พระหัตถ์ของพระองค์ปั้นและทรงสร้างข้าพระองค์
โยบ 10:8
ชนชาติที่เราปั้นเพื่อเราเองเพื่อเขาจะถวายสรรเสริญเรา
อิสยาห์ 43:21
พระเจ้าบรรจงปั้นคุณเพื่อให้รับใช้พระองค์
พระเจ้าทรงสร้างสิ่งมีชีวิตทุกอย่างในโลกนี้ให้มีความชำนาญพิเศษเฉพาะตัว สัตว์บางชนิดวิ่ง บางชนิดกระโดด บางชนิดว่ายน้ำ บางชนิดขุดรู และบางชนิดบิน แต่ละชนิดมีบทบาทเฉพาะของตนตามลักษณะที่พระเจ้าได้ทรงออกแบบพวกมัน เช่นเดียวกันกับมนุษย์ เราแต่ละคนได้รับการออกแบบพิเศษ หรือ "ปั้น" เพื่อทำบางสิ่งอย่างเฉพาะเจาะจง
ก่อนที่สถาปนิกจะออกแบบอาคารใหม่ เขาจะถามว่า "อาคารนี้จะใช้เพื่อวัตถุประสงค์อะไร จะใช้งานอย่างไร" ประโยชน์ใช้สอยที่คิดไว้มักจะเป็นตัวกำหนดลักษณะของอาคาร ก่อนที่พระเจ้าทรงสร้างคุณ พระองค์ก็ได้ทรงตัดสินพระทัยว่าพระองค์ต้องการให้คุณมีบทบาทอะไรในโลกนี้ โดยทรงวางแผนไว้อย่างเจาะจงว่าจะให้คุณรับใช้พระองค์อย่างไร แล้วพระองค์จึงปั้นคุณเพื่องานนั้น คุณเป็นอย่างที่คุณเป็นเพราะคุณถูกสร้างมาเพื่อพันธกิจที่เจาะจง
พระคัมภีร์กล่าวว่า "เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ประกอบการดี" (เอเฟซัส 2:10) คำว่าบทกวีในภาษาอังกฤษนั้นมาจากคำกรีกคำเดียวกับที่แปลว่า "ฝีพระหัตถ์" คุณเป็นงานศิลปะจากฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่มาจากสายการผลิตในโรงงาน ซึ่งผลิตจำนวนมากชิ้นโดยไม่ใช้ความคิด คุณเป็นผลงานสั่งทำพิเศษ มีชิ้นเดียวในโลก เป็นผลงานชิ้นเอกขนานแท้
พระเจ้าทรงจงใจปั้นและสร้างคุณเพื่อให้รับใช้พระองค์ในพันธกิจที่ไม่เหมือนใครพระองค์ทรงผสมดีเอ็นเอที่ใช้สร้างคุณอย่างพิถีพิถัน ดาวิดสรรเสริญพระเจ้าที่พระองค์สนพระทัยรายละเอียดส่วนบุคคลอย่างเหลือเชื่อ "พระองค์ได้ทรงสร้างส่วนที่ละเอียดอ่อนภายในร่ายกายของข้าพระองค์ และทอข้าพระองค์ให้ซับซ้อนอย่างน่าอัศจรรย์ ฝีพระหัตถ์ของพระองค์นั้นน่าทึ่ง" (สดุดี 139:13-14 NLT) ก็เหมือนที่เอเธ็ล วอเตอร์ส กล่าวว่า "พระเจ้ามิได้ทรงสร้างขยะ"
พระเจ้าไม่เพียงแต่กำหนดลักษณะคุณไว้ตั้งแต่ก่อนที่คุณเกิด แต่พระองค์ยังทรงวางแผนสำหรับทุกวันในชีวิตคุณ เพื่อให้มันสนับสนุนกระบวนการสรรค์สร้างตัวคุณ ดาวิดตรัสต่อไปว่า "ทุก ๆ วันที่กำหนดให้ข้าพระองค์นั้น ก็ทรงจารึกไว้ในพระตำรับของพระองค์เมื่อครั้งยังไม่เกิดวันนั้นเลย" (สดุดี 139:16) นี่หมายความว่า ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นในชีวิตของคุณที่ไม่สำคัญ พระเจ้าทรงใช้ทุกสิ่งเพื่อหล่อหลอมคุณสำหรับการรับใช้ผู้อื่น และปั้นคุณเพื่อการรับใช้พระองค์
พระเจ้าไม่เคยทำให้สิ่งใดสูญเปล่าเลย พระองค์จะไม่ประทานความสามารถ ความสนใจ พรสวรรค์ ของประทาน บุคลิกภาพ และประสบการณ์ชีวิตต่าง ๆ ให้แก่คุณ เว้นเสียแต่ว่าพระองค์ประสงค์ที่จะใช้สิ่งเหล่านั้นเพื่อพระสิริของพระองค์ คุณสามารถรู้น้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับชีวิตคุณ โดยการจำแนกแยกแยะและทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้
พระคัมภีร์บอกว่า คุณ "ซับซ้อนอย่างน่าอัศจรรย์" คุณเป็นส่วนประกอบของปัจจัยต่าง ๆ มากมาย ผมได้คิดอักษรย่อ SHAPE (ลักษณะ) ขึ้นมาเพื่อช่วยให้คุณจดจำปัจจัยห้าประการต่อไปนี้ ในบทนี้และบทต่อไป เราจะดูปัจจัยห้าประการนี้ และหลังจากนั้นผมจะอธิบายวิธีค้นหาและใช้ลักษณะของคุณ
พระเจ้าทรงกำหนดลักษณะของคุณเพื่อพันธกิจของคุณ
เมื่อใดก็ตามที่พระเจ้ามอบหมายงานให้แก่เรา พระเจ้าก็จะทรงเตรียมเราด้วยสิ่งที่เราจำเป็นต้องใช้ เพื่อจะทำงานนั้นให้สำเร็จ ส่วนผสมของความศักยภาพเหล่านี้เรียกว่า SHAPE (ลักษณะ) ของคุณ
Spiritual gifts ของประทานฝ่ายวิญญาณ
Heart ใจ
Abilities ความสามารถ
Personality บุคลิกภาพ
Experience ประสบการณ์
SHAPE: แกะกล่องของประทานฝ่ายวิญญาณของคุณ (Spiritual gifts)
พระเจ้าประทานของประทานฝ่ายวิญญาณแก่ผู้เชื่อทุกคนเพื่อใช้ทำพันธกิจ (โรม 12:4-8, 1 โครินธ์ 12, เอเฟซัส 4:8-15, 1 โครินธ์ 7:7) สิ่งเหล่านี้คือความสามารถพิเศษที่พระเจ้าทรงเสริมกำลังเพื่อการรับใช้พระองค์ ของประทานเหล่านี้พระองค์ประทานแก่ผู้เชื่อเท่านั้น พระคัมภีร์กล่าวว่า "ผู้ใดที่ไม่มีพระวิญญาณก็ไม่สามารถรับของประทานซึ่งมาจากพระวิญญาณของพระเจ้า" (1 โครินธ์ 2:14 TEV)
คุณไม่คู่ควรและไม่สามารถทำสิ่งใดเพื่อแลกของประทานฝ่ายวิญญาณได้ นั่นคือเหตุผลที่สิ่งเหล่านี้ได้ชื่อว่าของประทาน เพราะมันเป็นการที่พระเจ้าทรงสำแดงพระคุณของพระองค์แก่คุณ "พระคริสต์ได้ทรงแจกจ่ายของประทานแก่พวกเราด้วยพระทัยกว้างขวาง" (เอเฟซัส 4:7 CEV) และคุณก็ไม่สามารถเลือกของประทานตามที่อยากได้เพราะเรื่องนั้นพระเจ้าทรงเป็นผู้กำหนด เปาโลได้อธิบายว่า "พระวิญญาณบริสุทธิ์แต่พระองค์เดียวที่ทรงแจกจ่ายของประทานเหล่านี้ พระองค์ผู้เดียวทรงตัดสินว่าของประทานใดควรจะประทานแก่ผู้ใด" (1 โครินธ์ 12:11 NLT)
เพราะว่าพระเจ้าทรงรักความหลากหลาย และต้องการให้เรามีลักษณะพิเศษ ดังนั้นจึงไม่มีของประทานชนิดใดที่ประทานแก่ทุกคนเหมือนกัน (1 โครินธ์ 12:29-30) และไม่มีใครได้รับของประทานทุกอย่าง ถ้าคุณมีหมดทุกอย่าง คุณก็จะไม่ต้องการคนอื่นอีกต่อไปและนั่นจะเป็นการทำลายพระประสงค์ประการหนึ่งของพระเจ้า คือ การสอนเราให้รักและพึ่งพาซึ่งกันและกัน
ของประทานฝ่ายวิญญาณนี้มิได้ประทานมาเพื่อประโยชน์ของคุณเอง แต่เพื่อประโยชน์ของผู้อื่น เช่นเดียวกับที่ผู้อื่นก็ได้รับของประทานเพื่อประโยชน์ของคุณ พระคัมภีร์กล่าวว่า "ของประทานฝ่ายวิญญาณนั้นประทานแก่เราแต่ละคนเพื่อเป็นเครื่องมือในการช่วยเหลือทั้งคริสตจักร" (1 โครินธ์ 12:7 NLT) พระเจ้าได้ทรงวางแผนเช่นนี้เพื่อเราจะต้องการซึ่งกันและกัน เราทุกคนก็จะได้รับประโยชน์เมื่อเราใช้ของประทานร่วมกัน ถ้าคนอื่นไม่ใช้ของประทานก็แสดงว่าคุณกำลังถูกโกง และถ้าคุณไม่ใช้ของประทาน พวกเขาก็กำลังถูกโกงเช่นกัน นี่คือเหตุผลที่เราได้รับคำสั่งให้ค้นหาและพัฒนาของประทานฝ่ายวิญญาณ คุณเคยใช้เวลาค้นหาของประทานฝ่ายวิญญาณของคุณหรือไม่ ของขวัญที่ยังไม่ได้แกะกล่องก็เป็นของไร้ค่า
เมื่อไรก็ตามที่เราลืมความจริงพื้นฐานเหล่านี้ ปัญหาก็จะเกิดขึ้นในคริสตจักรเสมอ ปัญหาที่พบบ่อยสองประการคือ "อิจฉาของประทาน" และ "อยากให้ผู้อื่นมีของประทานเหมือนตนเอง" ปัญหาประการแรกเกิดขึ้นเมื่อเราเปรียบเทียบของประทานกับผู้อื่น รู้สึกไม่พอใจกับสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่เรา และขุ่นเคืองใจหรือริษยาที่พระเจ้าทรงใช้คนอื่น ปัญหาประการที่สองเกิดขึ้นเมื่อเราคาดหวังให้ทุกคนมีของประทานแบบเดียวกับเรา ทำสิ่งที่เราได้รับการทรงเรียกให้ทำ และรู้สึกร้อนรนต่องานนั้นเหมือนกับที่เรารู้สึก พระคัมภีร์กล่าวว่า "การรับใช้มีต่างกันในคริสตจักร แต่เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกันที่เรารับใช้" (1 โครินธ์ 12:5 NLT)
บางครั้ง ของประทานฝ่ายวิญญาณอาจจะถูกเน้นมากเกินไป จนถึงขั้นละเลยปัจจัยอื่น ๆ ที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อสร้างคุณสำหรับงานรับใช้ ของประทานของคุณช่วยเปิดเผยกุญแจดอกหนึ่งในการค้นพบน้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับพันธกิจของคุณ แต่ของประทานฝ่ายวิญญาณก็ไม่ใช่ภาพรวมทั้งหมด พระเจ้ายังทรงสร้างคุณด้วยวิธีอื่นอีกสี่วิธี
SHAPE: ฟังเสียงหัวใจของคุณ (Heart)
พระคัมภีร์ใช้คำว่าใจ เพื่อบรรยายถึงความรู้สึกต่าง ๆ อันได้แก่ ความหวัง ความสนใจ ความทะเยอทะยาน ความฝัน และความชื่นชอบของคุณ ใจหมายถึงที่มาของแรงจูงใจทั้งสิ้นของคุณ คือ สิ่งที่คุณอยากจะทำและสนใจมากที่สุด แม้แต่ทุกวันนี้ เราก็ยังใช้คำว่าใจในลักษณะนี้เมื่อเรากล่าวว่า "ผมรักคุณสุดหัวใจเลย"
พระคัมภีร์กล่าวว่า "ในน้ำ คนเห็นหน้าคนฉันใด หัวใจของคนก็ส่อคนฉันนั้น" (สุภาษิต 27:19 NLT) ใจของคุณเปิดเผยตัวจริงของคุณ คือ สิ่งที่คุณเป็นจริง ๆ ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นคิดว่า คุณเป็น หรือสิ่งที่สภาพแวดล้อมบังคับให้คุณเป็น ใจของคุณกำหนดว่าทำไมคุณจึงพูดอย่างที่คุณพูด ทำไมคุณรู้สึกแบบนั้น และทำไมคุณทำอย่างที่คุณทำ (มัทธิว 12:34, สดุดี 34:7, สุภาษิต 4:23)
ในฝ่ายร่างกาย แต่ละคนมีจังหวะการเต้นของหัวใจไม่เหมือนกัน เช่นเดียวกับที่เราแต่ละคนมีลายนิ้วมือ รูม่านตา และความถี่ของเสียงไม่เหมือนกัน หัวใจของเราก็เต้นด้วยรูปแบบที่แตกต่างกันเล็กน้อย น่าประหลาดใจที่คนนับพันล้านซึ่งเคยมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ไม่มีหัวใจใครที่เต้นเหมือนกับของคุณเลย
ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าก็ได้ประทานให้เราแต่ละคนมี "จังหวะการเต้น" ทางอารมณ์ที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งจะเต้นเร็วเมื่อเราคิดถึงเรื่องราว กิจกรรม หรือสถานการณ์ที่เราสนใจ เราสนใจบางสิ่งโดยสัญชาติญาณ และบางสิ่งเราก็ไม่สนใจ สิ่งเหล่านี้คือคำบอกใบ้ให้คุณรู้ว่าคุณควรจะรับใช้ที่ไหน
อีกคำหนึ่งสำหรับหัวใจคือความกระตือรือร้น มีบางเรื่องที่เรารู้สึกร้อนรน ขณะที่บางเรื่องเราก็ไม่ใส่ใจ ประสบการณ์บางอย่างทำให้คุณตื่นตัวและจับความสนใจของคุณ ขณะที่ประสบการณ์อื่น ๆ ทำให้คุณเมินเฉยและเบื่อหน่ายจนน้ำตาไหล สิ่งเหล่านี้เปิดเผยธรรมชาติของใจคุณ
เมื่อคุณเติบโตขึ้น คุณอาจจะพบว่า คุณสนใจเรื่องบางเรื่องมาก ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครในครอบครัวคุณสนใจเลย แล้วคุณไปได้ความสนใจเหล่านั้นมาจากไหน สิ่งเหล่านี้มาจากพระเจ้า พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ในการให้คุณมีความสนใจเหล่านี้ติดตัวมา จังหวะการเต้นทางอารมณ์ของคุณเป็นกุญแจดอกที่สอง ที่จะเข้าใจลักษณะที่พระเจ้าสร้างคุณมาเพื่อการรับใช้ อย่าได้มองข้ามความสนใจของคุณ แต่จงพิจารณาว่าจะใช้ความสนใจเหล่านี้เพื่อพระสิริของพระเจ้าได้อย่างไร เพราะมีเหตุผลที่คุณชอบทำสิ่งเหล่านั้น
พระคัมภีร์บอกว่าซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า "จงปรนนิบัติพระเจ้าด้วยสุดจิสุดใจของท่าน" (เฉลยธรรมบัญญัติ 11:13, 1 ซามูเอล 12:20, โรม 1:9, เอเฟซัส 6:6) พระเจ้าต้องการให้คุณรับใช้พระองค์อย่างกระตือรือร้น ไม่ใช่ทำ ๆ ไปตามหน้าที่ คนเราจะไม่ค่อยเป็นเลิศในงานที่เราไม่ชอบ หรือไม่รู้สึกกระตือรือร้น พระเจ้าต้องการให้คุณใช้ความสนใจตามธรรมชาติเพื่อรับใช้พระองค์และคนอื่น การฟังเสียงกระตุ้นจากภายในสามารถชี้นำไปสู่พันธกิจที่พระเจ้าประสงค์ให้คุณทำ
คุณจะรู้ได้อย่างไรว่า เวลาไหนที่คุณกำลังรับใช้พระเจ้าจากหัวใจ สัญญาณบ่งชี้ประกอบแรกคือ ความกระตือรือร้น เมื่อคุณทำสิ่งที่คุณรัก คุณก็ไม่ต้องอาศัยใครมาคอยกระตุ้นท้าทาย หรือตรวจสอบ คุณจะทำด้วยความสนุกจริง ๆ คุณไม่ต้องการรางวัล เสียงปรบมือหรือค่าจ้าง เพราะว่าคุณรักการรับใช้ในลักษณะนี้ ในทางกลับกันก็เป็นความจริงคือ ถ้าคุณไม่มีหัวใจให้กับสิ่งที่คุณทำ คุณก็จะท้อใจได้ง่่่าย ๆ
ลักษณะประการที่สองของการรับใช้พระเจ้าจากใจคือประสิทธิภาพ เมื่อไรก็ตามที่คุณทำสิ่งที่พระเจ้าสร้างคุณให้รักที่จะทำ คุณก็จะทำได้ดี ความกระตือรือร้นจะผลักดันไปสู่ความเป็นเลิศ ถ้าคุณไม่ใส่ใจงานใดงานหนึ่ง ก็คงยากที่คุณจะทำงานนั้นได้ดีเลิศ ตรงกันข้าม ผู้ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในสาขาใด ๆ ก็ตาม ล้วนเป็นคนที่ทำเพราะความกระตือรือร้นไม่ใช่เพราะหน้าที่หรือผลประโยชน์
เราทุกคนเคยได้ยินคนพูดว่า "ผมยอมทำงานที่ผมเกลียด เพื่อหาเงินให้ได้มาก ๆ วันหนึ่งผมจะเลิก และทำสิ่งที่ผมอยากทำ" นั่นเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ อย่าให้ชีวิตของคุณสูญเปล่าไปกับงานที่ไม่แสดงออกถึงหัวใจคุณ โปรดจำไว้ว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตไม่ใช่สิ่งของ ความหมายของชีวิตนั้นสำคัญกว่าเงินทองหลายเท่า ชายที่มั่นมีที่สุดในโลกเคยพูดไว้ว่า "ชีวิตเรียบง่ายที่ยำเกรงพระเจ้านั้น ดีกว่าชีวิตร่ำรวยที่มาพร้อมกับเรื่องปวดหัวมากมายก่ายกอง" (สุภาษิต 15:16 Msg)
อย่าพึงพอใจเพียงแค่การมี "ชีวิตที่ดี" หรือ "ความเป็นอยู่ที่ดี" เพราะว่าชีวิตที่ดีนั้นยังไม่ดีพอ ในที่สุด มันจะไม่นำมาซึ่งความพึงพอใจ คุณอาจมีเงินทองมากมายเพื่อจะดำเนินชีวิตต่อไป แต่กลับไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ดังนั้นจงมุ่งสู่ "ชีวิตที่ดีกว่า" คือการรับใช้พระเจ้าในแบบที่แสดงออกถึงหัวใจของคุณ จงค้นหาว่า คุณรักที่จะทำอะไร อะไรคือสิ่งที่พระเจ้าให้คุณมีใจที่จะทำ แล้วก็ทำสิ่งนั้นเพื่อพระเกียรติของพระองค์
วันที่ 30 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: พระเจ้าบรรจงปั้นคุณเพื่อรับใช้พระองค์
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "พระเจ้าทรงทำงานผ่านผู้คนหลากหลายด้วยวิธีต่าง ๆ กัน แต่เป็นพระเจ้าองค์เดียวกันผู้ทรงกระทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จผ่านทางพวกเขาทุกคน" 1 โครินธ์ 12:6 (Ph)
คำถามสำหรับการพิจารณา: ในเรื่องไหนบ้างที่ฉันรับใช้คนอื่นด้วยความกระตือรือร้นและรักที่จะทำสิ่งนั้น
วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
วันที่ 29 ยอมรับหน้าที่ซึ่งมอบหมายแก่คุณ
วัตถุประสงค์ 4
คุณถูกกำหนดลักษณะเพื่อรับใช้พระเจ้า
พวกเราเป็นแต่เพียงผู้รับใช้พระเจ้า… แต่ละคนต่างก็ทำหน้าที่ที่พระเจ้าทรงมอบหมายมา ข้าพเจ้าเป็นผู้เพาะเมล็ดลงดิน อปอลโลเป็นผู้รดน้ำแต่เป็นพระเจ้าต่างหากเล่าที่ทำให้พืชเจริญงอกงาม
1 โครินธ์ 3:5-6 (ประชานิยม)
วันที่ 29
ยอมรับหน้าที่ซึ่งมอบหมายแก่คุณ
พระเจ้าเองทรงเป็นผู้สร้างเราให้เป็นอย่างที่เราเป็น และประทานชีวิตใหม่จากพระเยซูคริสต์แก่เรา และนานหลายยุคหลายสมัยมาแล้ว พระองค์ได้ทรงวางแผนว่าเราควรจะใช้ชีวิตนี้ช่วยเหลือผู้อื่น
เอเฟซัส 2:10 (LB)
ข้าพระองค์ได้ถวายเกียรติแด่พระองค์ในโลกโดยการทำสิ่งที่พระองค์ทรงมอบหมายให้ทำจนสำเร็จครบถ้วนทุกรายละเอียด
ยอห์น 17:4 (Msg)
พระเจ้าให้คุณมาอยู่ในโลกนี้เพื่อทำประโยชน์
คุณไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพียงเพื่อบริโภคทรัพยากร ทานอาหาร หายใจ แล้วก็กิน ที่พระเจ้าทรงกำหนดคุณไว้เพื่อใช้ชีวิตสร้างความแตกต่าง ในขณะที่หนังสือขายดีหลายเล่มให้คำแนะนำว่า ทำอย่างไรจึงจะ "ได้" มากที่สุดจากชีวิต แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่พระเจ้าทรงสร้างคุณ คุณถูกสร้างมาเพื่อเติมบางสิ่งแก่ชีวิตในโลก ไม่ใช่แค่หยิบฉวยเอาจากโลก พระเจ้าต้องการให้คุณให้บางสิ่งบางอย่างเป็นการตอบแทน นี่คือวัตถุประสงค์ประการที่สี่ของพระเจ้าสำหรับชีวิตคุณ และมันเรียกว่า "พันธกิจ" หรือการรับใช้ พระคัมภีร์ให้รายละเอียดแก่เรา
คุณถูกสร้างมาเพื่อรับใช้พระเจ้า พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าทรงสร้างเรา… ให้มีชีวิตเพื่อทำการดี นี่เป็นแผนการที่ทรงดำริไว้ให้เราทำ" (เอเฟซัส 2:10ข ประชานิยม) "การดี" เหล่านี้คือการรับใช้ เมื่อไรก็ตามที่คุณรับใช้คนอื่นไม่ว่าจะลักษณะใด แท้ที่จริงคุณก็กำลังรับใช้พระเจ้า (โคโลสี 3:23-24, มัทธิว 25:34-45, เอเฟซัส 6:7) และทำให้วัตถุประสงค์ประการหนึ่งของคุณสำเร็จ ในสองบทต่อไปนี้ คุณจะเห็นวิธีที่พระเจ้าทรงหล่อหลอมคุณเพื่อวัตถุประสงค์ข้อนี้อย่างพิถีพิถัน สิ่งที่พระเจ้าตรัสบอกเยเรมีย์ก็เป็นจริงสำหรับคุณด้วย "เราได้เลือกเจ้าก่อนที่เราสร้างเจ้าในครรภ์มารดา เราได้แยกเจ้าไว้สำหรับงานพิเศษตั้งแต่ก่อนที่เจ้าเกิด" (เยเรมีย์ 1:5 NCV) พระเจ้าทรงวางคุณไว้ในโลกนี้เพื่องานพิเศษอย่างหนึ่ง
คุณได้รับความรอดเพื่อรับใช้พระเจ้า พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระองค์ผู้ได้ทรงช่วยเราให้รอด และได้ทรงเลือกเรามาทำงานอันบริสุทธิ์ของพระองค์ ไม่ใช่เพราะเราควรค่าแต่เพราะนั่นคือแผนการของพระองค์" (2 ทิโมธี 1:9 LB) พระเจ้าได้ทรงไถ่คุณเพื่อคุณจะสามารถทำ "งานอันบริสุทธิ์" ของพระองค์ คุณไม่ได้รับความรอดเพราะการรับใช้ แต่รอดเพื่อจะรับใช้ในแผ่นดินของพระเจ้า คุณมีตำแหน่ง มีวัตถุประสงค์ มีบทบาท และมีหน้าที่ซึ่งต้องทำให้สำเร็จ สิ่งนี้ทำให้ชีวิตคุณมีความหมายและมีคุณค่าอย่างมหาศาล
พระเยซูต้องสละพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อซื้อความรอดของคุณ พระคัมภีร์ย้ำเตือนเราว่า "พระเจ้าได้ทรงซื้อท่านไว้แล้วด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้นท่านจงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยใช้ร่างกายของท่านเถิด" (1 โครินธ์ 6:20) เราไม่ได้รับใช้พระเจ้าด้วยความรู้สึกผิด หรือความกลัว หรือแม้แต่เพราะเป็นหน้าที่ แต่การรับใช้ของเรามาจากความชื่นชมยินดีและความกตัญญูอย่างลึกซึ้งสำหรับสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำเพื่อเรา เราเป็นหนี้ชีวิตพระองค์ โดยความรอดนี้ อดีตของเราได้รับการยกโทษ ปัจจุบันของเราได้รับความหมาย และอนาคตของเรามั่นคง ด้วยความเข้าใจถึงผลประโยชน์อันเหลือเชื่อเหล่านี้ เปาโลจึงสรุปว่า "จงคิดถึงความรักเมตตาที่พระเจ้าทรงมีต่อเราอย่างมากมาย… ให้ท่านถวายตัวแด่พระองค์ เป็นเหมือนเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่รับใช้การงานของพระองค์ และทำให้พระองค์พอพระทัย" (โรม 12:1 ประชานิยม)
อัตรทูตยอห์นสอนว่า การที่เรารับใช้คนอื่นด้วยความรักคือสิ่งที่แสดงว่า เราได้รับความรอดอย่างแท้จริง ท่านกล่าวว่า "ความรักที่เรามีต่อกันและกันคือสิ่งที่พิสูจน์ว่า เราได้ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว" (1 ยอห์น 3:14 CEV) ถ้าผมไม่มีความรักให้คนอื่น ไม่ปราถนาที่จะรับใช้คนอื่น และสนใจแต่ความต้องการของตนเอง ผมก็ควรจะสงสัยว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในชีวิตของผมจริงหรือเปล่า เพราะหัวใจที่ได้รับความรอดแล้วคือ หัวใจที่ต้องการจะรับใช้
คำว่าพันธกิจคืออีกคำหนึ่งสำหรับการรับใช้พระเจ้า ซึ่งเป็นคำที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดเมื่อได้ยินคำว่า "พันธกิจ" พวกเขาจะคิดถึงศิลยาภิบาล บาทหลวง และผู้รับใช้เต็มเวลา แต่พระเจ้าตรัสว่าสมาชิกทุกคนในครอบครัวของพระองค์เป็นผู้รับใช้ ในพระคัมภีร์ คำว่าคนใช้และผู้รับใช้นั้นเหมือนกัน เช่นเดียวกับคำว่าการรับใช้และพันธกิจ ถ้าคุณเป็นคริสเตียนคุณก็เป็นผู้รับใช้ และเมื่อคุณรับใช้คุณก็กำลังทำพันธกิจ
เมื่อแม่ยายของเปโตรที่ป่วยได้รับการรักษาจากพระเยซู นาง "ลุกขึ้นปรนนิบัติพระองค์" ทันที (มัทธิว 8:15) โดยใช้สุภาพดีซึ่งเป็นของประทานที่ได้รับมาใหม่ ๆ นี่คือสิ่งที่เราต้องทำ เราได้รับการรักษาให้หายเพื่อช่วยเหลือคนอื่น เราได้รับการอวยพรเพื่อเราจะเป็นพระพร เราได้รับความรอดเพื่อจะรับใช้ ไม่ใช่เพื่ออยู่เฉย ๆ และคอยท่าไปสวรรค์
คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมพระเจ้าไม่นำเราไปสวรรค์ทันทีที่เรารับพระคุณของพระองค์ ทำไมพระองค์จึงปล่อยเราไว้ในโลกที่ผิดบาปนี้ พระองค์ทรงปล่อยเราไว้ที่นี่ก็เพื่อทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ เมื่อคุณได้รับความรอดแล้ว พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะใช้คุณเพื่อเป้าหมายของพระองค์ พระเจ้ามีพันธกิจให้คุณทำในคริสตจักรของพระองค์และมีภารกิจให้คุณทำในโลกนี้
คุณได้รับการทรงเรียกให้รับใช้พระเจ้า ขณะที่เติบโตขึ้น คุณอาจเคยคิดว่าการทรงเรียกของพระเจ้านั้นมีไว้สำหรับมิชชันนารี ศิษยาภิบาล แม่ชี และคนทำงานคริสตจักร "เต็มเวลา" เท่านั้น แต่พระคัมภีร์กล่าวว่า คริสเตียนทุกคนได้รับการทรงเรียกให้รับใช้ (เอเฟซัส 4:4-14, โรม 1:6-7, และดูโรม 8:28-30, 1 โครินธ์ 1:2, 9, 26, 7:17, ฟีลิปปี 3:14, 1 เปโตร 2:9, 2 เปโตร 1:3) การทรงเรียกคุณเพื่อความรอดนั้นครอบคลุมถึงการทรงเรียกเพื่อจะรับใช้ด้วย มันเป็นการทรงเรียกเดียวกัน ไม่ว่าคุณจะทำงานหรือมีอาชีพอะไร คุณก็ได้รับการทรงเรียกให้ทำงานรับใช้เต็มเวลาอย่างคริสเตียน "คริสเตียนที่ไม่รับใช้" เป็นคำที่ขัดแย้งกันในตัวเอง
พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระองค์ทรงช่วยเราและทรงเรียกเรามาเป็นคนของพระองค์ไม่ใช่เพราะเราทำสิ่งใด ๆ แต่เพราะพระประสงค์ของพระองค์" (2 ทิโมธี 1:9 TEV) เปโตรเพิ่มเติมว่า "ท่านได้รับเลือกไว้เพื่อให้บอกถึงพระลักษณะอันเลิศของพระเจ้า ผู้ทรงเรียกท่าน" (1 เปโตร 2:9 GWT) เมื่อใดก็ตามที่คุณใช้ความสามารถที่พระเจ้าประทานเพื่อช่วยเหลือคนอื่น คุณก็กำลังทำให้การทรงเรียกของคุณสำเร็จ
พระคัมภีร์กล่าวว่า "บัดนี้ ท่านเป็นของพระองค์…เพื่อเราจะเป็นประโยชน์ในการรับใช้พระเจ้า" (โรม 7:4 TEV) คุณใช้เวลาของคุณทำประโยชน์ในการรับใช้พระเจ้ามากแค่ไหน ในบางคริสตจักรที่ประเทศจีน พวกเขาต้อนรับผู้เชื่อใหม่โดยพูดว่า "เดี๋ยวนี้พระเยซูมีตาคู่ใหม่ที่จะทอดพระเนตร หูใหม่ที่จะสดับฟัง มือใหม่เพื่อจะทรงช่วยเหลือและหัวใจใหม่ที่จะทรงรักคนอื่น"
เหตุผลหนึ่งที่คุณจำเป็นต้องผูกพันกับครอบครัวคริสตจักรคือ เพื่อให้การทรงเรียกให้คุณรับใช้พี่น้องผู้เชื่อสำเร็จในทางปฏิบัติ พระคัมภีร์กล่าวว่า "พวกท่านทุกคนรวมกันเป็นพระกายของพระคริสต์ และท่านแต่ละคนเป็นอวัยวะต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับพระกายของพระคริสต์ ลองถามคริสตจักรท้องถิ่นสักแห่งหนึ่งดูสิครับ เราแต่ละคนมีบทบาทและทุกบทบาทสำคัญ ไม่มีการรับใช้ใดที่เล็กน้อยสำหรับพระเจ้า ทุกอย่างสำคัญหมด
เช่นเดียวกัน ไม่มีพันธกิจใดที่ไม่สำคัญในคริสตจักร แม้งานรับใช้บางอย่างอาจเด่นชัด และบางอย่างเป็นงานที่อยู่เบื้องหลัง แต่ทุกอย่างล้วนมีค่า พันธกิจเล็ก ๆ หรือที่อยู่เบื้องหลัง มักจะสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ในบ้านผม แสงไฟที่สำคัญที่สุดไม่ใช่โคมไฟระย้าในห้องอาหาร แต่เป็นไฟกลางคืนดวงเล็ก ๆ ที่ช่วยไม่ให้ผมหกล้มเวลาลุกขึ้นในตอนกลางคืน ขนาดกับความสำคัญนั้นไม่เกี่ยวข้องกัน ทุกพันธกิจมีความสำคัญ เนื่องจากเราทุกคนต่างพึ่งกันและกันเพื่อทำหน้าที่ของตน
เกิดอะไรขึ้นเมื่อส่วนหนึ่งในร่างกายคุณไม่ทำหน้าที่ตามปกติ คุณก็จะป่วย อวัยวะที่เหลือในร่างกายก็เจ็บปวดไปหมด ลองนึกดูว่าถ้าตับของคุณเริ่มคิดจะอยู่เพื่อตัวเอง "ฉันเบื่อ ฉันไม่อยากรับใช้ร่างกายนี้อีกแล้ว ฉันต้องการพักหนึ่งปีแล้วให้อวัยวะอื่นเลี้ยงดูอย่างเดียว แล้วก็ทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวฉันเอง ให้อวัยวะอื่นทำหน้าที่แทนฉันไป" จากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น ร่างกายของคุณจะตาย วันนี้ คริสตจักรท้องถิ่นนับพันแห่งกำลังจะตายเพราะคริสเตียนไม่เต็มใจที่จะรับใช้ พวกเขานั่งเป็นผู้ชมอยู่ข้างสนาม พระกายจึงต้องทนทุกข์
คุณได้รับคำสั่งให้รับใช้พระเจ้า พระเยซูตรัสชัดเจนอย่างยิ่งว่าเราต้องรับใช้ "อย่างที่บุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติแต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของท่าน…" (มัทธิว 20:28) สำหรับคริสเตียน การรับใช้ไม่ใช่ทางเลือก หรือสิ่งที่เอาไว้ทำเมื่อมีเวลาว่าง แต่การรับใช้เป็นหัวใจของชีวิตคริสเตียน พระเยซูเสด็จมาเพื่อ "รับใช้" และ "ให้" และคำกริยาสองคำนี้ควรจะกำหนดชีวิตของคุณในโลกนี้ด้วย การรับใช้และการให้ผู้อื่นคือ คำสรุปวัตถุประสงค์ประการที่สี่ของพระเจ้าสำหรับชีวิตคุณ แม่ชีเทราซ่าเคยกล่าวว่า "การดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์นั้นคือการทำงานของพระเจ้าด้วยรอยยิ้ม"
พระเยซูทรงสอนว่าความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณนั้นไม่ใช่เป้าหมายในตัวเอง ความเป็นผู้ใหญ่นั้นมีไว้เพื่อการรับใช้ เราเติบโตขึ้นเพื่อเราจะให้บางสิ่งแก่ผู้อื่น การเรียนรู้มากขึ้นเรื่อย ๆ นั้นยังไม่พอ เราต้องทำตามสิ่งที่เรารู้ และประพฤติสิ่งที่เราบอกว่าเราเชื่อ ความประทับใจที่ไม่มีการแสดงออกทำให้เกิดความหดหู่ และการศึกษาโดยไม่มีการรับใช้นั้นนำไปสู่การหยุดชะงักฝ่ายวิญญาณ ภาพเปรียบเทียบเก่าแก่ระหว่างทะเลกาลิลีกับทะเลตายนั้นยังเป็นความจริง กาลิลีเป็นทะเลสาปที่เต็มไปด้วยชีวิต เพราะมันรับน้ำเข้ามา แล้วก็ระบายน้ำออกไป ตรงกันข้าม ทะเลตายไม่มีสิ่งมีชีวิตใด ๆ เลย เมื่อไม่มีการระบายน้ำออก ทะเลสาปแห่งนี้จึงเป็นแอ่งน้ำตาย
สิ่งสุดท้ายที่ผู้เชื่อหลายคนต้องการในเวลานี้คือ การไปเข้าชั้นเรียนพระคัมภีร์อีกวิชาหนึ่ง พวกเขารู้มากเกินกว่าที่ได้นำมาปฏิบัติแล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องการคือประสบการณ์การรับใช้ ซึ่งเขาจะสามารถออกกำลังฝ่ายวิญญาณ
การรับใช้คือสิ่งที่สวนทางกับความโน้มเอียงตามธรรมชาติของเรา ส่วนใหญ่เราสนใจจะให้คนอื่น "รับใช้ฉัน" มากกว่าสนใจการรับใช้ เราพูดว่า "ฉันกำลังมองหาคริสตจักรที่สนองความต้องการของฉันและเป็นพระพรแก่ฉัน" ไม่ใช่ "ฉันมองหาที่ ๆ ฉันจะรับใช้และเป็นพระพร" เราคาดหวังให้คนอื่นรับใช้เรา ไม่ใช่เรารับใช้คนอื่น แต่เมื่อเราเติบโตในพระคริสต์ ความสนใจในชีวิตของเราควรจะเปลี่ยนไปเป็นการมีชีวิตเพื่อรับใช้มากขึ้น ๆ สาวกที่เป็นผู้ใหญ่ของพระเยซูจะไม่ถามว่า "ใครจะสนองความต้องการของฉัน" แต่จะเริ่มถามว่า "ฉันจะช่วยสนองความต้องการของใครได้บ้าง" คุณเคยถามคำถามนี้ไหมครับ
เตรียมตัวสำหรับนิรันดรกาล
เมื่อชีวิตของคุณบนโลกนี้สิ้นสุดลง คุณจะยืนต่อพระพักตร์พระเจ้า และพระองค์จะทรงประเมินว่า คุณใช้ชีวิตของคุณรับใช้คนอื่นดีแค่ไหน พระคัมภีร์กล่าวว่า "เราทุกคนจะต้องทูลเรื่องราวของตัวเองต่อพระเจ้า" (โรม 14:13) ลองคิดดูสิครับว่านั่นจะเป็นอย่างไรวันหนึ่ง พระเจ้าจะทรงเปรียบเทียบปริมาณเวลาและแรงกายที่เราใช้เพื่อตัวเอง กับที่เราลงทุนเพื่อรับใช้คนอื่น
ในเวลานั้น ข้อแก้ตัวทุกอย่างสำหรับความเห็นแก่ตัวจะฟังไม่ขึ้น "ผมยุ่งเกินไป" หรือ "ผมมีเป้าหมายของตัวเอง" หรือ "ผมมัวแต่สนใจการทำงาน ความสนุกหรืิอเตรียมตัวสำหรับเกษียณอายุ" พระเจ้าจะทรงตอบข้อแก้ตัวทั้งหมดว่า "เสียใจ เป็นคำตอบที่ผิด เราได้สร้างเจ้า ช่วยให้เจ้ารอด เรียกเจ้า และได้สั่งเจ้าให้ดำเนินชีวิตแห่งการรับใช้ มีตรงไหนที่เจ้าไม่เข้าใจ" พระคัมภีร์เตือนผู้ไม่เชื่อว่า "พระองค์จะทรงเทพระพิโรธและพระอาชญาต่อคนเหล่านั้นที่ใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง" (โรม 2:8 2002) แต่สำหรับคริสเตียน นั่นหมายถึงการสูญเสียบำเหน็จนิรันดร์
เรามีชีวิตอย่างเต็มที่ก็ต่อเมื่อเราช่วยเหลือคนอื่น พระเยซูตรัสว่า "คนที่อยากเอาตัวรอด ก็จะสูญเสียชีวิตแท้ไป ส่วนคนที่ยอมสละชีวิตของตัวเองเพื่อเราและข่าวดีนั้น ก็จะรักษาชีวิตแท้ไว้ได้" (มาระโก 8:35 อ่านเข้าใจง่าย, และดูมัทธิว 10:39, 16:25, ลูกา 9:24, 17:33) ความจริงข้อนี้สำคัญมาก ถึงขนาดต้องกล่าวซ้ำในพระกิตติคุณถึงห้าครั้ง ถ้าคุณไม่รับใช้ คุณก็อยู่เหมือนไม่มีชีวิต เพราะว่าชีวิตมีไว้เพื่อการรับใช้ พระเจ้าต้องการให้คุณเรียนรู้ที่จะรักและรับใช้คนอื่นอย่างไม่เห็นแก่ตัว
การรับใช้และความสำคัญ
ถ้าคุณจะมอบชีวิตของคุณเพื่อบางสิ่ง สิ่งนั้นจะเป็นอะไร อาชีพ กีฬา งานอดิเรก ชื่อเสียง หรือความมั่งคั่ง ในบรรดาสิ่งเหล่านี้ไม่มีสิ่งใดที่มีความสำคัญถาวร การรับใช้คือหนทางสู่สิ่งสำคัญที่แท้จริง เราพบความหมายของชีวิตของเราผ่านการทำพันธกิจ พระคัมภีร์กล่าวว่า "พวกเราแต่ละคนพบความหมายและหน้าที่ของตนในฐานะส่วนหนึ่งในพระกายของพระองค์" (โรม 12:5 Msg) เมื่อเรารับใช้ด้วยกันในครอบครัวของพระเจ้า ชีวิตของเราก็มีความสำคัญมากขึ้น ไม่ใช่น้อยลง… เพราะท่านเป็นส่วนหนึ่งของพระกาย" (1 โครินธ์ 12:14ก, 19 Msg)
พระเจ้าต้องการใช้คุณเพื่อเปลี่ยนแปลงโลก และประสงค์จะทำงานผ่านคุณ สิ่งที่สำคัญไม่ใช่ระยะเวลาที่คุณมีชีวิตอยู่ แต่เป็นปริมาณที่คุณให้ผู้อื่น ไม่ใช่คุณมีชีวิตอยู่นานแค่ไหน แต่เป็นคุณใช้ชีวิตอย่างไร
ถ้าคุณไม่ได้มีส่วนในการรับใช้หรือพันธกิจใด ๆ เลย คุณจะแก้ตัวอย่างไร อับราฮัมอายุมาก ยาโคบไม่มั่นใจ เลอาห์ไม่ใช่ผู้หญิงสวย โยเซฟถูกทำร้าย โมเสสติดอ่าง กิเดโอนยากจน แซมสันขี้เหงา ราหับผิดศีลธรรม ดาวิดล่วงประเวณีและมีปัญหาครอบครัวมากมาย เอลียาห์อยากฆ่าตัวตาย เยเรมีย์หดหู่ใจ โยนาห์ลังเล นาโอมีเป็นแม่ม่าย ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นคนประหลาด เปโตรมีนิสัยหุนหันพลันแล่นและอารมณ์ร้อน มาร์ธาช่างวิตกกังวล หญิงชาวสะมาเรียล้มเหลวในการแต่งงานหลายครั้ง ศักเคียสไม่เป็นที่ชื่นชอบ โธมัสขี้สงสัย สุขภาพของเปาโลไม่ค่อยดี และทิโมธีขี้อาย มีคนมากมายมีคุณสมบัติไม่เหมาะสมต่าง ๆ กัน แต่พระเจ้าทรงใช้แต่ละคนในงานรับใช้ของพระองค์ พระองค์จะทรงใช้คุณด้วยถ้าคุณจะหยุดแก้ตัว
วันที่ 29 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: การรับใช้ไม่ใช่ทางเลือก
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ประกอบการดีซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เรากระทำ เอเฟซัส 2:10
คำถามสำหรับการพิจารณา: อะไรที่หน่วงเหนี่ยวฉันไม่ให้ยอมรับการทรงเรียกของพระเจ้าให้รับใช้พระองค์
คุณถูกกำหนดลักษณะเพื่อรับใช้พระเจ้า
พวกเราเป็นแต่เพียงผู้รับใช้พระเจ้า… แต่ละคนต่างก็ทำหน้าที่ที่พระเจ้าทรงมอบหมายมา ข้าพเจ้าเป็นผู้เพาะเมล็ดลงดิน อปอลโลเป็นผู้รดน้ำแต่เป็นพระเจ้าต่างหากเล่าที่ทำให้พืชเจริญงอกงาม
1 โครินธ์ 3:5-6 (ประชานิยม)
วันที่ 29
ยอมรับหน้าที่ซึ่งมอบหมายแก่คุณ
พระเจ้าเองทรงเป็นผู้สร้างเราให้เป็นอย่างที่เราเป็น และประทานชีวิตใหม่จากพระเยซูคริสต์แก่เรา และนานหลายยุคหลายสมัยมาแล้ว พระองค์ได้ทรงวางแผนว่าเราควรจะใช้ชีวิตนี้ช่วยเหลือผู้อื่น
เอเฟซัส 2:10 (LB)
ข้าพระองค์ได้ถวายเกียรติแด่พระองค์ในโลกโดยการทำสิ่งที่พระองค์ทรงมอบหมายให้ทำจนสำเร็จครบถ้วนทุกรายละเอียด
ยอห์น 17:4 (Msg)
พระเจ้าให้คุณมาอยู่ในโลกนี้เพื่อทำประโยชน์
คุณไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพียงเพื่อบริโภคทรัพยากร ทานอาหาร หายใจ แล้วก็กิน ที่พระเจ้าทรงกำหนดคุณไว้เพื่อใช้ชีวิตสร้างความแตกต่าง ในขณะที่หนังสือขายดีหลายเล่มให้คำแนะนำว่า ทำอย่างไรจึงจะ "ได้" มากที่สุดจากชีวิต แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่พระเจ้าทรงสร้างคุณ คุณถูกสร้างมาเพื่อเติมบางสิ่งแก่ชีวิตในโลก ไม่ใช่แค่หยิบฉวยเอาจากโลก พระเจ้าต้องการให้คุณให้บางสิ่งบางอย่างเป็นการตอบแทน นี่คือวัตถุประสงค์ประการที่สี่ของพระเจ้าสำหรับชีวิตคุณ และมันเรียกว่า "พันธกิจ" หรือการรับใช้ พระคัมภีร์ให้รายละเอียดแก่เรา
คุณถูกสร้างมาเพื่อรับใช้พระเจ้า พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าทรงสร้างเรา… ให้มีชีวิตเพื่อทำการดี นี่เป็นแผนการที่ทรงดำริไว้ให้เราทำ" (เอเฟซัส 2:10ข ประชานิยม) "การดี" เหล่านี้คือการรับใช้ เมื่อไรก็ตามที่คุณรับใช้คนอื่นไม่ว่าจะลักษณะใด แท้ที่จริงคุณก็กำลังรับใช้พระเจ้า (โคโลสี 3:23-24, มัทธิว 25:34-45, เอเฟซัส 6:7) และทำให้วัตถุประสงค์ประการหนึ่งของคุณสำเร็จ ในสองบทต่อไปนี้ คุณจะเห็นวิธีที่พระเจ้าทรงหล่อหลอมคุณเพื่อวัตถุประสงค์ข้อนี้อย่างพิถีพิถัน สิ่งที่พระเจ้าตรัสบอกเยเรมีย์ก็เป็นจริงสำหรับคุณด้วย "เราได้เลือกเจ้าก่อนที่เราสร้างเจ้าในครรภ์มารดา เราได้แยกเจ้าไว้สำหรับงานพิเศษตั้งแต่ก่อนที่เจ้าเกิด" (เยเรมีย์ 1:5 NCV) พระเจ้าทรงวางคุณไว้ในโลกนี้เพื่องานพิเศษอย่างหนึ่ง
คุณได้รับความรอดเพื่อรับใช้พระเจ้า พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระองค์ผู้ได้ทรงช่วยเราให้รอด และได้ทรงเลือกเรามาทำงานอันบริสุทธิ์ของพระองค์ ไม่ใช่เพราะเราควรค่าแต่เพราะนั่นคือแผนการของพระองค์" (2 ทิโมธี 1:9 LB) พระเจ้าได้ทรงไถ่คุณเพื่อคุณจะสามารถทำ "งานอันบริสุทธิ์" ของพระองค์ คุณไม่ได้รับความรอดเพราะการรับใช้ แต่รอดเพื่อจะรับใช้ในแผ่นดินของพระเจ้า คุณมีตำแหน่ง มีวัตถุประสงค์ มีบทบาท และมีหน้าที่ซึ่งต้องทำให้สำเร็จ สิ่งนี้ทำให้ชีวิตคุณมีความหมายและมีคุณค่าอย่างมหาศาล
พระเยซูต้องสละพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อซื้อความรอดของคุณ พระคัมภีร์ย้ำเตือนเราว่า "พระเจ้าได้ทรงซื้อท่านไว้แล้วด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้นท่านจงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยใช้ร่างกายของท่านเถิด" (1 โครินธ์ 6:20) เราไม่ได้รับใช้พระเจ้าด้วยความรู้สึกผิด หรือความกลัว หรือแม้แต่เพราะเป็นหน้าที่ แต่การรับใช้ของเรามาจากความชื่นชมยินดีและความกตัญญูอย่างลึกซึ้งสำหรับสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำเพื่อเรา เราเป็นหนี้ชีวิตพระองค์ โดยความรอดนี้ อดีตของเราได้รับการยกโทษ ปัจจุบันของเราได้รับความหมาย และอนาคตของเรามั่นคง ด้วยความเข้าใจถึงผลประโยชน์อันเหลือเชื่อเหล่านี้ เปาโลจึงสรุปว่า "จงคิดถึงความรักเมตตาที่พระเจ้าทรงมีต่อเราอย่างมากมาย… ให้ท่านถวายตัวแด่พระองค์ เป็นเหมือนเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่รับใช้การงานของพระองค์ และทำให้พระองค์พอพระทัย" (โรม 12:1 ประชานิยม)
อัตรทูตยอห์นสอนว่า การที่เรารับใช้คนอื่นด้วยความรักคือสิ่งที่แสดงว่า เราได้รับความรอดอย่างแท้จริง ท่านกล่าวว่า "ความรักที่เรามีต่อกันและกันคือสิ่งที่พิสูจน์ว่า เราได้ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว" (1 ยอห์น 3:14 CEV) ถ้าผมไม่มีความรักให้คนอื่น ไม่ปราถนาที่จะรับใช้คนอื่น และสนใจแต่ความต้องการของตนเอง ผมก็ควรจะสงสัยว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในชีวิตของผมจริงหรือเปล่า เพราะหัวใจที่ได้รับความรอดแล้วคือ หัวใจที่ต้องการจะรับใช้
คำว่าพันธกิจคืออีกคำหนึ่งสำหรับการรับใช้พระเจ้า ซึ่งเป็นคำที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดเมื่อได้ยินคำว่า "พันธกิจ" พวกเขาจะคิดถึงศิลยาภิบาล บาทหลวง และผู้รับใช้เต็มเวลา แต่พระเจ้าตรัสว่าสมาชิกทุกคนในครอบครัวของพระองค์เป็นผู้รับใช้ ในพระคัมภีร์ คำว่าคนใช้และผู้รับใช้นั้นเหมือนกัน เช่นเดียวกับคำว่าการรับใช้และพันธกิจ ถ้าคุณเป็นคริสเตียนคุณก็เป็นผู้รับใช้ และเมื่อคุณรับใช้คุณก็กำลังทำพันธกิจ
เมื่อแม่ยายของเปโตรที่ป่วยได้รับการรักษาจากพระเยซู นาง "ลุกขึ้นปรนนิบัติพระองค์" ทันที (มัทธิว 8:15) โดยใช้สุภาพดีซึ่งเป็นของประทานที่ได้รับมาใหม่ ๆ นี่คือสิ่งที่เราต้องทำ เราได้รับการรักษาให้หายเพื่อช่วยเหลือคนอื่น เราได้รับการอวยพรเพื่อเราจะเป็นพระพร เราได้รับความรอดเพื่อจะรับใช้ ไม่ใช่เพื่ออยู่เฉย ๆ และคอยท่าไปสวรรค์
คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมพระเจ้าไม่นำเราไปสวรรค์ทันทีที่เรารับพระคุณของพระองค์ ทำไมพระองค์จึงปล่อยเราไว้ในโลกที่ผิดบาปนี้ พระองค์ทรงปล่อยเราไว้ที่นี่ก็เพื่อทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ เมื่อคุณได้รับความรอดแล้ว พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะใช้คุณเพื่อเป้าหมายของพระองค์ พระเจ้ามีพันธกิจให้คุณทำในคริสตจักรของพระองค์และมีภารกิจให้คุณทำในโลกนี้
คุณได้รับการทรงเรียกให้รับใช้พระเจ้า ขณะที่เติบโตขึ้น คุณอาจเคยคิดว่าการทรงเรียกของพระเจ้านั้นมีไว้สำหรับมิชชันนารี ศิษยาภิบาล แม่ชี และคนทำงานคริสตจักร "เต็มเวลา" เท่านั้น แต่พระคัมภีร์กล่าวว่า คริสเตียนทุกคนได้รับการทรงเรียกให้รับใช้ (เอเฟซัส 4:4-14, โรม 1:6-7, และดูโรม 8:28-30, 1 โครินธ์ 1:2, 9, 26, 7:17, ฟีลิปปี 3:14, 1 เปโตร 2:9, 2 เปโตร 1:3) การทรงเรียกคุณเพื่อความรอดนั้นครอบคลุมถึงการทรงเรียกเพื่อจะรับใช้ด้วย มันเป็นการทรงเรียกเดียวกัน ไม่ว่าคุณจะทำงานหรือมีอาชีพอะไร คุณก็ได้รับการทรงเรียกให้ทำงานรับใช้เต็มเวลาอย่างคริสเตียน "คริสเตียนที่ไม่รับใช้" เป็นคำที่ขัดแย้งกันในตัวเอง
พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระองค์ทรงช่วยเราและทรงเรียกเรามาเป็นคนของพระองค์ไม่ใช่เพราะเราทำสิ่งใด ๆ แต่เพราะพระประสงค์ของพระองค์" (2 ทิโมธี 1:9 TEV) เปโตรเพิ่มเติมว่า "ท่านได้รับเลือกไว้เพื่อให้บอกถึงพระลักษณะอันเลิศของพระเจ้า ผู้ทรงเรียกท่าน" (1 เปโตร 2:9 GWT) เมื่อใดก็ตามที่คุณใช้ความสามารถที่พระเจ้าประทานเพื่อช่วยเหลือคนอื่น คุณก็กำลังทำให้การทรงเรียกของคุณสำเร็จ
พระคัมภีร์กล่าวว่า "บัดนี้ ท่านเป็นของพระองค์…เพื่อเราจะเป็นประโยชน์ในการรับใช้พระเจ้า" (โรม 7:4 TEV) คุณใช้เวลาของคุณทำประโยชน์ในการรับใช้พระเจ้ามากแค่ไหน ในบางคริสตจักรที่ประเทศจีน พวกเขาต้อนรับผู้เชื่อใหม่โดยพูดว่า "เดี๋ยวนี้พระเยซูมีตาคู่ใหม่ที่จะทอดพระเนตร หูใหม่ที่จะสดับฟัง มือใหม่เพื่อจะทรงช่วยเหลือและหัวใจใหม่ที่จะทรงรักคนอื่น"
เหตุผลหนึ่งที่คุณจำเป็นต้องผูกพันกับครอบครัวคริสตจักรคือ เพื่อให้การทรงเรียกให้คุณรับใช้พี่น้องผู้เชื่อสำเร็จในทางปฏิบัติ พระคัมภีร์กล่าวว่า "พวกท่านทุกคนรวมกันเป็นพระกายของพระคริสต์ และท่านแต่ละคนเป็นอวัยวะต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับพระกายของพระคริสต์ ลองถามคริสตจักรท้องถิ่นสักแห่งหนึ่งดูสิครับ เราแต่ละคนมีบทบาทและทุกบทบาทสำคัญ ไม่มีการรับใช้ใดที่เล็กน้อยสำหรับพระเจ้า ทุกอย่างสำคัญหมด
เช่นเดียวกัน ไม่มีพันธกิจใดที่ไม่สำคัญในคริสตจักร แม้งานรับใช้บางอย่างอาจเด่นชัด และบางอย่างเป็นงานที่อยู่เบื้องหลัง แต่ทุกอย่างล้วนมีค่า พันธกิจเล็ก ๆ หรือที่อยู่เบื้องหลัง มักจะสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ในบ้านผม แสงไฟที่สำคัญที่สุดไม่ใช่โคมไฟระย้าในห้องอาหาร แต่เป็นไฟกลางคืนดวงเล็ก ๆ ที่ช่วยไม่ให้ผมหกล้มเวลาลุกขึ้นในตอนกลางคืน ขนาดกับความสำคัญนั้นไม่เกี่ยวข้องกัน ทุกพันธกิจมีความสำคัญ เนื่องจากเราทุกคนต่างพึ่งกันและกันเพื่อทำหน้าที่ของตน
เกิดอะไรขึ้นเมื่อส่วนหนึ่งในร่างกายคุณไม่ทำหน้าที่ตามปกติ คุณก็จะป่วย อวัยวะที่เหลือในร่างกายก็เจ็บปวดไปหมด ลองนึกดูว่าถ้าตับของคุณเริ่มคิดจะอยู่เพื่อตัวเอง "ฉันเบื่อ ฉันไม่อยากรับใช้ร่างกายนี้อีกแล้ว ฉันต้องการพักหนึ่งปีแล้วให้อวัยวะอื่นเลี้ยงดูอย่างเดียว แล้วก็ทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวฉันเอง ให้อวัยวะอื่นทำหน้าที่แทนฉันไป" จากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น ร่างกายของคุณจะตาย วันนี้ คริสตจักรท้องถิ่นนับพันแห่งกำลังจะตายเพราะคริสเตียนไม่เต็มใจที่จะรับใช้ พวกเขานั่งเป็นผู้ชมอยู่ข้างสนาม พระกายจึงต้องทนทุกข์
คุณได้รับคำสั่งให้รับใช้พระเจ้า พระเยซูตรัสชัดเจนอย่างยิ่งว่าเราต้องรับใช้ "อย่างที่บุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติแต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของท่าน…" (มัทธิว 20:28) สำหรับคริสเตียน การรับใช้ไม่ใช่ทางเลือก หรือสิ่งที่เอาไว้ทำเมื่อมีเวลาว่าง แต่การรับใช้เป็นหัวใจของชีวิตคริสเตียน พระเยซูเสด็จมาเพื่อ "รับใช้" และ "ให้" และคำกริยาสองคำนี้ควรจะกำหนดชีวิตของคุณในโลกนี้ด้วย การรับใช้และการให้ผู้อื่นคือ คำสรุปวัตถุประสงค์ประการที่สี่ของพระเจ้าสำหรับชีวิตคุณ แม่ชีเทราซ่าเคยกล่าวว่า "การดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์นั้นคือการทำงานของพระเจ้าด้วยรอยยิ้ม"
พระเยซูทรงสอนว่าความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณนั้นไม่ใช่เป้าหมายในตัวเอง ความเป็นผู้ใหญ่นั้นมีไว้เพื่อการรับใช้ เราเติบโตขึ้นเพื่อเราจะให้บางสิ่งแก่ผู้อื่น การเรียนรู้มากขึ้นเรื่อย ๆ นั้นยังไม่พอ เราต้องทำตามสิ่งที่เรารู้ และประพฤติสิ่งที่เราบอกว่าเราเชื่อ ความประทับใจที่ไม่มีการแสดงออกทำให้เกิดความหดหู่ และการศึกษาโดยไม่มีการรับใช้นั้นนำไปสู่การหยุดชะงักฝ่ายวิญญาณ ภาพเปรียบเทียบเก่าแก่ระหว่างทะเลกาลิลีกับทะเลตายนั้นยังเป็นความจริง กาลิลีเป็นทะเลสาปที่เต็มไปด้วยชีวิต เพราะมันรับน้ำเข้ามา แล้วก็ระบายน้ำออกไป ตรงกันข้าม ทะเลตายไม่มีสิ่งมีชีวิตใด ๆ เลย เมื่อไม่มีการระบายน้ำออก ทะเลสาปแห่งนี้จึงเป็นแอ่งน้ำตาย
สิ่งสุดท้ายที่ผู้เชื่อหลายคนต้องการในเวลานี้คือ การไปเข้าชั้นเรียนพระคัมภีร์อีกวิชาหนึ่ง พวกเขารู้มากเกินกว่าที่ได้นำมาปฏิบัติแล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องการคือประสบการณ์การรับใช้ ซึ่งเขาจะสามารถออกกำลังฝ่ายวิญญาณ
การรับใช้คือสิ่งที่สวนทางกับความโน้มเอียงตามธรรมชาติของเรา ส่วนใหญ่เราสนใจจะให้คนอื่น "รับใช้ฉัน" มากกว่าสนใจการรับใช้ เราพูดว่า "ฉันกำลังมองหาคริสตจักรที่สนองความต้องการของฉันและเป็นพระพรแก่ฉัน" ไม่ใช่ "ฉันมองหาที่ ๆ ฉันจะรับใช้และเป็นพระพร" เราคาดหวังให้คนอื่นรับใช้เรา ไม่ใช่เรารับใช้คนอื่น แต่เมื่อเราเติบโตในพระคริสต์ ความสนใจในชีวิตของเราควรจะเปลี่ยนไปเป็นการมีชีวิตเพื่อรับใช้มากขึ้น ๆ สาวกที่เป็นผู้ใหญ่ของพระเยซูจะไม่ถามว่า "ใครจะสนองความต้องการของฉัน" แต่จะเริ่มถามว่า "ฉันจะช่วยสนองความต้องการของใครได้บ้าง" คุณเคยถามคำถามนี้ไหมครับ
เตรียมตัวสำหรับนิรันดรกาล
เมื่อชีวิตของคุณบนโลกนี้สิ้นสุดลง คุณจะยืนต่อพระพักตร์พระเจ้า และพระองค์จะทรงประเมินว่า คุณใช้ชีวิตของคุณรับใช้คนอื่นดีแค่ไหน พระคัมภีร์กล่าวว่า "เราทุกคนจะต้องทูลเรื่องราวของตัวเองต่อพระเจ้า" (โรม 14:13) ลองคิดดูสิครับว่านั่นจะเป็นอย่างไรวันหนึ่ง พระเจ้าจะทรงเปรียบเทียบปริมาณเวลาและแรงกายที่เราใช้เพื่อตัวเอง กับที่เราลงทุนเพื่อรับใช้คนอื่น
ในเวลานั้น ข้อแก้ตัวทุกอย่างสำหรับความเห็นแก่ตัวจะฟังไม่ขึ้น "ผมยุ่งเกินไป" หรือ "ผมมีเป้าหมายของตัวเอง" หรือ "ผมมัวแต่สนใจการทำงาน ความสนุกหรืิอเตรียมตัวสำหรับเกษียณอายุ" พระเจ้าจะทรงตอบข้อแก้ตัวทั้งหมดว่า "เสียใจ เป็นคำตอบที่ผิด เราได้สร้างเจ้า ช่วยให้เจ้ารอด เรียกเจ้า และได้สั่งเจ้าให้ดำเนินชีวิตแห่งการรับใช้ มีตรงไหนที่เจ้าไม่เข้าใจ" พระคัมภีร์เตือนผู้ไม่เชื่อว่า "พระองค์จะทรงเทพระพิโรธและพระอาชญาต่อคนเหล่านั้นที่ใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง" (โรม 2:8 2002) แต่สำหรับคริสเตียน นั่นหมายถึงการสูญเสียบำเหน็จนิรันดร์
เรามีชีวิตอย่างเต็มที่ก็ต่อเมื่อเราช่วยเหลือคนอื่น พระเยซูตรัสว่า "คนที่อยากเอาตัวรอด ก็จะสูญเสียชีวิตแท้ไป ส่วนคนที่ยอมสละชีวิตของตัวเองเพื่อเราและข่าวดีนั้น ก็จะรักษาชีวิตแท้ไว้ได้" (มาระโก 8:35 อ่านเข้าใจง่าย, และดูมัทธิว 10:39, 16:25, ลูกา 9:24, 17:33) ความจริงข้อนี้สำคัญมาก ถึงขนาดต้องกล่าวซ้ำในพระกิตติคุณถึงห้าครั้ง ถ้าคุณไม่รับใช้ คุณก็อยู่เหมือนไม่มีชีวิต เพราะว่าชีวิตมีไว้เพื่อการรับใช้ พระเจ้าต้องการให้คุณเรียนรู้ที่จะรักและรับใช้คนอื่นอย่างไม่เห็นแก่ตัว
การรับใช้และความสำคัญ
ถ้าคุณจะมอบชีวิตของคุณเพื่อบางสิ่ง สิ่งนั้นจะเป็นอะไร อาชีพ กีฬา งานอดิเรก ชื่อเสียง หรือความมั่งคั่ง ในบรรดาสิ่งเหล่านี้ไม่มีสิ่งใดที่มีความสำคัญถาวร การรับใช้คือหนทางสู่สิ่งสำคัญที่แท้จริง เราพบความหมายของชีวิตของเราผ่านการทำพันธกิจ พระคัมภีร์กล่าวว่า "พวกเราแต่ละคนพบความหมายและหน้าที่ของตนในฐานะส่วนหนึ่งในพระกายของพระองค์" (โรม 12:5 Msg) เมื่อเรารับใช้ด้วยกันในครอบครัวของพระเจ้า ชีวิตของเราก็มีความสำคัญมากขึ้น ไม่ใช่น้อยลง… เพราะท่านเป็นส่วนหนึ่งของพระกาย" (1 โครินธ์ 12:14ก, 19 Msg)
พระเจ้าต้องการใช้คุณเพื่อเปลี่ยนแปลงโลก และประสงค์จะทำงานผ่านคุณ สิ่งที่สำคัญไม่ใช่ระยะเวลาที่คุณมีชีวิตอยู่ แต่เป็นปริมาณที่คุณให้ผู้อื่น ไม่ใช่คุณมีชีวิตอยู่นานแค่ไหน แต่เป็นคุณใช้ชีวิตอย่างไร
ถ้าคุณไม่ได้มีส่วนในการรับใช้หรือพันธกิจใด ๆ เลย คุณจะแก้ตัวอย่างไร อับราฮัมอายุมาก ยาโคบไม่มั่นใจ เลอาห์ไม่ใช่ผู้หญิงสวย โยเซฟถูกทำร้าย โมเสสติดอ่าง กิเดโอนยากจน แซมสันขี้เหงา ราหับผิดศีลธรรม ดาวิดล่วงประเวณีและมีปัญหาครอบครัวมากมาย เอลียาห์อยากฆ่าตัวตาย เยเรมีย์หดหู่ใจ โยนาห์ลังเล นาโอมีเป็นแม่ม่าย ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นคนประหลาด เปโตรมีนิสัยหุนหันพลันแล่นและอารมณ์ร้อน มาร์ธาช่างวิตกกังวล หญิงชาวสะมาเรียล้มเหลวในการแต่งงานหลายครั้ง ศักเคียสไม่เป็นที่ชื่นชอบ โธมัสขี้สงสัย สุขภาพของเปาโลไม่ค่อยดี และทิโมธีขี้อาย มีคนมากมายมีคุณสมบัติไม่เหมาะสมต่าง ๆ กัน แต่พระเจ้าทรงใช้แต่ละคนในงานรับใช้ของพระองค์ พระองค์จะทรงใช้คุณด้วยถ้าคุณจะหยุดแก้ตัว
วันที่ 29 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: การรับใช้ไม่ใช่ทางเลือก
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ประกอบการดีซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เรากระทำ เอเฟซัส 2:10
คำถามสำหรับการพิจารณา: อะไรที่หน่วงเหนี่ยวฉันไม่ให้ยอมรับการทรงเรียกของพระเจ้าให้รับใช้พระองค์
วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
วันที่ 28 ต้องใช้เวลา
มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง และมีวาระสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์
ปัญญาจารย์ 3:1
ข้าพเจ้ามั่นใจว่า พระเจ้าผู้ทรงตั้งต้นการดีภายในท่านจะทรงช่วยเหลือท่านต่อไปให้เติบโตในพระคุณของพระเจ้าจนกว่างานของพระองค์ภายในท่านจะสำเร็จในที่สุด ในวันนั้นเมื่อพระเยซูคริสต์กลับมา
ฟีลิปปี 1:6 (LB)
ไม่มีทางลัดสู่ความเป็นผู้ใหญ่
การเติบโตเป็นผู้ใหญ่นั้นใช้เวลาหลายปี เช่นเดียวกับผลไม้ที่ต้องอาศัยทั้งฤดูจึงจะเติบโตและสุกงอม ผลของพระวิญญาณก็เป็นเช่นนั้น การพัฒนาลักษณะนิสัยให้เหมือนพระคริสต์นั้นไม่สามารถเร่งได้ การเติบโตฝ่ายวิญญาณก็เหมือนกับการเติบโตฝ่ายร่างกาย
เมื่อคุณพยายามเร่งผลไม้ให้สุกมันก็จะเสียรสชาติ ในอเมริกา มะเขือเทศมักจะถูกเก็บก่อนสุกเพื่อไม่ให้ช้ำระหว่างการขนส่งไปยังร้านค้า แล้วก่อนจะขาย มะเขือเทศดิบ เหล่านี้ก็จะถูกพ่นด้วยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ เพื่อที่จะเปลี่ยนให้มันเป็นสีแดงในทันทีมะเขือเทศบ่มก๊าซนี้กินได้ แต่เทียบไม่ได้กับรสชาติของมะเขือเทศที่สุกจากต้นหลังจากปล่อยให้โตอย่างช้า ๆ
ขณะที่เราเป็นห่วงว่าเราจะโตเร็วเพียงไร แต่พระเจ้าทรงสนพระทัยว่าเราจะแข็งแรงเพียงไร พระองค์มองชีวิตของเราจากนิรันดรกาลและเพื่อนิรันดรกาล ดังนั้นพระองค์จึงไม่เคยรีบร้อน
ครั้งหนึ่ง เลน อดัมได้เปรียบกระบวนการเติบโตฝ่ายวิญญาณกับยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายพันธมิตรใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อปลดปล่อยหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ขั้นแรกพวกเขาจะ "ทำให้เกาะหนึ่งอ่อนแอลง" ด้วยการพยายามลดการต่อต้าน โดยใช้ปืนใหญ่ยิงจากเรือที่อยู่นอกฝั่งใส่ที่มั่นของศัตรู ต่อมานาวิกโยธินกลุ่มเล็ก ๆ ก็จะรุกขึ้นเกาะและยึด "หัวหาด" ซึ่งก็คือ ส่วนเล็ก ๆ ของเกาะที่พวกเขาสามารถควบคุม เมื่อหัวหาดถูกยึดแล้ว พวกเขาจะเริ่มกระบวนอันยาวของปลดปล่อยส่วนที่เหลือของเกาะทีละส่วน ๆ จนในที่สุดทั้งเกาะก็จะถูกควบคุม แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีการสู้รบซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสีย
อดัมวาดภาพความคล้ายคลึงกันดังนี้ ก่อนที่พระคริสต์จะทรงรุกเข้ามาในชีวิตของเราเมื่อเรากลับใจ บางครั้งพระองค์ก็ต้อง "ทำให้เราอ่อนลง" โดยให้เกิดปัญหาที่เรารับมือไม่ไหว บางคนเปิดชีวิตของพวกเขาให้พระคริสต์ตั้งแต่ครั้งแรกที่พระองค์ทรงเคาะประตูแต่เราส่วนใหญ่ต่อต้านและปิดกั้น ประสบการณ์ก่อนกลับใจของเราคือ การที่พระเยซูตรัสว่า "ดูเถิด เรายืนทิ้งระเบิดที่ประตู"
เมื่อคุณเปิดชีวิตให้พระคริสต์ พระเจ้าก็ทรงยึด "หัวหาด" ในชีวิตคุณได้ คุณอาจจะคิดว่าตนเองยอมจำนนทุกอย่างในชีวิตต่อพระองค์แล้ว แต่ความจริงยังมีอะไรอีกมากในชีวิตคุณที่คุณยังไม่รู้ คุณสามารถให้พระเจ้ามากเท่าที่คุณเข้าใจในเวลานั้นเท่านั้น แต่ก็ไม่เป็นไร เมื่อพระคริสต์ทรงยึดหัวหาดได้แล้ว พระองค์ก็จะทรงเริ่มสู้รบเพื่อยึดดินแดนมากขึ้น ๆ จนกว่าชีวิตทั้งหมดของคุณจะเป็นของพระองค์ แม้จะมีการต่อสู้และสงครามแต่ผลนั้นไม่เป็นที่สงสัย พระเจ้าได้ทรงสัญญาว่า "พระองค์ผู้ทรงตั้งต้นการดีในพวกท่านนั้นจะทรงสานต่อให้เสร็จสมบูรณ์" (ฟีลิปปี 1:6 อมตธรรมร่วมสมัย)
การสร้างสาวกคือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระคริสต์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "แล้วเราจะได้เป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเป็นเหมือนพระคริสต์ทุกประการ" (เอเฟซัส 4:13 อ่านเข้าใจง่าย) การเป็นเหมือนพระคริสต์คือจุดหมายปลายทางสุดท้ายของคุณ แต่การเดินทางของคุณจะกินเวลาตลอดชีวิต
ถึงตรงนี้ เราได้เห็นว่าการเดินทางนี้เกี่ยวข้องกับการเชื่อ (โดยการนมัสการ) การเป็นส่วนหนึ่ง (โดยสามัคคีธรรม) และการเปลี่ยนแปลง (โดยการสร้างสาวก) ทุกวันพระเจ้าต้องการให้คุณเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้นอีกนิด "ท่านได้เริ่มดำเนินชีวิตใหม่ ซึ่งท่านถูกสร้างขึ้นใหม่ และกลายเป็นเหมือนพระองค์ผู้ทรงสร้างท่าน" (โคโลสี 3:10 NCV)
ทุกวันนี้ เราหลงใหลในความเร็ว แต่พระเจ้าทรงสนพระทัยความเข้มแข็งและความมั่นคงมากกว่า เราต้องการบริการซ่อมด่วนทันใจ ทางลัด และบริการครบวงจรในจุดเดียว เราต้องการคำเทศนา การสัมมนา หรือประสบการณ์ที่จะแก้ปัญหาทุกอย่างทันที ขจัดการทดลองทั้งหมด และปลดปล่อยเราจากความเจ็บปวดของการเติบโต แต่ความเป็นผู้ใหญ่ที่แท้จริงไม่เคยเกิดขึ้นจากประสบการณ์เดียว ไม่ว่าประสบการณ์นั้นจะมีฤทธิ์เดชหรือซาบซึ้งเพียงไรก็ตาม การเติบโตนั้นต้องค่อยเป็นค่อยไป พระคัมภีร์กล่าวว่า "ชีวิตของเราจะฉายแสงสว่างและงดงามยิ่ง ๆ ขึ้นเมื่อพระเจ้าทรงเข้ามาในชีวิตของเรา และเรากลายเป็นเหมือนพระองค์" (2 โครินธ์ 3:18ข Msg)
ทำไมจึงใช้เวลานานเหลือเกิน
แม้ว่าพระเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงเราได้ทันที แต่พระองค์ทรงเลือกที่จะพัฒนาเราอย่างช้า ๆ พระเยซูทรงจงใจใช้วิธีค่อย ๆ พัฒนาสาวกของพระองค์ เช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้คนอิสราเอลยึดแผ่นดินแห่งพระสัญญา "ทีละเล็กทีละน้อย" (เฉลยธรรมบัญญัติ 7:22) เพื่อพวกเขาจะไม่ถูกทำลาย พระองค์ก็เลือกที่จะทำงานเป็นขั้นเป็นตอนในชีวิตของเราเช่นกัน
ทำไมจึงใช้เวลานานเหลือเกินที่จะเปลี่ยนแปลงและเติบโต เหตุผลนั้นมีอยู่หลายประการ
เราเรียนรู้ช้า เรามักจะต้องเรียนซ้ำถึง 40 ถึง 50 ครั้งจึงจะเข้าใจอย่างถ่องแท้เมื่อปัญหาเกิดขึ้นซ้ำ ๆ เราก็คิดว่า "เอาอีกแล้ว ผมเรียนบทเรียนนี้ไปแล้วนี่นา" แต่พระเจ้าทรงทราบดีว่า ประวัติศาสตร์ของอิสราเอลแสดงให้เห็นว่า เราลืมบทเรียนที่พระเจ้าสอนได้เร็วเพียงไร และหวนกลับคืนสู่รูปแบบพฤติกรรมเก่า ๆ อย่างรวดเร็ว เราจำเป็นต้องเรียนรู้ซ้ำหลาย ๆ ครั้ง
เราต้องทิ้งสิ่งเก่า ๆ มากมาย หลายคนไปหาผู้ให้คำปรึกษาด้วยปัญหาส่วนตัว หรือปัญหาความสัมพันธ์ซึ่งสั่งสมมานานหลายปี แล้วพูดว่า "ผมต้องการให้คุณช่วยนะ ผมมีเวลาหนึ่งชั่วโมง" พวกเขาคาดหวังอย่างไร้เดียงสาที่จะแก้ไขความยุ่งยากที่ยาวนานและผังรากลึกภายในเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจากปัญหาของเราส่วนใหญ่ และนิสัยไม่ดีทุกอย่างของเราไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน มันจึงไม่สมเหตุสมผลที่จะคาดว่าสิ่งเหล่านี้จะหายไปในทันที ไม่มียา หรือคำอธิษฐาน หรือหลักการใดที่จะแก้ไขความเสียหายที่สั่งสมมานานหลายปีได้ในทันที มันต้องอาศัยการทุ่มเทเพื่อขจัด และทดแทนด้วยสิ่งใหม่ พระคัมภีร์เรียกการกระทำเช่นนี้ว่า "ทิ้งตัวเก่า" และ "สวมสภาพใหม่" (โรม 13:12, เอเฟซัส 4:22-25) แม้ว่าคุณจะได้รับธรรมชาติใหม่ทันทีที่กลับใจเชื่อ แต่คุณก็ยังมีนิสัย รูปแบบ และการกระทำเก่า ๆ ซึ่งต้องถูกขจัดและทดแทนด้วยสิ่งใหม่
เรากลัวที่จะเผชิญหน้าความจริงที่เกี่ยวกับตัวเราด้วยความถ่อมใจ ผมได้ชี้ให้เห็นแล้วว่าความจริงจะทำให้เราเป็นอิสระ แต่มันก็มักจะทำให้เราน่าสังเวชก่อน เรากลัวว่าเราจะพบอะไรบางอย่าง ถ้าเราเผชิญหน้ากับความบกพร่องในนิสัยของเราอย่างเปิดเผย ความกลัวนี้เองที่จำจองเราไว้ในคุกแห่งการไม่ยอมรับความจริง จนกระทั่งเรายอมให้พระเจ้าส่องแสงแห่งความจริงของพระองค์บนความผิดพลาด ความล้มเหลว และปัญหาต่าง ๆ ของเราเท่านั้น เราจึงจะเริ่มแก้ไขสิ่งเหล่านั้นได้ นี่คือเหตุผลที่เราไม่สามารถเติบโตได้ถ้าไม่มีท่าทีถ่อมใจและยอมรับการสอน
การเติบโตมักจะเจ็บปวดและน่ากลัว ไม่มีการเติบโตที่ปราศจากการเปลี่ยนแปลงไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ปราศจากความกลัวหรือการสูญเสีย และไม่มีการสูญเสียที่ปราศจากความเจ็บปวด การเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบนั้นมาพร้อมกับการสูญเสียบางสิ่งบางอย่าง คุณต้องทิ้งวิถีเก่าเพื่อมีประสบการณ์กับวิถีใหม่ เรากลัวการสูญเสียเหล่านี้ แม้ว่าวิถีเก่าของเราจะทำให้ตัวเองล้มเหลว เพราะมันก็เหมือนกับรองเท้าคู่เก่าที่ขาดวิ่น อย่างน้อยมันก็ใส่สบายและคุ้นเคย
ผู้คนมักจะสร้างเอกลักษณ์ของตัวเองตามความบกพร่องของพวกเขา เราพูดว่า "มันก็เหมือนกับผมที่…" และ "ผมก็เป็นอย่างนี้แหละ" สิ่งที่เรากังวลโดยไม่รู้ตัวก็คือ ถ้าฉันทิ้งนิสัย บาดแผล หรือปัญหาของตัวเองไปแล้ว ฉันจะเป็นใครล่ะ ความกลัวนี้สามารถทำให้คุณโตช้าลงได้อย่างแน่นอน
อุปนิสัยต้องใช้เวลาสร้าง โปรดจำไว้ว่า ลักษณะนิสัยคือผลรวมทั้งหมดของอุปนิสัยคุณ คุณไม่สามารถอ้างว่าคุณเป็นคนใจดี เว้นแต่ว่าคุณใจดีเป็นนิสัย คือ คุณแสดงความใจดีโดยไม่ต้องคิดเสียด้วยซ้ำ คุณไม่สามารถอ้างว่าคุณซื่อตรง เว้นแต่คุณจะซื่อตรงเป็นนิสัยตลอดเวลา สามีที่สัตย์ซื่อต่อภรรยาแทบทุกวันก็เท่ากับไม่ได้สัตย์ซื่อเลย อุปนิสัยบ่งบอกถึงลักษณะนิสัยของคุณ
มีวิธีเดียวที่จะสร้างอุปนิสัยแห่งชีวิตที่เหมือนพระคริสต์ได้คือ คุณต้องประพฤติสิ่งเหล่านั้น และสิ่งนี้ต้องใช้เวลา เพราะอุปนิสัยแบบสำเร็จรูปนั้นไม่มี เปาโลกำชับทิโทธีว่า "จงประพฤติสิ่งเหล่านี้ อุทิศชีวิตทุ่มเทเพื่อทุกคนจะเห็นความก้าวหน้าของท่าน" (1 ทิโมธี 4:15 GWT)
ถ้าคุณฝึกฝนสิ่งใดนาน ๆ คุณก็จะเก่งในเรื่องนั้น การทำอะไรซ้ำ ๆ คือจุดเริ่มต้นของลักษณะนิสัยและทักษะ อุปนิสัยที่ช่วยสร้างลักษณะนิสัยเหล่านี้มักจะเรียกกันว่า "วินัยฝ่ายวิญญาณ" และมีหนังสือดี ๆ นับสิบ ๆ เล่มที่สามารถสอนคุณให้คุณทำสิ่งเหล่านี้ (ขอให้ดูภาคผนวก 2 ซึ่งเป็นรายการหนังสือแนะนำสำหรับการเติบโตฝ่ายวิญญาณ)
อย่ารีบร้อน
ขณะที่คุณเติบโตสู่ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณนั้น มีหลายวิธีที่จะร่วมมือกับพระเจ้าในกระบวนการนี้
จงเชื่อว่าพระเจ้ากำลังทำงานในชีวิตคุณ แม้แต่ในเวลาที่คุณไม่รู้สึก บางครั้งการเติบโตฝ่ายวิญญาณก็เป็นงานที่น่าเบื่อ เป็นก้าวเล็ก ๆ ทีละก้าว แต่ให้คุณคาดหวังการพัฒนาทีละเล็กละน้อย พระคัมภีร์กล่าวว่า "ทุกสิ่งในโลกมีเวลาของมันเอง และมีฤดูของมันเอง" (ปัญญาจารย์ 3:1) ชีวิตฝ่ายวิญญาณของคุณก็มีฤดูกาลเช่นกัน บางครั้งคุณจะมีการเติบโตแบบรวดเร็ว ก้าวกระโดด (ฤดูใบไม้ผลิ) ตามด้วยช่วงเวลาของการหยั่งรากให้มั่นคง และการทดสอบ (ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว)
แล้วปัญหา อุปนิสัย และบาดแผลเหล่านั้นที่คุณต้องการให้ถูกขจัดออกไปอย่างอัศจรรย์ล่ะ การอธิษฐาณขอการอัศจรรย์นั้นเป็นสิ่งดี แต่ก็อย่าผิดหวังถ้าคำตอบมาในรูปของการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อย เมื่อเวลาผ่านไป ธารน้ำที่ไหลช้า ๆ ทว่าสม่ำเสมอจะกัดเซาะหินที่แข็งที่สุดอย่างแน่นอน และเปลี่ยนศิลาก้อนยักษ์เป็นกรวดก้อนเล็ก ๆ เมื่อวันเวลาผ่านไป ต้นกล้าเล็ก ๆ ก็กลายเป็นต้นเรดวูดยักษ์ที่สูงตระหง่านถึง 350 ฟุต
จดบันทึกบทเรียนที่ได้เรียนรู้ นี่ไม่ใช่บันทึกเหตุการณ์ประจำวัน แต่เป็นบันทึกสิ่งที่คุณกำลังเรียนรู้ เขียนความเข้าใจและบทเรียนชีวิตที่พระเจ้าทรงสอนคุณเกี่ยวกับพระองค์ เกี่บวกับตัวคุณ เกี่ยวกับชีวิต ความสัมพันธ์ และสิ่งอื่น ๆ ทุกสิ่ง บันทึกสิ่งเหล่านี้เพื่อคุณจะสามารถทบทวนและระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ และถ่ายทอดให้กับคนรุ่นต่อไป (สดุดี 102:18, 2 ทิโมธี 3:14) เหตุผลที่เราต้องเรียนบทเรียนเดิมซ้ำก็เพราะเราลืมมัน การทบทวนบันทึกฝ่ายวิญญาณเป็นประจำจะสามารถช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดและความรวดร้าวมากมายที่ไม่จำเป็นได้ พระคัมภีร์กล่าวว่า "จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องเอาใจใส่สิ่งที่เราได้ยิน เพื่อเราจะไม่ห่างไกลออกไป" (ฮีบรู 2:1 Msg)
จงอดทนกับพระเจ้าและกับตัวคุณเอง ความผิดหวังประการหนึ่งของชีวิตคือ การที่ตารางเวลาของพระเจ้าไม่ค่อยเหมือนกับตารางเวลาของเรา เรามักจะรีบในเวลาที่พระเจ้าไม่ทรงรีบ คุณอาจรู้สึกหงุดหงิดกับความก้าวหน้าที่ดูเชื่องช้าในชีวิตคุณ โปรดระลึกว่าพระเจ้าไม่เคยรีบร้อน แต่พระองค์ตรงเวลาเสมอ พระองค์จะใช้เวลาตลอดชีวิตคุณ เพื่อเตรียมคุณให้พร้อมสำหรับบทบาทของตนในนิรันดรกาล
พระคัมภีร์เต็มไปด้วยตัวอย่างของการที่พระเจ้าทรงใช้กระบวนการอันยาวนานเพื่อสร้างลักษณะนิสัย โดยเฉพาะในตัวผู้นำ พระองค์ทรงใช้แปดสิบปีเตรียมโมเสส ซึ่งรวมถึงสี่สิบปีในถิ่นทุรกันดาร เป็นเวลา 14,600 วันที่โมเสสได้แต่คอยและสงสัยว่า "ถึงเวลาหรือยังล่ะ" แต่พระองค์ยังคงตรัสว่า "ยัง"
ตรงกันข้ามกับชื่อหนังสือยอดนิยมหลายเล่ม ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ขั้นตอนง่าย ๆ สู่ความเป็นผู้ใหญ่ หรือ เคล็ดลับสำเร็จรูปของการเป็นธรรมิกชน เมื่อพระเจ้าต้องการสร้างเห็ด พระองค์ทรงใช้เวลาคืนเดียว แต่เมื่อพระองค์ต้องการสร้างต้นโอ๊กยักษ์ พระองค์ทรงใช้เวลาร้อยปี จิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่นั้นเติบโตผ่านการต่อสู้ พายุ และช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยาก จงอดทนต่อกระบวนการนี้ ยากอบได้แนะนำว่า "อย่าพยายามหลีกหนีจากสิ่งใดก่อนเวลาอันควร จงให้มันทำงานของมัน เพื่อท่านจะเป็นผู้ใหญ่และพัฒนาขึ้นอย่างดี" (ยากอบ 1:4 Msg)
อย่าท้อใจ เมื่อฮาบากุกรู้สึกหดหู่ เพราะท่านคิดว่าพระเจ้าทำการไม่เร็วพอ พระเจ้าตรัสว่า "สิ่งเหล่านี้ที่เราวางแผนไว้จะไม่เกิดขึ้นในทันที เวลาจะมาถึงอย่างช้า ๆ แน่นอนและมั่นคง เมื่อนิมิตนั้นจะสำเร็จ ถ้ามันดูช้า ก็จงอย่าท้อใจ เพราะสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นแน่ จงอดทน สิ่งเหล่านี้จะไม่ล่าช้าแม้สักวันเดียว" (ฮาบากุก 2:3 LB) ความล่าช้าไม่ใช่คำปฏิเสธจากพระเจ้า
ขอให้คุณจำไว้ว่าคุณมาได้ไกลแค่ไหนแล้ว ไม่ใช่สนใจแต่ว่าคุณต้องไปอีกไกลแค่ไหน คุณไม่ได้อยู่ในที่ซึ่งคุณต้องการ แต่คุณก็ไม่ได้อยู่ในที่ซึ่งคุณเคยอยู่เมื่อหลายปีก่อน ผู้คนติดเข็มกลัดที่แพร่หลายซึ่งมีข้อความว่า "โปรดอดทน พระเจ้ายังทำงานกับผมไม่เสร็จ" พระเจ้ายังทำงานกับคุณไม่เสร็จเช่นกัน ดังนั้นจงเดินหน้าต่อไป แม้แต่หอยทากก็ไปถึงเรือโนอาห์ได้ด้วยความเพียร
วันที่ 28 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: ไม่มีทางลัดสู่ความเป็นผู้ใหญ่
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "พระเจ้าทรงตั้งต้นการดีภายในท่าน และข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระองค์จะทรงทำการดีนั้นต่อไปจนสำเร็จ เมื่อพระเยซูคริสต์เสร็จมาอีกครั้งหนึ่ง" ฟีลิปปี 1:6 (NCV)
คำถามสำหรับการพิจารณา: มีส่วนไหนของการเติบโตฝ่ายวิญญาณของฉัน ที่ฉันจำเป็นต้องอดทนและเพียรพยายามมากขึ้น
ปัญญาจารย์ 3:1
ข้าพเจ้ามั่นใจว่า พระเจ้าผู้ทรงตั้งต้นการดีภายในท่านจะทรงช่วยเหลือท่านต่อไปให้เติบโตในพระคุณของพระเจ้าจนกว่างานของพระองค์ภายในท่านจะสำเร็จในที่สุด ในวันนั้นเมื่อพระเยซูคริสต์กลับมา
ฟีลิปปี 1:6 (LB)
ไม่มีทางลัดสู่ความเป็นผู้ใหญ่
การเติบโตเป็นผู้ใหญ่นั้นใช้เวลาหลายปี เช่นเดียวกับผลไม้ที่ต้องอาศัยทั้งฤดูจึงจะเติบโตและสุกงอม ผลของพระวิญญาณก็เป็นเช่นนั้น การพัฒนาลักษณะนิสัยให้เหมือนพระคริสต์นั้นไม่สามารถเร่งได้ การเติบโตฝ่ายวิญญาณก็เหมือนกับการเติบโตฝ่ายร่างกาย
เมื่อคุณพยายามเร่งผลไม้ให้สุกมันก็จะเสียรสชาติ ในอเมริกา มะเขือเทศมักจะถูกเก็บก่อนสุกเพื่อไม่ให้ช้ำระหว่างการขนส่งไปยังร้านค้า แล้วก่อนจะขาย มะเขือเทศดิบ เหล่านี้ก็จะถูกพ่นด้วยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ เพื่อที่จะเปลี่ยนให้มันเป็นสีแดงในทันทีมะเขือเทศบ่มก๊าซนี้กินได้ แต่เทียบไม่ได้กับรสชาติของมะเขือเทศที่สุกจากต้นหลังจากปล่อยให้โตอย่างช้า ๆ
ขณะที่เราเป็นห่วงว่าเราจะโตเร็วเพียงไร แต่พระเจ้าทรงสนพระทัยว่าเราจะแข็งแรงเพียงไร พระองค์มองชีวิตของเราจากนิรันดรกาลและเพื่อนิรันดรกาล ดังนั้นพระองค์จึงไม่เคยรีบร้อน
ครั้งหนึ่ง เลน อดัมได้เปรียบกระบวนการเติบโตฝ่ายวิญญาณกับยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายพันธมิตรใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อปลดปล่อยหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ขั้นแรกพวกเขาจะ "ทำให้เกาะหนึ่งอ่อนแอลง" ด้วยการพยายามลดการต่อต้าน โดยใช้ปืนใหญ่ยิงจากเรือที่อยู่นอกฝั่งใส่ที่มั่นของศัตรู ต่อมานาวิกโยธินกลุ่มเล็ก ๆ ก็จะรุกขึ้นเกาะและยึด "หัวหาด" ซึ่งก็คือ ส่วนเล็ก ๆ ของเกาะที่พวกเขาสามารถควบคุม เมื่อหัวหาดถูกยึดแล้ว พวกเขาจะเริ่มกระบวนอันยาวของปลดปล่อยส่วนที่เหลือของเกาะทีละส่วน ๆ จนในที่สุดทั้งเกาะก็จะถูกควบคุม แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีการสู้รบซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสีย
อดัมวาดภาพความคล้ายคลึงกันดังนี้ ก่อนที่พระคริสต์จะทรงรุกเข้ามาในชีวิตของเราเมื่อเรากลับใจ บางครั้งพระองค์ก็ต้อง "ทำให้เราอ่อนลง" โดยให้เกิดปัญหาที่เรารับมือไม่ไหว บางคนเปิดชีวิตของพวกเขาให้พระคริสต์ตั้งแต่ครั้งแรกที่พระองค์ทรงเคาะประตูแต่เราส่วนใหญ่ต่อต้านและปิดกั้น ประสบการณ์ก่อนกลับใจของเราคือ การที่พระเยซูตรัสว่า "ดูเถิด เรายืนทิ้งระเบิดที่ประตู"
เมื่อคุณเปิดชีวิตให้พระคริสต์ พระเจ้าก็ทรงยึด "หัวหาด" ในชีวิตคุณได้ คุณอาจจะคิดว่าตนเองยอมจำนนทุกอย่างในชีวิตต่อพระองค์แล้ว แต่ความจริงยังมีอะไรอีกมากในชีวิตคุณที่คุณยังไม่รู้ คุณสามารถให้พระเจ้ามากเท่าที่คุณเข้าใจในเวลานั้นเท่านั้น แต่ก็ไม่เป็นไร เมื่อพระคริสต์ทรงยึดหัวหาดได้แล้ว พระองค์ก็จะทรงเริ่มสู้รบเพื่อยึดดินแดนมากขึ้น ๆ จนกว่าชีวิตทั้งหมดของคุณจะเป็นของพระองค์ แม้จะมีการต่อสู้และสงครามแต่ผลนั้นไม่เป็นที่สงสัย พระเจ้าได้ทรงสัญญาว่า "พระองค์ผู้ทรงตั้งต้นการดีในพวกท่านนั้นจะทรงสานต่อให้เสร็จสมบูรณ์" (ฟีลิปปี 1:6 อมตธรรมร่วมสมัย)
การสร้างสาวกคือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระคริสต์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "แล้วเราจะได้เป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเป็นเหมือนพระคริสต์ทุกประการ" (เอเฟซัส 4:13 อ่านเข้าใจง่าย) การเป็นเหมือนพระคริสต์คือจุดหมายปลายทางสุดท้ายของคุณ แต่การเดินทางของคุณจะกินเวลาตลอดชีวิต
ถึงตรงนี้ เราได้เห็นว่าการเดินทางนี้เกี่ยวข้องกับการเชื่อ (โดยการนมัสการ) การเป็นส่วนหนึ่ง (โดยสามัคคีธรรม) และการเปลี่ยนแปลง (โดยการสร้างสาวก) ทุกวันพระเจ้าต้องการให้คุณเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้นอีกนิด "ท่านได้เริ่มดำเนินชีวิตใหม่ ซึ่งท่านถูกสร้างขึ้นใหม่ และกลายเป็นเหมือนพระองค์ผู้ทรงสร้างท่าน" (โคโลสี 3:10 NCV)
ทุกวันนี้ เราหลงใหลในความเร็ว แต่พระเจ้าทรงสนพระทัยความเข้มแข็งและความมั่นคงมากกว่า เราต้องการบริการซ่อมด่วนทันใจ ทางลัด และบริการครบวงจรในจุดเดียว เราต้องการคำเทศนา การสัมมนา หรือประสบการณ์ที่จะแก้ปัญหาทุกอย่างทันที ขจัดการทดลองทั้งหมด และปลดปล่อยเราจากความเจ็บปวดของการเติบโต แต่ความเป็นผู้ใหญ่ที่แท้จริงไม่เคยเกิดขึ้นจากประสบการณ์เดียว ไม่ว่าประสบการณ์นั้นจะมีฤทธิ์เดชหรือซาบซึ้งเพียงไรก็ตาม การเติบโตนั้นต้องค่อยเป็นค่อยไป พระคัมภีร์กล่าวว่า "ชีวิตของเราจะฉายแสงสว่างและงดงามยิ่ง ๆ ขึ้นเมื่อพระเจ้าทรงเข้ามาในชีวิตของเรา และเรากลายเป็นเหมือนพระองค์" (2 โครินธ์ 3:18ข Msg)
ทำไมจึงใช้เวลานานเหลือเกิน
แม้ว่าพระเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงเราได้ทันที แต่พระองค์ทรงเลือกที่จะพัฒนาเราอย่างช้า ๆ พระเยซูทรงจงใจใช้วิธีค่อย ๆ พัฒนาสาวกของพระองค์ เช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้คนอิสราเอลยึดแผ่นดินแห่งพระสัญญา "ทีละเล็กทีละน้อย" (เฉลยธรรมบัญญัติ 7:22) เพื่อพวกเขาจะไม่ถูกทำลาย พระองค์ก็เลือกที่จะทำงานเป็นขั้นเป็นตอนในชีวิตของเราเช่นกัน
ทำไมจึงใช้เวลานานเหลือเกินที่จะเปลี่ยนแปลงและเติบโต เหตุผลนั้นมีอยู่หลายประการ
เราเรียนรู้ช้า เรามักจะต้องเรียนซ้ำถึง 40 ถึง 50 ครั้งจึงจะเข้าใจอย่างถ่องแท้เมื่อปัญหาเกิดขึ้นซ้ำ ๆ เราก็คิดว่า "เอาอีกแล้ว ผมเรียนบทเรียนนี้ไปแล้วนี่นา" แต่พระเจ้าทรงทราบดีว่า ประวัติศาสตร์ของอิสราเอลแสดงให้เห็นว่า เราลืมบทเรียนที่พระเจ้าสอนได้เร็วเพียงไร และหวนกลับคืนสู่รูปแบบพฤติกรรมเก่า ๆ อย่างรวดเร็ว เราจำเป็นต้องเรียนรู้ซ้ำหลาย ๆ ครั้ง
เราต้องทิ้งสิ่งเก่า ๆ มากมาย หลายคนไปหาผู้ให้คำปรึกษาด้วยปัญหาส่วนตัว หรือปัญหาความสัมพันธ์ซึ่งสั่งสมมานานหลายปี แล้วพูดว่า "ผมต้องการให้คุณช่วยนะ ผมมีเวลาหนึ่งชั่วโมง" พวกเขาคาดหวังอย่างไร้เดียงสาที่จะแก้ไขความยุ่งยากที่ยาวนานและผังรากลึกภายในเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจากปัญหาของเราส่วนใหญ่ และนิสัยไม่ดีทุกอย่างของเราไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน มันจึงไม่สมเหตุสมผลที่จะคาดว่าสิ่งเหล่านี้จะหายไปในทันที ไม่มียา หรือคำอธิษฐาน หรือหลักการใดที่จะแก้ไขความเสียหายที่สั่งสมมานานหลายปีได้ในทันที มันต้องอาศัยการทุ่มเทเพื่อขจัด และทดแทนด้วยสิ่งใหม่ พระคัมภีร์เรียกการกระทำเช่นนี้ว่า "ทิ้งตัวเก่า" และ "สวมสภาพใหม่" (โรม 13:12, เอเฟซัส 4:22-25) แม้ว่าคุณจะได้รับธรรมชาติใหม่ทันทีที่กลับใจเชื่อ แต่คุณก็ยังมีนิสัย รูปแบบ และการกระทำเก่า ๆ ซึ่งต้องถูกขจัดและทดแทนด้วยสิ่งใหม่
เรากลัวที่จะเผชิญหน้าความจริงที่เกี่ยวกับตัวเราด้วยความถ่อมใจ ผมได้ชี้ให้เห็นแล้วว่าความจริงจะทำให้เราเป็นอิสระ แต่มันก็มักจะทำให้เราน่าสังเวชก่อน เรากลัวว่าเราจะพบอะไรบางอย่าง ถ้าเราเผชิญหน้ากับความบกพร่องในนิสัยของเราอย่างเปิดเผย ความกลัวนี้เองที่จำจองเราไว้ในคุกแห่งการไม่ยอมรับความจริง จนกระทั่งเรายอมให้พระเจ้าส่องแสงแห่งความจริงของพระองค์บนความผิดพลาด ความล้มเหลว และปัญหาต่าง ๆ ของเราเท่านั้น เราจึงจะเริ่มแก้ไขสิ่งเหล่านั้นได้ นี่คือเหตุผลที่เราไม่สามารถเติบโตได้ถ้าไม่มีท่าทีถ่อมใจและยอมรับการสอน
การเติบโตมักจะเจ็บปวดและน่ากลัว ไม่มีการเติบโตที่ปราศจากการเปลี่ยนแปลงไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ปราศจากความกลัวหรือการสูญเสีย และไม่มีการสูญเสียที่ปราศจากความเจ็บปวด การเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบนั้นมาพร้อมกับการสูญเสียบางสิ่งบางอย่าง คุณต้องทิ้งวิถีเก่าเพื่อมีประสบการณ์กับวิถีใหม่ เรากลัวการสูญเสียเหล่านี้ แม้ว่าวิถีเก่าของเราจะทำให้ตัวเองล้มเหลว เพราะมันก็เหมือนกับรองเท้าคู่เก่าที่ขาดวิ่น อย่างน้อยมันก็ใส่สบายและคุ้นเคย
ผู้คนมักจะสร้างเอกลักษณ์ของตัวเองตามความบกพร่องของพวกเขา เราพูดว่า "มันก็เหมือนกับผมที่…" และ "ผมก็เป็นอย่างนี้แหละ" สิ่งที่เรากังวลโดยไม่รู้ตัวก็คือ ถ้าฉันทิ้งนิสัย บาดแผล หรือปัญหาของตัวเองไปแล้ว ฉันจะเป็นใครล่ะ ความกลัวนี้สามารถทำให้คุณโตช้าลงได้อย่างแน่นอน
อุปนิสัยต้องใช้เวลาสร้าง โปรดจำไว้ว่า ลักษณะนิสัยคือผลรวมทั้งหมดของอุปนิสัยคุณ คุณไม่สามารถอ้างว่าคุณเป็นคนใจดี เว้นแต่ว่าคุณใจดีเป็นนิสัย คือ คุณแสดงความใจดีโดยไม่ต้องคิดเสียด้วยซ้ำ คุณไม่สามารถอ้างว่าคุณซื่อตรง เว้นแต่คุณจะซื่อตรงเป็นนิสัยตลอดเวลา สามีที่สัตย์ซื่อต่อภรรยาแทบทุกวันก็เท่ากับไม่ได้สัตย์ซื่อเลย อุปนิสัยบ่งบอกถึงลักษณะนิสัยของคุณ
มีวิธีเดียวที่จะสร้างอุปนิสัยแห่งชีวิตที่เหมือนพระคริสต์ได้คือ คุณต้องประพฤติสิ่งเหล่านั้น และสิ่งนี้ต้องใช้เวลา เพราะอุปนิสัยแบบสำเร็จรูปนั้นไม่มี เปาโลกำชับทิโทธีว่า "จงประพฤติสิ่งเหล่านี้ อุทิศชีวิตทุ่มเทเพื่อทุกคนจะเห็นความก้าวหน้าของท่าน" (1 ทิโมธี 4:15 GWT)
ถ้าคุณฝึกฝนสิ่งใดนาน ๆ คุณก็จะเก่งในเรื่องนั้น การทำอะไรซ้ำ ๆ คือจุดเริ่มต้นของลักษณะนิสัยและทักษะ อุปนิสัยที่ช่วยสร้างลักษณะนิสัยเหล่านี้มักจะเรียกกันว่า "วินัยฝ่ายวิญญาณ" และมีหนังสือดี ๆ นับสิบ ๆ เล่มที่สามารถสอนคุณให้คุณทำสิ่งเหล่านี้ (ขอให้ดูภาคผนวก 2 ซึ่งเป็นรายการหนังสือแนะนำสำหรับการเติบโตฝ่ายวิญญาณ)
อย่ารีบร้อน
ขณะที่คุณเติบโตสู่ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณนั้น มีหลายวิธีที่จะร่วมมือกับพระเจ้าในกระบวนการนี้
จงเชื่อว่าพระเจ้ากำลังทำงานในชีวิตคุณ แม้แต่ในเวลาที่คุณไม่รู้สึก บางครั้งการเติบโตฝ่ายวิญญาณก็เป็นงานที่น่าเบื่อ เป็นก้าวเล็ก ๆ ทีละก้าว แต่ให้คุณคาดหวังการพัฒนาทีละเล็กละน้อย พระคัมภีร์กล่าวว่า "ทุกสิ่งในโลกมีเวลาของมันเอง และมีฤดูของมันเอง" (ปัญญาจารย์ 3:1) ชีวิตฝ่ายวิญญาณของคุณก็มีฤดูกาลเช่นกัน บางครั้งคุณจะมีการเติบโตแบบรวดเร็ว ก้าวกระโดด (ฤดูใบไม้ผลิ) ตามด้วยช่วงเวลาของการหยั่งรากให้มั่นคง และการทดสอบ (ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว)
แล้วปัญหา อุปนิสัย และบาดแผลเหล่านั้นที่คุณต้องการให้ถูกขจัดออกไปอย่างอัศจรรย์ล่ะ การอธิษฐาณขอการอัศจรรย์นั้นเป็นสิ่งดี แต่ก็อย่าผิดหวังถ้าคำตอบมาในรูปของการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อย เมื่อเวลาผ่านไป ธารน้ำที่ไหลช้า ๆ ทว่าสม่ำเสมอจะกัดเซาะหินที่แข็งที่สุดอย่างแน่นอน และเปลี่ยนศิลาก้อนยักษ์เป็นกรวดก้อนเล็ก ๆ เมื่อวันเวลาผ่านไป ต้นกล้าเล็ก ๆ ก็กลายเป็นต้นเรดวูดยักษ์ที่สูงตระหง่านถึง 350 ฟุต
จดบันทึกบทเรียนที่ได้เรียนรู้ นี่ไม่ใช่บันทึกเหตุการณ์ประจำวัน แต่เป็นบันทึกสิ่งที่คุณกำลังเรียนรู้ เขียนความเข้าใจและบทเรียนชีวิตที่พระเจ้าทรงสอนคุณเกี่ยวกับพระองค์ เกี่บวกับตัวคุณ เกี่ยวกับชีวิต ความสัมพันธ์ และสิ่งอื่น ๆ ทุกสิ่ง บันทึกสิ่งเหล่านี้เพื่อคุณจะสามารถทบทวนและระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ และถ่ายทอดให้กับคนรุ่นต่อไป (สดุดี 102:18, 2 ทิโมธี 3:14) เหตุผลที่เราต้องเรียนบทเรียนเดิมซ้ำก็เพราะเราลืมมัน การทบทวนบันทึกฝ่ายวิญญาณเป็นประจำจะสามารถช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดและความรวดร้าวมากมายที่ไม่จำเป็นได้ พระคัมภีร์กล่าวว่า "จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องเอาใจใส่สิ่งที่เราได้ยิน เพื่อเราจะไม่ห่างไกลออกไป" (ฮีบรู 2:1 Msg)
จงอดทนกับพระเจ้าและกับตัวคุณเอง ความผิดหวังประการหนึ่งของชีวิตคือ การที่ตารางเวลาของพระเจ้าไม่ค่อยเหมือนกับตารางเวลาของเรา เรามักจะรีบในเวลาที่พระเจ้าไม่ทรงรีบ คุณอาจรู้สึกหงุดหงิดกับความก้าวหน้าที่ดูเชื่องช้าในชีวิตคุณ โปรดระลึกว่าพระเจ้าไม่เคยรีบร้อน แต่พระองค์ตรงเวลาเสมอ พระองค์จะใช้เวลาตลอดชีวิตคุณ เพื่อเตรียมคุณให้พร้อมสำหรับบทบาทของตนในนิรันดรกาล
พระคัมภีร์เต็มไปด้วยตัวอย่างของการที่พระเจ้าทรงใช้กระบวนการอันยาวนานเพื่อสร้างลักษณะนิสัย โดยเฉพาะในตัวผู้นำ พระองค์ทรงใช้แปดสิบปีเตรียมโมเสส ซึ่งรวมถึงสี่สิบปีในถิ่นทุรกันดาร เป็นเวลา 14,600 วันที่โมเสสได้แต่คอยและสงสัยว่า "ถึงเวลาหรือยังล่ะ" แต่พระองค์ยังคงตรัสว่า "ยัง"
ตรงกันข้ามกับชื่อหนังสือยอดนิยมหลายเล่ม ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ขั้นตอนง่าย ๆ สู่ความเป็นผู้ใหญ่ หรือ เคล็ดลับสำเร็จรูปของการเป็นธรรมิกชน เมื่อพระเจ้าต้องการสร้างเห็ด พระองค์ทรงใช้เวลาคืนเดียว แต่เมื่อพระองค์ต้องการสร้างต้นโอ๊กยักษ์ พระองค์ทรงใช้เวลาร้อยปี จิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่นั้นเติบโตผ่านการต่อสู้ พายุ และช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยาก จงอดทนต่อกระบวนการนี้ ยากอบได้แนะนำว่า "อย่าพยายามหลีกหนีจากสิ่งใดก่อนเวลาอันควร จงให้มันทำงานของมัน เพื่อท่านจะเป็นผู้ใหญ่และพัฒนาขึ้นอย่างดี" (ยากอบ 1:4 Msg)
อย่าท้อใจ เมื่อฮาบากุกรู้สึกหดหู่ เพราะท่านคิดว่าพระเจ้าทำการไม่เร็วพอ พระเจ้าตรัสว่า "สิ่งเหล่านี้ที่เราวางแผนไว้จะไม่เกิดขึ้นในทันที เวลาจะมาถึงอย่างช้า ๆ แน่นอนและมั่นคง เมื่อนิมิตนั้นจะสำเร็จ ถ้ามันดูช้า ก็จงอย่าท้อใจ เพราะสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นแน่ จงอดทน สิ่งเหล่านี้จะไม่ล่าช้าแม้สักวันเดียว" (ฮาบากุก 2:3 LB) ความล่าช้าไม่ใช่คำปฏิเสธจากพระเจ้า
ขอให้คุณจำไว้ว่าคุณมาได้ไกลแค่ไหนแล้ว ไม่ใช่สนใจแต่ว่าคุณต้องไปอีกไกลแค่ไหน คุณไม่ได้อยู่ในที่ซึ่งคุณต้องการ แต่คุณก็ไม่ได้อยู่ในที่ซึ่งคุณเคยอยู่เมื่อหลายปีก่อน ผู้คนติดเข็มกลัดที่แพร่หลายซึ่งมีข้อความว่า "โปรดอดทน พระเจ้ายังทำงานกับผมไม่เสร็จ" พระเจ้ายังทำงานกับคุณไม่เสร็จเช่นกัน ดังนั้นจงเดินหน้าต่อไป แม้แต่หอยทากก็ไปถึงเรือโนอาห์ได้ด้วยความเพียร
วันที่ 28 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: ไม่มีทางลัดสู่ความเป็นผู้ใหญ่
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "พระเจ้าทรงตั้งต้นการดีภายในท่าน และข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระองค์จะทรงทำการดีนั้นต่อไปจนสำเร็จ เมื่อพระเยซูคริสต์เสร็จมาอีกครั้งหนึ่ง" ฟีลิปปี 1:6 (NCV)
คำถามสำหรับการพิจารณา: มีส่วนไหนของการเติบโตฝ่ายวิญญาณของฉัน ที่ฉันจำเป็นต้องอดทนและเพียรพยายามมากขึ้น
วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
วันที่ 27 ชนะการทดลอง
จงวิ่งหนีทุกสิ่งที่ให้ความคิดชั่วแก่ท่าน… แต่จงอยู่ใกล้ทุกสิ่งที่ทำให้คุณต้องการทำสิ่งที่ถูกต้อง
2 ทิโมธี 2:22 (LB)
จงระลึกว่า การทดลองที่เข้ามาในชีวิตของท่านนั้น ไม่แตกต่างจากสิ่งที่คนอื่นประสบ และพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อพระองค์จะไม่ให้การทดลองนั้นรุนแรงจนท่านไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้ได้ เมื่อท่านถูกทดลอง พระองค์จะสำแดงทางออกแก่ท่าน เพื่อท่านจะไม่ต้องยอมแพ้มัน
1 โครินธ์ 10:13 (NLT)
มีทางออกเสมอ
บางครั้งคุณอาจรู้สึกว่าการทดลองบางอย่างมีพลังเกินกว่าที่คุณจะทนได้ แต่นั่นเป็นคำโกหกจากซาตาน พระเจ้าได้ทรงสัญญาว่าจะไม่ทรงอนุญาตให้คุณต้องแบกรับสิ่งใดที่หนักเกินกว่าความสามารถซึ่งพระองค์ประทานไว้ภายในคุณเพื่อจะรับมือสิ่งนั้น พระองค์จะไม่อนุญาตให้เกิดการทดลองใด ๆ ที่คุณไม่สามารถเอาชนะได้ อย่างไรก็ตาม คุณต้องทำส่วนของคุณด้วย โดยการใช้กุญแจสี่ประการจากพระคัมภีร์ เพื่อเอาชนะการทดลอง
หันความสนใจของคุณไปจดจ่อสิ่งอื่น มันอาจจะแปลกที่ไม่มีพระคัมภีร์ข้อไหนบอกให้เรา "ต่อสู้การทดลอง" เราได้รับคำสั่งให้ "ต่อสู้กับมาร" (ยากอบ 4:7) แต่นั่น มันต่างกันมาก ซึ่งผมจะอธิบายภายหลัง แต่เราได้รับคำแนะนำให้หันความสนใจของเราไปจดจ่อสิ่งอื่น เพราะว่าการต่อสู้กับความคิดนั้นไม่ได้ผล มันมีแต่จะเพิ่มความรุนแรงของการที่เราจดจ่อในสิ่งที่ผิด และเพิ่มอำนาจการล่อลวงของมัน ผมขออธิบาย
ทุกครั้งที่คุณพยายามยับยั้งความคิดให้ออกไปจากสมอง คุณกลับยิ่งผลักมันลึกลงไปในความทรงจำของคุณมากขึ้น เมื่อคุณต่อต้านมัน แท้ที่จริงคุณกำลังตอกย้ำมันลงไป เรื่องนี้เป็นความจริงโดยเฉพาะกับการทดลอง คุณไม่อาจจะเอาชนะการทดลองโดยการต่อสู้กับความรู้สึกนั้น ยิ่งคุณต่อสู้ความรู้สึกนั้นมากเท่าใด มันก็ยิ่งรุนแรงและควบคุมคุณมากเท่านั้น คุณเพิ่มพลังให้มันทุกครั้งที่คุณคิดถึงมัน
เนื่องจาการทดลองมักเริ่มต้นที่ความคิด ดังนั้นวิธีที่จะทำให้มันหมดอำนาจล่อลวงได้คือ หันความสนใจของคุณไปที่สิ่งอื่น อย่าต่อสู้กับความคิด ขอเพียงเปลี่ยนช่องความคิดของคุณ และสนใจความคิดอื่น นี่คือก้าวแรกที่จะเอาชนะการทดลอง
การต่อสู้กับความบาปนั้นจะชนะหรือแพ้ก็อยู่ที่ความคิดของคุณ อะไรก็ตามที่กุมความสนใจของคุณได้ก็จะชนะคุณ นั่นคือเหตุผลที่โยบพูดว่า "ข้าได้กระทำพันธสัญญากับนัยน์ตาของข้าแล้วที่จะไม่มองหญิงสาวด้วยใจที่มีตัณหา" (โยบ 31:1 NLT) และดาวิดอธิษฐานว่า "ขอทรงช่วยข้าพระองค์ไม่ให้สนใจสิ่งที่ไร้ค่า" (สดุดี 119:37ก TEV)
คุณเคยดูโฆษณาอาหารทางโทรทัศน์แล้วรู้สึหิวขึ้นมาทันทีไหม คุณเคยได้ยินใครไอแล้วรู้สึกอยากจะกระแอมไหม เคยเห็นใครหาวปากกว้างแล้วรู้สึกอยากจะหาวตามไหม (คุณอาจจะหาวขึ้นมาทันทีที่อ่านถึงตรงนี้) นั่นคืออำนาจของการเสนอแนะ เราจดจ่อกับสิ่งใดเราก็จะมุ่งไปหาสิ่งนั้นโดยอัตโนมัติ ยิ่งคุณคิดถึงอะไรบางอย่างมากเท่าไร มันก็ยิ่งครอบงำคุณมากเท่านั้น
นั่นคือเหตุผลที่การย้ำกับตัวเองว่า "ฉันต้องไม่กินมากเกินไป… หรือหยุดสูบบุหรี่… หรือหยุดความใคร่เสีย" เป็นวิธีการที่ล้มเหลวอยู่ในตัว เพราะมันทำให้คุณจดจ่อในสิ่งที่คุณไม่ต้องการ มันก็เหมือนการประกาศว่า "ฉันจะไม่มีวันทำสิ่งที่แม่ของฉันทำ" คุณก็กำลังกำหนดเส้นทางตัวเองให้ทำสิ่งนั้น
การควบคุมอาหารส่วนใหญ่ไม่ได้ผล เพราะว่ามันทำให้คุณคิดถึงอาหารอยู่ตลอดเวลาโดยรับประกันว่าคุณจะหิวโหยแน่ ทำนองเดียวกัน โฆษกที่ย้ำกับตัวเองว่า "อย่าตื่นเต้น…" ก็กำลังทำให้ตัวเองตื่นเต้น แทนที่จะทำเช่นนั้นเธอน่าจะจดจ่อกับอะไรก็ได้ยกเว้นความรู้สึกของเธอ เช่น ที่พระเจ้า ที่ความสำคัญของสิ่งที่เธอจะพูด หรือที่ความจำเป็นของผู้ฟัง
การทดลองเริ่มต้นโดยการจับความสนใจของคุณ สิ่งที่กุมความสนใจของคุณได้ก็จะสามารถเร้าอารมณ์ของคุณ แล้วอารมณ์ของคุณก็ไปกระตุ้นการกระทำ และคุณก็จะทำตามสิ่งที่คุณรู้สึก ยิ่งคุณจดจ่อกับความคิดที่ว่า "ผมไม่อยากทำสิ่งนี้" มันก็ยิ่งดึงคุณเข้าไปสู่กับดักของมัน
การเมินเฉยต่อการทดลองนั้นมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าการต่อสู้มัน เมื่อความคิดของคุณอยู่ที่สิ่งอื่น การทดลองนั้นก็หมดอำนาจ ดังนั้นเมื่อการทดลองโทรศัพท์มาหาคุณ ก็อย่าไปโต้เถียงกับมัน แต่ให้วางหูเสีย
บางครั้ง มันหมายถึงการออกไปจากสถานการณ์ที่มีการทดลอง นี่เป็นกรณีเดียวที่การวิ่งหนีไม่ใช่ความผิด จงลุกขึ้นแล้วก็ปิดโทรทัศน์เสีย เดินหนีจากกลุ่มที่กำลังนินทา ออกจากโรงภาพยนตร์แม้มันจะยังฉายไม่จบ ถ้าไม่อยากถูกต่อยก็จงอยู่ให้ห่างจากผึ้ง จงทำทุกสิ่งที่จำเป็นเพื่อหันความสนใจของคุณไปที่สิ่งอื่น
ในฝ่ายวิญญาณนั้น ความคิดของคุณเป็นอวัยวะที่เปราะบางที่สุด เพื่อจะทำให้การทดลองลดน้อยลง จงจดจ่อความคิดของคุณที่พระวจนะของพระเจ้า และความคิดอื่น ๆ ที่ดีงาม คุณชนะความคิดที่ไม่ดีโดยการคิดสิ่งที่ดีกว่า นี่คือหลักของการแทนที่ คุณชนะความชั่วด้วยความดี (โรม 12:21) ซาตานไม่สามารถชิงความสนใจของคุณได้เมื่อความคิดของคุณจดจ่อที่สิ่งอื่น นั่นคือเหตุผลที่พระคัมภีร์บอกเราหลายครั้งให้รักษาความคิดที่จดจ่อ "จงให้ความคิดของท่านจดจ่อที่พระเยซู" (ฮีบรู 3:1 NIV) "จงคิดถึงพระเยซูคริสต์เสมอ" (2 ทิโมธี 2:8 GWT)
"จงให้ความคิดของท่านเต็มไปด้วยสิ่งที่ล้ำเลิศ สิ่งที่ควรสรรเสริญ คือสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ยุติธรรม สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่น่ายกย่อง" (ฟีลิปปี 4:8 TEV)
ถ้าคุณจริงจังกับการเอาชนะการทดลอง คุณต้องจัดการความคิดของคุณและควบคุมสื่อที่คุณเปิดรับเข้ามา คนฉลาดที่สุดที่เคยมีชีวิตอยู่ได้เตือนว่า "จงระมัดระวังว่าท่านคิดอย่างไร เพราะชีวิตของท่านถูกกำหนดโดยความคิด" (สุภาษิต 4:23 TEV) อย่าให้ขยะเข้ามาในความคิดของคุณโดยไม่มีการแยกแยะ จงคัดเลือก จงเลือกอย่างระมัดระวังว่าคุณจะคิดอะไร ทำตามอย่างเปาโล "เราควบคุมทุกความคิดและให้มันยอมจำนนและเชื่อฟังพระคริสต์" (2 โครินธ์ 10:5 NCV) เรื่องนี้คุณต้องใช้เวลาฝึกตลอดชีวิต แต่ด้วยความช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คุณสามารถกำหนดวิธีคิดของคุณใหม่ได้
เปิดเผยการต่อสู้ของคุณกับเพื่อนที่รักพระเจ้า หรือกลุ่มสนับสนุน คุณไม่จำเป็นต้องประกาศให้ทั้งโลกรู้ แต่คุณต้องการอย่างน้อยหนึ่งคนที่คุณสามารถคุยเรื่องการต่อสู้ของคุณอย่างเปิดเผยได้ พระคัมภีร์กล่าวว่า "มีเพื่อนสักคนก็ดีกว่าอยู่คนเดียว… ถ้าท่านล้มลง เพื่อนของท่านจะได้ช่วยท่านให้ลุกขึ้น แต่ท่านล้มลงโดยไม่มีเพื่อนอยู่ใกล้ ท่านก็แย่แน่" (ปัญญาจารย์ 4:9-10 CEV)
ผมขอพูดให้ชัดเจน ถ้าคุณกำลังพ่ายแพ้ในการต่อสู้กับนิสัยไม่ดี ที่เลิกยาก สิ่งเสพย์ติด หรือการทดลองที่ไม่ยอมรามือ และคุณติดอยู่ในวงจรซ้ำซากที่วนเวียนอยู่กับความตั้งใจดี ๆ - ความล้มเหลว - ความรู้สึกผิด คุณจะไม่ดีขึ้นได้ด้วยตัวคุณเอง คุณต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่น การทดลองบางอย่างจะชนะได้ก็ด้วยความช่วยเหลือของคนที่อธิษฐานเพื่อคุณ หนุนใจคุณ และให้คุณรายงานชีวิตกับเขาเท่านั้น
แผนการของพระเจ้าสำหรับการเติบโตและเสรีภาพของคุณมีคริสเตียนคนอื่น ๆ อยู่ในแผนนั้นด้วย สามัคคีธรรมที่แท้และจริงใจคือยาถอนพิษให้กับการต่อสู้ตามลำพัง กับความบาปเหล่านั้นที่เกาะแน่น พระเจ้าตรัสว่ามันเป็นหนทางเดียวที่คุณจะดิ้นหลุดได้ "จงสารภาพบาปต่อกันและกัน และจงอธิษฐานเพื่อกันและกัน เพื่อท่านทั้งหลายจะพ้นโรคภัย" (ยากอบ 5:16)
คุณต้องการจริง ๆ ที่จะได้รับการรักษาให้หายจากการทดลองที่ไม่ยอมรามือและเอาชนะคุณซ้ำแล้วซ้ำอีกหรือไม่ ทางออกของพระเจ้านั้นง่าย อย่าควบคุมมัน แต่จงสารภาพมัน อย่าปกปิดมัน แต่จงเปิดเผยมัน การเปิดเผยความรู้สึกของคุณเป็นจุดเริ่มต้นการบำบัดรักษา
การซ่อนความเจ็บปวดของคุณมีแต่จะทวีความรุนแรงของมัน ปัญหาจะเติบโตในความมืด และใหญ่ขึ้น ๆ แต่เมื่อถูกเปิดเผยต่อความสว่างแห่งความจริง มันก็หดเล็กลง คุณมีความลับมากเท่าใด คุณก็ป่วยหนักเท่านั้น ดังนั้นจงถอดหน้ากาก หยุดเสแสร้งว่าคุณดีพร้อมและเดินเข้าสู่เสรีภาพ
ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คนั้น เราได้เห็นฤทธิ์เดชอันน่าทึ่งของหลักการนี้ ที่ได้ทำลายการเกาะกุมของภาวะเสพย์ติดที่ดูเหมือนสิ้นหวัง รวมทั้งการทดลองที่ไม่ยอมรามือสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นผ่านโครงการที่เราพัฒนาขึ้น ซึ่งมีชื่อว่า Celebrate Recovery (เฉลิมฉลองการฟื้นตัว) มันเป็นกระบวนการฟื้นตัวตามพระคัมภีร์แปดขั้นตอน ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งผู้เป็นสุขของพระเยซู และใช้กลุ่มย่อยสนับสนุน ในสิบปีที่ผ่านมา ผู้คนกว่า 5,000 คนได้รับการปลดปล่อยจากนิสัย บาดแผล และการเสพย์ติดทุกรูปแบบ วันนี้ คริสตจักรหลายพันแห่งกำลังใช้โครงการนี้อยู่ ซึ่งผมขอสนับสนุนอย่างมากให้คริสตจักรคุณนำไปใช้
ซาตานต้องการให้คุณคิดว่าความบาปและการทดลองของคุณนั้นไม่เหมือนคนอื่นเพื่อคุณจะเก็บสิ่งเหล่านั้นไว้เป็นความลับ แต่ความจริงคือเราทุกคนอยู่ในเรือลำเดียวกันและต่อสู้กับการทดลองเดียวกัน (1 โครินธ์ 10:13) "และเราทุกคนทำบาป" (โรม 3:23) คนนับล้านรู้สึกถึงสิ่งที่คุณรู้สึก และเผชิญการต่อสู้เดียวกันกับที่คุณเผชิญอยู่เดี๋ยวนี้
เหตุผลที่เราซ่อนความผิดของเราคือความเย่อหยิ่ง เราต้องการให้คนอื่นคิดว่าเรา "ควบคุม" ทุกอย่างได้ แต่ความจริงคือสิ่งใดก็ตามที่คุณไม่สามารถพูดถึง สิ่งนั้นก็อยู่นอกเหนือการควบคุมในชีวิตคุณแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเงิน ชีวิตสมรส ลูก ๆ ความคิดเรื่องเพศ นิสัยที่เป็นความลับ หรือสิ่งอื่น ๆ ถ้าคุณสามารถจัดการมันด้วยตัวเอง คุณก็คงจะทำสำเร็จไปแล้ว แต่คุณทำไม่ได้ กำลังใจและความตั้งใจส่วนตัวนั้นยังไม่พอ
ปัญหาบางอย่างฝังลึกเกินไป ติดเป็นนิสัยมากเกินไป และใหญ่เกินกว่าที่คุณจะแก้ได้เอง คุณต้องการกลุ่มย่อยหรือเพื่อนที่จะช่วยรับผิดชอบชีวิต ซึ่งจะหนุนใจคุณ สนับสนุนคุณ อธิษฐานเพื่อคุณ รักคุณอย่างไม่มีเงื่อนไข และให้คุณรายงานต่อเขา แล้วคุณเองก็สามารถช่วยพวกเขาในลักษณะเดียวกัน
เมื่อใดก็ตามที่มีคนปรับทุกข์กับผมว่า "ผมไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครเลยจนถึงเดี๋ยวนี้" ผมก็จะรู้สึกตื่นเต้นแทนคนนั้น เพราะผมรู้ว่าพวกเขากำลังจะพบการเยียวยา และการปลดปล่อยครั้งใหญ่ ความกดดันกำลังจะถูกระบายออกมา และพวกเขาจะเห็นแสงแห่งความหวังสำหรับอนาคตของตนเป็นครั้งแรก สิ่งนี้มักจะเกิดขึ้นเมื่อเราทำสิ่งพระเจ้าตรัสบอกเราให้ทำ โดยการยอมรับการต่อสู้ของเรากับเพื่อนที่เดินในทางของพระเจ้า
ผมขอถามคำถามยาก ๆ ข้อหนึ่งกับคุณ คุณกำลังปกปิดปัญหาอะไรในชีวิตของคุณอยู่ คุณกลัวที่จะพูดถึงเรื่องอะไร คุณจะแก้ปัญหานั้นไม่ได้ด้วยตัวเอง ใช่ครับ การยอมรับความอ่อนแอของเราต่อคนอื่นนั้นเป็นการลดตัวลงต่ำ แต่การขาดความถ่อมใจคือ สิ่งที่ขัดขวางคุณไม่ให้เป็นคนที่ดีขึ้น พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าทรงต่อสู้คนที่หยิ่งจองหอง แต่ประทานพระคุณแก่คนที่ถ่อมใจ เพราะฉะนั้นพวกท่านจงนอบน้อมต่อพระเจ้า" (ยากอบ 4:6-7ก 2002)
จงต่อสู้กับมาร หลังจากที่เราถ่อมตัวและยอมฟังพระเจ้า พระคัมภีร์บอกให้เราต่อต้านมาร ข้อความที่เหลือของยากอบ 4:7 กล่าวว่า "จงต่อสู้กับมาร แล้วมารจะหนีท่านไป" เราจะไม่นิ่งเฉยต่อการโจมตีของมัน แต่เราต้องตอบโต้กลับ
พระคัมภีร์ใหม่มักจะบรรยายชีวิตคริสเตียนว่าเปรียบเสมือนสงครามฝ่ายวิญญาณต่อสู้กับอำนาจของความชั่ว โดยใช้ศัพท์ทางสงครามอย่างเช่น ต่อสู้ พิชิต ฟันฝ่า และเอาชนะ คริสเตียนมักจะถูกเปรียบกับทหารที่ปฏิบัติภารกิจในดินแดนของศัตรู
เราจะต่อสู้กับมารอย่างไร เปาโลบอกเราว่า "จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณ คือพระวจนะของพระเจ้า" (เอเฟซัส 6:17) ขั้นแรกคือการยอมรับความรอดของพระเจ้า คุณไม่สามารถปฏิเสธมารได้ เว้นแต่คุณได้ตอบตกลงกับพระคริสต์แล้ว เราป้องกันตัวเองจากมารไม่ได้ถ้าเราไม่มีพระคริสต์ แต่ด้วย "ความรอดเป็นหมวกเหล็ก" ความคิดของเราก็ได้รับการปกป้องโดยพระเจ้า จงจำข้อนี้ไว้ คือ ถ้าคุณเป็นผู้เชื่อ ซาตานไม่สามารถบังคับคุณให้ทำสิ่งใดเลย มันได้แต่เสนอเท่านั้น
ขั้นตอนที่สอง คุณต้องใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นอาวุธต่อสู้ซาตาน พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างเรื้องนี้ เมื่อพระองค์ทรงถูกทดลองในถิ่นทุรกันดร ทุกครั้งที่ซาตานล่อลวงด้วยข้อเสนอใด ๆ พระเยซูทรงโต้ตอบโดยการอ้างข้อพระคัมภีร์ พระองค์มิได้โต้แย้งกับซาตาน พระองค์ไม่ได้ตรัสว่า "เราไม่หิว" เมื่อทรงถูกทดลองให้ใช้ฤทธิ์เดชของพระองค์สนองความจำเป็นส่วนพระองค์ พระองค์เพียงแต่อ้างข้อพระคัมภีร์จากความจำ เราเองก็ต้องทำสิ่งเดียวกัน มีฤทธิ์เดชอยู่ในพระวจนะพระเจ้า และซาตานกลัวฤทธิ์เดชนั้น
อย่าพยายามโต้แย้งกับมาร มันโต้แย้งเก่งกว่าคุณ เพราะมันฝึกฝนมานับพัน ๆ ปีแล้ว คุณไม่สามารถข่มขวัญซาตานด้วยเหตุผลหรือความคิดเห็นของคุณ แต่คุณสามารถใช้อาวุธที่ทำให้มันตัวสั่นคือ ความจริงของพระเจ้า นี่คือเหตุผลที่การท่องจำพระคัมภีร์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ถ้าเราต้องการเอาชนะการทดลอง คุณจะนำข้อพระคัมภีร์มาใช้ได้อย่างรวดเร็วเมื่อคุณถูกทดลอง และเช่นเดียวกับพระเยซู คุณมีความจริงนั้นสะสมอยู่ในใจของคุณพร้อมจะระลึกถึงได้
ถ้าคุณท่องจำพระคัมภีร์ไม่ได้เลยสักข้อเดียว คุณก็ไม่มีลูกกระสุนในปืนของคุณ ผมท้าทายให้คุณท่องจำสัปดาห์ละหนึ่งข้อตลอดชีวิต ลองจินตนาการดูสิครับว่า คุณจะเข้มแข็งมากขึ้นขนาดไหน
ตระหนักถึงความอ่อนแอของคุณ พระเจ้าทรงเตือนเราไม่ให้ลำพองและมั่นใจเกินไปนั่นคือสูตรสำหรับความหายนะ เยเรมีย์กล่าวว่า "จิตใจก็เป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด… ผู้ใดจะรู้จักใจนั้นเล่า" (เยเรมีย์ 17:9) นั่นหมายความว่าเราเก่งเรื่องการหลอกตัวเอง ถ้าตกในสถานการณ์เหมาะ ๆ เราทุกคนก็สามารถทำบาปชนิดไหนก็ได้ เราต้องไม่เปิดหน้ารับการโจมตี และคิดว่าเราอยู่เหนือการทดลองแล้ว
อย่าชะล่าใจโดยนำตัวเองเข้าสู่สถานการณ์ที่เอื้อให้เกิดการทดลอง แต่จงหลีกเลี่ยงสถานการณ์เหล่านั้น (สุภาษิต 14:16) จงจำไว้ว่า การอยู่ให้ห่างจากการทดลองนั้นง่ายกว่าการเอาตัวออกมา พระคัมภีร์กล่าวว่า "อย่าทำตัวอ่อนหัดและมั่นใจในตัวเอง ท่านไม่ได้ถูกยกเว้น ท่านเองก็ล้มคะมำได้ง่ายเท่าคนอื่น ๆ จงลืมความมั่นใจในตัวเองเสีย มันไร้ประโยชน์ จงปลูกฝังความมั่นใจในพระเจ้า" (1 โครินธ์ 10:12 Msg)
วันที่ 27 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: มีทางออกเสมอ
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ พระองค์ไม่ให้การทดลองนั้นรุนแรงจนท่านไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้ได้ เมื่อท่านถูกทดลอง พระองค์จะสำแดงทางออกแก่ท่าน เพื่อท่านจะไม่ต้องยอมแพ้มัน" 1 โครินธ์ 10:13ข (NLT)
คำถามสำหรับการพิจารณา: มีใครที่ฉันสามารถขอให้เป็นหุ้นส่วนฝ่ายวิญญาณเพื่อช่วยให้ฉันเอาชนะการทดลองที่ไม่ยอมรามือ ด้วยการอธิษฐานเพื่อฉัน
2 ทิโมธี 2:22 (LB)
จงระลึกว่า การทดลองที่เข้ามาในชีวิตของท่านนั้น ไม่แตกต่างจากสิ่งที่คนอื่นประสบ และพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อพระองค์จะไม่ให้การทดลองนั้นรุนแรงจนท่านไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้ได้ เมื่อท่านถูกทดลอง พระองค์จะสำแดงทางออกแก่ท่าน เพื่อท่านจะไม่ต้องยอมแพ้มัน
1 โครินธ์ 10:13 (NLT)
มีทางออกเสมอ
บางครั้งคุณอาจรู้สึกว่าการทดลองบางอย่างมีพลังเกินกว่าที่คุณจะทนได้ แต่นั่นเป็นคำโกหกจากซาตาน พระเจ้าได้ทรงสัญญาว่าจะไม่ทรงอนุญาตให้คุณต้องแบกรับสิ่งใดที่หนักเกินกว่าความสามารถซึ่งพระองค์ประทานไว้ภายในคุณเพื่อจะรับมือสิ่งนั้น พระองค์จะไม่อนุญาตให้เกิดการทดลองใด ๆ ที่คุณไม่สามารถเอาชนะได้ อย่างไรก็ตาม คุณต้องทำส่วนของคุณด้วย โดยการใช้กุญแจสี่ประการจากพระคัมภีร์ เพื่อเอาชนะการทดลอง
หันความสนใจของคุณไปจดจ่อสิ่งอื่น มันอาจจะแปลกที่ไม่มีพระคัมภีร์ข้อไหนบอกให้เรา "ต่อสู้การทดลอง" เราได้รับคำสั่งให้ "ต่อสู้กับมาร" (ยากอบ 4:7) แต่นั่น มันต่างกันมาก ซึ่งผมจะอธิบายภายหลัง แต่เราได้รับคำแนะนำให้หันความสนใจของเราไปจดจ่อสิ่งอื่น เพราะว่าการต่อสู้กับความคิดนั้นไม่ได้ผล มันมีแต่จะเพิ่มความรุนแรงของการที่เราจดจ่อในสิ่งที่ผิด และเพิ่มอำนาจการล่อลวงของมัน ผมขออธิบาย
ทุกครั้งที่คุณพยายามยับยั้งความคิดให้ออกไปจากสมอง คุณกลับยิ่งผลักมันลึกลงไปในความทรงจำของคุณมากขึ้น เมื่อคุณต่อต้านมัน แท้ที่จริงคุณกำลังตอกย้ำมันลงไป เรื่องนี้เป็นความจริงโดยเฉพาะกับการทดลอง คุณไม่อาจจะเอาชนะการทดลองโดยการต่อสู้กับความรู้สึกนั้น ยิ่งคุณต่อสู้ความรู้สึกนั้นมากเท่าใด มันก็ยิ่งรุนแรงและควบคุมคุณมากเท่านั้น คุณเพิ่มพลังให้มันทุกครั้งที่คุณคิดถึงมัน
เนื่องจาการทดลองมักเริ่มต้นที่ความคิด ดังนั้นวิธีที่จะทำให้มันหมดอำนาจล่อลวงได้คือ หันความสนใจของคุณไปที่สิ่งอื่น อย่าต่อสู้กับความคิด ขอเพียงเปลี่ยนช่องความคิดของคุณ และสนใจความคิดอื่น นี่คือก้าวแรกที่จะเอาชนะการทดลอง
การต่อสู้กับความบาปนั้นจะชนะหรือแพ้ก็อยู่ที่ความคิดของคุณ อะไรก็ตามที่กุมความสนใจของคุณได้ก็จะชนะคุณ นั่นคือเหตุผลที่โยบพูดว่า "ข้าได้กระทำพันธสัญญากับนัยน์ตาของข้าแล้วที่จะไม่มองหญิงสาวด้วยใจที่มีตัณหา" (โยบ 31:1 NLT) และดาวิดอธิษฐานว่า "ขอทรงช่วยข้าพระองค์ไม่ให้สนใจสิ่งที่ไร้ค่า" (สดุดี 119:37ก TEV)
คุณเคยดูโฆษณาอาหารทางโทรทัศน์แล้วรู้สึหิวขึ้นมาทันทีไหม คุณเคยได้ยินใครไอแล้วรู้สึกอยากจะกระแอมไหม เคยเห็นใครหาวปากกว้างแล้วรู้สึกอยากจะหาวตามไหม (คุณอาจจะหาวขึ้นมาทันทีที่อ่านถึงตรงนี้) นั่นคืออำนาจของการเสนอแนะ เราจดจ่อกับสิ่งใดเราก็จะมุ่งไปหาสิ่งนั้นโดยอัตโนมัติ ยิ่งคุณคิดถึงอะไรบางอย่างมากเท่าไร มันก็ยิ่งครอบงำคุณมากเท่านั้น
นั่นคือเหตุผลที่การย้ำกับตัวเองว่า "ฉันต้องไม่กินมากเกินไป… หรือหยุดสูบบุหรี่… หรือหยุดความใคร่เสีย" เป็นวิธีการที่ล้มเหลวอยู่ในตัว เพราะมันทำให้คุณจดจ่อในสิ่งที่คุณไม่ต้องการ มันก็เหมือนการประกาศว่า "ฉันจะไม่มีวันทำสิ่งที่แม่ของฉันทำ" คุณก็กำลังกำหนดเส้นทางตัวเองให้ทำสิ่งนั้น
การควบคุมอาหารส่วนใหญ่ไม่ได้ผล เพราะว่ามันทำให้คุณคิดถึงอาหารอยู่ตลอดเวลาโดยรับประกันว่าคุณจะหิวโหยแน่ ทำนองเดียวกัน โฆษกที่ย้ำกับตัวเองว่า "อย่าตื่นเต้น…" ก็กำลังทำให้ตัวเองตื่นเต้น แทนที่จะทำเช่นนั้นเธอน่าจะจดจ่อกับอะไรก็ได้ยกเว้นความรู้สึกของเธอ เช่น ที่พระเจ้า ที่ความสำคัญของสิ่งที่เธอจะพูด หรือที่ความจำเป็นของผู้ฟัง
การทดลองเริ่มต้นโดยการจับความสนใจของคุณ สิ่งที่กุมความสนใจของคุณได้ก็จะสามารถเร้าอารมณ์ของคุณ แล้วอารมณ์ของคุณก็ไปกระตุ้นการกระทำ และคุณก็จะทำตามสิ่งที่คุณรู้สึก ยิ่งคุณจดจ่อกับความคิดที่ว่า "ผมไม่อยากทำสิ่งนี้" มันก็ยิ่งดึงคุณเข้าไปสู่กับดักของมัน
การเมินเฉยต่อการทดลองนั้นมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าการต่อสู้มัน เมื่อความคิดของคุณอยู่ที่สิ่งอื่น การทดลองนั้นก็หมดอำนาจ ดังนั้นเมื่อการทดลองโทรศัพท์มาหาคุณ ก็อย่าไปโต้เถียงกับมัน แต่ให้วางหูเสีย
บางครั้ง มันหมายถึงการออกไปจากสถานการณ์ที่มีการทดลอง นี่เป็นกรณีเดียวที่การวิ่งหนีไม่ใช่ความผิด จงลุกขึ้นแล้วก็ปิดโทรทัศน์เสีย เดินหนีจากกลุ่มที่กำลังนินทา ออกจากโรงภาพยนตร์แม้มันจะยังฉายไม่จบ ถ้าไม่อยากถูกต่อยก็จงอยู่ให้ห่างจากผึ้ง จงทำทุกสิ่งที่จำเป็นเพื่อหันความสนใจของคุณไปที่สิ่งอื่น
ในฝ่ายวิญญาณนั้น ความคิดของคุณเป็นอวัยวะที่เปราะบางที่สุด เพื่อจะทำให้การทดลองลดน้อยลง จงจดจ่อความคิดของคุณที่พระวจนะของพระเจ้า และความคิดอื่น ๆ ที่ดีงาม คุณชนะความคิดที่ไม่ดีโดยการคิดสิ่งที่ดีกว่า นี่คือหลักของการแทนที่ คุณชนะความชั่วด้วยความดี (โรม 12:21) ซาตานไม่สามารถชิงความสนใจของคุณได้เมื่อความคิดของคุณจดจ่อที่สิ่งอื่น นั่นคือเหตุผลที่พระคัมภีร์บอกเราหลายครั้งให้รักษาความคิดที่จดจ่อ "จงให้ความคิดของท่านจดจ่อที่พระเยซู" (ฮีบรู 3:1 NIV) "จงคิดถึงพระเยซูคริสต์เสมอ" (2 ทิโมธี 2:8 GWT)
"จงให้ความคิดของท่านเต็มไปด้วยสิ่งที่ล้ำเลิศ สิ่งที่ควรสรรเสริญ คือสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ยุติธรรม สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่น่ายกย่อง" (ฟีลิปปี 4:8 TEV)
ถ้าคุณจริงจังกับการเอาชนะการทดลอง คุณต้องจัดการความคิดของคุณและควบคุมสื่อที่คุณเปิดรับเข้ามา คนฉลาดที่สุดที่เคยมีชีวิตอยู่ได้เตือนว่า "จงระมัดระวังว่าท่านคิดอย่างไร เพราะชีวิตของท่านถูกกำหนดโดยความคิด" (สุภาษิต 4:23 TEV) อย่าให้ขยะเข้ามาในความคิดของคุณโดยไม่มีการแยกแยะ จงคัดเลือก จงเลือกอย่างระมัดระวังว่าคุณจะคิดอะไร ทำตามอย่างเปาโล "เราควบคุมทุกความคิดและให้มันยอมจำนนและเชื่อฟังพระคริสต์" (2 โครินธ์ 10:5 NCV) เรื่องนี้คุณต้องใช้เวลาฝึกตลอดชีวิต แต่ด้วยความช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คุณสามารถกำหนดวิธีคิดของคุณใหม่ได้
เปิดเผยการต่อสู้ของคุณกับเพื่อนที่รักพระเจ้า หรือกลุ่มสนับสนุน คุณไม่จำเป็นต้องประกาศให้ทั้งโลกรู้ แต่คุณต้องการอย่างน้อยหนึ่งคนที่คุณสามารถคุยเรื่องการต่อสู้ของคุณอย่างเปิดเผยได้ พระคัมภีร์กล่าวว่า "มีเพื่อนสักคนก็ดีกว่าอยู่คนเดียว… ถ้าท่านล้มลง เพื่อนของท่านจะได้ช่วยท่านให้ลุกขึ้น แต่ท่านล้มลงโดยไม่มีเพื่อนอยู่ใกล้ ท่านก็แย่แน่" (ปัญญาจารย์ 4:9-10 CEV)
ผมขอพูดให้ชัดเจน ถ้าคุณกำลังพ่ายแพ้ในการต่อสู้กับนิสัยไม่ดี ที่เลิกยาก สิ่งเสพย์ติด หรือการทดลองที่ไม่ยอมรามือ และคุณติดอยู่ในวงจรซ้ำซากที่วนเวียนอยู่กับความตั้งใจดี ๆ - ความล้มเหลว - ความรู้สึกผิด คุณจะไม่ดีขึ้นได้ด้วยตัวคุณเอง คุณต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่น การทดลองบางอย่างจะชนะได้ก็ด้วยความช่วยเหลือของคนที่อธิษฐานเพื่อคุณ หนุนใจคุณ และให้คุณรายงานชีวิตกับเขาเท่านั้น
แผนการของพระเจ้าสำหรับการเติบโตและเสรีภาพของคุณมีคริสเตียนคนอื่น ๆ อยู่ในแผนนั้นด้วย สามัคคีธรรมที่แท้และจริงใจคือยาถอนพิษให้กับการต่อสู้ตามลำพัง กับความบาปเหล่านั้นที่เกาะแน่น พระเจ้าตรัสว่ามันเป็นหนทางเดียวที่คุณจะดิ้นหลุดได้ "จงสารภาพบาปต่อกันและกัน และจงอธิษฐานเพื่อกันและกัน เพื่อท่านทั้งหลายจะพ้นโรคภัย" (ยากอบ 5:16)
คุณต้องการจริง ๆ ที่จะได้รับการรักษาให้หายจากการทดลองที่ไม่ยอมรามือและเอาชนะคุณซ้ำแล้วซ้ำอีกหรือไม่ ทางออกของพระเจ้านั้นง่าย อย่าควบคุมมัน แต่จงสารภาพมัน อย่าปกปิดมัน แต่จงเปิดเผยมัน การเปิดเผยความรู้สึกของคุณเป็นจุดเริ่มต้นการบำบัดรักษา
การซ่อนความเจ็บปวดของคุณมีแต่จะทวีความรุนแรงของมัน ปัญหาจะเติบโตในความมืด และใหญ่ขึ้น ๆ แต่เมื่อถูกเปิดเผยต่อความสว่างแห่งความจริง มันก็หดเล็กลง คุณมีความลับมากเท่าใด คุณก็ป่วยหนักเท่านั้น ดังนั้นจงถอดหน้ากาก หยุดเสแสร้งว่าคุณดีพร้อมและเดินเข้าสู่เสรีภาพ
ที่คริสตจักรแซดเดิลแบ็คนั้น เราได้เห็นฤทธิ์เดชอันน่าทึ่งของหลักการนี้ ที่ได้ทำลายการเกาะกุมของภาวะเสพย์ติดที่ดูเหมือนสิ้นหวัง รวมทั้งการทดลองที่ไม่ยอมรามือสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นผ่านโครงการที่เราพัฒนาขึ้น ซึ่งมีชื่อว่า Celebrate Recovery (เฉลิมฉลองการฟื้นตัว) มันเป็นกระบวนการฟื้นตัวตามพระคัมภีร์แปดขั้นตอน ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งผู้เป็นสุขของพระเยซู และใช้กลุ่มย่อยสนับสนุน ในสิบปีที่ผ่านมา ผู้คนกว่า 5,000 คนได้รับการปลดปล่อยจากนิสัย บาดแผล และการเสพย์ติดทุกรูปแบบ วันนี้ คริสตจักรหลายพันแห่งกำลังใช้โครงการนี้อยู่ ซึ่งผมขอสนับสนุนอย่างมากให้คริสตจักรคุณนำไปใช้
ซาตานต้องการให้คุณคิดว่าความบาปและการทดลองของคุณนั้นไม่เหมือนคนอื่นเพื่อคุณจะเก็บสิ่งเหล่านั้นไว้เป็นความลับ แต่ความจริงคือเราทุกคนอยู่ในเรือลำเดียวกันและต่อสู้กับการทดลองเดียวกัน (1 โครินธ์ 10:13) "และเราทุกคนทำบาป" (โรม 3:23) คนนับล้านรู้สึกถึงสิ่งที่คุณรู้สึก และเผชิญการต่อสู้เดียวกันกับที่คุณเผชิญอยู่เดี๋ยวนี้
เหตุผลที่เราซ่อนความผิดของเราคือความเย่อหยิ่ง เราต้องการให้คนอื่นคิดว่าเรา "ควบคุม" ทุกอย่างได้ แต่ความจริงคือสิ่งใดก็ตามที่คุณไม่สามารถพูดถึง สิ่งนั้นก็อยู่นอกเหนือการควบคุมในชีวิตคุณแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเงิน ชีวิตสมรส ลูก ๆ ความคิดเรื่องเพศ นิสัยที่เป็นความลับ หรือสิ่งอื่น ๆ ถ้าคุณสามารถจัดการมันด้วยตัวเอง คุณก็คงจะทำสำเร็จไปแล้ว แต่คุณทำไม่ได้ กำลังใจและความตั้งใจส่วนตัวนั้นยังไม่พอ
ปัญหาบางอย่างฝังลึกเกินไป ติดเป็นนิสัยมากเกินไป และใหญ่เกินกว่าที่คุณจะแก้ได้เอง คุณต้องการกลุ่มย่อยหรือเพื่อนที่จะช่วยรับผิดชอบชีวิต ซึ่งจะหนุนใจคุณ สนับสนุนคุณ อธิษฐานเพื่อคุณ รักคุณอย่างไม่มีเงื่อนไข และให้คุณรายงานต่อเขา แล้วคุณเองก็สามารถช่วยพวกเขาในลักษณะเดียวกัน
เมื่อใดก็ตามที่มีคนปรับทุกข์กับผมว่า "ผมไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครเลยจนถึงเดี๋ยวนี้" ผมก็จะรู้สึกตื่นเต้นแทนคนนั้น เพราะผมรู้ว่าพวกเขากำลังจะพบการเยียวยา และการปลดปล่อยครั้งใหญ่ ความกดดันกำลังจะถูกระบายออกมา และพวกเขาจะเห็นแสงแห่งความหวังสำหรับอนาคตของตนเป็นครั้งแรก สิ่งนี้มักจะเกิดขึ้นเมื่อเราทำสิ่งพระเจ้าตรัสบอกเราให้ทำ โดยการยอมรับการต่อสู้ของเรากับเพื่อนที่เดินในทางของพระเจ้า
ผมขอถามคำถามยาก ๆ ข้อหนึ่งกับคุณ คุณกำลังปกปิดปัญหาอะไรในชีวิตของคุณอยู่ คุณกลัวที่จะพูดถึงเรื่องอะไร คุณจะแก้ปัญหานั้นไม่ได้ด้วยตัวเอง ใช่ครับ การยอมรับความอ่อนแอของเราต่อคนอื่นนั้นเป็นการลดตัวลงต่ำ แต่การขาดความถ่อมใจคือ สิ่งที่ขัดขวางคุณไม่ให้เป็นคนที่ดีขึ้น พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าทรงต่อสู้คนที่หยิ่งจองหอง แต่ประทานพระคุณแก่คนที่ถ่อมใจ เพราะฉะนั้นพวกท่านจงนอบน้อมต่อพระเจ้า" (ยากอบ 4:6-7ก 2002)
จงต่อสู้กับมาร หลังจากที่เราถ่อมตัวและยอมฟังพระเจ้า พระคัมภีร์บอกให้เราต่อต้านมาร ข้อความที่เหลือของยากอบ 4:7 กล่าวว่า "จงต่อสู้กับมาร แล้วมารจะหนีท่านไป" เราจะไม่นิ่งเฉยต่อการโจมตีของมัน แต่เราต้องตอบโต้กลับ
พระคัมภีร์ใหม่มักจะบรรยายชีวิตคริสเตียนว่าเปรียบเสมือนสงครามฝ่ายวิญญาณต่อสู้กับอำนาจของความชั่ว โดยใช้ศัพท์ทางสงครามอย่างเช่น ต่อสู้ พิชิต ฟันฝ่า และเอาชนะ คริสเตียนมักจะถูกเปรียบกับทหารที่ปฏิบัติภารกิจในดินแดนของศัตรู
เราจะต่อสู้กับมารอย่างไร เปาโลบอกเราว่า "จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณ คือพระวจนะของพระเจ้า" (เอเฟซัส 6:17) ขั้นแรกคือการยอมรับความรอดของพระเจ้า คุณไม่สามารถปฏิเสธมารได้ เว้นแต่คุณได้ตอบตกลงกับพระคริสต์แล้ว เราป้องกันตัวเองจากมารไม่ได้ถ้าเราไม่มีพระคริสต์ แต่ด้วย "ความรอดเป็นหมวกเหล็ก" ความคิดของเราก็ได้รับการปกป้องโดยพระเจ้า จงจำข้อนี้ไว้ คือ ถ้าคุณเป็นผู้เชื่อ ซาตานไม่สามารถบังคับคุณให้ทำสิ่งใดเลย มันได้แต่เสนอเท่านั้น
ขั้นตอนที่สอง คุณต้องใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นอาวุธต่อสู้ซาตาน พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างเรื้องนี้ เมื่อพระองค์ทรงถูกทดลองในถิ่นทุรกันดร ทุกครั้งที่ซาตานล่อลวงด้วยข้อเสนอใด ๆ พระเยซูทรงโต้ตอบโดยการอ้างข้อพระคัมภีร์ พระองค์มิได้โต้แย้งกับซาตาน พระองค์ไม่ได้ตรัสว่า "เราไม่หิว" เมื่อทรงถูกทดลองให้ใช้ฤทธิ์เดชของพระองค์สนองความจำเป็นส่วนพระองค์ พระองค์เพียงแต่อ้างข้อพระคัมภีร์จากความจำ เราเองก็ต้องทำสิ่งเดียวกัน มีฤทธิ์เดชอยู่ในพระวจนะพระเจ้า และซาตานกลัวฤทธิ์เดชนั้น
อย่าพยายามโต้แย้งกับมาร มันโต้แย้งเก่งกว่าคุณ เพราะมันฝึกฝนมานับพัน ๆ ปีแล้ว คุณไม่สามารถข่มขวัญซาตานด้วยเหตุผลหรือความคิดเห็นของคุณ แต่คุณสามารถใช้อาวุธที่ทำให้มันตัวสั่นคือ ความจริงของพระเจ้า นี่คือเหตุผลที่การท่องจำพระคัมภีร์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ถ้าเราต้องการเอาชนะการทดลอง คุณจะนำข้อพระคัมภีร์มาใช้ได้อย่างรวดเร็วเมื่อคุณถูกทดลอง และเช่นเดียวกับพระเยซู คุณมีความจริงนั้นสะสมอยู่ในใจของคุณพร้อมจะระลึกถึงได้
ถ้าคุณท่องจำพระคัมภีร์ไม่ได้เลยสักข้อเดียว คุณก็ไม่มีลูกกระสุนในปืนของคุณ ผมท้าทายให้คุณท่องจำสัปดาห์ละหนึ่งข้อตลอดชีวิต ลองจินตนาการดูสิครับว่า คุณจะเข้มแข็งมากขึ้นขนาดไหน
ตระหนักถึงความอ่อนแอของคุณ พระเจ้าทรงเตือนเราไม่ให้ลำพองและมั่นใจเกินไปนั่นคือสูตรสำหรับความหายนะ เยเรมีย์กล่าวว่า "จิตใจก็เป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด… ผู้ใดจะรู้จักใจนั้นเล่า" (เยเรมีย์ 17:9) นั่นหมายความว่าเราเก่งเรื่องการหลอกตัวเอง ถ้าตกในสถานการณ์เหมาะ ๆ เราทุกคนก็สามารถทำบาปชนิดไหนก็ได้ เราต้องไม่เปิดหน้ารับการโจมตี และคิดว่าเราอยู่เหนือการทดลองแล้ว
อย่าชะล่าใจโดยนำตัวเองเข้าสู่สถานการณ์ที่เอื้อให้เกิดการทดลอง แต่จงหลีกเลี่ยงสถานการณ์เหล่านั้น (สุภาษิต 14:16) จงจำไว้ว่า การอยู่ให้ห่างจากการทดลองนั้นง่ายกว่าการเอาตัวออกมา พระคัมภีร์กล่าวว่า "อย่าทำตัวอ่อนหัดและมั่นใจในตัวเอง ท่านไม่ได้ถูกยกเว้น ท่านเองก็ล้มคะมำได้ง่ายเท่าคนอื่น ๆ จงลืมความมั่นใจในตัวเองเสีย มันไร้ประโยชน์ จงปลูกฝังความมั่นใจในพระเจ้า" (1 โครินธ์ 10:12 Msg)
วันที่ 27 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: มีทางออกเสมอ
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ พระองค์ไม่ให้การทดลองนั้นรุนแรงจนท่านไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้ได้ เมื่อท่านถูกทดลอง พระองค์จะสำแดงทางออกแก่ท่าน เพื่อท่านจะไม่ต้องยอมแพ้มัน" 1 โครินธ์ 10:13ข (NLT)
คำถามสำหรับการพิจารณา: มีใครที่ฉันสามารถขอให้เป็นหุ้นส่วนฝ่ายวิญญาณเพื่อช่วยให้ฉันเอาชนะการทดลองที่ไม่ยอมรามือ ด้วยการอธิษฐานเพื่อฉัน
วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
วันที่ 26 เติบโตผ่านการทดสอบ
ความสุขเป็นของบุคคลที่ไม่ยอมแพ้และทำผิดทั้ง ๆ ที่ถูกทดลองเพราะภายหลัง เขาจะได้รับบำเหน็จเป็นมงกุฏแห่งชีวิตซึ่งพระเจ้าทรงสัญญาแก่คนเหล่านั้นที่รักพระองค์
ยากอบ 1:12 (LB)
การทดลองคือครูสอนศาสนศาสตร์ของข้าพเจ้า
มาร์ติน ลูเธอร์
การทดลองทุกครั้งเป็นโอกาสที่จะทำความดี
บนเส้นทางสู่การเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ แม้แต่การทดลองก็กลายเป็นบันไดแทนที่จะเป็นหินสะดุด เมื่อคุณรู้ว่านี่เป็นโอกาสที่จะทำถูกพอ ๆ กับที่จะทำผิด การทดลองเพียงแต่ให้ทางเลือก ขณะที่การทดลองเป็นอาวุธหลักของซาตานที่จะทำลายคุณ แต่พระเจ้าต้องการใช้มันเพื่อเสริมสร้างคุณ ทุกครั้งที่คุณเลือกทำความดีแทนที่จะทำบาป คุณก็จะเติบโตขึ้นในลักษณะนิสัยของพระคริสต์
คุณต้องรู้จักลักษณะนิสัยของพระเยซูก่อนจึงจะเข้าใจเรื่องนี้ คำบรรยายอย่างย่อที่สุดตอนหนึ่งในเรื่องลักษณะนิสัยของพระองค์ คือ ผลของพระวิญญาณ "เมื่อพระวิญญาณทรงควบคุมชีวิตของเรา พระองค์จะทรงสร้างผลเหล่านี้ในเรา คือความรัก ความชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดทน ความปราณี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อมและการบังคับตน" (กาลาเทีย 5:22-23)
คุณลักษณะเก้าประการนี้คือการขยายความของมหาบัญญัติ และให้ภาพอันงดงามที่บรรยายถึงพระเยซูคริสต์ พระเยซูทรงเป็นความรัก ความชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดทน รวมทั้งผลอื่น ๆ ทั้งหมดที่สมบูรณ์แบบรวมอยู่ในคนคนเดียว การมีผลของพระวิญญาณก็คือ การเป็นเหมือนพระคริสต์
แล้วพระวิญญาณทรงผลิตผลเก้าชนิดนี้ในชีวิตของคุณอย่างไร พระองค์ทรงสร้างสิ่งเหล่านี้แบบทันทีทันใดหรือ คุณจะตื่นขึ้นมาเช้าวันหนึ่ง แล้วจู่ ๆ ก็เพียบพร้อมไปด้วยลักษณะนิสัยเหล่านี้อย่างสมบูรณ์อย่างนั้นหรือ ไม่ใช่ ผลย่อมเติบโตและสุกงอมอย่างช้า ๆ
ประโยคต่อไปนี้คือ ความจริงฝ่ายวิญญาณที่สำคัญที่สุดประโยคหนึ่งที่คุณจะได้เรียนรู้ในชีวิตนี้ คือ พระเจ้าทรงสร้างผลพระวิญญาณในชีวิตคุณ โดยการให้คุณเผชิญสถานการณ์ซึ่งพยายามล่อลวงให้คุณแสดงลักษณะที่ตรงกันข้าม การพัฒนาลักษณะนิสัยมักจะเกี่ยวข้องกับการเลือก และการทดลองก็หยิบยื่นโอกาสเช่นนั้น
ยกตัวอย่าง พระเจ้าทรงสอนเราให้รักโดยการให้คนที่ไม่น่ารักบางคนมาอยู่ใกล้เรา มันไม่ต้องใช้ลักษณะนิสัยพิเศษอะไรเลยที่จะรักคนที่น่ารักและรักคุณ พระเจ้าสอนให้เรารู้จักความชื่นชมยินดีที่แท้จริงท่ามกลางความเศร้าโศก เมื่อเราหันมาหาพระองค์ ความสุขขึ้นอยู่กับสถานการณ์ภายนอก แต่ความชื่นชมยินดีอยู่กับความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้า
พระเจ้าทรงสร้างสันติสุขแท้ภายในเรา ไม่ใช่โดยการทำสิ่งต่าง ๆ เป็นไปอย่างที่เราวางแผนไว้ แต่โดยการอนุญาตให้มีช่วงเวลาสับสนและวุ่นวาย ใคร ๆ ก็สามารถมีสันติสุขได้ขณะมองดูอาทิตย์อัศดงที่สวยงาม หรือพักผ่อนในวันหยุด แต่เราเรียนรู้สันติสุขแท้โดยการเลือกที่จะวางใจพระเจ้า ในสถานการณ์ที่เราถูกทดลองให้วิตกหรือกลัว เช่นเดียวกัน ความอดทนจะถูกพัฒนาขึ้นในสถานการณ์ที่เราถูกบังคับให้รอคอย และถูกทดลองให้โกรธหรือฉุนเฉียว
พระเจ้าทรงใช้เหตุการณ์ตรงข้ามกับผลของพระวิญญาณแต่ละอย่าง เพื่อให้เรามีโอกาสเลือก คุณไม่สามารถอ้างตนว่าเป็นคนดีถ้าคุณไม่เคยถูกทดลองให้ทำสิ่งเลวร้าย คุณไม่สามารถอ้างว่าคุณสัตย์ซื่อ ถ้าคุณไม่เคยมีโอกาสจะไม่สัตย์ซื่อ ความซื่อตรงนั้นถูกพัฒนาขึ้นโดยการเอาชนะการล่อลวงให้ไม่ซื่อสัตย์ ความถ่อมใจเพิ่มพูนเมื่อเราไม่ยอมเย่อหยิ่ง และความอดทนจะพัฒนาทุกครั้งที่คุณปฏิเสธการล่อลวงให้ยอมแพ้ ทุกครั้งที่คุณชนะการทดลองอย่างหนึ่ง คุณก็จะเป็นพระคริสต์มากขึ้น
การทดลองทำงานอย่างไร
จะเป็นประโยชน์มากถ้าเรารู้ว่าวิธีการของซาตานนั้นคาดเดาได้ทั้งหมด มันใช้กลยุทธ์เดิมและเล่ห์เหลี่ยมเก่า ๆ มาตั้งแต่การทรงสร้าง การทดลองทุกอย่างมีรูปแบบเดียวกันหมด นั่นคือเหตุผลที่เปาโลกล่าวว่า "เรารู้ทันกลอุบายต่าง ๆ ของมัน" (2 โครินธ์ 2:11 อ่านเข้าใจง่าย) เราเรียนรู้จากพระคัมภีร์ว่า การทดลองมีสี่ขั้นตอน ซึ่งซาตานใช้กับทั้งอาดัมและเอวา และกับพระเยซูด้วย
ในขั้นแรก ซาตานจะค้นหาความปรารถนาภายในของคุณ มันอาจจะเป็นความปรารถนาที่เป็นบาป เช่น ความปรารถนาที่จะแก้แค้นหรือควบคุมคนอื่น หรืออาจจะเป็นความปรารถนาที่ถูกต้องและปกติ เช่น ความปรารถนาที่จะได้รับความรัก และรู้สึกว่าตนมีค่าหรือรู้สึกสุขใจ การทดลองเริ่มต้นเมื่อซาตานเสนอ (ในความคิด) ให้คุณยอมต่อความปรารถนาชั่ว หรือให้คุณบรรลุความปรารถนาที่ถูกต้องด้วยวิธีการที่ผิด หรือในเวลาที่ผิด จงระวังทางลัดไว้เสมอ เพราะมันมักจะเป็นการทดลอง ซาตานกระซิบว่า "เจ้าสมควรจะได้มัน เจ้าควรจะได้มันเดี๋ยวนี้ มันจะตื่นเต้น… อุ่นใจ… หรือทำให้เจ้ารู้สึกดีขึ้น"
เราคิดว่าการทดลองอยู่รอบตัวเรา แต่พระเจ้าตรัสว่ามันเริ่มต้นภายในเรา ถ้าคุณไม่มีความปรารถนาภายใน การทดลองก็ไม่สามารถดึงดูดคุณได้ การทดลองเริ่มต้นในความคิดของคุณเสมอ ไม่ใช่ในสถานการณ์แวดล้อม พระเยซูตรัสว่า "เพราะว่าจากภายในมนุษย์คือ จิตใจมนุษย์มีความคิดชั่วร้าย การล่วงประเวณี การลักขโมย การฆ่าคน การผิดผัวผิดเมีย การโลภ ความอธรรม การล่อลวงเขา ราคะตัณหา อิจฉาตาร้อน การใส่ร้าย ความเย่อหยิ่ง ความบัดซบ สารพัดการชั่วนี้เกิดมาจากภายใน" (มาระโก 7:21-23) ยากอบบอกว่า มี "ความปรารถนาชั่วมากมายมหาศาลอยู่ภายในท่าน" (ยากอบ 4:1 LB)
ขั้นที่สองคือความมสงสัย ซาตานพยายามทำให้คุณสงสัยสิ่งที่พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับความบาป มันผิดจริงหรือ พระเจ้าตรัสว่าอย่าทำสิ่งนั้นจริงหรือ พระเจ้าเจตนาจะให้ข้อห้ามนี้สำหรับคนอื่นหรือเวลาอื่นไม่ใช่หรือ พระเจ้าต้องการให้ฉันมีความสุขไม่ใช่หรือ พระคัมภีร์เตือนว่า "จงระวัง อย่าให้ความคิดชั่วร้ายหรือความสงสัยทำให้คนใดในพวกท่านละทิ้งพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่" (ฮีบรู 3:12 CEV)
ขั้นที่สามคือการหลอกลวง ซาตานไม่สามารถพูดความจริงได้ และได้ชื่อว่า "พ่อของการมุสา" (ยอห์น 8:44) ทุกสิ่งที่มันบอกคุณจะไม่จริง หรือจริงเพียงครึ่งเดียว ซาตานหยิบยื่นคำมุสาของมันแทนสิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสไว้แล้วในพระวจนะของพระองค์ ซาตานกล่าวว่า "เจ้าจะไม่ตายหรอก จะฉลาดเหมือนพระเจ้า แล้วเจ้าจะหนีรอดไปได้ คนอื่นไม่มีวันรู้หรอก มันจะแก้ปัญหาให้เจ้า ยิ่งกว่านั้นใคร ๆ เขาก็ทำกันทั้งนั้น มันก็แค่บาปเล็ก ๆ" แต่บาปเล็ก ๆ ก็เหมือนกับการตั้งท้องอ่อน ๆ ในที่สุดมันก็ปรากฏออกมา
ขั้นที่สี่คือการไม่เชื่อฟัง ในที่สุดคุณจะทำสิ่งที่ครุ่นคิดในสมอง สิ่งที่เริ่มต้นเป็นความคิดจะคลอดออกมาเป็นการกระทำ คุณจะยอมแพ้สิ่งใดก็ตามที่กุมความสนใจของคุณได้ คุณเชื่อคำโกหกของซาตาน และตกหลุมพรางที่ยากอบเตือนว่า "ที่ผู้นั้นถูกยั่วยุให้ทำบาปก็เพราะขณะนั้นเขาเหินห่างออกไปจากพระเจ้า และติดกับตัณหาของตนเองต่างหาก แล้วตัณหาของเขาก็ฟักตัวขึ้น ก่อให้เกิดบาป เมื่อบาปครอบงำใจผู้นั้นเต็มที่แล้ว ก็นำไปสู่ความตาย พี่น้องที่รักเอ๋ย อย่าให้ท่านถูกหลอกได้" (ยากอบ 1:14-16 ประชานิยม)
ชนะการทดลอง
การเข้าใจว่าการทดลองทำงานอย่างไรนั้นมีประโยชน์อยู่ในตัวของมันเอง แต่ถ้าคุณจะเอาชนะการทดลอง คุณจำเป็นต้องทำตามขั้นตอนเจาะจงต่อไปนี้
ปฏิเสธคำข่มขู่ คริสเตียนหลายคนกลัวและหมดกำลังใจ เมื่อเกิดการทดลองในความคิดคือ รู้สึกผิดที่พวกเขาไม่ได้อยู่ "เหนือ" การทดลอง พวกเขารู้สึกอาย เพียงเพราะตนถูกทดลอง นี่เป็นความเข้าใจผิดในเรื่องความเป็นผู้ใหญ่ คุณจะไม่มีวันเติบโต จนไม่มีโอกาสถูกทดลอง
ในด้านหนึ่ง คุณสามารถถือว่าการทดลองนั้นเป็นคำชมเชย ซาตานไม่จำเป็นต้องทดลองคนที่ตั้งใจทำชั่วตามมันอยู่แล้ว พวกเขาเป็นของมันอยู่แล้ว การทดลองเป็นสัญลัษณ์ว่าซาตานเกลียดคุณ ไม่ใช่สัญลักษณ์ของความอ่อนแอหรือการอยู่ฝ่ายโลก มันยังเป็นเรื่องปกติของการเป็นมนุษย์ และการอยู่ในโลกที่ตกสู่ความบาป อย่าแปลกใจตกใจ หรือท้อใจเพราะสิ่งนี้ จงยอมรับความจริงว่าการทดลองเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณจะไม่มีทางหลีกเลี่ยงมันได้ทั้งหมด พระคัมภีร์กล่าวว่า "เมื่อท่านถูกทดลอง…" ไม่ใช่ ถ้าท่านถูกทดลอง เปาโลแนะนำว่า "จงระลึกว่า การทดลองที่มีถึงชีวิตของท่านนั้นไม่แตกต่างจากสิ่งที่คนอื่นประสบ" (1 โครินธ์ 10:13 NLT)
การถูกทดลองนั้นไม่ใช่ความบาป พระเยซูทรงถูกทดลอง แต่พระองค์ไม่เคยทำบาป (ฮีบรู 4:15) การทดลองจะกลายเป็นความบาปก็ต่อเมื่อคุณยอมแพ้มัน มาร์ติน ลูเธอร์กล่าวว่า "คุณไม่สามารถห้ามนกบินข้ามศีรษะคุณ แต่คุณสามารถห้ามมันไม่ให้ทำรังในผมของคุณ" คุณไม่สามารถห้ามมารไม่ให้เสนอความคิด แต่คุณสามารถเลือกที่จะไม่ครุ่นคิดหรือทำตาม
ยกตัวอย่าง คนจำนวนมากไม่รู้ความแตกต่างระหว่างเสน่ห์ทางกายหรือแรงกระตุ้นทางเพศกับราคะตัณหา สองสิ่งนี้ไม่เหมือนกัน พระเจ้าทรงสร้างเราทุกคนให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ และนั่นเป็นสิ่งดี เสน่ห์และแรงกระตุ้นเป็นการตอบสนองตามปกติเกิดขึ้นเอง ซึ่งพระเจ้าประทานมาเพื่อความงามทางร่างกาย ขณะที่ตัณหาเป็นความตั้งใจ ตัณหาคือ การเลือกในจิตใจว่าคุณจะใช้ร่างกายของคุณทำอะไร คุณสามารถสนใจหรือแม้กระทั่งถูกกระตุ้นโดยยังไม่ได้เลือกที่จะทำบาปด้วยการมีความใคร่ หลายคนโดยเฉพาะผู้ชายคริสเตียนรู้สึกผิดที่ฮอร์โมนซึ่งพระเจ้าประทานแก่เขานั้นทำงาน เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์คนหนึ่ง พวกเขาก็เหมาว่ามันเป็นตัณหา และรู้สึกอับอายและรู้สึกผิด แต่การสนใจไม่ใช่ตัณหาจนกว่าคุณจะเริ่มครุ่นคิดมัน
ที่จริง ยิ่งคุณใกล้ชิดพระเจ้ามากเท่าใด ซาตานก็ยิ่งพยายามทดลองคุณมากเท่านั้นทันทีที่คุณเป็นลูกของพระเจ้า ซาตานก็เหมือนกับตัวแสบของกลุ่มอันธพาลที่ "หมายหัวคุณ" คุณเป็นศัตรูของมัน และมันวางแผนให้คุณทำบาป
บางครั้งขณะที่คุณอธิษฐาน ซาตานจะเสนอความคิดแปลกประหลาดหรือชั่วร้ายเพียงเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจคุณและทำให้คุณอาย อย่าตกใจหรืออายเพราะสิ่งนี้ แต่จงตระหนักว่า ซาตานกลัวคำอธิษฐานของคุณ และจะพยายามทำทุกสิ่งเพื่อหยุดคำอธิษฐานแทนที่จะกล่าวโทษตัวเอง "ผมคิดเรื่องพรรค์นี้ได้ยังไง" ให้คุณถือว่ามันเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของซาตาน และกลับมาจดจ่อที่พระเจ้าทันที
รู้จักรูปแบบการทดลองที่เกิดขึ้นกับคุณ และเตรียมตัวรับมือ มีบางสถานการณ์ที่ทำให้คุณอ่อนแอต่อการทดลอง สถานการณ์บางอย่างจะทำให้คุณสะดุดแทบจะทันที ขณะที่สถานการณ์อื่น ๆ ไม่เป็นปัญหาสำหรับคุณมากนัก สถานการณ์เหล่านี้เกี่ยวข้องกับความอ่อนแอเฉพาะตัวของคุณ คุณจำเป็นต้องรู้จักสถานการณ์เหล่านี้ เพราะว่าซาตานรู้จักสิ่งเหล่านี้อย่างแน่นอน มันรู้อย่างเจาะจงว่าอะไรจะทำให้คุณล้ม มันพยายามไม่หยุดหย่อนที่จะชักนำคุณเข้าไปในสถานการณ์เหล่านั้น เปโตรเตือนว่า "จงระวังตัว มารจ้องจะตะครุบและไม่มีอะไรที่มันชอบยิ่งกว่าการจับท่านได้ขณะนอนหลับ" (1 เปโตร 5:8 Msg)
ถามตัวคุณเองว่า "เวลาไหนที่ฉันถูกทดลองมากที่สุด วันไหนของสัปดาห์ ช่วงเวลาไหนของวัน" ถามว่า "ที่ไหนที่ฉันถูกทดลองมากที่สุด ที่ทำงานหรือที่บ้าน ที่บ้านเพื่อน ที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่มของสถานที่ออกกำลังกาย ที่สนามบิน หรือที่โรงแรมนอกเมือง"
ถามว่า "เวลาไหนที่ฉันถูกทดลองมากที่สุดนั้นฉันอยู่กับใคร กับเพื่อนร่วมงาน ท่ามกลางฝูงชนแปลกหน้า หรือเมื่ออยู่คนเดียว" ถามด้วยว่า "เวลาที่ฉันถูกทดลองมากที่สุดนั้น ฉันมักจะรู้สึกอย่างไร" มันอาจจะเป็นเวลาที่คุณเหนื่อย หรือเหงา หรือเบื่อ หรือหดหู่ หรือเครียด หรือเมื่อคุณถูกทำให้เจ็บ หรือรู้สึกโกรธ หรือวิตกกังวล หรือหลังจากความสำเร็จครั้งใหญ่หรือความตื่นเต้นฝ่ายวิญญาณ
คุณควรรู้จักรูปแบบการทดลองที่เกิดขึ้นกับคุณบ่อย ๆ แล้วเตรียมตัวหลีกเลี่ยงสถานการณ์เหล่านั้นให้ไกลที่สุด พระคัมภีร์บอกเราซ้ำแล้วซ้ำอีกให้คาดหมายและเตรียมพร้อมที่จะเผชิญการทดลอง เปาโลกล่าวว่า "อย่าให้โอกาสแก่มาร" (เอเฟซัส 4:27) การวางแผนที่ฉลาดจะช่วยให้คุณถูกทดลองน้อยลง จงทำตามคำแนะนำของสุภาษิต "จงวางแผนอย่างรอบคอบในสิ่งที่คุณทำ… จงหลีกเลี่ยงความชั่วและเดินตรงไปข้างหน้า อย่าหันเหออกจากทางที่ถูกต้องแม้แต่ก้าวเดียว" (สุภาษิต 4:26-27 TEV) "คนของพระเจ้าหลีกเลี่ยงทางชั่ว และพวกเขาป้องกันตัวโดยระมัดระวังสถานที่ที่พวกเขาไป" (สุภาษิต 16:17 CEV)
ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า สวรรค์มีสายด่วนยี่สิบสี่ชั่วโมง พระเจ้าต้องการให้คุณขอความช่วยเหลือจากพระองค์เพื่อเอาชนะการทดลอง พระองค์ตรัสว่า "จงร้องทูลเราในวันทุกข์ยากลำบาก เราจะช่วยกู้เจ้า และเจ้าจะถวายพระสิริแก่เรา" (สดุดี 50:15)
ผมเรียกการอธิษฐานแบบนี้ว่าอธิษฐาน "ไมโครเวฟ" เพราะว่ามันเร็วและตรงจุด ช่วยด้วย ! ช่วยด้วย ! ช่วยด้วย ! เมื่อการทดลองจู่โจม คุณไม่มีเวลาที่จะสนทนายืดยาวกับพระเจ้า คุณได้แต่ร้องออกมา ดาวิด ดาเนียล เปโตร เปาโล และคนอื่น ๆ อีกนับล้านได้อธิษฐานฉับพลันแบบนี้ เพื่อขอความช่วยเหลือเมื่อประสบปัญหา
พระคัมภีร์รับประกันว่า พระเจ้าจะทรงฟังคำร้องขอความช่วยเหลือของเรา เพราะว่าพระเยซูทรงเห็นใจการต่อสู้ดิ้นรนของเรา พระองค์ทรงเผชิญการทดลองเช่นเดียวกับเรา "พระองค์สามารถเห็นใจในความอ่อนแอของเรา ได้ทรงถูกทดลองใจเหมือนอย่างเราทุกประกอบ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป" (ฮีบรู 4:15)
ในเมื่อพระเจ้าทรงรอคอยที่จะช่วยเราเอาชนะการทดลอง แล้วทำไมเราไม่พึ่งพระองค์มากกว่านี้ล่ะครับ พูดตามตรงก็คือ บางครั้งเราก็ไม่ต้องการให้พระองค์ช่วย เราอยากยอมแพ้การทดลอง แม้เราจะรู้ว่ามันผิด แต่ ณ เวลานั้น เราคิดว่าเรารู้ดีกว่าพระเจ้าว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเรา
ส่วนเวลาอื่น เราอายที่จะขอพระเจ้าทรงช่วยเรา เพราะว่าเรายอมแพ้การทดลองชนิดเดียวกันนั้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่พระเจ้าไม่ทรงหงุดหงิด เบื่อหน่าย หรือรำคาญเมื่อเรากลับมาหาพระองค์อยู่เรื่อย ๆ พระคัมภีร์กล่าวว่า "ให้เราทั้งหลายจงมีใจกล้าเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณ เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะได้รับพระคุณที่จะช่วยเราในขณะที่ต้องการ" (ฮีบรู 4:16)
ความรักของพระเจ้านั้นดำรงอยู่นิรันดร์ และความอดทนของพระองค์ดำรงตลอดไป ถ้าคุณจำเป็นต้องร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าวันละสองร้อยครั้งเพื่อจะชนะการทดลองชนิดหนึ่ง พระองค์ก็จะยังทรงกระตือรือร้นที่จะประทานพระเมตตาและพระคุณ ดังนั้นจงมาหาด้วยใจกล้าขอกำลังจากพระองค์เพื่อทำสิ่งที่ถูกต้อง แล้วคาดหวังว่าพระองค์จะประทานให้
การทดลองทำให้เราพึ่งพระเจ้าอยู่เสมอ รากแข็งแรงขึ้นเมื่อลมพัดปะทะต้นไม้ฉันใดทุกครั้งที่คุณยืนหยัดสู้การทดลอง คุณก็เป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้นฉันนั้น เมื่อคุณสะดุดล้ม แน่นอนคุณจะสะดุด แต่มันจะไม่ถึงตาย แทนที่ยอมแพ้หรือยอมล้มเลิก ให้คุณเงยหน้าดูพระเจ้า คาดหวังว่าพระองค์จะทรงช่วยคุณ และระลึกถึงรางวัลที่รอคอยคุณอยู่ "เมื่อคนถูกทดลองแต่ยังเข้มแข็งต่อไป พวกเขาจะเป็นสุข หลังจากที่พวกเขาได้พิสูจน์ความเชื่อของตนแล้ว พระเจ้าจะทรงประทานบำเหน็จแก่พวกเขาเป็นชีวิตนิรันดร์ (ยากอบ 1:12 NCV)
วันที่ 26 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: การทดลองทุกครั้งเป็นโอกาสที่จะทำความดี
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "คนที่อดทนต่อการทดลองใจก็เป็นสุข เพราะเมื่อปรากฏว่าผู้นั้นทนได้แล้ว เขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิตซึ่งพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้แก่คนทั้งหลายที่รักพระองค์" ยากอบ 1:12
คำถามสำหรับการพิจารณา: ลักษณะนิสัยแบบพระคริสต์ข้อใด ที่ฉันสามารถพัฒนาขึ้นได้โดยการเอาชนะการทดลองที่ฉันพบบ่อยที่สุด
ยากอบ 1:12 (LB)
การทดลองคือครูสอนศาสนศาสตร์ของข้าพเจ้า
มาร์ติน ลูเธอร์
การทดลองทุกครั้งเป็นโอกาสที่จะทำความดี
บนเส้นทางสู่การเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ แม้แต่การทดลองก็กลายเป็นบันไดแทนที่จะเป็นหินสะดุด เมื่อคุณรู้ว่านี่เป็นโอกาสที่จะทำถูกพอ ๆ กับที่จะทำผิด การทดลองเพียงแต่ให้ทางเลือก ขณะที่การทดลองเป็นอาวุธหลักของซาตานที่จะทำลายคุณ แต่พระเจ้าต้องการใช้มันเพื่อเสริมสร้างคุณ ทุกครั้งที่คุณเลือกทำความดีแทนที่จะทำบาป คุณก็จะเติบโตขึ้นในลักษณะนิสัยของพระคริสต์
คุณต้องรู้จักลักษณะนิสัยของพระเยซูก่อนจึงจะเข้าใจเรื่องนี้ คำบรรยายอย่างย่อที่สุดตอนหนึ่งในเรื่องลักษณะนิสัยของพระองค์ คือ ผลของพระวิญญาณ "เมื่อพระวิญญาณทรงควบคุมชีวิตของเรา พระองค์จะทรงสร้างผลเหล่านี้ในเรา คือความรัก ความชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดทน ความปราณี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อมและการบังคับตน" (กาลาเทีย 5:22-23)
คุณลักษณะเก้าประการนี้คือการขยายความของมหาบัญญัติ และให้ภาพอันงดงามที่บรรยายถึงพระเยซูคริสต์ พระเยซูทรงเป็นความรัก ความชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดทน รวมทั้งผลอื่น ๆ ทั้งหมดที่สมบูรณ์แบบรวมอยู่ในคนคนเดียว การมีผลของพระวิญญาณก็คือ การเป็นเหมือนพระคริสต์
แล้วพระวิญญาณทรงผลิตผลเก้าชนิดนี้ในชีวิตของคุณอย่างไร พระองค์ทรงสร้างสิ่งเหล่านี้แบบทันทีทันใดหรือ คุณจะตื่นขึ้นมาเช้าวันหนึ่ง แล้วจู่ ๆ ก็เพียบพร้อมไปด้วยลักษณะนิสัยเหล่านี้อย่างสมบูรณ์อย่างนั้นหรือ ไม่ใช่ ผลย่อมเติบโตและสุกงอมอย่างช้า ๆ
ประโยคต่อไปนี้คือ ความจริงฝ่ายวิญญาณที่สำคัญที่สุดประโยคหนึ่งที่คุณจะได้เรียนรู้ในชีวิตนี้ คือ พระเจ้าทรงสร้างผลพระวิญญาณในชีวิตคุณ โดยการให้คุณเผชิญสถานการณ์ซึ่งพยายามล่อลวงให้คุณแสดงลักษณะที่ตรงกันข้าม การพัฒนาลักษณะนิสัยมักจะเกี่ยวข้องกับการเลือก และการทดลองก็หยิบยื่นโอกาสเช่นนั้น
ยกตัวอย่าง พระเจ้าทรงสอนเราให้รักโดยการให้คนที่ไม่น่ารักบางคนมาอยู่ใกล้เรา มันไม่ต้องใช้ลักษณะนิสัยพิเศษอะไรเลยที่จะรักคนที่น่ารักและรักคุณ พระเจ้าสอนให้เรารู้จักความชื่นชมยินดีที่แท้จริงท่ามกลางความเศร้าโศก เมื่อเราหันมาหาพระองค์ ความสุขขึ้นอยู่กับสถานการณ์ภายนอก แต่ความชื่นชมยินดีอยู่กับความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้า
พระเจ้าทรงสร้างสันติสุขแท้ภายในเรา ไม่ใช่โดยการทำสิ่งต่าง ๆ เป็นไปอย่างที่เราวางแผนไว้ แต่โดยการอนุญาตให้มีช่วงเวลาสับสนและวุ่นวาย ใคร ๆ ก็สามารถมีสันติสุขได้ขณะมองดูอาทิตย์อัศดงที่สวยงาม หรือพักผ่อนในวันหยุด แต่เราเรียนรู้สันติสุขแท้โดยการเลือกที่จะวางใจพระเจ้า ในสถานการณ์ที่เราถูกทดลองให้วิตกหรือกลัว เช่นเดียวกัน ความอดทนจะถูกพัฒนาขึ้นในสถานการณ์ที่เราถูกบังคับให้รอคอย และถูกทดลองให้โกรธหรือฉุนเฉียว
พระเจ้าทรงใช้เหตุการณ์ตรงข้ามกับผลของพระวิญญาณแต่ละอย่าง เพื่อให้เรามีโอกาสเลือก คุณไม่สามารถอ้างตนว่าเป็นคนดีถ้าคุณไม่เคยถูกทดลองให้ทำสิ่งเลวร้าย คุณไม่สามารถอ้างว่าคุณสัตย์ซื่อ ถ้าคุณไม่เคยมีโอกาสจะไม่สัตย์ซื่อ ความซื่อตรงนั้นถูกพัฒนาขึ้นโดยการเอาชนะการล่อลวงให้ไม่ซื่อสัตย์ ความถ่อมใจเพิ่มพูนเมื่อเราไม่ยอมเย่อหยิ่ง และความอดทนจะพัฒนาทุกครั้งที่คุณปฏิเสธการล่อลวงให้ยอมแพ้ ทุกครั้งที่คุณชนะการทดลองอย่างหนึ่ง คุณก็จะเป็นพระคริสต์มากขึ้น
การทดลองทำงานอย่างไร
จะเป็นประโยชน์มากถ้าเรารู้ว่าวิธีการของซาตานนั้นคาดเดาได้ทั้งหมด มันใช้กลยุทธ์เดิมและเล่ห์เหลี่ยมเก่า ๆ มาตั้งแต่การทรงสร้าง การทดลองทุกอย่างมีรูปแบบเดียวกันหมด นั่นคือเหตุผลที่เปาโลกล่าวว่า "เรารู้ทันกลอุบายต่าง ๆ ของมัน" (2 โครินธ์ 2:11 อ่านเข้าใจง่าย) เราเรียนรู้จากพระคัมภีร์ว่า การทดลองมีสี่ขั้นตอน ซึ่งซาตานใช้กับทั้งอาดัมและเอวา และกับพระเยซูด้วย
ในขั้นแรก ซาตานจะค้นหาความปรารถนาภายในของคุณ มันอาจจะเป็นความปรารถนาที่เป็นบาป เช่น ความปรารถนาที่จะแก้แค้นหรือควบคุมคนอื่น หรืออาจจะเป็นความปรารถนาที่ถูกต้องและปกติ เช่น ความปรารถนาที่จะได้รับความรัก และรู้สึกว่าตนมีค่าหรือรู้สึกสุขใจ การทดลองเริ่มต้นเมื่อซาตานเสนอ (ในความคิด) ให้คุณยอมต่อความปรารถนาชั่ว หรือให้คุณบรรลุความปรารถนาที่ถูกต้องด้วยวิธีการที่ผิด หรือในเวลาที่ผิด จงระวังทางลัดไว้เสมอ เพราะมันมักจะเป็นการทดลอง ซาตานกระซิบว่า "เจ้าสมควรจะได้มัน เจ้าควรจะได้มันเดี๋ยวนี้ มันจะตื่นเต้น… อุ่นใจ… หรือทำให้เจ้ารู้สึกดีขึ้น"
เราคิดว่าการทดลองอยู่รอบตัวเรา แต่พระเจ้าตรัสว่ามันเริ่มต้นภายในเรา ถ้าคุณไม่มีความปรารถนาภายใน การทดลองก็ไม่สามารถดึงดูดคุณได้ การทดลองเริ่มต้นในความคิดของคุณเสมอ ไม่ใช่ในสถานการณ์แวดล้อม พระเยซูตรัสว่า "เพราะว่าจากภายในมนุษย์คือ จิตใจมนุษย์มีความคิดชั่วร้าย การล่วงประเวณี การลักขโมย การฆ่าคน การผิดผัวผิดเมีย การโลภ ความอธรรม การล่อลวงเขา ราคะตัณหา อิจฉาตาร้อน การใส่ร้าย ความเย่อหยิ่ง ความบัดซบ สารพัดการชั่วนี้เกิดมาจากภายใน" (มาระโก 7:21-23) ยากอบบอกว่า มี "ความปรารถนาชั่วมากมายมหาศาลอยู่ภายในท่าน" (ยากอบ 4:1 LB)
ขั้นที่สองคือความมสงสัย ซาตานพยายามทำให้คุณสงสัยสิ่งที่พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับความบาป มันผิดจริงหรือ พระเจ้าตรัสว่าอย่าทำสิ่งนั้นจริงหรือ พระเจ้าเจตนาจะให้ข้อห้ามนี้สำหรับคนอื่นหรือเวลาอื่นไม่ใช่หรือ พระเจ้าต้องการให้ฉันมีความสุขไม่ใช่หรือ พระคัมภีร์เตือนว่า "จงระวัง อย่าให้ความคิดชั่วร้ายหรือความสงสัยทำให้คนใดในพวกท่านละทิ้งพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่" (ฮีบรู 3:12 CEV)
ขั้นที่สามคือการหลอกลวง ซาตานไม่สามารถพูดความจริงได้ และได้ชื่อว่า "พ่อของการมุสา" (ยอห์น 8:44) ทุกสิ่งที่มันบอกคุณจะไม่จริง หรือจริงเพียงครึ่งเดียว ซาตานหยิบยื่นคำมุสาของมันแทนสิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสไว้แล้วในพระวจนะของพระองค์ ซาตานกล่าวว่า "เจ้าจะไม่ตายหรอก จะฉลาดเหมือนพระเจ้า แล้วเจ้าจะหนีรอดไปได้ คนอื่นไม่มีวันรู้หรอก มันจะแก้ปัญหาให้เจ้า ยิ่งกว่านั้นใคร ๆ เขาก็ทำกันทั้งนั้น มันก็แค่บาปเล็ก ๆ" แต่บาปเล็ก ๆ ก็เหมือนกับการตั้งท้องอ่อน ๆ ในที่สุดมันก็ปรากฏออกมา
ขั้นที่สี่คือการไม่เชื่อฟัง ในที่สุดคุณจะทำสิ่งที่ครุ่นคิดในสมอง สิ่งที่เริ่มต้นเป็นความคิดจะคลอดออกมาเป็นการกระทำ คุณจะยอมแพ้สิ่งใดก็ตามที่กุมความสนใจของคุณได้ คุณเชื่อคำโกหกของซาตาน และตกหลุมพรางที่ยากอบเตือนว่า "ที่ผู้นั้นถูกยั่วยุให้ทำบาปก็เพราะขณะนั้นเขาเหินห่างออกไปจากพระเจ้า และติดกับตัณหาของตนเองต่างหาก แล้วตัณหาของเขาก็ฟักตัวขึ้น ก่อให้เกิดบาป เมื่อบาปครอบงำใจผู้นั้นเต็มที่แล้ว ก็นำไปสู่ความตาย พี่น้องที่รักเอ๋ย อย่าให้ท่านถูกหลอกได้" (ยากอบ 1:14-16 ประชานิยม)
ชนะการทดลอง
การเข้าใจว่าการทดลองทำงานอย่างไรนั้นมีประโยชน์อยู่ในตัวของมันเอง แต่ถ้าคุณจะเอาชนะการทดลอง คุณจำเป็นต้องทำตามขั้นตอนเจาะจงต่อไปนี้
ปฏิเสธคำข่มขู่ คริสเตียนหลายคนกลัวและหมดกำลังใจ เมื่อเกิดการทดลองในความคิดคือ รู้สึกผิดที่พวกเขาไม่ได้อยู่ "เหนือ" การทดลอง พวกเขารู้สึกอาย เพียงเพราะตนถูกทดลอง นี่เป็นความเข้าใจผิดในเรื่องความเป็นผู้ใหญ่ คุณจะไม่มีวันเติบโต จนไม่มีโอกาสถูกทดลอง
ในด้านหนึ่ง คุณสามารถถือว่าการทดลองนั้นเป็นคำชมเชย ซาตานไม่จำเป็นต้องทดลองคนที่ตั้งใจทำชั่วตามมันอยู่แล้ว พวกเขาเป็นของมันอยู่แล้ว การทดลองเป็นสัญลัษณ์ว่าซาตานเกลียดคุณ ไม่ใช่สัญลักษณ์ของความอ่อนแอหรือการอยู่ฝ่ายโลก มันยังเป็นเรื่องปกติของการเป็นมนุษย์ และการอยู่ในโลกที่ตกสู่ความบาป อย่าแปลกใจตกใจ หรือท้อใจเพราะสิ่งนี้ จงยอมรับความจริงว่าการทดลองเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณจะไม่มีทางหลีกเลี่ยงมันได้ทั้งหมด พระคัมภีร์กล่าวว่า "เมื่อท่านถูกทดลอง…" ไม่ใช่ ถ้าท่านถูกทดลอง เปาโลแนะนำว่า "จงระลึกว่า การทดลองที่มีถึงชีวิตของท่านนั้นไม่แตกต่างจากสิ่งที่คนอื่นประสบ" (1 โครินธ์ 10:13 NLT)
การถูกทดลองนั้นไม่ใช่ความบาป พระเยซูทรงถูกทดลอง แต่พระองค์ไม่เคยทำบาป (ฮีบรู 4:15) การทดลองจะกลายเป็นความบาปก็ต่อเมื่อคุณยอมแพ้มัน มาร์ติน ลูเธอร์กล่าวว่า "คุณไม่สามารถห้ามนกบินข้ามศีรษะคุณ แต่คุณสามารถห้ามมันไม่ให้ทำรังในผมของคุณ" คุณไม่สามารถห้ามมารไม่ให้เสนอความคิด แต่คุณสามารถเลือกที่จะไม่ครุ่นคิดหรือทำตาม
ยกตัวอย่าง คนจำนวนมากไม่รู้ความแตกต่างระหว่างเสน่ห์ทางกายหรือแรงกระตุ้นทางเพศกับราคะตัณหา สองสิ่งนี้ไม่เหมือนกัน พระเจ้าทรงสร้างเราทุกคนให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ และนั่นเป็นสิ่งดี เสน่ห์และแรงกระตุ้นเป็นการตอบสนองตามปกติเกิดขึ้นเอง ซึ่งพระเจ้าประทานมาเพื่อความงามทางร่างกาย ขณะที่ตัณหาเป็นความตั้งใจ ตัณหาคือ การเลือกในจิตใจว่าคุณจะใช้ร่างกายของคุณทำอะไร คุณสามารถสนใจหรือแม้กระทั่งถูกกระตุ้นโดยยังไม่ได้เลือกที่จะทำบาปด้วยการมีความใคร่ หลายคนโดยเฉพาะผู้ชายคริสเตียนรู้สึกผิดที่ฮอร์โมนซึ่งพระเจ้าประทานแก่เขานั้นทำงาน เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์คนหนึ่ง พวกเขาก็เหมาว่ามันเป็นตัณหา และรู้สึกอับอายและรู้สึกผิด แต่การสนใจไม่ใช่ตัณหาจนกว่าคุณจะเริ่มครุ่นคิดมัน
ที่จริง ยิ่งคุณใกล้ชิดพระเจ้ามากเท่าใด ซาตานก็ยิ่งพยายามทดลองคุณมากเท่านั้นทันทีที่คุณเป็นลูกของพระเจ้า ซาตานก็เหมือนกับตัวแสบของกลุ่มอันธพาลที่ "หมายหัวคุณ" คุณเป็นศัตรูของมัน และมันวางแผนให้คุณทำบาป
บางครั้งขณะที่คุณอธิษฐาน ซาตานจะเสนอความคิดแปลกประหลาดหรือชั่วร้ายเพียงเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจคุณและทำให้คุณอาย อย่าตกใจหรืออายเพราะสิ่งนี้ แต่จงตระหนักว่า ซาตานกลัวคำอธิษฐานของคุณ และจะพยายามทำทุกสิ่งเพื่อหยุดคำอธิษฐานแทนที่จะกล่าวโทษตัวเอง "ผมคิดเรื่องพรรค์นี้ได้ยังไง" ให้คุณถือว่ามันเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของซาตาน และกลับมาจดจ่อที่พระเจ้าทันที
รู้จักรูปแบบการทดลองที่เกิดขึ้นกับคุณ และเตรียมตัวรับมือ มีบางสถานการณ์ที่ทำให้คุณอ่อนแอต่อการทดลอง สถานการณ์บางอย่างจะทำให้คุณสะดุดแทบจะทันที ขณะที่สถานการณ์อื่น ๆ ไม่เป็นปัญหาสำหรับคุณมากนัก สถานการณ์เหล่านี้เกี่ยวข้องกับความอ่อนแอเฉพาะตัวของคุณ คุณจำเป็นต้องรู้จักสถานการณ์เหล่านี้ เพราะว่าซาตานรู้จักสิ่งเหล่านี้อย่างแน่นอน มันรู้อย่างเจาะจงว่าอะไรจะทำให้คุณล้ม มันพยายามไม่หยุดหย่อนที่จะชักนำคุณเข้าไปในสถานการณ์เหล่านั้น เปโตรเตือนว่า "จงระวังตัว มารจ้องจะตะครุบและไม่มีอะไรที่มันชอบยิ่งกว่าการจับท่านได้ขณะนอนหลับ" (1 เปโตร 5:8 Msg)
ถามตัวคุณเองว่า "เวลาไหนที่ฉันถูกทดลองมากที่สุด วันไหนของสัปดาห์ ช่วงเวลาไหนของวัน" ถามว่า "ที่ไหนที่ฉันถูกทดลองมากที่สุด ที่ทำงานหรือที่บ้าน ที่บ้านเพื่อน ที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่มของสถานที่ออกกำลังกาย ที่สนามบิน หรือที่โรงแรมนอกเมือง"
ถามว่า "เวลาไหนที่ฉันถูกทดลองมากที่สุดนั้นฉันอยู่กับใคร กับเพื่อนร่วมงาน ท่ามกลางฝูงชนแปลกหน้า หรือเมื่ออยู่คนเดียว" ถามด้วยว่า "เวลาที่ฉันถูกทดลองมากที่สุดนั้น ฉันมักจะรู้สึกอย่างไร" มันอาจจะเป็นเวลาที่คุณเหนื่อย หรือเหงา หรือเบื่อ หรือหดหู่ หรือเครียด หรือเมื่อคุณถูกทำให้เจ็บ หรือรู้สึกโกรธ หรือวิตกกังวล หรือหลังจากความสำเร็จครั้งใหญ่หรือความตื่นเต้นฝ่ายวิญญาณ
คุณควรรู้จักรูปแบบการทดลองที่เกิดขึ้นกับคุณบ่อย ๆ แล้วเตรียมตัวหลีกเลี่ยงสถานการณ์เหล่านั้นให้ไกลที่สุด พระคัมภีร์บอกเราซ้ำแล้วซ้ำอีกให้คาดหมายและเตรียมพร้อมที่จะเผชิญการทดลอง เปาโลกล่าวว่า "อย่าให้โอกาสแก่มาร" (เอเฟซัส 4:27) การวางแผนที่ฉลาดจะช่วยให้คุณถูกทดลองน้อยลง จงทำตามคำแนะนำของสุภาษิต "จงวางแผนอย่างรอบคอบในสิ่งที่คุณทำ… จงหลีกเลี่ยงความชั่วและเดินตรงไปข้างหน้า อย่าหันเหออกจากทางที่ถูกต้องแม้แต่ก้าวเดียว" (สุภาษิต 4:26-27 TEV) "คนของพระเจ้าหลีกเลี่ยงทางชั่ว และพวกเขาป้องกันตัวโดยระมัดระวังสถานที่ที่พวกเขาไป" (สุภาษิต 16:17 CEV)
ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า สวรรค์มีสายด่วนยี่สิบสี่ชั่วโมง พระเจ้าต้องการให้คุณขอความช่วยเหลือจากพระองค์เพื่อเอาชนะการทดลอง พระองค์ตรัสว่า "จงร้องทูลเราในวันทุกข์ยากลำบาก เราจะช่วยกู้เจ้า และเจ้าจะถวายพระสิริแก่เรา" (สดุดี 50:15)
ผมเรียกการอธิษฐานแบบนี้ว่าอธิษฐาน "ไมโครเวฟ" เพราะว่ามันเร็วและตรงจุด ช่วยด้วย ! ช่วยด้วย ! ช่วยด้วย ! เมื่อการทดลองจู่โจม คุณไม่มีเวลาที่จะสนทนายืดยาวกับพระเจ้า คุณได้แต่ร้องออกมา ดาวิด ดาเนียล เปโตร เปาโล และคนอื่น ๆ อีกนับล้านได้อธิษฐานฉับพลันแบบนี้ เพื่อขอความช่วยเหลือเมื่อประสบปัญหา
พระคัมภีร์รับประกันว่า พระเจ้าจะทรงฟังคำร้องขอความช่วยเหลือของเรา เพราะว่าพระเยซูทรงเห็นใจการต่อสู้ดิ้นรนของเรา พระองค์ทรงเผชิญการทดลองเช่นเดียวกับเรา "พระองค์สามารถเห็นใจในความอ่อนแอของเรา ได้ทรงถูกทดลองใจเหมือนอย่างเราทุกประกอบ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป" (ฮีบรู 4:15)
ในเมื่อพระเจ้าทรงรอคอยที่จะช่วยเราเอาชนะการทดลอง แล้วทำไมเราไม่พึ่งพระองค์มากกว่านี้ล่ะครับ พูดตามตรงก็คือ บางครั้งเราก็ไม่ต้องการให้พระองค์ช่วย เราอยากยอมแพ้การทดลอง แม้เราจะรู้ว่ามันผิด แต่ ณ เวลานั้น เราคิดว่าเรารู้ดีกว่าพระเจ้าว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเรา
ส่วนเวลาอื่น เราอายที่จะขอพระเจ้าทรงช่วยเรา เพราะว่าเรายอมแพ้การทดลองชนิดเดียวกันนั้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่พระเจ้าไม่ทรงหงุดหงิด เบื่อหน่าย หรือรำคาญเมื่อเรากลับมาหาพระองค์อยู่เรื่อย ๆ พระคัมภีร์กล่าวว่า "ให้เราทั้งหลายจงมีใจกล้าเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณ เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะได้รับพระคุณที่จะช่วยเราในขณะที่ต้องการ" (ฮีบรู 4:16)
ความรักของพระเจ้านั้นดำรงอยู่นิรันดร์ และความอดทนของพระองค์ดำรงตลอดไป ถ้าคุณจำเป็นต้องร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าวันละสองร้อยครั้งเพื่อจะชนะการทดลองชนิดหนึ่ง พระองค์ก็จะยังทรงกระตือรือร้นที่จะประทานพระเมตตาและพระคุณ ดังนั้นจงมาหาด้วยใจกล้าขอกำลังจากพระองค์เพื่อทำสิ่งที่ถูกต้อง แล้วคาดหวังว่าพระองค์จะประทานให้
การทดลองทำให้เราพึ่งพระเจ้าอยู่เสมอ รากแข็งแรงขึ้นเมื่อลมพัดปะทะต้นไม้ฉันใดทุกครั้งที่คุณยืนหยัดสู้การทดลอง คุณก็เป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้นฉันนั้น เมื่อคุณสะดุดล้ม แน่นอนคุณจะสะดุด แต่มันจะไม่ถึงตาย แทนที่ยอมแพ้หรือยอมล้มเลิก ให้คุณเงยหน้าดูพระเจ้า คาดหวังว่าพระองค์จะทรงช่วยคุณ และระลึกถึงรางวัลที่รอคอยคุณอยู่ "เมื่อคนถูกทดลองแต่ยังเข้มแข็งต่อไป พวกเขาจะเป็นสุข หลังจากที่พวกเขาได้พิสูจน์ความเชื่อของตนแล้ว พระเจ้าจะทรงประทานบำเหน็จแก่พวกเขาเป็นชีวิตนิรันดร์ (ยากอบ 1:12 NCV)
วันที่ 26 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: การทดลองทุกครั้งเป็นโอกาสที่จะทำความดี
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "คนที่อดทนต่อการทดลองใจก็เป็นสุข เพราะเมื่อปรากฏว่าผู้นั้นทนได้แล้ว เขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิตซึ่งพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้แก่คนทั้งหลายที่รักพระองค์" ยากอบ 1:12
คำถามสำหรับการพิจารณา: ลักษณะนิสัยแบบพระคริสต์ข้อใด ที่ฉันสามารถพัฒนาขึ้นได้โดยการเอาชนะการทดลองที่ฉันพบบ่อยที่สุด
วันที่ 25 เปลี่ยนแปลงโดยปัญหา
เพราะว่าการทุกข์ยากเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเรา ซึ่งเรารับอยู่ประเดี๋ยวเดียวนั้นจะทำให้เรามีศักดิ์ศรีถาวรมากหาที่เปรียบมิได้
2 โครินธ์ 4:17
ไฟแห่งการทนทุกข์ก่อให้เกิดทองคำแห่งความชอบธรรม
มาดาม กูยง
พระเจ้าทรงมีพระประสงค์เบื้องหลังปัญหาทุกอย่าง
พระองค์ทรงใช้สถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อพัฒนาลักษณะนิสัยของเรา ที่จริงแล้วพระองค์ทรงใช้สถานการณ์สร้างเราให้เป็นเหมือนพระเยซู มากยิ่งกว่าใช้การอ่านพระคัมภีร์ของเราเสียด้วยซ้ำ เหตุผลนั้นชัดเจน คุณเผชิญกับสถานการณ์ต่าง ๆ วันละยี่สิบสี่ชั่วโมง
พระเยซูได้ทรงเตือนเราว่า ในโลกนี้เราจะประสบปัญหา (ยอห์น 16:33) ไม่มีใครมีภูมิต้านทานความเจ็บปวด หรือได้รับเกราะป้องกันจากความทุกข์ และไม่มีใครแล่นฉิวไปบนเส้นทางชีวิตโดยปราศจากปัญหา ชีวิตคือปัญหาที่ต่อเนื่อง ทุกครั้งที่คุณแก้ปัญหาหนึ่งได้ อีกปัญหาก็คอยจะเข้ามาแทนที่ ไม่ใช่จะเป็นปัญหาใหญ่โตไปเสียทุกครั้ง แต่ทุกปัญหามีความสำคัญในกระบวนการการเติบโตที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้สำหรับคุณ เปโตรยืนยันให้เราแน่ใจว่าปัญหาเป็นเรื่องธรรมดา ท่านกล่าวว่า "อย่าตกใจหรือประหลาดใจเมื่อท่านต้องผ่านความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสในวันข้างหน้า เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดปกติ ซึ่งจะเกิดขึ้นกับท่าน" (1 เปโตร 4:12 LB)
พระเจ้าทรงใช้ปัญหาเพื่อดึงคุณมาใกล้ชิดกับพระองค์มากขึ้น พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าทรงอยู่กับคนที่จิตใจฟกช้ำและพระองค์ทรงช่วยกู้ผู้ที่จิตใจปวดร้าว" (สดุดี 34:18 NLT) ประสบการณ์การนมัสการที่ลึกที่สุดและใกล้ชิดที่สุดของคุณมักจะเกิดในวันที่มืดมนที่สุด เมื่อหัวใจคุณชอกช้ำ เมื่อคุณรู้สึกถูกทอดทิ้ง เมื่อคุณหมดหนทาง เมื่อความเจ็บปวดท่วมท้น และคุณหันมาหาพระเจ้าเพียงผู้เดียว ระหว่างความทุกข์ยากนี้เองที่เราเรียนรู้การอธิษฐานที่แท้จริงออกจากใจ และเปิดเผยต่อพระเจ้ามากที่สุด เมื่อเราเจ็บปวดเราจะไม่มีกำลังที่จะอธิษฐานอย่างผิวเผิน
โจนี่ เอริกสัน ทาดาให้ข้อสังเกตว่า "เมื่อชีวิตเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ เราก็ดำเนินไปด้วยความรู้เกี่ยวกับพระเยซู ด้วยการเลียนแบบพระองค์ อ้างคำพูดของพระองค์ และพูดถึงพระองค์ แต่ในทุกข์ยากเท่านั้นที่เรารู้จักพระเยซู" ในความทุกข์ยาก เราจะเรียนรู้หลายสิ่งอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า ซึ่งเราไม่สามารถเรียนได้จากวิธีอื่น
พระเจ้าสามารถช่วยให้โยเซฟไม่ต้องเข้าคุกได้ (ปฐมกาล 39:20-22) ช่วยให้ดาเนียลไม่ต้องเข้าไปอยู่ในถ้ำสิงโตได้ (ดาเนียล 6:16-23) ช่วยเยเรมีย์ไม่ให้ถูกโยนลงไปในบ่อโคลน (เยเรมีย์ 38:6) ช่วยเปาโลไม่ให้ต้องเรือแตกสามครั้ง (2 โครินธ์ 11:25) และช่วยชายหนุ่มฮีบรูสามคนจากการถูกโยนเข้าไปในเตาไฟ (ดาเนียล 3:1-26) แต่พระองค์มิได้ทำเช่นนั้นพระองค์ทรงปล่อยให้ปัญหาเหล่านั้นเกิดขึ้น และผลก็คือคนเหล่านี้ทุกคนถูกดึงเข้ามาใกล้พระองค์มากยิ่งขึ้น
ปัญหาต่าง ๆ จะบังคับให้เรามองที่พระเจ้า และพึ่งพาพระองค์แทนที่จะพึ่งตัวเราเองเปาโลเป็นพยานถึงผลประโยชน์ข้อนี้ว่า "ที่จริงเราคาดว่า เราถึงที่ตายแล้ว แต่ที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อมิให้เราไว้ใจในตนเอง แต่ไว้ใจในพระเจ้า ผู้ทรงเป็นผู้เดียวที่สามารถช่วยเราให้รอด" (2 โครินธ์ 1:9 LB) คุณจะไม่มีวันรู้ว่าพระเจ้าเท่านั้นคือ ทุกสิ่งที่คุณต้องการ จนกว่าคุณจะไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากพระเจ้า
ไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใดก็ตาม ไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้นโดยที่พระเจ้าไม่ได้อนุญาต ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกของพระเจ้านั้น พระบิดาทรงกลั่นกรองแล้ว และพระองค์ประสงค์ที่จะใช้มันเพื่อผลดี แม้ว่าเวลานั้นซาตานและคนอื่นอาจหวังร้าย
เพราะว่าพระเจ้าทรงควบคุมทุกอย่างโดยอำนาจสิทธิ์ขาดของพระองค์ อุบัติเหตุจึงเป็นเพียงเหตุการณ์ที่อยู่ในแผนการอันดีซึ่งพระเจ้าทรงวางไว้สำหรับคุณ เพราะว่าทุกวันในชีวิตคุณถูกบันทึกไว้ในปฏิทินของพระเจ้าตั้งแต่ก่อนคุณเกิด (สดุดี 139:16) ทุกสิ่งที่เกิดกับคุณมีความสำคัญฝ่ายวิญญาณทั้งหมดทุกสิ่ง โรม 8:28-29 อธิบายเหตุผลของเรื่องนี้ "เรารู้ว่าพระเจ้าทรงทำให้ทุกสิ่งร่วมกันทำงานเพื่อผลดีของคนเหล่านั้นที่รักพระเจ้าและได้รับการทรงเรียกตามประสงค์ของพระองค์ เพราะพระเจ้าได้ทรงรู้จักคนของพระองค์ล่วงหน้าแล้ว และพระองค์ได้ทรงเลือกพวกเขาให้เป็นเหมือนพระบุตรของพระองค์" (โรม 8:28-29 NLT)
นี่เป็นพระคัมภีร์ตอนที่ถูกอ้างผิดและเข้าใจผิดมากที่สุดตอนหนึ่ง พระธรรมข้อนี้ไม่ได้บอกว่า "พระเจ้าทรงทำให้ทุกสิ่งเป็นไปอย่างที่ผมต้องการ" แน่นอน นั่นก็ไม่จริงและก็ไม่ได้บอกว่า "พระเจ้าทรงทำให้ทุกสิ่งลงเอยอย่างมีความสุขในโลกนี้" นั่นก็ไม่จริงด้วยโลกนี้มีการจบแบบไม่มีความสุขมากมาย
เราอยู่ในโลกที่ล้มลงในความบาป สวรรค์เท่านั้นที่ทุกสิ่งเป็นไปอย่างที่พระเจ้าประสงค์อย่างสมบูรณ์ นั่นคือเหตุผลที่เราต้องอธิษฐานว่า "ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ในสวรรค์เป็นอย่างไร ก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก" (มัทธิว 6:10) เพื่อจะเข้าใจโรม 8:28-29 อย่างครบถ้วน เราต้องพิจารณาทีละวลี
"เรารู้ว่า" ความหวังของเราในเวลายากลำบาก ไม่ได้ตั้งอยู่บนความคิดแง่บวกความคิดเพ้อฝัน หรือการมองโลกในแง่ดีตามปกติ แต่มันเป็นความแน่นอนที่ตั้งอยู่บนความจริงที่ว่า พระเจ้าทรงควบคุมจักรวาลของเราอย่างสมบูรณ์ และพระองค์ทรงรักเรา
"พระเจ้าทำให้" มีผู้วางแผนที่ยิ่งใหญ่ทรงอยู่เบื้องหลังทุกสิ่ง ชีวิตของคุณไม่ใช่ผลของความบังเอิญ ชะตากรรม หรือโชค มีแผนแม่บท ประวัติศาสตร์คือ เรื่องราวของพระเจ้า พระเจ้าทรงควบคุมเหตุการณ์ เราผิดพลาด แต่พระเจ้าไม่เคยทำผิด พระเจ้าไม่สามารถทำผิด เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า
"ทุกสิ่ง" แผนการของพระเจ้าสำหรับชีวิตคุณครอบคุมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ รวมทั้งความผิดพลาด ความบาป และความเจ็บปวดของคุณ มันยังรวมถึงความเจ็บป่วย หนี้สิน ภัยพิบัติ การหย่าร้าง และความตายของคนที่รัก พระเจ้าสามารถนำสิ่งที่ดีออกจากสิ่งชั่วร้ายที่สุด พระองค์ก็ทรงทำเช่นนั้นที่กลโกธา
"ร่วมกันทำงาน" ไม่ใช่แยกกันหรือต่างฝ่ายต่างทำ เหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตคุณทำงานร่วมกันในแผนการของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ไม่ได้แยกกัน แต่เป็นส่วนประกอบที่พึ่งพากัน ในกระบวนการทำให้คุณเป็นเหมือนพระคริสต์ เวลาอบขนมเค็ก คุณต้องใช้แป้ง เกลือ ไข่สด น้ำตาล และน้ำมัน ถ้ากินแยกกัน แต่ละอย่างก็รสชาติแย่ หรืออาจจะขม แต่เมื่ออบด้วยกัน มันกลายเป็นของอร่อย ถ้าคุณมอบประสบการณ์ที่รสชาติแย่ และไม่มีความสุขทั้งหมดของคุณแด่พระเจ้า พระองค์จะทรงผสมมันเข้าด้วยกันเพื่อผลดี
"เพื่อผลดี" ตรงนี้ไม่ได้บอกว่า ทุกสิ่งในชีวิตดี สิ่งที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ในโลกนี้ชั่วและไม่ดี แต่พระเจ้าทรงชำนาญในการนำสิ่งดีออกมาจากสิ่งเหล่านี้ ในลำดับพงศ์อย่างเป็นทางการของพระเยซู (มัทธิว 1:1-16) มีรายชื่อผู้หญิงสี่คนคือ ทามาร์ ราหับ รูธ และบัทเชบา ทามาร์ล่อลวงพ่อสามีของนางเพื่อจะตั้งครรภ์ ราหับเป็นหญิงโสเภณี รูธไม่เป็นชาวยิวด้วยซ้ำและทำผิดกฏบัญญัติโดยแต่งงานกับชายชาวยิว บัทเชบาล่วงประเวณีกับดาวิด ซึ่งส่งผลให้เกิดการฆาตกรรมสามีของนาง คนเหล่านี้ไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียงดีเลิศแน่แต่พระเจ้าทรงให้สิ่งดีเกิดจากสิ่งร้าย และพระเยซูเสด็จมาทางเชื้อสายของพวกเขา พระประสงค์ของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่าปัญหา ความเจ็บปวด และแม้แต่ความบาปของเรา
"ของคนเหล่านั้นที่รักพระเจ้า และได้รับการทรงเรียก" พระสัญญานี้มีไว้สำหรับลูกของพระเจ้าเท่านั้น ไม่ได้มีไว้สำหรับทุกคน ทุกสิ่งจะก่อให้เกิดผลร้ายแก่คนเหล่านั้นที่ใช้ชีวิตเป็นศัตรูกับพระเจ้า และยืนกรานที่จะทำตามใจตนเอง
"ตามพระประสงค์ของพระองค์" พระประสงค์นั้นคืออะไร ก็คือที่เราจะ "กลายเป็นเหมือนพระบุตรของพระองค์" ทุกสิ่งที่พระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้นในชีวิตของคุณนั้นก็ได้รับอนุญาตเพื่อวัตถุประสงค์ข้อนี้
สร้างลักษณะนิสัยที่เหมือนพระคริสต์
พวกเราเป็นเหมือนเพชรพลอย ซึ่งถูกกะเทาะด้วยค้อนและสิ่วแห่งความทุกข์ยากถ้าค้อนเล็ก ๆ ของช่างเจียรไนไม่แข็งพอที่จะเคาะมุมแหลมของเราออกไป พระเจ้าก็จะใช้ค้อนใหญ่ และถ้าเราดื้อรั้นจริง ๆ พระองค์จะทรงใช้ค้อนปอนด์ พระองค์จะทรงใช้ทุกสิ่งที่จำเป็น
ปัญหาทุกอย่างเป็นโอกาสที่จะสร้างลักษณะนิสัย และยิ่งมันยากเพียงไร มันก็ยิ่งมีศักยภาพในการสร้างกำลังฝ่ายวิญญาณ และพลังทางศีลธรรม เปาโลกล่าวว่า "เรารู้ว่าปัญหาเหล่านี้ทำให้เกิดความอดทน และความอดทนก่อให้เกิดลักษณะนิสัย" (โรม 5:3-4 NCV) สิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกนั้นไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในคุณ สถานการณ์ต่าง ๆ ที่คุณเผชิญนั้นจะอยู่ชั่วคราว แต่ลักษณะนิสัยของคุณจะคงอยู่ตลอดไป
พระคัมภีร์มักจะเปรียบเทียบความทุกข์ยากกับไฟถลุงของช่างโลหะ ซึ่งเผาไหม้สิ่งไม่บริสุทธิ์ออกไป เปโตรกล่าวว่า "จุดประสงค์ของความทุกข์ยากเหล่านี้ก็คือจะพิสูจน์ดูว่าท่านมีศรัทธาจริงใจเพียงใด แม้แต่ทองซึ่งจะถูกทำลายได้ก็ยังต้องใช้ไฟลอง ความศรัทธาของท่านประเสริฐกว่าทองคำมากนัก" (1 เปโตร 1:7ก ประชานิยม) มีคนถามช่างเงินคนหนึ่งว่า "คุณรู้ได้อย่างไรว่าเงินบริสุทธิ์" เขาตอบว่า "เมื่อผมเห็นเงาสะท้อนจากเงินนั้น" เมื่อคุณถูกหลอมให้บริสุทธิ์ด้วยความทุกข์ยาก คนอื่นก็จะสามารถเห็นภาพสะท้อนของพระเยซูในคุณ ยากอบกล่าวว่า "ภายใต้ความกดดัน ชีวิตแห่งความเชื่อของคุณจะถูกบังคับให้เปิดออก และแสดงเนื้อแท้ของมัน" (ยากอบ 1:3 Msg)
เนื่องจากพระเจ้าประสงค์ที่จะทำให้คุณเป็นเหมือนพระเยซู พระองค์จึงทรงนำคุณผ่านประสบการณ์เดียวกันกับที่พระเยซูทรงเผชิญ นั่นรวมถึงความโดดเดี่ยว การทดลอง ความเครียด คำตำหนิ การถูกปฏิเสธ และปัญหาอื่น ๆ อีกหลายอย่าง พระคัมภีร์กล่าวว่า พระเยซู "ทรงเรียนรู้ที่จะนอบน้อมยอมเชื่อฟัง โดยความทุกข์ลำบากที่พระองค์ได้ทรงทน" และ "พระเจ้าทรงทำให้พระเยซูเพียบพร้อมทุกประการ" ผ่านทางการทนทุกข์เหล่านั้น (ฮีบรู 5:8-9) ในเมื่อพระเจ้าอนุญาตให้พระบุตรของพระองค์เผชิญสิ่งเหล่านี้แล้ว ทำไมพระองค์จะต้องให้ยกเว้นที่เราจะไม่ต้องเผชิญ เปาโลกล่าวว่า "เราผ่านสิ่งเดียวกันกับที่พระคริสต์ได้ทรงผ่าน ถ้าเราผ่านช่วงเวลาลำบากร่วมกับพระองค์ เราก็จะผ่านช่วงเวลาดี ๆ ร่วมกับพระองค์ด้วยอย่างแน่นอน" (โรม 8:17 Msg)
ตอบสนองต่อปัญหาอย่างที่พระเยซูจะทรงกระทำ
ปัญหาไม่ได้ก่อให้เกิดสิ่งที่พระเจ้าประสงค์โดยอัตโนมัติ แทนที่จะดีขึ้น หลายคนกลับรู้สึกขมขื่นและไม่เติบโต คุณจำเป็นต้องตอบสนองแบบที่พระเยซูจะทรงตอบสนอง
จำไว้ว่าแผนการของพระเจ้านั้นดี พระเจ้าทรงทราบสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณ และต้องการให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุด พระเจ้าตรัสบอกเยเรมีย์ว่า "แผนการซึ่งเรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนการเพื่อทำให้เจริญ ไม่ใช่ทำร้ายเจ้า แผนการที่จะให้ความหวังและอนาคตแก่เจ้า" (เยเรมีย์ 29:11 NIV) โยเซฟเข้าใจความจริงนี้เมื่อท่านบอกพวกพี่ชายของท่าน ซึ่งเคยขายท่านให้เป็นทาสว่า "พวกท่านคิดร้ายต่อเราก็จริงแต่ฝ่ายพระเจ้าดำริให้เกิดผลดี" (ปฐมกาล 50:20) เฮเซคียาห์สะท้อนความรู้สึกเดียวกัน เกี่ยวกับอาการป่วยที่คุกคามชีวิตของท่านว่า "ที่ข้าพระองค์ลำบากถึงเพียงนี้ก็เพื่อประโยชน์ของข้าพระองค์เอง" (อิสยาห์ 38:17 CEV) เมื่อไรก็ตามที่พระเจ้าทรงปฏิเสธคำทูลขอให้บรรเทาปัญหาของคุณ ก็ขอให้จำไว้ว่า "พระเจ้าทรงทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา เพื่อฝึกเราให้ดำเนินชีวิตอย่างดีที่สุดตามความบริสุทธิ์ของพระเจ้า" (ฮีบรู 12:10ข Msg)
เป็นสิ่งสำคัญที่คุณยังคงจดจ่อที่แผนการของพระเจ้า ไม่ใช่ความเจ็บปวดหรือปัญหาของคุณนั้น เพราะนั่นคือวิธีที่พระเยซูทรงทนต่อความเจ็บปวดบนไม้กางเขน และเราได้รับการวิงวอนให้ทำตามอย่างพระองค์ "จงจับตามองดูที่พระเยซูผู้ทรงเป็นผู้นำและสั่งสอนของเรา พระองค์ทรงเต็มพระทัยที่จะสิ้นพระชนม์อย่างน่าอายบนไม้กางเขน เพราะพระองค์ทรงทราบว่าพระองค์จะชื่นชมยินดีในภายหลัง" (ฮีบรู 12:2 LB) คอรี่ เทน บูม ผู้เคยทนทุกข์ในค่ายกักกันมรณะของนาซีอธิบายฤทธิ์เดชของการจดจ่อว่า "ถ้าคุณมองดูโลกคุณจะเศร้าหมอง ถ้าคุณมองภายใน คุณจะหดหู่ แต่ถ้าคุณมองพระคริสต์ คุณจะรู้สึกสงบ" การจดจ่อของคุณจะกำหนดความรู้สึกของคุณ เคล็บลับของความอดทนคือ การระลึกว่าความเจ็บปวดของคุณนั้นชั่วคราว แต่บำเหน็จของคุณจะเป็นนิรันดร์ โมเสสอดทนต่อชีวิตที่เต็มด้วยปัญหา "เพราะท่านรอคอยบำเหน็จภายภาคหน้าของท่าน" (ฮีบรู 11:26 NIV) เปาโลอดทนต่อความยากลำบากในลักษณะเดียวกัน ท่านกล่าวว่า "การทุกข์ยากเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเราซึ่งเรารับอยู่ประเดี๋ยวเดียวนั้นจะทำให้เรามีศักดิ์ศรีถาวรมาก หาที่เปรียบมิได้" (2 โครินธ์ 4:17)
อย่ายอมแพ้ต่อการคิดสั้น ๆ แต่จงมุ่งความสนใจที่ผลบั้นปลายต่อไป "ถ้าเรามีส่วนในความทุกข์ทรมานของพระเยซูคริสต์ เราก็จะมีส่วนในพระสิริของพระองค์ด้วย… ความทุกข์ยากที่เราได้รับเวลานี้เทียบไม่ได้เลยกับพระสิริพระเจ้าจะสำแดงในภายหน้า (โรม 8:17-18)
ชื่นชมยินดีและขอบพระคุณ พระคัมภีร์บอกให้เรา "ขอบพระคุณในทุกกรณีเพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าซึ่งปรากฏอยู่ในพระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย" (1 เธสะโลนิกา 5:18) เราจะทำสิ่งนี้ได้อย่างไร สังเกตว่า พระเจ้าทรงบอกเราให้ขอบพระคุณ "ในทุกกรณี" ไม่ใช่ "สำหรับทุกกรณี" พระเจ้ามิได้คาดหวังว่า คุณจะขอบพระคุณสำหรับความชั่ว สำหรับบาป สำหรับความทุกข์ยาก หรือสำหรับผลสืบเนื่องที่เจ็บปวดในโลกนี้ แต่พระเจ้าต้องการให้คุณขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์จะทรงใช้ปัญหาของคุณทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ
พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา" (ฟีลิปปี 4:4) แต่ไม่ได้กล่าวว่า จงชื่นชมยินดีเพราะความเจ็บปวดของคุณ" แบบนั้นเป็นพวกมาโซคิสต์ (อาการทางจิตที่มีความสุขเมื่อถูกทำร้าย) คุณชื่นชมยินดี "ในองค์พระผู้เป็นเจ้า" ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณสามารถชื่นชมยินดีในความรัก ความห่วงใย สติปัญญา ฤทธิ์เดช และความสัตย์ซื่อของพระเจ้า พระเยซูตรัสว่า "ในวันนั้นท่านทั้งหลายจงชื่นชม และเต้นโลดด้วยความยินดี เพราะดูเถิดบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์ (ลูกา 6:23)
เรายังสามารถชื่นชมยินดีเพราะรู้ว่าพระเจ้าทรงเผชิญความเจ็บปวดนี้ร่วมกับเรา เราไม่ได้รับใช้พระเจ้าที่อยู่ห่างไกลและเพิกเฉย และได้แต่ยืนปลอดภัยอยู่ข้างสนาม คอยตะโกนให้กำลังใจ ตรงกันข้าม พระองค์ทรงเข้าร่วมในการทนทุกข์ของเรา พระเยซูทรงทำเช่นนี้โดยการเสด็จมาเป็นมนุษย์ และเวลานี้พระวิญญาณของพระองค์ก็ทรงทำสิ่งนี้ภายในเรา พระเจ้าจะไม่ละทิ้งเราไว้ตามลำพัง
จงอย่ายอมแพ้ จงอดทนและบากบั่น พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงให้กระบวนการนี้ดำเนินต่อไป จนกว่าความอดทนของท่านจะพัฒนาอย่างเต็มที่ และท่านจะพบว่าท่านได้กลายเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยที่โตเป็นผู้ใหญ่…ไม่มีจุดอ่อนเลย" (ยากอบ 1:3-4 Ph)
การสร้างลักษณะนิสัยเป็นกระบวนการที่ช้า เมื่อไรก็ตามที่เราพยายามเลี่ยงหรือหนีความยากลำบากในชีวิต ก็เท่ากับว่าเราลัดวงจรของกระบวนการนี้ และถ่วงเวลาการเติบโตซึ่งจริง ๆ แล้วจะนำไปสู่ความเจ็บปวดที่เลวร้ายกว่าในที่สุดคือ ความเจ็บปวดที่ไม่คุ้มค่าซึ่งมาควบคู่กับการปฏิเสธและการหลีกเลี่ยง เมื่อคุณเข้าใจผลสืบเนื่องนิรันดร์ของการสร้างลักษณะนิสัย คุณจะอธิษฐานว่า "ขอทรงปลอบใจข้าพระองค์" (โปรดช่วยข้าพระองค์ให้รู้สึกดี) น้อยลง และอธิษฐานว่า "ขอทรงเปลี่ยนข้าพระองค์" (โปรดใช้สิ่งนี้เพื่อทำให้ข้าพระองค์เหมือนพระองค์) มากขึ้น
คุณรู้ว่าตนเองกำลังเป็นผู้ใหญ่ เมื่อคุณเริ่มเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่ในสถานการณ์ชีวิตที่เป็นความบังเอิญ ยุ่งเหยิง และดูเหมือนไร้เหตุผล
ถ้าเวลานี้คุณกำลังพบกันปัญหา อย่าถามว่า "ทำไมต้องเป็นข้าพระองค์" แต่ให้ถามว่า "พระองค์ต้องการให้ข้าพระองค์เรียนรู้อะไร" แล้วจงวางใจพระเจ้า และทำสิ่งที่ถูกต้องต่อไป "ท่านจำเป็นต้องอดทนอยู่ในแผนการของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้" (ฮีบรู 10:36 Msg) อย่ายอมแพ้ แต่จงเติบโต
วันที่ 25 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: มีพระประสงค์อยู่เบื้องหลังปัญหาทุกอย่าง
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "เรารู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์" โรม 8:28
คำถามสำหรับการพิจารณา: ปัญหาอะไรในชีวิตฉันที่ได้ทำให้ฉันเติบโตมากที่สุด
2 โครินธ์ 4:17
ไฟแห่งการทนทุกข์ก่อให้เกิดทองคำแห่งความชอบธรรม
มาดาม กูยง
พระเจ้าทรงมีพระประสงค์เบื้องหลังปัญหาทุกอย่าง
พระองค์ทรงใช้สถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อพัฒนาลักษณะนิสัยของเรา ที่จริงแล้วพระองค์ทรงใช้สถานการณ์สร้างเราให้เป็นเหมือนพระเยซู มากยิ่งกว่าใช้การอ่านพระคัมภีร์ของเราเสียด้วยซ้ำ เหตุผลนั้นชัดเจน คุณเผชิญกับสถานการณ์ต่าง ๆ วันละยี่สิบสี่ชั่วโมง
พระเยซูได้ทรงเตือนเราว่า ในโลกนี้เราจะประสบปัญหา (ยอห์น 16:33) ไม่มีใครมีภูมิต้านทานความเจ็บปวด หรือได้รับเกราะป้องกันจากความทุกข์ และไม่มีใครแล่นฉิวไปบนเส้นทางชีวิตโดยปราศจากปัญหา ชีวิตคือปัญหาที่ต่อเนื่อง ทุกครั้งที่คุณแก้ปัญหาหนึ่งได้ อีกปัญหาก็คอยจะเข้ามาแทนที่ ไม่ใช่จะเป็นปัญหาใหญ่โตไปเสียทุกครั้ง แต่ทุกปัญหามีความสำคัญในกระบวนการการเติบโตที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้สำหรับคุณ เปโตรยืนยันให้เราแน่ใจว่าปัญหาเป็นเรื่องธรรมดา ท่านกล่าวว่า "อย่าตกใจหรือประหลาดใจเมื่อท่านต้องผ่านความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสในวันข้างหน้า เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดปกติ ซึ่งจะเกิดขึ้นกับท่าน" (1 เปโตร 4:12 LB)
พระเจ้าทรงใช้ปัญหาเพื่อดึงคุณมาใกล้ชิดกับพระองค์มากขึ้น พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าทรงอยู่กับคนที่จิตใจฟกช้ำและพระองค์ทรงช่วยกู้ผู้ที่จิตใจปวดร้าว" (สดุดี 34:18 NLT) ประสบการณ์การนมัสการที่ลึกที่สุดและใกล้ชิดที่สุดของคุณมักจะเกิดในวันที่มืดมนที่สุด เมื่อหัวใจคุณชอกช้ำ เมื่อคุณรู้สึกถูกทอดทิ้ง เมื่อคุณหมดหนทาง เมื่อความเจ็บปวดท่วมท้น และคุณหันมาหาพระเจ้าเพียงผู้เดียว ระหว่างความทุกข์ยากนี้เองที่เราเรียนรู้การอธิษฐานที่แท้จริงออกจากใจ และเปิดเผยต่อพระเจ้ามากที่สุด เมื่อเราเจ็บปวดเราจะไม่มีกำลังที่จะอธิษฐานอย่างผิวเผิน
โจนี่ เอริกสัน ทาดาให้ข้อสังเกตว่า "เมื่อชีวิตเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ เราก็ดำเนินไปด้วยความรู้เกี่ยวกับพระเยซู ด้วยการเลียนแบบพระองค์ อ้างคำพูดของพระองค์ และพูดถึงพระองค์ แต่ในทุกข์ยากเท่านั้นที่เรารู้จักพระเยซู" ในความทุกข์ยาก เราจะเรียนรู้หลายสิ่งอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า ซึ่งเราไม่สามารถเรียนได้จากวิธีอื่น
พระเจ้าสามารถช่วยให้โยเซฟไม่ต้องเข้าคุกได้ (ปฐมกาล 39:20-22) ช่วยให้ดาเนียลไม่ต้องเข้าไปอยู่ในถ้ำสิงโตได้ (ดาเนียล 6:16-23) ช่วยเยเรมีย์ไม่ให้ถูกโยนลงไปในบ่อโคลน (เยเรมีย์ 38:6) ช่วยเปาโลไม่ให้ต้องเรือแตกสามครั้ง (2 โครินธ์ 11:25) และช่วยชายหนุ่มฮีบรูสามคนจากการถูกโยนเข้าไปในเตาไฟ (ดาเนียล 3:1-26) แต่พระองค์มิได้ทำเช่นนั้นพระองค์ทรงปล่อยให้ปัญหาเหล่านั้นเกิดขึ้น และผลก็คือคนเหล่านี้ทุกคนถูกดึงเข้ามาใกล้พระองค์มากยิ่งขึ้น
ปัญหาต่าง ๆ จะบังคับให้เรามองที่พระเจ้า และพึ่งพาพระองค์แทนที่จะพึ่งตัวเราเองเปาโลเป็นพยานถึงผลประโยชน์ข้อนี้ว่า "ที่จริงเราคาดว่า เราถึงที่ตายแล้ว แต่ที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อมิให้เราไว้ใจในตนเอง แต่ไว้ใจในพระเจ้า ผู้ทรงเป็นผู้เดียวที่สามารถช่วยเราให้รอด" (2 โครินธ์ 1:9 LB) คุณจะไม่มีวันรู้ว่าพระเจ้าเท่านั้นคือ ทุกสิ่งที่คุณต้องการ จนกว่าคุณจะไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากพระเจ้า
ไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใดก็ตาม ไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้นโดยที่พระเจ้าไม่ได้อนุญาต ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกของพระเจ้านั้น พระบิดาทรงกลั่นกรองแล้ว และพระองค์ประสงค์ที่จะใช้มันเพื่อผลดี แม้ว่าเวลานั้นซาตานและคนอื่นอาจหวังร้าย
เพราะว่าพระเจ้าทรงควบคุมทุกอย่างโดยอำนาจสิทธิ์ขาดของพระองค์ อุบัติเหตุจึงเป็นเพียงเหตุการณ์ที่อยู่ในแผนการอันดีซึ่งพระเจ้าทรงวางไว้สำหรับคุณ เพราะว่าทุกวันในชีวิตคุณถูกบันทึกไว้ในปฏิทินของพระเจ้าตั้งแต่ก่อนคุณเกิด (สดุดี 139:16) ทุกสิ่งที่เกิดกับคุณมีความสำคัญฝ่ายวิญญาณทั้งหมดทุกสิ่ง โรม 8:28-29 อธิบายเหตุผลของเรื่องนี้ "เรารู้ว่าพระเจ้าทรงทำให้ทุกสิ่งร่วมกันทำงานเพื่อผลดีของคนเหล่านั้นที่รักพระเจ้าและได้รับการทรงเรียกตามประสงค์ของพระองค์ เพราะพระเจ้าได้ทรงรู้จักคนของพระองค์ล่วงหน้าแล้ว และพระองค์ได้ทรงเลือกพวกเขาให้เป็นเหมือนพระบุตรของพระองค์" (โรม 8:28-29 NLT)
นี่เป็นพระคัมภีร์ตอนที่ถูกอ้างผิดและเข้าใจผิดมากที่สุดตอนหนึ่ง พระธรรมข้อนี้ไม่ได้บอกว่า "พระเจ้าทรงทำให้ทุกสิ่งเป็นไปอย่างที่ผมต้องการ" แน่นอน นั่นก็ไม่จริงและก็ไม่ได้บอกว่า "พระเจ้าทรงทำให้ทุกสิ่งลงเอยอย่างมีความสุขในโลกนี้" นั่นก็ไม่จริงด้วยโลกนี้มีการจบแบบไม่มีความสุขมากมาย
เราอยู่ในโลกที่ล้มลงในความบาป สวรรค์เท่านั้นที่ทุกสิ่งเป็นไปอย่างที่พระเจ้าประสงค์อย่างสมบูรณ์ นั่นคือเหตุผลที่เราต้องอธิษฐานว่า "ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ในสวรรค์เป็นอย่างไร ก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก" (มัทธิว 6:10) เพื่อจะเข้าใจโรม 8:28-29 อย่างครบถ้วน เราต้องพิจารณาทีละวลี
"เรารู้ว่า" ความหวังของเราในเวลายากลำบาก ไม่ได้ตั้งอยู่บนความคิดแง่บวกความคิดเพ้อฝัน หรือการมองโลกในแง่ดีตามปกติ แต่มันเป็นความแน่นอนที่ตั้งอยู่บนความจริงที่ว่า พระเจ้าทรงควบคุมจักรวาลของเราอย่างสมบูรณ์ และพระองค์ทรงรักเรา
"พระเจ้าทำให้" มีผู้วางแผนที่ยิ่งใหญ่ทรงอยู่เบื้องหลังทุกสิ่ง ชีวิตของคุณไม่ใช่ผลของความบังเอิญ ชะตากรรม หรือโชค มีแผนแม่บท ประวัติศาสตร์คือ เรื่องราวของพระเจ้า พระเจ้าทรงควบคุมเหตุการณ์ เราผิดพลาด แต่พระเจ้าไม่เคยทำผิด พระเจ้าไม่สามารถทำผิด เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า
"ทุกสิ่ง" แผนการของพระเจ้าสำหรับชีวิตคุณครอบคุมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ รวมทั้งความผิดพลาด ความบาป และความเจ็บปวดของคุณ มันยังรวมถึงความเจ็บป่วย หนี้สิน ภัยพิบัติ การหย่าร้าง และความตายของคนที่รัก พระเจ้าสามารถนำสิ่งที่ดีออกจากสิ่งชั่วร้ายที่สุด พระองค์ก็ทรงทำเช่นนั้นที่กลโกธา
"ร่วมกันทำงาน" ไม่ใช่แยกกันหรือต่างฝ่ายต่างทำ เหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตคุณทำงานร่วมกันในแผนการของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ไม่ได้แยกกัน แต่เป็นส่วนประกอบที่พึ่งพากัน ในกระบวนการทำให้คุณเป็นเหมือนพระคริสต์ เวลาอบขนมเค็ก คุณต้องใช้แป้ง เกลือ ไข่สด น้ำตาล และน้ำมัน ถ้ากินแยกกัน แต่ละอย่างก็รสชาติแย่ หรืออาจจะขม แต่เมื่ออบด้วยกัน มันกลายเป็นของอร่อย ถ้าคุณมอบประสบการณ์ที่รสชาติแย่ และไม่มีความสุขทั้งหมดของคุณแด่พระเจ้า พระองค์จะทรงผสมมันเข้าด้วยกันเพื่อผลดี
"เพื่อผลดี" ตรงนี้ไม่ได้บอกว่า ทุกสิ่งในชีวิตดี สิ่งที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ในโลกนี้ชั่วและไม่ดี แต่พระเจ้าทรงชำนาญในการนำสิ่งดีออกมาจากสิ่งเหล่านี้ ในลำดับพงศ์อย่างเป็นทางการของพระเยซู (มัทธิว 1:1-16) มีรายชื่อผู้หญิงสี่คนคือ ทามาร์ ราหับ รูธ และบัทเชบา ทามาร์ล่อลวงพ่อสามีของนางเพื่อจะตั้งครรภ์ ราหับเป็นหญิงโสเภณี รูธไม่เป็นชาวยิวด้วยซ้ำและทำผิดกฏบัญญัติโดยแต่งงานกับชายชาวยิว บัทเชบาล่วงประเวณีกับดาวิด ซึ่งส่งผลให้เกิดการฆาตกรรมสามีของนาง คนเหล่านี้ไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียงดีเลิศแน่แต่พระเจ้าทรงให้สิ่งดีเกิดจากสิ่งร้าย และพระเยซูเสด็จมาทางเชื้อสายของพวกเขา พระประสงค์ของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่าปัญหา ความเจ็บปวด และแม้แต่ความบาปของเรา
"ของคนเหล่านั้นที่รักพระเจ้า และได้รับการทรงเรียก" พระสัญญานี้มีไว้สำหรับลูกของพระเจ้าเท่านั้น ไม่ได้มีไว้สำหรับทุกคน ทุกสิ่งจะก่อให้เกิดผลร้ายแก่คนเหล่านั้นที่ใช้ชีวิตเป็นศัตรูกับพระเจ้า และยืนกรานที่จะทำตามใจตนเอง
"ตามพระประสงค์ของพระองค์" พระประสงค์นั้นคืออะไร ก็คือที่เราจะ "กลายเป็นเหมือนพระบุตรของพระองค์" ทุกสิ่งที่พระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้นในชีวิตของคุณนั้นก็ได้รับอนุญาตเพื่อวัตถุประสงค์ข้อนี้
สร้างลักษณะนิสัยที่เหมือนพระคริสต์
พวกเราเป็นเหมือนเพชรพลอย ซึ่งถูกกะเทาะด้วยค้อนและสิ่วแห่งความทุกข์ยากถ้าค้อนเล็ก ๆ ของช่างเจียรไนไม่แข็งพอที่จะเคาะมุมแหลมของเราออกไป พระเจ้าก็จะใช้ค้อนใหญ่ และถ้าเราดื้อรั้นจริง ๆ พระองค์จะทรงใช้ค้อนปอนด์ พระองค์จะทรงใช้ทุกสิ่งที่จำเป็น
ปัญหาทุกอย่างเป็นโอกาสที่จะสร้างลักษณะนิสัย และยิ่งมันยากเพียงไร มันก็ยิ่งมีศักยภาพในการสร้างกำลังฝ่ายวิญญาณ และพลังทางศีลธรรม เปาโลกล่าวว่า "เรารู้ว่าปัญหาเหล่านี้ทำให้เกิดความอดทน และความอดทนก่อให้เกิดลักษณะนิสัย" (โรม 5:3-4 NCV) สิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกนั้นไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในคุณ สถานการณ์ต่าง ๆ ที่คุณเผชิญนั้นจะอยู่ชั่วคราว แต่ลักษณะนิสัยของคุณจะคงอยู่ตลอดไป
พระคัมภีร์มักจะเปรียบเทียบความทุกข์ยากกับไฟถลุงของช่างโลหะ ซึ่งเผาไหม้สิ่งไม่บริสุทธิ์ออกไป เปโตรกล่าวว่า "จุดประสงค์ของความทุกข์ยากเหล่านี้ก็คือจะพิสูจน์ดูว่าท่านมีศรัทธาจริงใจเพียงใด แม้แต่ทองซึ่งจะถูกทำลายได้ก็ยังต้องใช้ไฟลอง ความศรัทธาของท่านประเสริฐกว่าทองคำมากนัก" (1 เปโตร 1:7ก ประชานิยม) มีคนถามช่างเงินคนหนึ่งว่า "คุณรู้ได้อย่างไรว่าเงินบริสุทธิ์" เขาตอบว่า "เมื่อผมเห็นเงาสะท้อนจากเงินนั้น" เมื่อคุณถูกหลอมให้บริสุทธิ์ด้วยความทุกข์ยาก คนอื่นก็จะสามารถเห็นภาพสะท้อนของพระเยซูในคุณ ยากอบกล่าวว่า "ภายใต้ความกดดัน ชีวิตแห่งความเชื่อของคุณจะถูกบังคับให้เปิดออก และแสดงเนื้อแท้ของมัน" (ยากอบ 1:3 Msg)
เนื่องจากพระเจ้าประสงค์ที่จะทำให้คุณเป็นเหมือนพระเยซู พระองค์จึงทรงนำคุณผ่านประสบการณ์เดียวกันกับที่พระเยซูทรงเผชิญ นั่นรวมถึงความโดดเดี่ยว การทดลอง ความเครียด คำตำหนิ การถูกปฏิเสธ และปัญหาอื่น ๆ อีกหลายอย่าง พระคัมภีร์กล่าวว่า พระเยซู "ทรงเรียนรู้ที่จะนอบน้อมยอมเชื่อฟัง โดยความทุกข์ลำบากที่พระองค์ได้ทรงทน" และ "พระเจ้าทรงทำให้พระเยซูเพียบพร้อมทุกประการ" ผ่านทางการทนทุกข์เหล่านั้น (ฮีบรู 5:8-9) ในเมื่อพระเจ้าอนุญาตให้พระบุตรของพระองค์เผชิญสิ่งเหล่านี้แล้ว ทำไมพระองค์จะต้องให้ยกเว้นที่เราจะไม่ต้องเผชิญ เปาโลกล่าวว่า "เราผ่านสิ่งเดียวกันกับที่พระคริสต์ได้ทรงผ่าน ถ้าเราผ่านช่วงเวลาลำบากร่วมกับพระองค์ เราก็จะผ่านช่วงเวลาดี ๆ ร่วมกับพระองค์ด้วยอย่างแน่นอน" (โรม 8:17 Msg)
ตอบสนองต่อปัญหาอย่างที่พระเยซูจะทรงกระทำ
ปัญหาไม่ได้ก่อให้เกิดสิ่งที่พระเจ้าประสงค์โดยอัตโนมัติ แทนที่จะดีขึ้น หลายคนกลับรู้สึกขมขื่นและไม่เติบโต คุณจำเป็นต้องตอบสนองแบบที่พระเยซูจะทรงตอบสนอง
จำไว้ว่าแผนการของพระเจ้านั้นดี พระเจ้าทรงทราบสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณ และต้องการให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุด พระเจ้าตรัสบอกเยเรมีย์ว่า "แผนการซึ่งเรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนการเพื่อทำให้เจริญ ไม่ใช่ทำร้ายเจ้า แผนการที่จะให้ความหวังและอนาคตแก่เจ้า" (เยเรมีย์ 29:11 NIV) โยเซฟเข้าใจความจริงนี้เมื่อท่านบอกพวกพี่ชายของท่าน ซึ่งเคยขายท่านให้เป็นทาสว่า "พวกท่านคิดร้ายต่อเราก็จริงแต่ฝ่ายพระเจ้าดำริให้เกิดผลดี" (ปฐมกาล 50:20) เฮเซคียาห์สะท้อนความรู้สึกเดียวกัน เกี่ยวกับอาการป่วยที่คุกคามชีวิตของท่านว่า "ที่ข้าพระองค์ลำบากถึงเพียงนี้ก็เพื่อประโยชน์ของข้าพระองค์เอง" (อิสยาห์ 38:17 CEV) เมื่อไรก็ตามที่พระเจ้าทรงปฏิเสธคำทูลขอให้บรรเทาปัญหาของคุณ ก็ขอให้จำไว้ว่า "พระเจ้าทรงทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา เพื่อฝึกเราให้ดำเนินชีวิตอย่างดีที่สุดตามความบริสุทธิ์ของพระเจ้า" (ฮีบรู 12:10ข Msg)
เป็นสิ่งสำคัญที่คุณยังคงจดจ่อที่แผนการของพระเจ้า ไม่ใช่ความเจ็บปวดหรือปัญหาของคุณนั้น เพราะนั่นคือวิธีที่พระเยซูทรงทนต่อความเจ็บปวดบนไม้กางเขน และเราได้รับการวิงวอนให้ทำตามอย่างพระองค์ "จงจับตามองดูที่พระเยซูผู้ทรงเป็นผู้นำและสั่งสอนของเรา พระองค์ทรงเต็มพระทัยที่จะสิ้นพระชนม์อย่างน่าอายบนไม้กางเขน เพราะพระองค์ทรงทราบว่าพระองค์จะชื่นชมยินดีในภายหลัง" (ฮีบรู 12:2 LB) คอรี่ เทน บูม ผู้เคยทนทุกข์ในค่ายกักกันมรณะของนาซีอธิบายฤทธิ์เดชของการจดจ่อว่า "ถ้าคุณมองดูโลกคุณจะเศร้าหมอง ถ้าคุณมองภายใน คุณจะหดหู่ แต่ถ้าคุณมองพระคริสต์ คุณจะรู้สึกสงบ" การจดจ่อของคุณจะกำหนดความรู้สึกของคุณ เคล็บลับของความอดทนคือ การระลึกว่าความเจ็บปวดของคุณนั้นชั่วคราว แต่บำเหน็จของคุณจะเป็นนิรันดร์ โมเสสอดทนต่อชีวิตที่เต็มด้วยปัญหา "เพราะท่านรอคอยบำเหน็จภายภาคหน้าของท่าน" (ฮีบรู 11:26 NIV) เปาโลอดทนต่อความยากลำบากในลักษณะเดียวกัน ท่านกล่าวว่า "การทุกข์ยากเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเราซึ่งเรารับอยู่ประเดี๋ยวเดียวนั้นจะทำให้เรามีศักดิ์ศรีถาวรมาก หาที่เปรียบมิได้" (2 โครินธ์ 4:17)
อย่ายอมแพ้ต่อการคิดสั้น ๆ แต่จงมุ่งความสนใจที่ผลบั้นปลายต่อไป "ถ้าเรามีส่วนในความทุกข์ทรมานของพระเยซูคริสต์ เราก็จะมีส่วนในพระสิริของพระองค์ด้วย… ความทุกข์ยากที่เราได้รับเวลานี้เทียบไม่ได้เลยกับพระสิริพระเจ้าจะสำแดงในภายหน้า (โรม 8:17-18)
ชื่นชมยินดีและขอบพระคุณ พระคัมภีร์บอกให้เรา "ขอบพระคุณในทุกกรณีเพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าซึ่งปรากฏอยู่ในพระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย" (1 เธสะโลนิกา 5:18) เราจะทำสิ่งนี้ได้อย่างไร สังเกตว่า พระเจ้าทรงบอกเราให้ขอบพระคุณ "ในทุกกรณี" ไม่ใช่ "สำหรับทุกกรณี" พระเจ้ามิได้คาดหวังว่า คุณจะขอบพระคุณสำหรับความชั่ว สำหรับบาป สำหรับความทุกข์ยาก หรือสำหรับผลสืบเนื่องที่เจ็บปวดในโลกนี้ แต่พระเจ้าต้องการให้คุณขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์จะทรงใช้ปัญหาของคุณทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ
พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา" (ฟีลิปปี 4:4) แต่ไม่ได้กล่าวว่า จงชื่นชมยินดีเพราะความเจ็บปวดของคุณ" แบบนั้นเป็นพวกมาโซคิสต์ (อาการทางจิตที่มีความสุขเมื่อถูกทำร้าย) คุณชื่นชมยินดี "ในองค์พระผู้เป็นเจ้า" ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณสามารถชื่นชมยินดีในความรัก ความห่วงใย สติปัญญา ฤทธิ์เดช และความสัตย์ซื่อของพระเจ้า พระเยซูตรัสว่า "ในวันนั้นท่านทั้งหลายจงชื่นชม และเต้นโลดด้วยความยินดี เพราะดูเถิดบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์ (ลูกา 6:23)
เรายังสามารถชื่นชมยินดีเพราะรู้ว่าพระเจ้าทรงเผชิญความเจ็บปวดนี้ร่วมกับเรา เราไม่ได้รับใช้พระเจ้าที่อยู่ห่างไกลและเพิกเฉย และได้แต่ยืนปลอดภัยอยู่ข้างสนาม คอยตะโกนให้กำลังใจ ตรงกันข้าม พระองค์ทรงเข้าร่วมในการทนทุกข์ของเรา พระเยซูทรงทำเช่นนี้โดยการเสด็จมาเป็นมนุษย์ และเวลานี้พระวิญญาณของพระองค์ก็ทรงทำสิ่งนี้ภายในเรา พระเจ้าจะไม่ละทิ้งเราไว้ตามลำพัง
จงอย่ายอมแพ้ จงอดทนและบากบั่น พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงให้กระบวนการนี้ดำเนินต่อไป จนกว่าความอดทนของท่านจะพัฒนาอย่างเต็มที่ และท่านจะพบว่าท่านได้กลายเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยที่โตเป็นผู้ใหญ่…ไม่มีจุดอ่อนเลย" (ยากอบ 1:3-4 Ph)
การสร้างลักษณะนิสัยเป็นกระบวนการที่ช้า เมื่อไรก็ตามที่เราพยายามเลี่ยงหรือหนีความยากลำบากในชีวิต ก็เท่ากับว่าเราลัดวงจรของกระบวนการนี้ และถ่วงเวลาการเติบโตซึ่งจริง ๆ แล้วจะนำไปสู่ความเจ็บปวดที่เลวร้ายกว่าในที่สุดคือ ความเจ็บปวดที่ไม่คุ้มค่าซึ่งมาควบคู่กับการปฏิเสธและการหลีกเลี่ยง เมื่อคุณเข้าใจผลสืบเนื่องนิรันดร์ของการสร้างลักษณะนิสัย คุณจะอธิษฐานว่า "ขอทรงปลอบใจข้าพระองค์" (โปรดช่วยข้าพระองค์ให้รู้สึกดี) น้อยลง และอธิษฐานว่า "ขอทรงเปลี่ยนข้าพระองค์" (โปรดใช้สิ่งนี้เพื่อทำให้ข้าพระองค์เหมือนพระองค์) มากขึ้น
คุณรู้ว่าตนเองกำลังเป็นผู้ใหญ่ เมื่อคุณเริ่มเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่ในสถานการณ์ชีวิตที่เป็นความบังเอิญ ยุ่งเหยิง และดูเหมือนไร้เหตุผล
ถ้าเวลานี้คุณกำลังพบกันปัญหา อย่าถามว่า "ทำไมต้องเป็นข้าพระองค์" แต่ให้ถามว่า "พระองค์ต้องการให้ข้าพระองค์เรียนรู้อะไร" แล้วจงวางใจพระเจ้า และทำสิ่งที่ถูกต้องต่อไป "ท่านจำเป็นต้องอดทนอยู่ในแผนการของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้" (ฮีบรู 10:36 Msg) อย่ายอมแพ้ แต่จงเติบโต
วันที่ 25 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: มีพระประสงค์อยู่เบื้องหลังปัญหาทุกอย่าง
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "เรารู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์" โรม 8:28
คำถามสำหรับการพิจารณา: ปัญหาอะไรในชีวิตฉันที่ได้ทำให้ฉันเติบโตมากที่สุด
วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
วันที่ 24 เปลี่ยนแปลงโดยความจริง
มนุษย์มิได้ดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียว แต่ดำรงชีวิตด้วยพระโอวาททุกถ้อยคำของพระเจ้า
มัทธิว 4:4 (ประชานิยม)
พระโอวาทที่เปี่ยมไปด้วยพระกรุณาธิคุณของพระองค์ ซึ่งสามารถกระทำให้ท่านเจริญขึ้น และจะประทานพรต่าง ๆ ซึ่งพระองค์ย่อมประทานแก่ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาในพระองค์
กิจกรรม 20:32 (ประชานิยม)
ความจริงจะเปลี่ยนแปลงเรา
การเติบโตฝ่ายวิญญาณคือกระบวนการแทนที่คำโกรธด้วยความจริง พระเยซูทรงอธิษฐานว่า "ขอทรงโปรดชำระเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง" (ยอห์น 17:17) การชำระให้บริสุทธิ์ต้องอาศัยการเปิดเผยจากพระเจ้า พระวิญญาณของพระเจ้าทรงใช้พระวจนะของพระเจ้าเพื่อทำให้เราเป็นเหมือนพระบุตรของพระเจ้า ถ้าจะเป็นเหมือนพระเยซู เราก็ต้องเติมชีวิตของเราให้เต็มล้มด้วยพระวจนะของพระองค์ พระคัมภีร์กล่าวว่า โดยทางพระวจนะ เราจะ "พรักพร้อมที่จะทำการดีทุกอย่าง" ซึ่งพระเจ้าประสงค์จะมอบหมายให้เราทำ (2 ทิโมธี 3:17)
พระวจนะของพระเจ้าไม่เหมือนคำพูดอื่นใด พระวจนะมีชีวิต (ฮีบรู 4:12, กิจการ 7:38, 1 เปโตร 1:23) พระเยซูตรัสว่า "ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้นเป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต" (ยอห์น 6:63) เมื่อพระเจ้าตรัส สิ่งต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไป ทุกสิ่งรอบตัวคุณคือ ทุกสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น ดำรงอยู่เพราะ "พระเจ้าตรัส" พระองค์ตรัสให้ทุกสิ่งเกิดขึ้น ถ้าปราศจากพระวจนะของพระเจ้า คุณจะไม่มีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ ยากอบกล่าวว่า "พระเจ้าได้ทรงตั้งพระทัยที่จะประทานชีวิตแก่เราโดยทางพระวจนะแห่งความจริง เพื่อเราจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ในบรรดาสรรพสิ่งทั้งสิ้นที่ทรงสร้าง" (ยากอบ 1:18 NCV)
พระคัมภีร์ไม่ได้เป็นแค่หนังสือแนะนำหลักข้อเชื่อ พระวจนะของพระเจ้าให้ชีวิต สร้างความเชื่อ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้มารกลัว ทำให้เกิดการอัศจรรย์ รักษาบาดแผล สร้างลักษณะนิสัย เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ มอบความยินดี ชนะควายากลำบาก พิชิตการทดลอง จุดประกายความหวัง ปลดปล่อยฤทธิ์เดช ชำระความคิดของเรา ทำให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้น และรับประกันอนาคตของเราชั่วนิรันดร์ เราไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากพระวจนะของพระเจ้า อย่ามองข้ามคุณค่าของพระคัมภีร์ คุณควรถือว่า พระคัมภีร์สำคัญต่อชีวิตคุณเหมือนกับอาหาร โยบ กล่าวว่า "ข้าพระองค์ตีราคาพระวจนะแห่งพระโอษฐ์ของพระองค์สูงกว่าอาหารประจำวันของข้าพระองค์" (โยบ 23:12 NIV)
พระวจนะเป็นอาหารบำรุงเลี้ยงจิตวิญญาณที่คุณต้องรับประทาน เพื่อจะทำให้วัตถุประสงค์ของคุณสำเร็จ พระคัมภีร์ได้ชื่อว่าน้ำนม อาหาร อาหารแข็ง และของหวานสำหรับเรา (1 เปโตร 2:2, มัทธิว 4:4, โครินธ์ 3:2, สดุดี 119:103) อาหารสี่ประเภทนี้คือรายการอาหารของพระวิญญาณ เพื่อให้เกิดพละกำลังและการเติบโตฝ่ายวิญญาณ เปโตรแนะนำเราว่า "จงปราถนาน้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ เพื่อโดยน้ำนมนั้นจะทำให้ท่านทั้งหลายเจริญขึ้นสู่ความรอด" (1 เปโตร 2:2)
ยึดมั่นอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า
เวลานี้มีพระคัมภีร์ได้รับการตีพิมพ์มากยิ่งกว่าที่เคยมีมา แต่พระคัมภีร์ที่วางอยู่บนหิ้งเฉย ๆ นั้นไร้ค่า ผู้เชื่อรับล้านถูกคุกคามด้วยโรคกลัวอ้วนฝ่ายวิญญาณ (โรคทางจิตที่ผู้ป่วยมักคิดว่าตนเองอ้วนเกินไปทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นเช่นนั้น จึงพยายามกินให้น้อยที่สุด) และอดโซจนตายเพราะขาดธาตุอาหารฝ่ายวิญญาณ ถ้าจะเป็นสาวกที่แข็งแรงของพระเยซู การกินพระวจนะของพระเจ้าต้องเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคุณ พระเยซูทรงเรียกการทำเช่นนี้ว่า "ยึดมั่น" พระองค์ตรัสว่า "ถ้าพวกท่านยึดมั่นในคำสอนของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราอย่างแท้จริง" (ยอห์น 8:31 2002) ในการดำเนินชีวิตวันต่อวัน การยึดมั่นในพระวจนะของพระเจ้าครอบคุมถึงกิจกรรมสามอย่าง
ผมต้องยอมรับสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์ พระคัมภีร์ต้องเป็นมาตรฐานสิทธิ์ขาดในชีวิตของผม เป็นเข็มทิศที่ผมอาศัยนำทาง ที่ปรึกษาที่ผมฟังเพื่อจะตัดสินใจอย่างฉลาดและเป็นมาตรวัดที่ผมใช้ประเมินทุกสิ่ง พระคัมภีร์ต้องเป็นความเห็นอันดับแรก และคำชี้ขาดสุดท้ายในชีวิตของผม
ปัญหาหลายอย่างของเราเกิดขึ้นเพราะเราตัดสินใจโดยยึดถือสิทธิอำนาจที่พึ่งพาไม่ได้เช่น วัฒนธรรม (ใคร ๆ เขาก็ทำ) ประเพณี (เราทำอย่างนี้มาตลอด) เหตุผล (มันดูสมเหตุสมผลนะ) หรืออารมณ์ (ก็มันรู้สึกดี) ทั้งสี่อย่างนี้มีข้อบกพร่องเพราะความบาป สิ่งที่เราต้องการคือมาตรฐานที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งจะไม่นำเราไปผิดทิศ พระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่ตอบสนองความจำเป็นข้อนี้ ซาโลมอนเตือนเราว่า "พระวจนะทุกคำของพระเจ้านั้นไร้ที่ติ" (สุภาษิต 30:5 NIV) และเปาโลอธิบายว่า "พระคัมภีร์ทุกตอนเป็นคำของพระเจ้า ทุกข้อเป็นประโยชน์ในการสั่งสอนและช่วยเหลือผู้คนและแสดงให้พวกเขารู้ว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไร" (2 ทิโมธี 3:16 CEV)
ในช่วงต้นของการทำงานรับใช้ บิลลี่ แกรมแฮมต้องผ่านช่วงเวลาที่ท่านต่อสู้กับความสงสัย ในเรื่องความถูกต้องและสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์ คืนวันหนึ่งภายใต้แสงจันทร์ท่านคุกเข่าลงด้วยน้ำตา และทูลพระเจ้าว่า แม้จะมีตอนที่สับสนซึ่งท่านไม่เข้าใจ แต่จากเวลานั้นเป็นต้นไป ท่านจะวางใจในพระคัมภีร์อย่างสุดใจ ให้เป็นสิทธิอำนาจเดียวในชีวิตและการรับใช้ของท่าน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชีวิตของบิลลี่ก็ได้รับการอวยพรให้มีฤทธิ์เดชและประสิทธิภาพอย่างอัศจรรย์
เวลานี้ การตัดสินใจที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณคือ การตกลงใจในเรื่องนี้ว่าสิ่งใดจะเป็นสิทธิอำนาจสูงสุดในชีวิตของคุณ จงตัดสินใจว่า ไม่ว่าวัฒนธรรม ประเพณี เหตุผล หรือ อารมณ์จะว่าอย่างไร คุณจะเลือกพระคัมภีร์เป็นสิทธิอำนาจชี้ขาดของคุณ และเมื่อคุณจะตัดสินใจอะไรก็ตาม ให้คุณตั้งใจแน่วแน่ที่จะถามเป็นอันดับแรกว่า "พระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร" และจงตั้งใจว่าเมื่อพระเจ้าตรัสให้ทำสิ่งใดก็ตาม คุณจะวางใจพระวจนะของพระเจ้าและทำสิ่งนั้นไม่ว่ามันจะดูสมเหตุสมผลหรือไม่ และคุณจะอยากทำหรือไม่ จงรับเอาคำพูดของเปาโลเป็นคำแถลงการณ์ความเชื่อส่วนตัวของคุณคือ "ข้าพเจ้าเชื่อทุกสิ่งที่สอดคล้องด้วยกับบทบัญญัติและทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือผู้เผยพระวจนะ" (กิจการ 24:14 อมตธรรมร่วมสมัย)
ผมต้องซึมซับความจริงของพระคัมภีร์ เพียงแค่เชื่อพระคัมภีร์นั้นยังไม่พอ ผมต้องเติมพระคัมภีร์ลงไปในความคิดของผม เพื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะสามารถเปลี่ยนแปลงผมด้วยความจริงนั้น มีห้าวิธีที่จะทำสิ่งนี้ คุณสามารถ รับ อ่าน ค้นคว้า จดจำ และใคร่ครวญ
ประการแรก คุณรับพระวจนะของพระเจ้าเมื่อคุณฟังและยอมรับด้วยใจที่เปิด คำอุปมาเรื่องผู้หว่านพืชแสดงให้เห็นว่า การรับของเราคือตัวกำหนดว่า พระวจนะของพระเจ้าจะฝังรากในชีวิตเราและเกิดผลหรือไม่ พระเยซูทรงระบุท่าทีที่ไม่เปิดรับอยู่สามประการ คือ ใจที่ปิด (ดินแข็ง) ใจที่คิดผิวเผิน (ดินตื้น) และใจที่หันเห (ดินที่มีวัชพืช) แล้วพระองค์ก็ตรัสว่า "จงพิจารณาอย่างรอบคอยว่าท่านฟังอย่างไร" (ลูกา 8:18 อมตธรรมร่วมสมัย)
เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกว่า คุณไม่ได้เรียนรู้อะไรยจากคำเทศนาหรือครูสอนพระคัมภีร์ คุณควรตรวจดูท่าทีของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดูว่ามีความเย่อหยิ่งหรือไม่ เพราะพระเจ้าสามารถตรัสผ่านแม้กระทั่งครูที่น่าเบื่อที่สุดก็ได้ ถ้าเวลานั้นคุณถ่อมใจและเปิดรับ ยากอบแนะนำว่า "ด้วยท่าทีถ่อมใจ (อ่อนน้อม ประมาณตน) จงยอมรับและต้อนรับพระวจนะซึ่งทรงปลูกผัง และหยั่งรากในใจของพวกท่าน ซึ่งมีฤทธิ์อำนาจช่วยวิญญาณจิตของท่านให้รอดได้" (ยากอบ 1:21 Amp)
ประการที่สอง ตลอดช่วงเวลาส่วนใหญ่ใน 2,000 ปีแห่งประวัติศาสตร์คริสตจักรบาทหลวงเท่านั้นที่ได้อ่านพระคัมภีร์เป็นการส่วนตัว แต่เวลานี้พวกเรานับพันล้านสามารถหาพระคัมภีร์อ่านได้ แต่ถึงกระนั้น ผู้เชื่อจำนวนมากก็ยังสัตย์ซื่อต่อการอ่านหนังสือพิมพ์รายวันมากกว่าการอ่านพระคัมภีร์ ไม่ต้องสงสัยเลยที่เราไม่โต เราไม่สามารถดูโทรทัศน์สามชั่วโมง แล้วอ่านพระคัมภีร์สามนาที และคาดหวังที่จะเติบโต
หลายคนที่อ้างว่าตนเชื่อพระคัมภีร์ "ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย" นั้นยังไม่เคยอ่านตั้งแต่หน้าแรกถึงหน้าสุดท้ายเลย แต่ถ้าคุณอ่านพระคัมภีร์เพียงวันละสิบห้านาที คุณก็จะอ่านจบปีละหนึ่งเที่ยว ถ้าคุณงดดูรายการโทรทัศน์วันละหนึ่งรายการ และอ่านพระคัมภีร์แทน คุณก็จะอ่านจบทั้งเล่มปีละสองเที่ยว
การอ่านพระคัมภีร์ประจำวันจะช่วยให้คุณได้ยินพระสุระเสียงของพระเจ้า นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าตรัสสั่งบรรดากษัตริย์ของอิสราเอลให้เก็บพระวจนะของพระองค์ไว้ใกล้ตัวเสมอ "พระองค์ (กษัตริย์) จะต้องเก็บรักษาหนังสือนี้ (พระวจนะ) ไว้ใกล้พระองค์และอ่านอยู่เสมอตลอดพระชนม์ชีพ" (เฉลยธรรมบัญญัติ 17:19ก ประชานิยม) แต่อย่าเพียงเก็บไว้ใกล้ตัวจงอ่านเป็นประจำ เครื่องมือง่าย ๆ ที่มีประโยชน์คือตารางอ่านพระคัมภีร์ประจำวัน ซึ่งจะป้องกันคุณจากการอ่านสะเปะสะปะและข้ามบางตอนไป (ถ้าคุณอยากได้ตารางการอ่านส่วนตัวของผม ขอให้ดูในภาคผนวก 2)
ประการที่สาม การค้นคว้าหรือการศึกษาพระคัมภีร์ เป็นวิธีการภาคปฏิบัติอีกหนึ่งวิธีที่จะยึดมั่นในพระวจนะ ความแตกต่างระหว่่างการอ่านและการศึกษาตอนที่อ่าน และเขียนความเข้าใจของคุณลงไป คุณจะยังไม่ได้ศึกษาพระคัมภีร์จริง ๆ จนกว่าคุณจะเขียนความคิดของคุณลงบนกระดาษหรือคอมพิวเตอร์
ผมไม่มีหน้ากระดาษพอที่จะอธิบายวิธีต่าง ๆ ในการศึกษาพระคัมภีร์ แต่หนังสือที่มีประโยชน์เรื่องวิธีการศึกษาพระคัมภีร์นั้นมีอยู่หลายเล่ม รวมทั้งเล่มที่ผมเขียนเมื่อกว่ายี่สิบปีก่อน เคล็บลับของการศึกษาที่ดีคือ การเรียนรู้ที่จะถามคำถามที่ถูกต้อง แต่ละวิธีก็ใช้คำถามที่แตกต่างกันไป คุณจะค้นพบอะไรอีกมากมายถ้าคุณหยุดและถาม คำถามง่าย ๆ เช่นใคร อะไร เมื่อไร ที่ไหน ทำไม และอย่างไร พระคัมภีร์กล่าวว่า "คนที่มีความสุขแท้คือ คนเหล่านั้นที่ศึกษาพระบัญญัติอันสมบูรณ์ของพระเจ้าอย่างละเอียดถี่ถ้วนคือ พระบัญญัติซึ่งทำให้คนเป็นอิสระ และพวกเขาศึกษาเรื่อยไป พวกเขาไม่ลืมสิ่งที่พวกเขาได้ยินแต่พวกเขาเชื่อฟังสิ่งที่พระเจ้าตรัส บรรดาคนที่ทำเช่นนี้จะได้รับความสุข" (ยากอบ 1:25 NCV)
ประการที่สี่ของการยึดมั่นในพระวจนะของพระเจ้าคือโดยการจดจำ ความสามารถในการจำ เป็นของประทานที่คุณได้รับจากพระเจ้า คุณอาจจะคิดว่าคุณความจำไม่ดี แต่ความจริงคือ คุณมีความคิด ความจริง ข้อเท็จจริง และตัวเลขนับล้าน ๆ บันทึกอยู่ในสมอง คุณจำสิ่งที่สำคัญสำหรับคุณ ถ้าพระวจนะของพระเจ้าสำคัญ คุณก็จะใช้เวลาในการท่องจำข้อพระคัมภีร์
การท่องข้อพระคัมภีร์นั้นมีประโยชน์มหาศาล มันจะช่วยคุณต่อสู้การทดลอง ตัดสินใจอย่างฉลาด ลดความตึงเครียด สร้างความมั่นใจ ให้คำแนะนำที่ดี และบอกความเชื่อของคุณแก่คนอื่น (สดุดี 119:11, 49-50, 105, เยเรมีย์ 15:16, สุภาษิต 22:18, 1 เปโตร 3:15)
ความจำของคุณนั้นเปรียบเสมือนกล้ามเนื้อ ยิ่งคุณใช้มันมากเท่าไร มันก็ยิ่งแข็งแรงมากเท่านั้น และการท่องจำข้อพระคัมภีร์ก็จะง่ายขึ้น คุณอาจจะเริ่มต้นโดยการเลือกพระคัมภีร์สองสามข้อจากหนังสือเล่มนี้ที่ประทับใจคุณ และเขียนข้อเหล่านั้นลงบนบัตรที่คุณสามารถพกติดตัวไปได้ แล้วอ่านออกเสียงทบทวนตลอดวัน คุณสามารถท่องจำพระคัมภีร์ได้ทุกที่ ขณะทำงาน หรือออกกำลังกาย หรือขับรถหรือคอยเพื่อน หรือตอนเข้านอน กุญแจสามประการในการท่องจำพระคัมภีร์คือ ทบทวน ทบทวน และทบทวน พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงจดจำสิ่งที่พระคริสต์ทรงสอนและให้คำตรัสของพระองค์เสริมสร้างชีวิตของท่านและทำให้ท่านมีปัญญา" (โคโลสี 3:16ก LB)
ประการที่ห้าของการยึดมั่นในพระวจนะของพระเจ้าคือการใคร่ครวญ ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่า "การภาวนา" สำหรับหลายคน พอได้ยินคำว่าภาวนาก็นึกถึงการภาวนาสมาธิโดยการทำจิตให้ว่างเปล่าและล่องลอยไป การกระทำเช่นนั้นตรงข้ามกับการภาวนาใคร่ครวญในพระคัมภีร์ การใคร่ครวญคือการคิดอย่างจดจ่อ มันต้องใช้ความพยายามอย่างจริงจัง คุณเลือกข้อพระคัมภีร์สักข้อและคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำอีกในสมองของคุณ
ไม่มีนิสัยอื่นใดที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณได้มากกว่า และทำให้คุณเป็นเหมือนพระเยซูมากยิ่งกว่าการใคร่ครวญพระคัมภีร์ทุกวัน เมื่อเราใช้เวลาไตร่ตรองความจริงของพระเจ้า ใคร่ครวญอย่างจริงจังถึงแบบอย่างของพระคริสต์ "เรากำลังรับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระองค์ ด้วยรัศมีที่เพิ่มพูนขึ้นทุกที" (2 โครินธ์ 3:18 อมตธรรมร่วมสมัย)
ถ้าคุณอ่านพระคัมภีร์ทุกข้อที่พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับการใคร่ครวญ คุณคงประหลาดใจถึงประโยชน์มากมายที่พระองค์สัญญาไว้แก่ผู้ที่ให้เวลาใคร่ครวญพระวจนะของพระองค์ตลอดวัน เหตุผลหนึ่งที่พระเจ้าทรงเรียกดาวิดว่า "คนที่เราชอบใจ" (กิจการ 13:22) ก็เพราะดาวิดรักที่จะใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ท่านกล่าวว่า "ข้าพระองค์รักพระธรรมของพระองค์จริง ๆ เป็นคำภาวนาของข้าพระองค์วันยังค่ำ" (สดุดี 119:97) การใคร่ครวญความจริงของพระเจ้าอย่างจริงจังคือ กุญแจสู่การตอบคำอธิษฐาน และเป็นเคล็บลับสู่ชีวิตที่ประสบความสำเร็จ (ยอห์น 15:7, โยชูวา 1:8, สดุดี 1:2-3)
ผมต้องประยุกต์หลักการของพระคัมภีร์ การรับ การอ่าน การค้นคว้า การจดจำและการใคร่ครวญพระวจนะจะไร้ประโยชน์ทั้งหมด ถ้าเราไม่ได้นำสิ่งเหล่านั้นมาปฏิบัติ เราต้องเป็น "คนที่ประพฤติตามพระวจนะ" (ยากอบ 1:22) นี่คือก้าวที่ยากที่สุด เพราะว่าซาตานต่อสู้สิ่งนี้อย่างดุเดือด มันไม่สนใจว่าคุณจะศึกษาพระคัมภีร์มากแค่ไหน ตราบใดที่คุณไม่ทำอะไรกับสิ่งที่คุณเรียนรู้
เราหลอกตัวเองเมื่อเราคิดว่า แค่เราได้ยิน หรืออ่าน หรือศึกษาความจริงประการใดประการหนึ่ง มันก็เป็นส่วนหนึ่งของเราแล้ว ที่จริง คุณอาจยุ่งกับการเข้าชั้นเรียนหรือสัมมนาหรือการประชุมบรรยายพระคัมภีร์ จนคุณไม่มีเวลานำสิ่งที่คุณเรียนรู้มาปฏิบัติ คุณลืมมันขณะที่เดินทางไปเรียนวิชาถัดไป ถ้าไม่มีการปฏิบัติ การศึกษาพระคัมภีร์ทั้งหมดของเราก็ไร้ค่า พระเยซูตรัสว่า "ผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา" (มัทธิว 7:24) พระเยซูยังตรัสด้วยว่า พระพรของพระเจ้ามาจากการเชื่อฟังความจริง ไม่ใช่เพียงแต่รู้ พระเยซูตรัสว่า "เมื่อท่านรู้ดังนี้แล้วและท่านประพฤติตามท่านก็เป็นสุข" (ยอห์น 13:17)
อีกเหตุผลหนึ่งที่เราหลีกเลี่ยงการประยุกต์ใช้ส่วนตัวคือ มันอาจจะยากหรือเจ็บปวด ความจริงจะทำให้คุณเป็นไท แต่ก่อนอื่น มันอาจทำให้คุณทุกข์ใจ พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยแรงจูงใจของเรา ชี้ให้เห็นความผิดของเรา ประณามความบาปของเรา และคาดหวังให้เราเปลี่ยนแปลง เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นการประยุกต์ใช้พระวจนะของพระเจ้าจึงเป็นงานยาก นี่คือเหตุผลที่ทำให้การพูดคุยกับคนอื่นเรื่องประยุกต์ใช้ส่วนตัวเป็นสิ่งสำคัญ
ผมคงไม่อาจพูดเกินเลยเรื่องคุณค่าของการเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มย่อยที่ศึกษาอภิปรายพระคัมภีร์ เรามักจะเรียนรู้ความจริงที่เราคงไม่มีทางเรียนรู้ด้วยตนเองจากคนอื่น คนอื่นจะช่วยให้คุณเห็นความเข้าใจที่คุณมองข้าม และช่วยคุณประยุกต์ความจริงของพระเจ้าในภาคปฏิบัติ
วิธีที่ดีที่สุดในการเป็น "ผู้ประพฤติตามพระวจนะ" คือการเขียนขั้นตอนการปฏิบัติอันเป็นผลจากการอ่าน หรือการศึกษา หรือการใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้าเป็นประจำ จงฝึกนิสัยเขียนสิ่งที่คุณตั้งใจจะทำ ขั้นตอนการกระทำนี้ควรเป็นส่วนตัว (เกี่ยวกับคุณ) ปฏิบัติได้ (สิ่งที่คุณทำได้) และพิสูจน์ได้ (มีเส้นตายที่จะทำ) การประยุกต์ทุกอย่างจะเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับพระเจ้า ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคนอื่น หรือลักษณะนิสัยส่วนตัวของคุณ
ก่อนจะอ่านบทต่อไป ให้คุณใช้เวลาคิดถึงคำถามนี้ มีอะไรที่พระเจ้าบอกให้คุณทำในพระวจนะของพระองค์แล้ว แต่คุณยังไม่ได้เริ่มทำ แล้วเขียนข้อความแสดงเจตจำนงที่จะกระทำสักสองหรือสามประโยค เพื่อจะช่วยคุณกระทำตามสิ่งที่คุณรู้ คุณอาจจะบอกเพื่อนสักคนหนึ่งซึ่งสามารถช่วยดูว่าคุณได้รับผิดชอบทำตามที่ตั้งใจหรือไม่ เหมือนที่ ดี.แอล.มูดี้ได้กล่าวว่า "พระคัมภีร์ไม่ได้ประทานมาเพื่อเพิ่มความรู้ของเรา แต่เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตเรา"
วันที่ 24 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: ความจริงเปลี่ยนแปลงฉัน
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "ถ้าท่านยึดมั่นในคำสอนของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราอย่างแท้จริง และพวกท่านจะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านเป็นไท" ยอห์น 8:31-32 (2002)
คำถามสำหรับการพิจารณา: มีสิ่งใดพระเจ้าได้บอกให้ฉันทำในพระวจนะของพระองค์แล้ว แต่ฉันยังไม่ได้เริ่มลงมือทำ
มัทธิว 4:4 (ประชานิยม)
พระโอวาทที่เปี่ยมไปด้วยพระกรุณาธิคุณของพระองค์ ซึ่งสามารถกระทำให้ท่านเจริญขึ้น และจะประทานพรต่าง ๆ ซึ่งพระองค์ย่อมประทานแก่ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาในพระองค์
กิจกรรม 20:32 (ประชานิยม)
ความจริงจะเปลี่ยนแปลงเรา
การเติบโตฝ่ายวิญญาณคือกระบวนการแทนที่คำโกรธด้วยความจริง พระเยซูทรงอธิษฐานว่า "ขอทรงโปรดชำระเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง" (ยอห์น 17:17) การชำระให้บริสุทธิ์ต้องอาศัยการเปิดเผยจากพระเจ้า พระวิญญาณของพระเจ้าทรงใช้พระวจนะของพระเจ้าเพื่อทำให้เราเป็นเหมือนพระบุตรของพระเจ้า ถ้าจะเป็นเหมือนพระเยซู เราก็ต้องเติมชีวิตของเราให้เต็มล้มด้วยพระวจนะของพระองค์ พระคัมภีร์กล่าวว่า โดยทางพระวจนะ เราจะ "พรักพร้อมที่จะทำการดีทุกอย่าง" ซึ่งพระเจ้าประสงค์จะมอบหมายให้เราทำ (2 ทิโมธี 3:17)
พระวจนะของพระเจ้าไม่เหมือนคำพูดอื่นใด พระวจนะมีชีวิต (ฮีบรู 4:12, กิจการ 7:38, 1 เปโตร 1:23) พระเยซูตรัสว่า "ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้นเป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต" (ยอห์น 6:63) เมื่อพระเจ้าตรัส สิ่งต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไป ทุกสิ่งรอบตัวคุณคือ ทุกสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น ดำรงอยู่เพราะ "พระเจ้าตรัส" พระองค์ตรัสให้ทุกสิ่งเกิดขึ้น ถ้าปราศจากพระวจนะของพระเจ้า คุณจะไม่มีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ ยากอบกล่าวว่า "พระเจ้าได้ทรงตั้งพระทัยที่จะประทานชีวิตแก่เราโดยทางพระวจนะแห่งความจริง เพื่อเราจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ในบรรดาสรรพสิ่งทั้งสิ้นที่ทรงสร้าง" (ยากอบ 1:18 NCV)
พระคัมภีร์ไม่ได้เป็นแค่หนังสือแนะนำหลักข้อเชื่อ พระวจนะของพระเจ้าให้ชีวิต สร้างความเชื่อ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้มารกลัว ทำให้เกิดการอัศจรรย์ รักษาบาดแผล สร้างลักษณะนิสัย เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ มอบความยินดี ชนะควายากลำบาก พิชิตการทดลอง จุดประกายความหวัง ปลดปล่อยฤทธิ์เดช ชำระความคิดของเรา ทำให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้น และรับประกันอนาคตของเราชั่วนิรันดร์ เราไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากพระวจนะของพระเจ้า อย่ามองข้ามคุณค่าของพระคัมภีร์ คุณควรถือว่า พระคัมภีร์สำคัญต่อชีวิตคุณเหมือนกับอาหาร โยบ กล่าวว่า "ข้าพระองค์ตีราคาพระวจนะแห่งพระโอษฐ์ของพระองค์สูงกว่าอาหารประจำวันของข้าพระองค์" (โยบ 23:12 NIV)
พระวจนะเป็นอาหารบำรุงเลี้ยงจิตวิญญาณที่คุณต้องรับประทาน เพื่อจะทำให้วัตถุประสงค์ของคุณสำเร็จ พระคัมภีร์ได้ชื่อว่าน้ำนม อาหาร อาหารแข็ง และของหวานสำหรับเรา (1 เปโตร 2:2, มัทธิว 4:4, โครินธ์ 3:2, สดุดี 119:103) อาหารสี่ประเภทนี้คือรายการอาหารของพระวิญญาณ เพื่อให้เกิดพละกำลังและการเติบโตฝ่ายวิญญาณ เปโตรแนะนำเราว่า "จงปราถนาน้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ เพื่อโดยน้ำนมนั้นจะทำให้ท่านทั้งหลายเจริญขึ้นสู่ความรอด" (1 เปโตร 2:2)
ยึดมั่นอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า
เวลานี้มีพระคัมภีร์ได้รับการตีพิมพ์มากยิ่งกว่าที่เคยมีมา แต่พระคัมภีร์ที่วางอยู่บนหิ้งเฉย ๆ นั้นไร้ค่า ผู้เชื่อรับล้านถูกคุกคามด้วยโรคกลัวอ้วนฝ่ายวิญญาณ (โรคทางจิตที่ผู้ป่วยมักคิดว่าตนเองอ้วนเกินไปทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นเช่นนั้น จึงพยายามกินให้น้อยที่สุด) และอดโซจนตายเพราะขาดธาตุอาหารฝ่ายวิญญาณ ถ้าจะเป็นสาวกที่แข็งแรงของพระเยซู การกินพระวจนะของพระเจ้าต้องเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคุณ พระเยซูทรงเรียกการทำเช่นนี้ว่า "ยึดมั่น" พระองค์ตรัสว่า "ถ้าพวกท่านยึดมั่นในคำสอนของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราอย่างแท้จริง" (ยอห์น 8:31 2002) ในการดำเนินชีวิตวันต่อวัน การยึดมั่นในพระวจนะของพระเจ้าครอบคุมถึงกิจกรรมสามอย่าง
ผมต้องยอมรับสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์ พระคัมภีร์ต้องเป็นมาตรฐานสิทธิ์ขาดในชีวิตของผม เป็นเข็มทิศที่ผมอาศัยนำทาง ที่ปรึกษาที่ผมฟังเพื่อจะตัดสินใจอย่างฉลาดและเป็นมาตรวัดที่ผมใช้ประเมินทุกสิ่ง พระคัมภีร์ต้องเป็นความเห็นอันดับแรก และคำชี้ขาดสุดท้ายในชีวิตของผม
ปัญหาหลายอย่างของเราเกิดขึ้นเพราะเราตัดสินใจโดยยึดถือสิทธิอำนาจที่พึ่งพาไม่ได้เช่น วัฒนธรรม (ใคร ๆ เขาก็ทำ) ประเพณี (เราทำอย่างนี้มาตลอด) เหตุผล (มันดูสมเหตุสมผลนะ) หรืออารมณ์ (ก็มันรู้สึกดี) ทั้งสี่อย่างนี้มีข้อบกพร่องเพราะความบาป สิ่งที่เราต้องการคือมาตรฐานที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งจะไม่นำเราไปผิดทิศ พระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่ตอบสนองความจำเป็นข้อนี้ ซาโลมอนเตือนเราว่า "พระวจนะทุกคำของพระเจ้านั้นไร้ที่ติ" (สุภาษิต 30:5 NIV) และเปาโลอธิบายว่า "พระคัมภีร์ทุกตอนเป็นคำของพระเจ้า ทุกข้อเป็นประโยชน์ในการสั่งสอนและช่วยเหลือผู้คนและแสดงให้พวกเขารู้ว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไร" (2 ทิโมธี 3:16 CEV)
ในช่วงต้นของการทำงานรับใช้ บิลลี่ แกรมแฮมต้องผ่านช่วงเวลาที่ท่านต่อสู้กับความสงสัย ในเรื่องความถูกต้องและสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์ คืนวันหนึ่งภายใต้แสงจันทร์ท่านคุกเข่าลงด้วยน้ำตา และทูลพระเจ้าว่า แม้จะมีตอนที่สับสนซึ่งท่านไม่เข้าใจ แต่จากเวลานั้นเป็นต้นไป ท่านจะวางใจในพระคัมภีร์อย่างสุดใจ ให้เป็นสิทธิอำนาจเดียวในชีวิตและการรับใช้ของท่าน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชีวิตของบิลลี่ก็ได้รับการอวยพรให้มีฤทธิ์เดชและประสิทธิภาพอย่างอัศจรรย์
เวลานี้ การตัดสินใจที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณคือ การตกลงใจในเรื่องนี้ว่าสิ่งใดจะเป็นสิทธิอำนาจสูงสุดในชีวิตของคุณ จงตัดสินใจว่า ไม่ว่าวัฒนธรรม ประเพณี เหตุผล หรือ อารมณ์จะว่าอย่างไร คุณจะเลือกพระคัมภีร์เป็นสิทธิอำนาจชี้ขาดของคุณ และเมื่อคุณจะตัดสินใจอะไรก็ตาม ให้คุณตั้งใจแน่วแน่ที่จะถามเป็นอันดับแรกว่า "พระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร" และจงตั้งใจว่าเมื่อพระเจ้าตรัสให้ทำสิ่งใดก็ตาม คุณจะวางใจพระวจนะของพระเจ้าและทำสิ่งนั้นไม่ว่ามันจะดูสมเหตุสมผลหรือไม่ และคุณจะอยากทำหรือไม่ จงรับเอาคำพูดของเปาโลเป็นคำแถลงการณ์ความเชื่อส่วนตัวของคุณคือ "ข้าพเจ้าเชื่อทุกสิ่งที่สอดคล้องด้วยกับบทบัญญัติและทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือผู้เผยพระวจนะ" (กิจการ 24:14 อมตธรรมร่วมสมัย)
ผมต้องซึมซับความจริงของพระคัมภีร์ เพียงแค่เชื่อพระคัมภีร์นั้นยังไม่พอ ผมต้องเติมพระคัมภีร์ลงไปในความคิดของผม เพื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะสามารถเปลี่ยนแปลงผมด้วยความจริงนั้น มีห้าวิธีที่จะทำสิ่งนี้ คุณสามารถ รับ อ่าน ค้นคว้า จดจำ และใคร่ครวญ
ประการแรก คุณรับพระวจนะของพระเจ้าเมื่อคุณฟังและยอมรับด้วยใจที่เปิด คำอุปมาเรื่องผู้หว่านพืชแสดงให้เห็นว่า การรับของเราคือตัวกำหนดว่า พระวจนะของพระเจ้าจะฝังรากในชีวิตเราและเกิดผลหรือไม่ พระเยซูทรงระบุท่าทีที่ไม่เปิดรับอยู่สามประการ คือ ใจที่ปิด (ดินแข็ง) ใจที่คิดผิวเผิน (ดินตื้น) และใจที่หันเห (ดินที่มีวัชพืช) แล้วพระองค์ก็ตรัสว่า "จงพิจารณาอย่างรอบคอยว่าท่านฟังอย่างไร" (ลูกา 8:18 อมตธรรมร่วมสมัย)
เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกว่า คุณไม่ได้เรียนรู้อะไรยจากคำเทศนาหรือครูสอนพระคัมภีร์ คุณควรตรวจดูท่าทีของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดูว่ามีความเย่อหยิ่งหรือไม่ เพราะพระเจ้าสามารถตรัสผ่านแม้กระทั่งครูที่น่าเบื่อที่สุดก็ได้ ถ้าเวลานั้นคุณถ่อมใจและเปิดรับ ยากอบแนะนำว่า "ด้วยท่าทีถ่อมใจ (อ่อนน้อม ประมาณตน) จงยอมรับและต้อนรับพระวจนะซึ่งทรงปลูกผัง และหยั่งรากในใจของพวกท่าน ซึ่งมีฤทธิ์อำนาจช่วยวิญญาณจิตของท่านให้รอดได้" (ยากอบ 1:21 Amp)
ประการที่สอง ตลอดช่วงเวลาส่วนใหญ่ใน 2,000 ปีแห่งประวัติศาสตร์คริสตจักรบาทหลวงเท่านั้นที่ได้อ่านพระคัมภีร์เป็นการส่วนตัว แต่เวลานี้พวกเรานับพันล้านสามารถหาพระคัมภีร์อ่านได้ แต่ถึงกระนั้น ผู้เชื่อจำนวนมากก็ยังสัตย์ซื่อต่อการอ่านหนังสือพิมพ์รายวันมากกว่าการอ่านพระคัมภีร์ ไม่ต้องสงสัยเลยที่เราไม่โต เราไม่สามารถดูโทรทัศน์สามชั่วโมง แล้วอ่านพระคัมภีร์สามนาที และคาดหวังที่จะเติบโต
หลายคนที่อ้างว่าตนเชื่อพระคัมภีร์ "ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย" นั้นยังไม่เคยอ่านตั้งแต่หน้าแรกถึงหน้าสุดท้ายเลย แต่ถ้าคุณอ่านพระคัมภีร์เพียงวันละสิบห้านาที คุณก็จะอ่านจบปีละหนึ่งเที่ยว ถ้าคุณงดดูรายการโทรทัศน์วันละหนึ่งรายการ และอ่านพระคัมภีร์แทน คุณก็จะอ่านจบทั้งเล่มปีละสองเที่ยว
การอ่านพระคัมภีร์ประจำวันจะช่วยให้คุณได้ยินพระสุระเสียงของพระเจ้า นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าตรัสสั่งบรรดากษัตริย์ของอิสราเอลให้เก็บพระวจนะของพระองค์ไว้ใกล้ตัวเสมอ "พระองค์ (กษัตริย์) จะต้องเก็บรักษาหนังสือนี้ (พระวจนะ) ไว้ใกล้พระองค์และอ่านอยู่เสมอตลอดพระชนม์ชีพ" (เฉลยธรรมบัญญัติ 17:19ก ประชานิยม) แต่อย่าเพียงเก็บไว้ใกล้ตัวจงอ่านเป็นประจำ เครื่องมือง่าย ๆ ที่มีประโยชน์คือตารางอ่านพระคัมภีร์ประจำวัน ซึ่งจะป้องกันคุณจากการอ่านสะเปะสะปะและข้ามบางตอนไป (ถ้าคุณอยากได้ตารางการอ่านส่วนตัวของผม ขอให้ดูในภาคผนวก 2)
ประการที่สาม การค้นคว้าหรือการศึกษาพระคัมภีร์ เป็นวิธีการภาคปฏิบัติอีกหนึ่งวิธีที่จะยึดมั่นในพระวจนะ ความแตกต่างระหว่่างการอ่านและการศึกษาตอนที่อ่าน และเขียนความเข้าใจของคุณลงไป คุณจะยังไม่ได้ศึกษาพระคัมภีร์จริง ๆ จนกว่าคุณจะเขียนความคิดของคุณลงบนกระดาษหรือคอมพิวเตอร์
ผมไม่มีหน้ากระดาษพอที่จะอธิบายวิธีต่าง ๆ ในการศึกษาพระคัมภีร์ แต่หนังสือที่มีประโยชน์เรื่องวิธีการศึกษาพระคัมภีร์นั้นมีอยู่หลายเล่ม รวมทั้งเล่มที่ผมเขียนเมื่อกว่ายี่สิบปีก่อน เคล็บลับของการศึกษาที่ดีคือ การเรียนรู้ที่จะถามคำถามที่ถูกต้อง แต่ละวิธีก็ใช้คำถามที่แตกต่างกันไป คุณจะค้นพบอะไรอีกมากมายถ้าคุณหยุดและถาม คำถามง่าย ๆ เช่นใคร อะไร เมื่อไร ที่ไหน ทำไม และอย่างไร พระคัมภีร์กล่าวว่า "คนที่มีความสุขแท้คือ คนเหล่านั้นที่ศึกษาพระบัญญัติอันสมบูรณ์ของพระเจ้าอย่างละเอียดถี่ถ้วนคือ พระบัญญัติซึ่งทำให้คนเป็นอิสระ และพวกเขาศึกษาเรื่อยไป พวกเขาไม่ลืมสิ่งที่พวกเขาได้ยินแต่พวกเขาเชื่อฟังสิ่งที่พระเจ้าตรัส บรรดาคนที่ทำเช่นนี้จะได้รับความสุข" (ยากอบ 1:25 NCV)
ประการที่สี่ของการยึดมั่นในพระวจนะของพระเจ้าคือโดยการจดจำ ความสามารถในการจำ เป็นของประทานที่คุณได้รับจากพระเจ้า คุณอาจจะคิดว่าคุณความจำไม่ดี แต่ความจริงคือ คุณมีความคิด ความจริง ข้อเท็จจริง และตัวเลขนับล้าน ๆ บันทึกอยู่ในสมอง คุณจำสิ่งที่สำคัญสำหรับคุณ ถ้าพระวจนะของพระเจ้าสำคัญ คุณก็จะใช้เวลาในการท่องจำข้อพระคัมภีร์
การท่องข้อพระคัมภีร์นั้นมีประโยชน์มหาศาล มันจะช่วยคุณต่อสู้การทดลอง ตัดสินใจอย่างฉลาด ลดความตึงเครียด สร้างความมั่นใจ ให้คำแนะนำที่ดี และบอกความเชื่อของคุณแก่คนอื่น (สดุดี 119:11, 49-50, 105, เยเรมีย์ 15:16, สุภาษิต 22:18, 1 เปโตร 3:15)
ความจำของคุณนั้นเปรียบเสมือนกล้ามเนื้อ ยิ่งคุณใช้มันมากเท่าไร มันก็ยิ่งแข็งแรงมากเท่านั้น และการท่องจำข้อพระคัมภีร์ก็จะง่ายขึ้น คุณอาจจะเริ่มต้นโดยการเลือกพระคัมภีร์สองสามข้อจากหนังสือเล่มนี้ที่ประทับใจคุณ และเขียนข้อเหล่านั้นลงบนบัตรที่คุณสามารถพกติดตัวไปได้ แล้วอ่านออกเสียงทบทวนตลอดวัน คุณสามารถท่องจำพระคัมภีร์ได้ทุกที่ ขณะทำงาน หรือออกกำลังกาย หรือขับรถหรือคอยเพื่อน หรือตอนเข้านอน กุญแจสามประการในการท่องจำพระคัมภีร์คือ ทบทวน ทบทวน และทบทวน พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงจดจำสิ่งที่พระคริสต์ทรงสอนและให้คำตรัสของพระองค์เสริมสร้างชีวิตของท่านและทำให้ท่านมีปัญญา" (โคโลสี 3:16ก LB)
ประการที่ห้าของการยึดมั่นในพระวจนะของพระเจ้าคือการใคร่ครวญ ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่า "การภาวนา" สำหรับหลายคน พอได้ยินคำว่าภาวนาก็นึกถึงการภาวนาสมาธิโดยการทำจิตให้ว่างเปล่าและล่องลอยไป การกระทำเช่นนั้นตรงข้ามกับการภาวนาใคร่ครวญในพระคัมภีร์ การใคร่ครวญคือการคิดอย่างจดจ่อ มันต้องใช้ความพยายามอย่างจริงจัง คุณเลือกข้อพระคัมภีร์สักข้อและคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำอีกในสมองของคุณ
ไม่มีนิสัยอื่นใดที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณได้มากกว่า และทำให้คุณเป็นเหมือนพระเยซูมากยิ่งกว่าการใคร่ครวญพระคัมภีร์ทุกวัน เมื่อเราใช้เวลาไตร่ตรองความจริงของพระเจ้า ใคร่ครวญอย่างจริงจังถึงแบบอย่างของพระคริสต์ "เรากำลังรับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระองค์ ด้วยรัศมีที่เพิ่มพูนขึ้นทุกที" (2 โครินธ์ 3:18 อมตธรรมร่วมสมัย)
ถ้าคุณอ่านพระคัมภีร์ทุกข้อที่พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับการใคร่ครวญ คุณคงประหลาดใจถึงประโยชน์มากมายที่พระองค์สัญญาไว้แก่ผู้ที่ให้เวลาใคร่ครวญพระวจนะของพระองค์ตลอดวัน เหตุผลหนึ่งที่พระเจ้าทรงเรียกดาวิดว่า "คนที่เราชอบใจ" (กิจการ 13:22) ก็เพราะดาวิดรักที่จะใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ท่านกล่าวว่า "ข้าพระองค์รักพระธรรมของพระองค์จริง ๆ เป็นคำภาวนาของข้าพระองค์วันยังค่ำ" (สดุดี 119:97) การใคร่ครวญความจริงของพระเจ้าอย่างจริงจังคือ กุญแจสู่การตอบคำอธิษฐาน และเป็นเคล็บลับสู่ชีวิตที่ประสบความสำเร็จ (ยอห์น 15:7, โยชูวา 1:8, สดุดี 1:2-3)
ผมต้องประยุกต์หลักการของพระคัมภีร์ การรับ การอ่าน การค้นคว้า การจดจำและการใคร่ครวญพระวจนะจะไร้ประโยชน์ทั้งหมด ถ้าเราไม่ได้นำสิ่งเหล่านั้นมาปฏิบัติ เราต้องเป็น "คนที่ประพฤติตามพระวจนะ" (ยากอบ 1:22) นี่คือก้าวที่ยากที่สุด เพราะว่าซาตานต่อสู้สิ่งนี้อย่างดุเดือด มันไม่สนใจว่าคุณจะศึกษาพระคัมภีร์มากแค่ไหน ตราบใดที่คุณไม่ทำอะไรกับสิ่งที่คุณเรียนรู้
เราหลอกตัวเองเมื่อเราคิดว่า แค่เราได้ยิน หรืออ่าน หรือศึกษาความจริงประการใดประการหนึ่ง มันก็เป็นส่วนหนึ่งของเราแล้ว ที่จริง คุณอาจยุ่งกับการเข้าชั้นเรียนหรือสัมมนาหรือการประชุมบรรยายพระคัมภีร์ จนคุณไม่มีเวลานำสิ่งที่คุณเรียนรู้มาปฏิบัติ คุณลืมมันขณะที่เดินทางไปเรียนวิชาถัดไป ถ้าไม่มีการปฏิบัติ การศึกษาพระคัมภีร์ทั้งหมดของเราก็ไร้ค่า พระเยซูตรัสว่า "ผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา" (มัทธิว 7:24) พระเยซูยังตรัสด้วยว่า พระพรของพระเจ้ามาจากการเชื่อฟังความจริง ไม่ใช่เพียงแต่รู้ พระเยซูตรัสว่า "เมื่อท่านรู้ดังนี้แล้วและท่านประพฤติตามท่านก็เป็นสุข" (ยอห์น 13:17)
อีกเหตุผลหนึ่งที่เราหลีกเลี่ยงการประยุกต์ใช้ส่วนตัวคือ มันอาจจะยากหรือเจ็บปวด ความจริงจะทำให้คุณเป็นไท แต่ก่อนอื่น มันอาจทำให้คุณทุกข์ใจ พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยแรงจูงใจของเรา ชี้ให้เห็นความผิดของเรา ประณามความบาปของเรา และคาดหวังให้เราเปลี่ยนแปลง เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นการประยุกต์ใช้พระวจนะของพระเจ้าจึงเป็นงานยาก นี่คือเหตุผลที่ทำให้การพูดคุยกับคนอื่นเรื่องประยุกต์ใช้ส่วนตัวเป็นสิ่งสำคัญ
ผมคงไม่อาจพูดเกินเลยเรื่องคุณค่าของการเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มย่อยที่ศึกษาอภิปรายพระคัมภีร์ เรามักจะเรียนรู้ความจริงที่เราคงไม่มีทางเรียนรู้ด้วยตนเองจากคนอื่น คนอื่นจะช่วยให้คุณเห็นความเข้าใจที่คุณมองข้าม และช่วยคุณประยุกต์ความจริงของพระเจ้าในภาคปฏิบัติ
วิธีที่ดีที่สุดในการเป็น "ผู้ประพฤติตามพระวจนะ" คือการเขียนขั้นตอนการปฏิบัติอันเป็นผลจากการอ่าน หรือการศึกษา หรือการใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้าเป็นประจำ จงฝึกนิสัยเขียนสิ่งที่คุณตั้งใจจะทำ ขั้นตอนการกระทำนี้ควรเป็นส่วนตัว (เกี่ยวกับคุณ) ปฏิบัติได้ (สิ่งที่คุณทำได้) และพิสูจน์ได้ (มีเส้นตายที่จะทำ) การประยุกต์ทุกอย่างจะเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับพระเจ้า ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคนอื่น หรือลักษณะนิสัยส่วนตัวของคุณ
ก่อนจะอ่านบทต่อไป ให้คุณใช้เวลาคิดถึงคำถามนี้ มีอะไรที่พระเจ้าบอกให้คุณทำในพระวจนะของพระองค์แล้ว แต่คุณยังไม่ได้เริ่มทำ แล้วเขียนข้อความแสดงเจตจำนงที่จะกระทำสักสองหรือสามประโยค เพื่อจะช่วยคุณกระทำตามสิ่งที่คุณรู้ คุณอาจจะบอกเพื่อนสักคนหนึ่งซึ่งสามารถช่วยดูว่าคุณได้รับผิดชอบทำตามที่ตั้งใจหรือไม่ เหมือนที่ ดี.แอล.มูดี้ได้กล่าวว่า "พระคัมภีร์ไม่ได้ประทานมาเพื่อเพิ่มความรู้ของเรา แต่เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตเรา"
วันที่ 24 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: ความจริงเปลี่ยนแปลงฉัน
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "ถ้าท่านยึดมั่นในคำสอนของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราอย่างแท้จริง และพวกท่านจะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านเป็นไท" ยอห์น 8:31-32 (2002)
คำถามสำหรับการพิจารณา: มีสิ่งใดพระเจ้าได้บอกให้ฉันทำในพระวจนะของพระองค์แล้ว แต่ฉันยังไม่ได้เริ่มลงมือทำ
วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
วันที่ 23 เราเติบโตอย่างไร
พระเจ้าประสงค์ให้เราเติบโต … เป็นเหมือนพระคริสต์ในทุกด้าน
เอเฟซัส 4:15ก (Msg)
แล้วเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป
เอเฟซัส 4:14ก (ประชานิยม)
พระเจ้าต้องการให้คุณเติบโต
เป้าหมายที่พระบิดาในสวรรค์มีไว้สำหรับคุณคือ เติบโตและพัฒนาลักษณะนิสัยของพระเยซูคริสต์ แต่น่าเศร้าที่คริสเตียนนับล้านอายุมากขึ้นแต่ไม่ได้โตขึ้น พวกเขาติดหล่มอยู่ในสภาพทารกฝ่ายวิญญาณตลอดไป โดยยังคงใส่ผ้าอ้อมและถุงเท้าทารก สาเหตุก็คือพวกเขาไม่เคยตั้งใจที่จะเติบโต
การเติบโตฝ่ายวิญญาณไม่ได้เกิดขึ้นเอง มันต้องมีความตั้งใจที่จะอุทิศตัว คุณต้องอยากเติบโต ตัดสินใจที่จะเติบโต และเพียรพยายามที่จะเติบโต การเป็นสาวกหรือกระบวนการแห่งการเป็นเหมือนพระคริสต์นั้น เริ่มต้นด้วยการตัดสินใจพระเยซูทรงเรียกเรา และเราตอบสนอง "พระองค์จึงตรัสเรียกเขาว่า ตามเรามาเถิด มัทธิวก็ลุกขึ้นตามพระเยซูไป" (มัทธิว 9:9 ประชานิยม)
เมื่อสาวกพวกแรกตัดสินใจติดตามพระเยซู พวกเขาไม่ได้เข้าใจทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจนั้น พวกเขาเพียงแต่ตอบสนองต่อคำเชื้อเชิญของพระเยซู ซึ่งนั่นคือ ทั้งหมดที่คุณจำเป็นต้องทำเพื่อจะเริ่มต้น นั่นคือ ตัดสินใจที่จะเป็นสาวก
ไม่มีสิ่งใดสามารถหล่อหลอมชีวิตคุณได้มากเท่ากับการที่คุณตัดสินใจอุทิศชีวิตเพื่อบางสิ่งบางอย่าง การอุทิศตัวสามารถพัฒนาหรือทำลายตัวคุณก็ได้ แต่มันจะเป็นตัวกำหนดชีวิตคุณ ถ้าคุณบอกผมว่าคุณกำลังอุทิศทุ่มเทเพื่อสิ่งใด ผมก็จะสามารถบอกคุณได้ว่า คุณจะเป็นอย่างไรในอีกยี่สิบปีข้างหน้า เพราะเราจะเปลี่ยนแปลงเป็นเหมือนสิ่งที่เราอุทิศตัวให้
เรื่องการอุทิศตัวนี้เองที่คนส่วนใหญ่พลาดพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตหลายคนกลัวการอุทิศตัวเพื่อบางสิ่งบางอย่าง จึงใช้ชีวิตปล่อยปละไปเรื่อย ๆ บางคนก็อุทิศตัวแบบสองฝักสองฝ่ายให้แก่ค่านิยมที่ขัดแย้งกันเอง ซึ่งจะนำไปสู่ความผิดหวัง และการมีชีวิตแบบเหยียบเรือสองแคม บางคนอุทิศทั้งชีวิตให้เป้าหมายฝ่ายโลก เช่น การเป็นเศรษฐี หรือการมีชื่อเสียง และลงเอยด้วยความผิดหวังและขมขื่น การตัดสินใจเลือกทุกครั้งล้วนมีผลสืบเนื่องนิรันดร์ ดังนั้นคุณควรจะเลือกอย่างฉลาด เปโตรได้เตือนว่า "ก็เมื่อทุกสิ่งจะถูกทำลายล้างไปเช่นนี้ ท่านควรจะเป็นคนเช่นใดเล่า ท่านควรจะดำเนินชีวิตให้ดีและอุทิศชีวิตแด่พระเจ้า (2 เปโตร 3:11 ประชานิยม)
งานของพระเจ้าและงานของคุณ การเป็นเหมือนพระคริสต์คือ ผลของการตัดสินใจเลือกเหมือนพระคริสต์ และพึ่งพาพระวิญญาณของพระองค์ที่จะช่วยให้คุณทำตามการตัดสินใจนั้นได้สำเร็จ เมื่อคุณตัดสินใจที่จะจริงจังกับการเป็นเหมือนพระคริสต์ คุณก็ต้องเริ่มต้นประพฤติแตกต่างจากเดิม คุณจำเป็นต้องทิ้งกิจวัตรเดิม ๆ บางอย่าง ฝึกอุปนิสัยใหม่บางอย่าง และตั้งใจเปลี่ยนวิธีคิด คุณสามารถมั่นใจได้ว่าพระวิญญาณจะทรงช่วยคุณในการเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงประพฤติจนบรรลุถึงความรอดของท่านทั้งหลายด้วยความกลัวและตัวสั่น… เพราะพระเจ้าเป็นผู้ทรงทำการอยู่ภายในพวกท่านให้ท่านมีความประสงค์และมีความสามารถทำตามชอบพระทัยของพระองค์" (ฟีลิปปี 2:12-13 2002)
พระคัมภีร์ข้อนี้แสดงให้เห็นสองส่วนของการเติบโตฝ่ายวิญญาณคือ "ประพฤติ" และ "ทำการอยู่ภายใน" "ประพฤติ" คือความรับผิดชอบของคุณ และ "ทำการภายใน" เป็นบทบาทของพระเจ้า การเติบโตฝ่ายวิญญาณนั้นเป็นความพยายามร่วมกันของคุณกับพระวิญญาณของพระเจ้าทรงทำงานร่วมกับเรา ไม่ใช่เพียงแต่ทำงานในเรา
พระวจนะที่เขียนถึงผู้เชื่อข้อนี้ไม่เกี่ยวกับวิธีที่จะรับความรอดแต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องวิธีที่จะเติบโต ข้อนี้ไม่ได้กล่าวว่า "ประพฤติเพื่อ" จะได้รับความรอด เพราะคุณไม่สามารถเพิ่มเติมสิ่งใดเข้าไปในสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำแล้ว คำภาษาอังกฤษที่แปลว่าประพฤติในข้อนี้ เป็นคำเดียวกับที่ใช้พูดถึงการออกกำลังกาย เวลาคุณออกกำลังคุณทำเพื่อพัฒนาร่างกาย ไม่ใช่เพื่อจะได้รับร่างกาย
คำเดียวกันนี้ในภาษาอังกฤษยังใช้พูดถึงการต่อภาพจิ๊กซอว์และการทำนา เวลาคุณต่อจิ๊กซอว์ คุณก็มีชิ้นส่วนทุกชิ้นอยู่แล้ว งานของคุณคือเอามันมาประกอบเข้าด้วยกัน ชาวนา "ทำ" นา ไม่ใช่เพื่อจะได้ผืนนา แต่เพื่อพัฒนาผืนนาที่พวกเขามีอยู่แล้ว พระเจ้าได้ประทานชีวิตใหม่แก่คุณแล้ว เวลานี้คุณต้องรับผิดชอบที่จะพัฒนาชีวิตนั้น "ด้วยความกลัวและตัวสั่น" นั่นหมายความว่า คุณต้องจริงจังกับการเติบโตฝ่ายวิญญาณ เมื่อใครก็ตามเฉยเมยต่อการเติบโตฝ่ายวิญญาณ นั่นก็แสดงว่าเขาไม่เข้าใจถึงผลที่จะตามมาในนิรันดรกาล (ตามที่เราเห็นในบทที่ 4 และ 5)
เปลี่ยนคันบังคับอัตโนมัติ ถ้าจะเปลี่ยนแปลงชีวิต คุณก็ต้องเปลี่ยนแปลงวิธีคิดเบื้องหลังของทุกสิ่งที่คุณทำคือความคิด ทุกพฤติกรรมมีแรงจูงใจมาจากความเชื่อ และทุกการกระทำล้วนถูกกระตุ้นโดยทัศนคติ พระเจ้าทรงเปิดเผยสิ่งนี้มานานนับพันปีก่อนที่นักจิตวิทยาจะเข้าใจเรื่องนี้ "จงระวังว่าท่านคิดอย่างไร เพราะชีวิตถูกหล่อหลอมโดยความคิด" (สุภาษิต 4:23 TEV)
ลองนึกภาพการนั่งเรือเร็วบนทะเลสาปโดยคันบังคับอัตโนมัติตั้งให้มุ่งไปทางทิศตะวันออก ถ้าคุณตัดสินใจวกกลับและมุ่งไปทางตะวันตก คุณก็มีสองวิธีที่จะเปลี่ยนทิศทางของเรือ วิธีแรกคือจับพวงมาลัยให้แน่น และบังคับมันด้วยแรงกายให้มุ่งไปยังทิศตรงข้ามกับที่มันถูกตั้งไว้ คุณสามารถเอาชนะคันบังคับอัตโนมัติได้ด้วยความตั้งใจ แต่คุณก็จะรู้สึกถึงแรงต้านตลอดเวลา แขนของคุณจะล้าในที่สุด คุณจะปล่อยพวงมาลัย แล้วเรือก็จะมุ่งไปทางตะวันออกทันทีคือ ไปตามทางที่มันถูกกำหนดไว้ภายใน
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณพยายามเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณด้วยความตั้งใจ คุณพูดว่า "ผมจะบังคับตัวเองให้กินน้อยลง…ออกกำลังมากขึ้น… หยุดทำตัวไม่มีระเบียบและมาสาย" ใช่ครับ ความตั้งใจสามารถทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงระยะสั้นได้ แต่มันจะสร้างแรงต้านตลอดเวลา เพราะว่าคุณไม่ได้จัดการกับรากเหง้าของปัญหา การเปลี่ยนแปลงนั้นจึงรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ ดังนั้นในที่สุดคุณจะเลิกทำ เลิกควบคุมอาหาร และหยุดออกกำลังกาย คุณจะหวนกลับไปสู่วิถีเดิม ๆ ของคุณอย่างรวดเร็ว
แต่ยังมีวิธีที่ดีกว่าและง่ายกว่า นั่นคือการเปลี่ยนคันบังคับอัตโนมัติ ซึ่งก็คือการเปลี่ยนวิธีคิดของคุณ พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงให้พระเจ้ากระทำให้ท่านเป็นคนใหม่ ให้พระองค์เปลี่ยนแปลงจิตใจท่านอย่างสิ้นเชิง" (โรม 12:2ข ประชานิยม) ก้าวแรกของคุณในการเติบโตฝ่ายวิญญาณคือ การเริ่มต้นเปลี่ยนวิธีคิด การเปลี่ยนแปลงล้วนเริ่มต้นที่ความคิดของคุณก่อนเสมอ วิธีคิดของคุณจะกำหนดวิธีที่คุณรู้สึก และวิธีที่คุณรู้สึกจะมีอิทธิพลต่อวิธีที่คุณประพฤติ เปาโลกล่าวว่า "ท่านจะต้องให้พระเจ้าประทานความคิดจิตใจให้ใหม่หมด" (เอเฟซัส 4:23 ประชานิยม)
ถ้าจะเป็นเหมือนพระคริสต์ คุณก็ต้องพัฒนาจิตใจที่เหมือนกับพระคริสต์ พระคัมภีร์ใหม่เรียกการเปลี่ยนทางความคิดแบบนี้ว่าการกลับใจใหม่ ซึ่งในภาษากรีกมีความหมายตามตัวอักษรว่า "การเปลี่ยนความคิด" คุณกลับใจใหม่เมื่อคุณเปลี่ยนวิธีคิด โดยรับเอาวิธีคิดแบบพระเจ้า ทั้งที่เกี่ยวกับตัวคุณเอง เกี่ยวกับความบาป เกี่ยวกับพระเจ้า คนอื่น ชีวิต อนาคตของคุณ และทุก ๆ สิ่ง คุณรับเอาทัศนะและมุมมองของพระคริสต์
เราได้รับคำสั่งให้ "คิดแบบเดียวกับพระเยซูคริสต์ทรงคิด" (ฟีลิปปี 2:5 อ่านเข้าใจง่าย) ซึ่งการทำเช่นนี้มีอยู่สองส่วน ส่วนแรกของการเปลี่ยนแปลงทางความคิดนี้คือ การเลิกคิดแบบไม่เป็นผู้ใหญ่ คือความคิดที่เห็นแก่ตัวและหาประโยชน์ใส่ตัว พระคัมภีร์กล่าวว่า "เลิกคิดแบบเด็ก ๆ เสียเถิด ในเรื่องความชั่วจงเป็นทารก แต่ในด้านความคิดจงเป็นผู้ใหญ่" (1 โครินธ์ 14:20 อมตธรรมร่วมสมัย) โดยธรรมชาติแล้ว ทารกมีความเห็นแก่ตัวทุกอย่าง พวกเขาคิดถึงแต่ตัวเองและความต้องการของตัวเอง และไม่สามารถให้อะไรใครทำได้แต่รับอย่างเดียว นั่นคือความคิดที่ไม่เป็นผู้ใหญ่ น่าเสียดายที่หลายคนไม่เคยเติบโตเกินความคิดเช่นนั้น พระคัมภีร์กล่าวว่า ความคิดที่เห็นแก่ตัวคือที่มาของพฤติกรรมที่เป็นบาป "คนเหล่านั้นที่ดำเนินชีวิตตามตัวตนที่บาปหนา ก็คิดถึงแต่สิ่งที่ตัวตนบาปหนาของเขาต้องการ" (โรม 8:5 CEV)
ส่วนที่สองของการคิดอย่างพระเยซูคือการเริ่มต้นคิดอย่างผู้ใหญ่ ซึ่งจดจ่อที่คนอื่นไม่ใช่ตัวเอง ในพระคัมภีร์บทที่เปาโลพูดถึงความรักไว้อย่างยิ่งใหญ่ ท่านได้สรุปว่าการคิดถึงคนอื่นเป็นเครื่องหมายของความเป็นผู้ใหญ่ "เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก ใช้เหตุผลอย่างเด็ก ครั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็ทิ้งวิถีทางอย่างเด็กไว้เบื้องหลัง" (1 โครินธ์ 13:11 อมตธรรมร่วมสมัย)
ทุกวันนี้ หลายคนคิดว่าความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณนั้นวัดจากปริมาณความรู้พระคัมภีร์และหลักข้อเชื่อที่คุณรู้ ความรู้เป็นมาตรวัดอย่างหนึ่งของความเป็นผู้ใหญ่ก็จริง แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด ชีวิตคริสเตียนไม่ได้มีแค่หลักข้อเชื่อและความเชื่อมั่น แต่มันรวมถึงความประพฤติและลักษณะนิสัย การกระทำของเราต้องสอดคล้องกับหลักข้อเชื่อของเรา และความเชื่อของเราต้องมีความประพฤติที่เหมือนพระคริสต์หนุนหลัง
ความเชื่อคริสเตียนไม่ใช่ศาสนาหรือปรัชญา แต่เป็นความสัมพันธ์และวิถีชีวิต และแก่นของวิถีชีวิตนั้นคือการคิดถึงคนอื่นเหมือนอย่างที่พระเยซูคิด แทนที่จะคิดถึงตนเอง พระคัมภีร์กล่าวว่า "เราควรคิดถึงผลประโยชน์ของพวกเขา และพยายามช่วยเขาโดยทำสิ่งที่พวกเขาพอใจ แม้แต่พระคริสต์ก็มิได้พยายามทำให้พระองค์เองพอพระทัย" (โรม 15:2-3ก CEV)
การคิดถึงคนอื่นคือ หัวใจของการเป็นเหมือนพระคริสต์ และเป็นหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดของการเติบโตฝ่ายวิญญาณ การคิดเช่นนี้เป็นสิ่งที่ผืนธรรมชาติ ทวนกระแส หายากและทำยาก ยังดีที่เรามีความช่วยเหลือคือ "พระเจ้าได้ประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่เรา นี่คือสาเหตุที่เราคิดไม่เหมือนคนในโลกนี้" (1 โครินธ์ 2:12ก CEV) ในบทต่อ ๆ ไปเราจะดูอุปกรณ์ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้เพื่อช่วยให้เราเติบโต
วันที่ 23 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: การเริ่มต้นเติบโตนั้นไม่มีคำว่าสายเกินไป
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม" โรม 12:2ข (2002)
คำถามสำหรับการพิจารณา: มีเรื่องใดที่ฉันจำเป็นต้องหยุดคิดตามแบบของตัวเองและเริ่มต้นคิดเหมือนพระเจ้า
เอเฟซัส 4:15ก (Msg)
แล้วเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป
เอเฟซัส 4:14ก (ประชานิยม)
พระเจ้าต้องการให้คุณเติบโต
เป้าหมายที่พระบิดาในสวรรค์มีไว้สำหรับคุณคือ เติบโตและพัฒนาลักษณะนิสัยของพระเยซูคริสต์ แต่น่าเศร้าที่คริสเตียนนับล้านอายุมากขึ้นแต่ไม่ได้โตขึ้น พวกเขาติดหล่มอยู่ในสภาพทารกฝ่ายวิญญาณตลอดไป โดยยังคงใส่ผ้าอ้อมและถุงเท้าทารก สาเหตุก็คือพวกเขาไม่เคยตั้งใจที่จะเติบโต
การเติบโตฝ่ายวิญญาณไม่ได้เกิดขึ้นเอง มันต้องมีความตั้งใจที่จะอุทิศตัว คุณต้องอยากเติบโต ตัดสินใจที่จะเติบโต และเพียรพยายามที่จะเติบโต การเป็นสาวกหรือกระบวนการแห่งการเป็นเหมือนพระคริสต์นั้น เริ่มต้นด้วยการตัดสินใจพระเยซูทรงเรียกเรา และเราตอบสนอง "พระองค์จึงตรัสเรียกเขาว่า ตามเรามาเถิด มัทธิวก็ลุกขึ้นตามพระเยซูไป" (มัทธิว 9:9 ประชานิยม)
เมื่อสาวกพวกแรกตัดสินใจติดตามพระเยซู พวกเขาไม่ได้เข้าใจทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจนั้น พวกเขาเพียงแต่ตอบสนองต่อคำเชื้อเชิญของพระเยซู ซึ่งนั่นคือ ทั้งหมดที่คุณจำเป็นต้องทำเพื่อจะเริ่มต้น นั่นคือ ตัดสินใจที่จะเป็นสาวก
ไม่มีสิ่งใดสามารถหล่อหลอมชีวิตคุณได้มากเท่ากับการที่คุณตัดสินใจอุทิศชีวิตเพื่อบางสิ่งบางอย่าง การอุทิศตัวสามารถพัฒนาหรือทำลายตัวคุณก็ได้ แต่มันจะเป็นตัวกำหนดชีวิตคุณ ถ้าคุณบอกผมว่าคุณกำลังอุทิศทุ่มเทเพื่อสิ่งใด ผมก็จะสามารถบอกคุณได้ว่า คุณจะเป็นอย่างไรในอีกยี่สิบปีข้างหน้า เพราะเราจะเปลี่ยนแปลงเป็นเหมือนสิ่งที่เราอุทิศตัวให้
เรื่องการอุทิศตัวนี้เองที่คนส่วนใหญ่พลาดพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตหลายคนกลัวการอุทิศตัวเพื่อบางสิ่งบางอย่าง จึงใช้ชีวิตปล่อยปละไปเรื่อย ๆ บางคนก็อุทิศตัวแบบสองฝักสองฝ่ายให้แก่ค่านิยมที่ขัดแย้งกันเอง ซึ่งจะนำไปสู่ความผิดหวัง และการมีชีวิตแบบเหยียบเรือสองแคม บางคนอุทิศทั้งชีวิตให้เป้าหมายฝ่ายโลก เช่น การเป็นเศรษฐี หรือการมีชื่อเสียง และลงเอยด้วยความผิดหวังและขมขื่น การตัดสินใจเลือกทุกครั้งล้วนมีผลสืบเนื่องนิรันดร์ ดังนั้นคุณควรจะเลือกอย่างฉลาด เปโตรได้เตือนว่า "ก็เมื่อทุกสิ่งจะถูกทำลายล้างไปเช่นนี้ ท่านควรจะเป็นคนเช่นใดเล่า ท่านควรจะดำเนินชีวิตให้ดีและอุทิศชีวิตแด่พระเจ้า (2 เปโตร 3:11 ประชานิยม)
งานของพระเจ้าและงานของคุณ การเป็นเหมือนพระคริสต์คือ ผลของการตัดสินใจเลือกเหมือนพระคริสต์ และพึ่งพาพระวิญญาณของพระองค์ที่จะช่วยให้คุณทำตามการตัดสินใจนั้นได้สำเร็จ เมื่อคุณตัดสินใจที่จะจริงจังกับการเป็นเหมือนพระคริสต์ คุณก็ต้องเริ่มต้นประพฤติแตกต่างจากเดิม คุณจำเป็นต้องทิ้งกิจวัตรเดิม ๆ บางอย่าง ฝึกอุปนิสัยใหม่บางอย่าง และตั้งใจเปลี่ยนวิธีคิด คุณสามารถมั่นใจได้ว่าพระวิญญาณจะทรงช่วยคุณในการเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงประพฤติจนบรรลุถึงความรอดของท่านทั้งหลายด้วยความกลัวและตัวสั่น… เพราะพระเจ้าเป็นผู้ทรงทำการอยู่ภายในพวกท่านให้ท่านมีความประสงค์และมีความสามารถทำตามชอบพระทัยของพระองค์" (ฟีลิปปี 2:12-13 2002)
พระคัมภีร์ข้อนี้แสดงให้เห็นสองส่วนของการเติบโตฝ่ายวิญญาณคือ "ประพฤติ" และ "ทำการอยู่ภายใน" "ประพฤติ" คือความรับผิดชอบของคุณ และ "ทำการภายใน" เป็นบทบาทของพระเจ้า การเติบโตฝ่ายวิญญาณนั้นเป็นความพยายามร่วมกันของคุณกับพระวิญญาณของพระเจ้าทรงทำงานร่วมกับเรา ไม่ใช่เพียงแต่ทำงานในเรา
พระวจนะที่เขียนถึงผู้เชื่อข้อนี้ไม่เกี่ยวกับวิธีที่จะรับความรอดแต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องวิธีที่จะเติบโต ข้อนี้ไม่ได้กล่าวว่า "ประพฤติเพื่อ" จะได้รับความรอด เพราะคุณไม่สามารถเพิ่มเติมสิ่งใดเข้าไปในสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำแล้ว คำภาษาอังกฤษที่แปลว่าประพฤติในข้อนี้ เป็นคำเดียวกับที่ใช้พูดถึงการออกกำลังกาย เวลาคุณออกกำลังคุณทำเพื่อพัฒนาร่างกาย ไม่ใช่เพื่อจะได้รับร่างกาย
คำเดียวกันนี้ในภาษาอังกฤษยังใช้พูดถึงการต่อภาพจิ๊กซอว์และการทำนา เวลาคุณต่อจิ๊กซอว์ คุณก็มีชิ้นส่วนทุกชิ้นอยู่แล้ว งานของคุณคือเอามันมาประกอบเข้าด้วยกัน ชาวนา "ทำ" นา ไม่ใช่เพื่อจะได้ผืนนา แต่เพื่อพัฒนาผืนนาที่พวกเขามีอยู่แล้ว พระเจ้าได้ประทานชีวิตใหม่แก่คุณแล้ว เวลานี้คุณต้องรับผิดชอบที่จะพัฒนาชีวิตนั้น "ด้วยความกลัวและตัวสั่น" นั่นหมายความว่า คุณต้องจริงจังกับการเติบโตฝ่ายวิญญาณ เมื่อใครก็ตามเฉยเมยต่อการเติบโตฝ่ายวิญญาณ นั่นก็แสดงว่าเขาไม่เข้าใจถึงผลที่จะตามมาในนิรันดรกาล (ตามที่เราเห็นในบทที่ 4 และ 5)
เปลี่ยนคันบังคับอัตโนมัติ ถ้าจะเปลี่ยนแปลงชีวิต คุณก็ต้องเปลี่ยนแปลงวิธีคิดเบื้องหลังของทุกสิ่งที่คุณทำคือความคิด ทุกพฤติกรรมมีแรงจูงใจมาจากความเชื่อ และทุกการกระทำล้วนถูกกระตุ้นโดยทัศนคติ พระเจ้าทรงเปิดเผยสิ่งนี้มานานนับพันปีก่อนที่นักจิตวิทยาจะเข้าใจเรื่องนี้ "จงระวังว่าท่านคิดอย่างไร เพราะชีวิตถูกหล่อหลอมโดยความคิด" (สุภาษิต 4:23 TEV)
ลองนึกภาพการนั่งเรือเร็วบนทะเลสาปโดยคันบังคับอัตโนมัติตั้งให้มุ่งไปทางทิศตะวันออก ถ้าคุณตัดสินใจวกกลับและมุ่งไปทางตะวันตก คุณก็มีสองวิธีที่จะเปลี่ยนทิศทางของเรือ วิธีแรกคือจับพวงมาลัยให้แน่น และบังคับมันด้วยแรงกายให้มุ่งไปยังทิศตรงข้ามกับที่มันถูกตั้งไว้ คุณสามารถเอาชนะคันบังคับอัตโนมัติได้ด้วยความตั้งใจ แต่คุณก็จะรู้สึกถึงแรงต้านตลอดเวลา แขนของคุณจะล้าในที่สุด คุณจะปล่อยพวงมาลัย แล้วเรือก็จะมุ่งไปทางตะวันออกทันทีคือ ไปตามทางที่มันถูกกำหนดไว้ภายใน
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณพยายามเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณด้วยความตั้งใจ คุณพูดว่า "ผมจะบังคับตัวเองให้กินน้อยลง…ออกกำลังมากขึ้น… หยุดทำตัวไม่มีระเบียบและมาสาย" ใช่ครับ ความตั้งใจสามารถทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงระยะสั้นได้ แต่มันจะสร้างแรงต้านตลอดเวลา เพราะว่าคุณไม่ได้จัดการกับรากเหง้าของปัญหา การเปลี่ยนแปลงนั้นจึงรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ ดังนั้นในที่สุดคุณจะเลิกทำ เลิกควบคุมอาหาร และหยุดออกกำลังกาย คุณจะหวนกลับไปสู่วิถีเดิม ๆ ของคุณอย่างรวดเร็ว
แต่ยังมีวิธีที่ดีกว่าและง่ายกว่า นั่นคือการเปลี่ยนคันบังคับอัตโนมัติ ซึ่งก็คือการเปลี่ยนวิธีคิดของคุณ พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงให้พระเจ้ากระทำให้ท่านเป็นคนใหม่ ให้พระองค์เปลี่ยนแปลงจิตใจท่านอย่างสิ้นเชิง" (โรม 12:2ข ประชานิยม) ก้าวแรกของคุณในการเติบโตฝ่ายวิญญาณคือ การเริ่มต้นเปลี่ยนวิธีคิด การเปลี่ยนแปลงล้วนเริ่มต้นที่ความคิดของคุณก่อนเสมอ วิธีคิดของคุณจะกำหนดวิธีที่คุณรู้สึก และวิธีที่คุณรู้สึกจะมีอิทธิพลต่อวิธีที่คุณประพฤติ เปาโลกล่าวว่า "ท่านจะต้องให้พระเจ้าประทานความคิดจิตใจให้ใหม่หมด" (เอเฟซัส 4:23 ประชานิยม)
ถ้าจะเป็นเหมือนพระคริสต์ คุณก็ต้องพัฒนาจิตใจที่เหมือนกับพระคริสต์ พระคัมภีร์ใหม่เรียกการเปลี่ยนทางความคิดแบบนี้ว่าการกลับใจใหม่ ซึ่งในภาษากรีกมีความหมายตามตัวอักษรว่า "การเปลี่ยนความคิด" คุณกลับใจใหม่เมื่อคุณเปลี่ยนวิธีคิด โดยรับเอาวิธีคิดแบบพระเจ้า ทั้งที่เกี่ยวกับตัวคุณเอง เกี่ยวกับความบาป เกี่ยวกับพระเจ้า คนอื่น ชีวิต อนาคตของคุณ และทุก ๆ สิ่ง คุณรับเอาทัศนะและมุมมองของพระคริสต์
เราได้รับคำสั่งให้ "คิดแบบเดียวกับพระเยซูคริสต์ทรงคิด" (ฟีลิปปี 2:5 อ่านเข้าใจง่าย) ซึ่งการทำเช่นนี้มีอยู่สองส่วน ส่วนแรกของการเปลี่ยนแปลงทางความคิดนี้คือ การเลิกคิดแบบไม่เป็นผู้ใหญ่ คือความคิดที่เห็นแก่ตัวและหาประโยชน์ใส่ตัว พระคัมภีร์กล่าวว่า "เลิกคิดแบบเด็ก ๆ เสียเถิด ในเรื่องความชั่วจงเป็นทารก แต่ในด้านความคิดจงเป็นผู้ใหญ่" (1 โครินธ์ 14:20 อมตธรรมร่วมสมัย) โดยธรรมชาติแล้ว ทารกมีความเห็นแก่ตัวทุกอย่าง พวกเขาคิดถึงแต่ตัวเองและความต้องการของตัวเอง และไม่สามารถให้อะไรใครทำได้แต่รับอย่างเดียว นั่นคือความคิดที่ไม่เป็นผู้ใหญ่ น่าเสียดายที่หลายคนไม่เคยเติบโตเกินความคิดเช่นนั้น พระคัมภีร์กล่าวว่า ความคิดที่เห็นแก่ตัวคือที่มาของพฤติกรรมที่เป็นบาป "คนเหล่านั้นที่ดำเนินชีวิตตามตัวตนที่บาปหนา ก็คิดถึงแต่สิ่งที่ตัวตนบาปหนาของเขาต้องการ" (โรม 8:5 CEV)
ส่วนที่สองของการคิดอย่างพระเยซูคือการเริ่มต้นคิดอย่างผู้ใหญ่ ซึ่งจดจ่อที่คนอื่นไม่ใช่ตัวเอง ในพระคัมภีร์บทที่เปาโลพูดถึงความรักไว้อย่างยิ่งใหญ่ ท่านได้สรุปว่าการคิดถึงคนอื่นเป็นเครื่องหมายของความเป็นผู้ใหญ่ "เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก ใช้เหตุผลอย่างเด็ก ครั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็ทิ้งวิถีทางอย่างเด็กไว้เบื้องหลัง" (1 โครินธ์ 13:11 อมตธรรมร่วมสมัย)
ทุกวันนี้ หลายคนคิดว่าความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณนั้นวัดจากปริมาณความรู้พระคัมภีร์และหลักข้อเชื่อที่คุณรู้ ความรู้เป็นมาตรวัดอย่างหนึ่งของความเป็นผู้ใหญ่ก็จริง แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด ชีวิตคริสเตียนไม่ได้มีแค่หลักข้อเชื่อและความเชื่อมั่น แต่มันรวมถึงความประพฤติและลักษณะนิสัย การกระทำของเราต้องสอดคล้องกับหลักข้อเชื่อของเรา และความเชื่อของเราต้องมีความประพฤติที่เหมือนพระคริสต์หนุนหลัง
ความเชื่อคริสเตียนไม่ใช่ศาสนาหรือปรัชญา แต่เป็นความสัมพันธ์และวิถีชีวิต และแก่นของวิถีชีวิตนั้นคือการคิดถึงคนอื่นเหมือนอย่างที่พระเยซูคิด แทนที่จะคิดถึงตนเอง พระคัมภีร์กล่าวว่า "เราควรคิดถึงผลประโยชน์ของพวกเขา และพยายามช่วยเขาโดยทำสิ่งที่พวกเขาพอใจ แม้แต่พระคริสต์ก็มิได้พยายามทำให้พระองค์เองพอพระทัย" (โรม 15:2-3ก CEV)
การคิดถึงคนอื่นคือ หัวใจของการเป็นเหมือนพระคริสต์ และเป็นหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดของการเติบโตฝ่ายวิญญาณ การคิดเช่นนี้เป็นสิ่งที่ผืนธรรมชาติ ทวนกระแส หายากและทำยาก ยังดีที่เรามีความช่วยเหลือคือ "พระเจ้าได้ประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่เรา นี่คือสาเหตุที่เราคิดไม่เหมือนคนในโลกนี้" (1 โครินธ์ 2:12ก CEV) ในบทต่อ ๆ ไปเราจะดูอุปกรณ์ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้เพื่อช่วยให้เราเติบโต
วันที่ 23 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: การเริ่มต้นเติบโตนั้นไม่มีคำว่าสายเกินไป
ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม" โรม 12:2ข (2002)
คำถามสำหรับการพิจารณา: มีเรื่องใดที่ฉันจำเป็นต้องหยุดคิดตามแบบของตัวเองและเริ่มต้นคิดเหมือนพระเจ้า
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)