงจดจำสิ่งที่พระคริสต์ทรงสอนและให้คำตรัสของพระองค์เสริมสร้างชีวิตของท่านและทำให้ท่านมีปัญญา" (โคโลสี 3:16ก LB)
ประการที่ห้าของการยึดมั่นในพระวจนะของพระเจ้าคือการใคร่ครวญ ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่า "การภาวนา" สำหรับหลายคน พอได้ยินคำว่าภาวนาก็นึกถึงการภาวนาสมาธิโดยการทำจิตให้ว่างเปล่าและล่องลอยไป การกระทำเช่นนั้นตรงข้ามกับการภาวนาใคร่ครวญในพระคัมภีร์ การใคร่ครวญคือการคิดอย่างจดจ่อ มันต้องใช้ความพยายามอย่างจริงจัง คุณเลือกข้อพระคัมภีร์สักข้อและคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำอีกในสมองของคุณ
ไม่มีนิสัยอื่นใดที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณได้มากกว่า และทำให้คุณเป็นเหมือนพระเยซูมากยิ่งกว่าการใคร่ครวญพระคัมภีร์ทุกวัน เมื่อเราใช้เวลาไตร่ตรองความจริงของพระเจ้า ใคร่ครวญอย่างจริงจังถึงแบบอย่างของพระคริสต์ "เรากำลังรับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระองค์ ด้วยรัศมีที่เพิ่มพูนขึ้นทุกที" (2 โครินธ์ 3:18 อมตธรรมร่วมสมัย)
ถ้าคุณอ่านพระคัมภีร์ทุกข้อที่พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับการใคร่ครวญ คุณคงประหลาดใจถึงประโยชน์มากมายที่พระองค์สัญญาไว้แก่ผู้ที่ให้เวลาใคร่ครวญพระวจนะของพระองค์ตลอดวัน เหตุผลหนึ่งที่พระเจ้าทรงเรียกดาวิดว่า "คนที่เราชอบใจ" (กิจการ 13:22) ก็เพราะดาวิดรักที่จะใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ท่านกล่าวว่า "ข้าพระองค์รักพระธรรมของพระองค์จริง ๆ เป็นคำภาวนาของข้าพระองค์วันยังค่ำ" (สดุดี 119:97) การใคร่ครวญความจริงของพระเจ้าอย่างจริงจังคือ กุญแจสู่การตอบคำอธิษฐาน และเป็นเคล็บลับสู่ชีวิตที่ประสบความสำเร็จ (ยอห์น 15:7, โยชูวา 1:8, สดุดี 1:2-3)
ผมต้องประยุกต์หลักการของพระคัมภีร์ การรับ การอ่าน การค้นคว้า การจดจำและการใคร่ครวญพระวจนะจะไร้ประโยชน์ทั้งหมด ถ้าเราไม่ได้นำสิ่งเหล่านั้นมาปฏิบัติ เราต้องเป็น "คนที่ประพฤติตามพระวจนะ" (ยากอบ 1:22) นี่คือก้าวที่ยากที่สุด เพราะว่าซาตานต่อสู้สิ่งนี้อย่างดุเดือด มันไม่สนใจว่าคุณจะศึกษาพระคัมภีร์มากแค่ไหน ตราบใดที่คุณไม่ทำอะไรกับสิ่งที่คุณเรียนรู้
เราหลอกตัวเองเมื่อเราคิดว่า แค่เราได้ยิน หรืออ่าน หรือศึกษาความจริงประการใดประการหนึ่ง มันก็เป็นส่วนหนึ่งของเราแล้ว ที่จริง คุณอาจยุ่งกับการเข้าชั้นเรียนหรือสัมมนาหรือการประชุมบรรยายพระคัมภีร์ จนคุณไม่มีเวลานำสิ่งที่คุณเรียนรู้มาปฏิบัติ คุณลืมมันขณะที่เดินทางไปเรียนวิชาถัดไป ถ้าไม่มีการปฏิบัติ การศึกษาพระคัมภีร์ทั้งหมดของเราก็ไร้ค่า พระเยซูตรัสว่า "ผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา" (มัทธิว 7:24) พระเยซูยังตรัสด้วยว่า พระพรของพระเจ้ามาจากการเชื่อฟังความจริง ไม่ใช่เพียงแต่รู้ พระเยซูตรัสว่า "เมื่อท่านรู้ดังนี้แล้วและท่านประพฤติตามท่านก็เป็นสุข" (ยอห์น 13:17)
อีกเหตุผลหนึ่งที่เราหลีกเลี่ยงการประยุกต์ใช้ส่วนตัวคือ มันอาจจะยากหรือเจ็บปวด ความจริงจะทำให้คุณเป็นไท แต่ก่อนอื่น มันอาจทำให้คุณทุกข์ใจ พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยแรงจูงใจของเรา ชี้ให้เห็นความผิดของเรา ประณามความบาปของเรา และคาดหวังให้เราเปลี่ยนแปลง เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นการประยุกต์ใช้พระวจนะของพระเจ้าจึงเป็นงานยาก นี่คือเหตุผลที่ทำให้การพูดคุยกับคนอื่นเรื่องประยุกต์ใช้ส่วนตัวเป็นสิ่งสำคัญ
ผมคงไม่อาจพูดเกินเลยเรื่องคุณค่าของการเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มย่อยที่ศึกษาอภิปรายพระคัมภีร์ เรามักจะเรียนรู้ความจริงที่เราคงไม่มีทางเรียนรู้ด้วยตนเองจากคนอื่น คนอื่นจะช่วยให้คุณเห็นความเข้าใจที่คุณมองข้าม และช่วยคุณประยุกต์ความจริงของพระเจ้าในภาคปฏิบัติ
วิธีที่ดีที่สุดในการเป็น "ผู้ประพฤติตามพระวจนะ" คือการเขียนขั้นตอนการปฏิบัติอันเป็นผลจากการอ่าน หรือการศึกษา หรือการใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้าเป็นประจำ จงฝึกนิสัยเขียนสิ่งที่คุณตั้งใจจะทำ ขั้นตอนการกระทำนี้ควรเป็นส่วนตัว (เกี่ยวกับคุณ) ปฏิบัติได้ (สิ่งที่คุณทำได้) และพิสูจน์ได้ (มีเส้นตายที่จะทำ) การประยุกต์ทุกอย่างจะเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับพระเจ้า ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคนอื่น หรือลักษณะนิสัยส่วนตัวของคุณ
ก่อนจะอ่านบทต่อไป ให้คุณใช้เวลาคิดถึงคำถามนี้ มีอะไรที่พระเจ้าบอกให้คุณทำในพระวจนะของพระองค์แล้ว แต่คุณยังไม่ได้เริ่มทำ แล้วเขียนข้อความแสดงเจตจำนงที่จะกระทำสักสองหรือสามประโยค เพื่อจะช่วยคุณกระทำตามสิ่งที่คุณรู้ คุณอาจจะบอกเพื่อนสักคนหนึ่งซึ่งสามารถช่วยดูว่าคุณได้รับผิดชอบทำตามที่ตั้งใจหรือไม่ เหมือนที่ ดี.แอล.มูดี้ได้กล่าวว่า "พระคัมภีร์ไม่ได้ประทานมาเพื่อเพิ่มความรู้ของเรา แต่เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตเรา"
วันที่ 24 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: ความจริงเปลี่ยนแปลงฉัน
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "ถ้าท่านยึดมั่นในคำสอนของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราอย่างแท้จริง และพวกท่านจะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านเป็นไท" ยอห์น 8:31-32 (2002)
คำถามสำหรับการพิจารณา: มีสิ่งใดพระเจ้าได้บอกให้ฉันทำในพระวจนะของพระองค์แล้ว แต่ฉันยังไม่ได้เริ่มลงมือทำ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น