วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

วันที่ 8 กำหนดไว้เพื่อให้พระเจ้าชอบพระทัย

วัตถุประสงค์ที่ 1
คุณถูกกำหนดไว้เพื่อให้พระเจ้าชอบพระทัย

เพราะพระเจ้าทรงปลูกพวกเขาไว้ เหมือนต้นก่อหลวงที่แข็งแรงและสง่างาม เพื่อสำแดงพระสิริของพระองค์
อิสยาห์ 61:3 (LB)

วันที่ 8
กำหนดไว้เพื่อให้พระเจ้าชองพระทัย

พระองค์ได้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง และสรรพสิ่งทั้งปวงก็ทรงสร้างขึ้นแล้ว และดำรงอยู่ตามชอบพระทัยของพระองค์
วิวรณ์ 4:11

พระเจ้าทรงปรีดีในประชากรของพระองค์
สดุดี 149:4ก

ณ นาทีที่คุณถือกำเนิดเข้ามาในโลก พระเจ้าอยู่ที่นั่นในฐานะพยานที่ไม่มีใครมองเห็น ทรงยิ้มที่คุณเกิดมา พระองค์ต้องการให้คุณมีชีวิต และการที่คุณเกิดก็ทำให้พระองค์ยินดีอย่างยิ่ง พระเจ้าไม่จำเป็นต้องสร้างคุณ แต่พระองค์ทรงเลือกที่จะสร้างคุณเพื่อความชื่นบานพระทัยของพระองค์เอง คุณเกิดมาเพื่อประโยชน์ของพระองค์ พระสิริของพระองค์ พระประสงค์ของพระองค์ และความเปรมปรีดิ์ของพระองค์

การทำให้พระเจ้ายินดี การดำเนินชีวิตเพื่อให้พระองค์ชอบพระทัยคือวัตถุประสงค์อันดับแรกของชีวิตคุณ เมื่อคุณเข้าใจความจริงนี้อย่างครบถ้วน คุณก็จะไม่มีปัญหากับความรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยอีกเลย ความจริงนี้พิสูจน์คุณค่าของตัวคุณ ถ้าคุณสำคัญต่อพระเจ้าถึงเพียงนั้น และพระองค์ทรงถือว่าคุณมีค่าพอที่จะรักษาไว้กับพระองค์ชั่วนิรันดร์ คุณจะมีฐานะใดยิ่งใหญ่กว่านี้อีก คุณเป็นลูกพระเจ้า และคุณทำให้พระเจ้าพอพระทัยยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดที่พระองค์ได้ทรงสร้าง พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระองค์ทรงกำหนดเราไว้ล่วงหน้าด้วยความรัก ให้เป็นบุตรของพระองค์โดยทางพระเยซูคริสต์ ตามความชอบพระทัยและพระประสงค์ของพระองค์ (เอเฟซัส 1:5 2002)

ของประทานที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งซึ่งพระเจ้าประทานแก่คุณคือ ความสามารถที่จะยินดี พระองค์ทรงสร้างคุณมาพร้อมกับประสาทสัมผัสทั้งห้า รวมทั้งอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ที่คุณจะมีได้ พระองค์ต้องการให้คุณมีความสุขกับชีวิต ไม่ใช่แค่ทน ๆ อยู่ไปเท่านั้น เหตุที่คุณมีความสุขได้ก็เพราะว่าพระเจ้าทรงสร้างคุณตามพระฉายาของพระองค์

เรามักจะลืมไปว่าพระเจ้าก็ทรงมีอารมณ์ด้วย พระองค์ทรงรู้สึกต่อสิ่งต่าง ๆ อย่างลึกซึ้งมาก พระคัมภีร์บอกเราว่า พระเจ้าทรงเสียพระทัย ทรงหวงแหนและทรงพระพิโรธ ทรงรู้สึกเมตตา ทรงสงสาร ทรงเศร้าพระทัย และทรงเห็นใจ รวมทั้งทรงมีความสุข ทรงยินดี และทรงพอพระทัย พระเจ้าทรงรัก ทรงเปรมปรีดิ์ ทรงชอบพระทัย ทรงเบิกบานพระทัยและแม้แต่ทรงพระสรวล (ปฐมกาล 6:6; อพยพ 20:5; เฉลยธรรมบัญญติ 32:36; ผู้วินิจฉัย 2:20; 1 พงค์กษัตริย์ 10:9; 1 พงศาวดาร 16:27; สดุดี 2:4; 5:5; 18:19; 35:27; 37:23; 103:13; 104:31; เอเสเคียล 5:13; 1 ยอห์น 4:16)

การทำให้พระเจ้าชอบพระทัยนั้นเรียกว่า "การนมัสการ" พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้าทรงปรีดีในคนที่นมัสการพระองค์และวางใจในความรักมั่นคงของพระองค์" (สดุดี 147:11 CEV)

อะไรก็ตามที่คุณทำแล้วพระเจ้าชอบพระทัยก็เป็นการนมัสการ การนมัสการนั้นเปรียบเสมือนเพชรคือ มีหลายเหลี่ยมมุม ซึ่งคงต้องใช้หนังสือหลายเล่มจึงจะครอบคลุมความเข้าใจทุกอย่างเกี่ยวกับการนมัสการ แต่ในตอนนี้เราจะมาดูแง่มุมสำคัญ ๆ ของการนมัสการ

นักมนุษยวิทยาได้สังเกตว่า การนมัสการเป็นความปราถนาที่เป็นสากล พระเจ้าได้ทรงถักทอความปราถนานี้ไว้ในอนูของชีวิตเรา เป็นความปราถนาที่ฝั่งอยู่ภายในที่จะติดต่อกับพระเจ้า การนมัสการเป็นเรื่องธรรมชาติเช่นเดียวกับการกินหรือการหายใจ ถ้าเราไม่ได้นมัสการพระเจ้า เราก็จะหาสิ่งอื่น ๆ มาทดแทนเรื่อยไป แม้ว่ามันจะลงเอยที่ตัวเราเองก็ตาม เหตุผลที่พระเจ้าทรงสร้างเราให้มีความปราถนาเช่นนี้ก็เพราะพระองค์ทรงปราถนาผู้นมัสการ พระเยซูตรัสว่า "พระบิดาทรงแสวงหาผู้ที่นมัสการ" (ยอห์น 4:23)

คุณอาจจำเป็นต้องขยายความเข้าใจเรื่อง "การนมัสการ" ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภูมิหลังทางศาสนาของคุณ คุณอาจจะคิดถึงการนมัสการในคริสตจักรที่มีการร้องเพลง อธิษฐานและฟังคำเทศนา หรือคุณอาจนึกถึงพิธีกรรมต่าง ๆ เทียน พิธีศีลมหาสนิท หรือคุณอาจคิดถึงการรักษาโรค การอัศจรรย์ และประสบการณ์ที่มีความสุขเต็มล้น การนมัสการครอบคลุมถึงสิ่งเหล่านี้ แต่การนมัสการยังมีอะไรมากกว่านี้อีก การนมัสการเป็นวิถีชีวิต

การนมัสการไม่ใช่แค่ดนตรี สำหรับหลายคน การนมัสการเป็นคำที่มีความหมายเดียวกับคำว่าดนตรี พวกเขาพูดว่า "ที่คริสตจักร เรามนัสการก่อน แล้วถึงจะมีการสอน" นี่เป็นการเข้าใจผิดใหญ่หลวง ทุกส่วนของการประชุมในคริสตจักรเป็นการนมัสการ ไม่ว่าจะเป็นการอธิษฐาน การอ่านพระคัมภีร์ การร้องเพลง การสารภาพบาป การสงบใจ การนิ่ง การฟังคำเทศนา การจดบันทึก การถวายทรัพย์ พิธีบัพติศมา พิธีมหาสนิท การกรอกใบแสดงเจตจำนง หรือแม้แต่การต้อนรับคนอื่น ๆ

อันที่จริง การนมัสการมีมาก่อนมีดนตรี อาดัมนมัสการในสวนเอเดน แต่ไม่มีการกล่าวถึงดนตรี จนกระทั่งปฐมกาล 4:21 พร้อมกับกำเนิดของยูบาล ถ้าการนมัสการเป็นเพียงดนตรีแล้ว คนที่ไม่เก่งดนตรีคงไม่มีวันนมัสการได้ การนมัสการไม่ใช่แค่ดนตรี

ที่แย่กว่านั้น คำว่า "การนมัสการ" มักจะถูกใช้ผิด ๆ เพื่อกล่าวถึงรูปแบบดนตรีชนิดหนึ่ง "เราร้องเพลงชีวิตคริสเตียนก่อน แล้วถึงร้องเพลงสรรเสริญและนมัสการ" หรือ "ผมก็ชอบเพลงสรรเสริญที่เร็ว ๆ เหมือนกันนะ แต่ชอบเพลงนมัสการช้า ๆ มากที่สุด" เวลาพูดแบบนี้ เพลงเร็วหรือดัง หรือใช้เครื่องเป่าจำพวกทรัมเป็ต ก็จะถึงว่าเป็น "การสรรเสริญ" แต่เพลงช้าและเบาและซึ้ง โดยอาจจะใช้กีตาร์บรรเลงคลอถึงจะถือว่าเป็นเพลงนมัสการ นี่คือ การใช้คำว่า "นมัสการ" ผิด ๆ ที่พบอยู่บ่อย ๆ

การนมัสการไม่เกี่ยวกับอะไรกับรูปแบบ หรือความดัง หรือความเร็วของเพลง พระเจ้าทรงรักดนตรีทุกชนิดเพราะว่าพระองค์ทรงสร้างมันทุกชนิด ทั้งเร็วและช้า ดังและเบา เก่าและใหม่ คุณอาจจะไม่ได้ชอบไปหมดทุกแนว แต่พระเจ้าทรงชอบ ถ้าเราร้องถวายแด่พระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง มันก็เป็นการนมัสการ

คริสเตียนมักมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องรูปแบบของดนตรีที่ใช้ในการนมัสการ และปกป้องอย่างดุเดือดว่ารูปแบบที่พวกเขาชอบนั้นถูกต้องตามพระคัมภีร์ที่สุด หรือถวายเกียรติแด่พระเจ้าที่สุด แต่พูดจริง ๆ แล้วมันไม่มีรูปแบบตามพระคัมภีร์ ในพระคัมภีร์ไม่มีโน๊ตดนตรี และเราไม่มีเครื่องดนตรีที่ใช้กันในสมัยพระคัมภีร์ด้วยซ้ำ

พูดตามตรง รูปแบบดนตรีที่คุณชอบนั้นบ่งบอกถึงตัวคุณ ไม่ว่าจะเป็นภูมิหลังหรือบุคลิกภาพของคุณ มากกว่าจะบ่งบอกถึงพระเจ้า ดนตรีของคนชาติหนึ่งอาจฟังดูหนวกหูสำหรับคนอีกเชื้อชาติหนึ่ง แต่พระเจ้าทรงชอบความหลากหลายและทรงเพลิดเพลินกับดนตรีทุกรูปแบบ

ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าดนตรี "คริสเตียน" จะมีก็แต่เพลงคริสเตียน เนื้อเพลงคือสิ่งที่ทำให้เพลงศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่ทำนอง ไม่มีทำนองฝ่ายวิญญาณ ถ้าคุณเล่นเพลงโดยไม่มีเนื้อ คุณจะไม่มีทางรู้ว่านี่เป็นเพลง "คริสเตียน" หรือไม่

การนมัสการไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของคุณ ในฐานะศิษยาภิบาล หลายครั้งผมได้รับข้อความสั้น ๆ ว่า "ผมชอบการนมัสการวันนี้ ผมได้รับอะไรมากเลย" นี่เป็นความเข้าใจผิดอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการนมัสการ การนมัสการไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของคุณ เรานมัสการเพื่อประโยชน์ของพระเจ้า เมื่อเรานมัสการ เป้าหมายของเราคือการทำให้พระเจ้าชอบพระทัย ไม่ใช่ให้เราชอบใจ

ถ้าคุณเคยพูดว่า "ผมไม่ได้รับอะไรจากการนมัสการวันนี้เลย" คุณก็นมัสการด้วยเหตุผลที่ผิด การนมัสการไม่ใช่เพื่อคุณ แต่เพื่อพระเจ้า แน่นอน "การนมัสการ" ส่วนมากได้รวมเอาองค์ประกอบของการสามัคคีธรรม การเสริมสร้าง และการประกาศ และมีประโยชน์หลายอย่างในการนมัสการ แต่เราไม่ได้นมัสการเพื่อให้ตัวเองพอใจ แรงจูงใจของเราคือ ถวายพระสิริแด่พระผู้สร้างของเรา และทำให้พระองค์ชอบพระทัย

ในอิสยาห์บทที่ 29 พระเจ้าทรงตำหนิการนมัสการแบบไม่เต็มใจและไม่จริงใจ ประชาชนถวายคำอธิษฐานที่จืดชืด คำสรรเสริญที่ไม่จริงใจ คำพูดว่างเปล่า และพิธีกรรมที่มนุษย์คิดขึ้น โดยไม่ได้คิดถึงความหมายด้วยซ้ำ เราไม่สามารถแตะพระทัยของพระเจ้าด้วยพิธีนมัสการตามธรรมเนียม แต่ต้องด้วยความรักร้อนแรงและการอุทิศตัว พระคัมภีร์กล่าวว่า "เพราะชนชาตินี้เข้ามาใกล้ด้วยปากของเขา และให้เกียรติเราด้วยริมฝีปากของเขาแต่เขาให้จิตใจของเขาห่างไกลจากเรา เขายำเกรงเราเพียงแต่เหมือนเป็นบัญญัติของมนุษย์ที่ท่องจำกันมา" (อิสยาห์ 29:13)

การนมัสการไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชีวิตของคุณ แต่มันเป็นชีวิตของคุณ การนมัสการไม่ใช่แค่การประชุมในคริสตจักรเท่านั้น พระคัมภีร์บอกเราให้ "นมัสการพระองค์เรื่อยไป" (สดุดี 105:4 TEV) และให้ "สรรเสริญพระองค์ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นถึงอาทิตย์ตก" (สดุดี 113:3) ในพระคัมภีร์ เราเห็นคนสรรเสริญพระเจ้าขณะทำงานบ้าน ในสนามรบ ในคุก หรือแม้กระทั่งบนเตียง การสรรเสริญควรจะเป็นกิจกรรมแรกเมื่อคุณลืมตาในตอนเช้าและกิจกรรมสุดท้ายเมื่อคุณหลับตาในตอนกลางคืน (สดุดี 119:147; 5:3; 63:6; 119:62) ดาวิดตรัสว่า "ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระเจ้าตลอดไป คำสรรเสริญพระองค์อยู่ที่ปากข้าพเจ้าเรื่อยไป" (สดุดี 34:1)

กิจกรรมทุกอย่างสามารถเปลี่ยนให้เป็นการนมัสการ เมื่อคุณทำสิ่งนั้นเพื่อการสรรเสริญ เพื่อพระสิริ และเพื่อให้พระเจ้าชอบพระทัย

พระคัมภีร์กล่าวว่า "เหตุฉะนั้นเมื่อท่านจะรับประทาน จะดื่ม หรือจะทำอะไรก็ตามจงกระทำเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า" (1 โครินธ์ 10:31) มาร์ติน ลูเธอร์กล่าวว่า "ผู้หญิงก็สามารถรีดนมวัวเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าได้"

จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะทำทุกสิ่งเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ก็โดยการทำทุกสิ่งเหมือนคุณกำลังทำถวายพระเยซู และโดยการพูดคุยกับพระองค์ตลอดเวลา ขณะที่คุณทำสิ่งนั้น พระคัมภีร์กล่าวว่า "ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด ก็จงทำด้วยความเต็มใจเหมือนกระทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เหมือนกระทำแก่มนุษย์" (โคโลสี 3:23)

นี่คือเคล็ดลับของวิถีชีวิตแห่งการนมัสการคือ การทำทุกสิ่งเหมือนคุณกำลังทำถวายพระเยซู พระคัมภีร์ฉบับ The Message แปลแบบถอดความว่า "ให้คุณใช้ชีวิตธรรมดา ๆ ประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการนอน การกิน การไปทำงาน และการเดิน เหมือนกับการถวายเครื่องสักการะต่อพระเจ้า" (โรม 12:1 Msg) งานจะกลายเป็นการนมัสการเมื่อคุณอุทิศถวายมันแด่พระเจ้า และทำงานนั้นโดยรู้สึกถึงการสถิตอยู่ด้วยของพระองค์

เมื่อผมตกหลุมรักภรรยาของผมเป็นครั้งแรก ผมคิดถึงเธอตลอดเวลา ขณะที่ทานอาหารเช้า ขับรถไปเรียนหนังสือ นั่งในห้องเรียน เข้าแถวคอยซื้อของที่ตลาด เติมน้ำมันรถ ผมหยุดคิดถึงเธอไม่ได้ และคิดถึงทุกสิ่งที่ผมชอบในตัวเธอ การคิดแบบนี้ช่วยผมให้รู้สึกใกล้ชิดกับเคย์แม้เราจะอยู่ห่างกันหลายร้อยไมล์ และเรียนคนละมหาวิทยาลัย ด้วยการคิดถึงเธอตลอดเวลาแบบนี้ ผมก็เข้าสนิทอยู่ในความรักของเธอ นี่คือการนมัสการที่แท้คือ การตกหลุมรักพระเยซู

วันที่ 8 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: ฉันถูกกำหนดไว้เพื่อให้พระเจ้าชอบพระทัย

ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "พระเจ้าทรงปรีดีในประชากรของพระองค์" สดุดี 149:4ก

คำถามสำหรับการพิจารณา: งานธรรมดา ๆ อะไรบ้างที่ฉันสามารถเริ่มทำเหมือนกับทำถวายพระเยซูโดยตรงได้

7 ความคิดเห็น:

  1. เมื่อกี้พิมพิ์ไปแล้วเนทล่มไม่ทันเชื่อมก็ต้องพิมพิ์ใหม่
    ไม่แปลกใจว่าทำไมนักดนตรีทีมนมัสการแม้กระทั่งตัวผู้นำนมัสการเองก็หลงในการขโมยคำสรรเสริญยกย่องจากผู้นมัสการ หรือให้การนมัสการเป็นเพียงกิจกรรมในคริสตจักร1-2ชั่วโมง ก่อนพระเอกจะออกฉาก
    ไม่แปลกใจว่าทำไมคริสตจักรไม่มีชีวิตของพระเยซู ถ้าพระเยซูเข้าไปในคริสตจักรนั้นก็คงไม่มีเวลาให้พระองค์ขึ้นเทศนา เพราะมันเต็มไปด้วยโปรแกรมหมดเรียบร้อยแล้ว หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเคลื่อนไหวตามแบบของพระองค์ก็ต้องคอยหรือให้เข้าตามโปรแกรมที่เขาเตรียมไว้แล้ว มันเป็นงานเนื้อหนัง เช่นที่ลูซิเฟอร์หัวหน้าใหญ่แห่งการนมัสการตกลงมานั่นเอง จึงไม่แปลกใจเมื่อรู้ที่มาที่ไปของการนมัสการว่าอะไรเป็นอะไรครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ความรู้สึกส่วนตัวนะครับ ผมว่ามันเป็นเรื่องปกติที่คนเราจะไขว่คว้าชื่อเสียง การยกย่อง คำสรรเสริญ เพราะนั้นคือความปราถนาพื้นฐานที่มนุษย์ต้องการเช่นเดียวกับ ความต้องการเป็นที่รักของผู้อื่น ต้องการอาหาร น้ำและอากาศ เป็นต้น แต่ความปราถนานั้นเราเอาจากใครและวิธีการต่างหากที่มีปัญหาคือ ไม่ได้เริ่มต้นหวังเอาจากพระเจ้าก่อนและใช้วิธีการที่ผิด

      การสร้างคริสตจักร ผมว่าเริ่มต้นก็คงมาจากจิตใจที่รักพระเจ้าจริงๆ แต่เมื่อนานวันเข้าความรักในพระเจ้าอาจลดน้อยลงและอาจบาดเจ็บจากหลายๆ เหตุผล สงสารตนเอง หรือเกิดจากการไม่รู้ จึงทำให้เกิดสิ่งที่พี่ผู้ไม่แพ้ได้กล่าวมานั้น

      ผมเองก็รักพระเจ้าและรักคริสตจักร และได้เข้าใจสิ่งที่พระเจ้าต้องการแล้ว (วัตถุประสงค์) ดังนั้นจึงทำในส่วนนี้คือการขยายความเข้าใจเรื่องวัตถุประสงค์ ในวงกว้างให้ทุกคนทุกฝ่าย ได้ความรู้ความเข้าใจ และตระหนักถึงวัตถุประสงค์ไม่ใช่เรื่องยาก และสำคัญมาก เป็นผลประโยชน์ของตัวทุกคนเองด้วย

      ลบ
  2. น้องอรัญแปลคู่มือนี้เองหรือเปล่าครับ เยี่ยมครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. หนังสือเล่มนี้ได้รับการแปลแล้วมีขายในฉบับภาษาไทยครับ ผมอ่านจบแล้วหลายรอบ ความตั้งใจแรกคือการพิมพ์เก็บไว้อ่านใน iPad จะได้สะดวกต่อการอ่านเพราะกลัวหนังสือจะขาดเพราะอ่านบ่อยมาก อ่านให้ลูกสาววัย 2 ขวบฟังด้วย เมื่อพิมพ์เสร็จจึงมีความคิดแบ่งบันให้ทุกคนที่ใช้เน็ทได้ ได้อ่านด้วยจึงเป็นที่มาของ blog นี้ครับโดยปกติผมก็เขียนเรื่องราวต่างๆ แบ่งบันความคิดลงใน blog อยู่แล้ว ขอบอกว่า blog ชีวิตที่เคลื่อนฯ นี้ประสบความสำเร็จที่สุดเลยครับมียอดผู้อ่านเกิน 5,000 คนแล้ว

      ลบ
  3. ยอดเยี่ยมเลยครับ ....เล่มสองก็คงจะเยี่ยมเช่นกันนะครับ
    blogอื่นที่ทำมีอะไรอีกบ้างครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. http://1000year-kim.blogspot.com/

      ลองเข้าชมดูนะครับเป็นแง่คิดส่วนตัวของผมเองครับ

      ลบ
  4. เอาชัดๆ เช้าวันอาทิตย์ไปโบสถ์ คือการประชุมนมัสการ แต่การนมัสการแท้คือทั้งชีวิต
    ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ไม่คิดว่าจะเจอในกูเกิล แล้วจะส่งต่อจ้ะ

    ตอบลบ