วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

วันที่ 6 ชีวิตเป็นภารกิจชั่วคราว

ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ข้าพระองค์ระลึกว่าชีวิตของข้าพระองค์สั้นเพียงไร ขอให้ข้าพระองค์ระลึกว่าเวลาของข้าพระองค์มีจำกัด และชีวิตข้าพระองค์กำลังวิ่งหนีไป
สดุดี 39:4 (NLT)

ข้าพระองค์อยู่ในโลกเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ
สดุดี 119:19 (TEV)

ชีวิตในโลกนี้เป็นภารกิจชั่วคราว

พระคัมภีร์เต็มไปด้วยภาพเปรียบเทียบที่สอนว่าชีวิตในโลกนี้ สั้น ชั่วคราว ไม่จีรัง พระคัมภีร์บรรยายว่าชีวิตเปรียบเสมือนหมอก นักวิ่งฝีเท้าจัด ลมหายใจ และกลุ่มควันจาง ๆ พระคัมภีร์กล่าวว่า "เพราะส่วนเรา ชีวิตสั้นเหมือนอย่างเกิดวานนี้ … เพราะวันคืนของเราบนโลกเปรียบเหมือนเงา" (โยบ 8:9)

ถ้าคุณอยากใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุด คุณต้องไม่ลืมความจริงสองประการ ประการแรกชีวิตนั้นสั้นมาก เมื่อเทียบกับนิรันดรกาล ประการที่สอง โลกเป็นเพียงที่อยู่ชั่วคราว คุณจะไม่อยู่ที่นี่นาน ดังนั้นอย่ายึดติดกับมันมากเกินไป จงทูลขอให้พระเจ้าช่วยคุณมองชีวิตในโลกอย่างที่พระองค์ทรงมอง ดาวิดอธิษฐานว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ข้าพระองค์ระลึกว่าชีวิตของข้าพระองค์สั้นเพียงไร ขอให้ข้าพระองค์รู้ว่า ข้าพระองค์อยู่ที่นี่อีกเพียงไม่นานเท่านั้น" (สดุดี 39:4 LB)

หลายครั้งพระคัมภีร์เปรียบชีวิตในโลกเหมือนการอยู่ในต่างประเทศ ที่ไม่ใช้บ้านถาวรหรือจุดหมายปลายทางสุดท้าย คุณเพียงแต่ผ่านไป แค่แวะเยี่ยมโลกเท่านั้น พระคัมภีร์ใช้คำอย่างเช่น คนต่างด้าว คนเดินทาง ชาวต่างชาติ คนแปลกหน้า ผู้มาเยือน และนักท่องเที่ยว เพื่อบรรยายให้เราเห็นว่าเราอยู่ในโลกเพียงช่วงสั้น ๆ ดาวิดกล่าวว่า "ข้าพระองค์เป็นคนพเนจรบนแผ่นดินโลก" (สดุดี 119:19) และเปโตรอธิบายว่า "ถ้าท่านเรียกพระเจ้าว่าพระบิดา ก็จงใช้เวลาของท่านอย่างผู้ที่อาศัยในโลกนี้ชั่วคราว" (1 เปโตร 1:17 GWT)

ในแคลิฟอร์เนียซึ่งผมอาศัยอยู่ หลายคนย้ายมาจากส่วนอื่น ๆ ของโลกเพื่อทำงานที่นี่ แต่พวกเขายังถือสัญชาติตามประเทศเกิดของตนเอง มีข้อบังคับให้เขาถือบัตรคนต่างด้าว (กรีนการ์ด) ซึ่งอนุญาตให้เขาทำงานที่นี่ได้แม้จะไม่ใช่พลเมืองประเทศนี้ คริสเตียนก็ควรจะถือกรีนการ์ดฝ่ายวิญญาณเพื่อเตือนใจเราว่า เราเป็นประชากรแห่งแผ่นดินสวรรค์ พระเจ้าตรัสว่า ลูกของพระองค์ต้องคิดเรื่องชีวิตแตกต่างจากคนที่ไม่เชื่อ "พวกเขาคิดถึงแต่ชีวิตในโลกนี้ แต่เราเป็นพลเมืองแห่งแผ่นดินสวรรค์ ที่ซึ่งพระเยซูคริสต์เจ้าประทับอยู่" (ฟีลิปปี 3:19-20 NLT) ผู้เชื่อแท้เข้าใจว่าชีวิตมีอะไรมากกว่าเวลาเพียงไม่กี่ปีที่เราอยู่ในโลกนี้

ตัวตนของคุณในนิรันดรกาล และบ้านเมืองของคุณอยู่ในสวรรค์ เมื่อคุณเข้าใจความจริงนี้ คุณจะเลิกวิตกกังวลเรื่องอยากจะ "มีทุกสิ่ง" ในโลกนี้ พระเจ้าตรัสอย่างตรงไปตรงมาที่สุดเกี่ยวกับอันตรายของการดำเนินชีวิตเพื่อที่นี่และเดี๋ยวนี้ รวมทั้งการยอมรับเอาค่านิยม ลำดับความสำคัญ และวิถีชีวิตของโลกรอบตัวเรา เมื่อเราเล่นสนุกกับการล่อลวงของโลกนี้ พระเจ้าทรงเรียกมันว่า การล่วงประเวณีฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์กล่าว "ท่านกำลังไม่ซื่อต่อพระเจ้า ถ้าท่านต้องการแต่ทำตามใจตัวเอง เล่นสนุกกับโลกทุกครั้งที่มีโอกาส ในที่สุด ท่านก็จะกลายเป็นศัตรูกับพระเจ้าและหนทางของพระองค์" (ยากอบ 4:4 Msg)

ลองนึกดูว่าถ้าคุณได้รับเชิญจากประเทศของคุณให้ไปเป็นทูตในประเทศศัตรู คุณก็คงจะต้องเรียนภาษาใหม่และปรับตัวกับธรรมเนียมและวัฒนธรรมที่แตกต่าง เพื่อคุณจะสุภาพและทำภารกิจของคุณให้สำเร็จ ในฐานะทูต คุณจะไม่สามารถปลีกตัวจากศัตรู คุณต้องติดต่อและเกี่ยวข้องกับพวกเขาเพื่อทำภารกิจของคุณให้สำเร็จ

แต่สมมติว่า คุณเกิดรู้สึกคุ้นเคยกับต่างประเทศมาก จนถึงขั้นหลงรัก และชื่อชอบมากกว่าประเทศของคุณเอง ความจงรักภักดีและการอุทิศตัวของคุณย่อมเปลี่ยนไป บทบาทของคุณในฐานะทูตจะหย่อนยาน แทนที่คุณจะเป็นตัวแทนของประเทศตนเอง คุณก็จะเริ่มทำตัวเหมือนศัตรู และเป็นผู้ทรยศ

พระคัมภีร์กล่าวว่า "เราเป็นทูตของพระคริสต์" (2 โครินธ์ 5:20) น่าเศร้าใจที่คริสเตียนจำนวนมากได้ทรยศต่อกษัตริย์ของเขาและอาณาจักรของพระองค์ โดยได้สรุปอย่างโง่เขลาว่า เนื่องจากพวกเขาอยู่ในโลก นี่จึงเป็นบ้านของเขา แต่มันไม่ใช่ พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนว่า "เพื่อนรัก โลกนี้ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของท่าน ดังนั้น จงอย่าทำตัวสบายในโลก อย่าปรนเปรอตัวเองจนสูญเสียวิญญาณจิตของท่าน" (1 เปโตร 2:11 Msg) พระเจ้าทรงเตือนเราไม่ให้ยึดติดกับสิ่งที่อยู่รอบตัวเรามากเกินไป เพราะว่ามันเป็นสิ่งชั่วคราว พระคัมภีร์บอกเราว่า "คนที่ข้องเกี่ยวกับสิ่งของในโลกบ่อย ๆ ก็ควรจะใช้ประโยชน์จากมันโดยไม่ยึดติดกับมัน เพราะว่าโลกนี้และทุกสิ่งในโลกจะล่วงไป" (1 โครินธ์ 7:31 NLT)

เมื่อเทียบกับหลาย ๆ ศตวรรษก่อนหน้านี้ ชีวิตในประเทศตะวันตกส่วนมากนั้นสะดวกสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เราได้รับความบันเทิง ความสนุกสนาน และการบริการอยู่เสมอ ด้วยบรรดาสิ่งเย้ายวนน่าตื่นตา สื่อที่สะกิดใจ และประสบการณ์สนุกสนานพร้อมสรรพในปัจจุบัน มันทำให้เราลืมเอาง่าย ๆ ว่า การไขว่คว้าความสนุกนั้น ไม่ใช่จุดหมายของชีวิต ความเย้ายวนของสิ่งเหล่านี้จะหมดอำนาจเหนือชีวิตเราก็ต่อเมื่อเราระลึกได้ว่าชีวิตนี้คือการทดสอบ การมอบความไว้ใจ และการให้ภารกิจชั่วคราว เรากำลังเตรียมตัวสำหรับสิ่งที่ดีกว่านั้น "สิ่งที่มองเห็นนั้นอยู่แค่ชั่วคราว แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้นอยู่ถาวรตลอดไป" (2 โครินธ์ 4:18 อ่านเข้าใจง่าย)

ข้อเท็จจริงหนึ่งที่ว่าโลกนี้ไม่ใช่บ้านสุดท้ายของเราช่วยอธิบายว่า ทำไมผู้ที่ติดตามพระเยซูจึงพบกับความลำบาก ความโศกเศร้า และการถูกปฏิเสธในโลกนี้ (ยอห์น 16:33, 20; 15:18-19) อีกทั้งยังอธิบายว่า ทำไมพระสัญญาบางข้อของพระเจ้าจึงดูเหมือนไม่สำเร็จ คำอธิษฐานบางเรื่องดูเหมือนไม่ได้รับคำตอบ และสถานการณ์บางอย่างดูเหมือนไม่ยุติธรรม ก็เพราะมันยังไม่ใช่ตอนจบของเรื่องนี้

เพื่อเราจะไม่ยึดติดกับโลกมากเกินไป พระเจ้าจึงทรงอนุญาตให้เรารู้สึกไม่อิ่มใจและไม่พึงพอใจกับชีวิตอยู่มากพอสมควร คือ เราปรารถนาสิ่งที่ไม่มีวันสำเร็จในโลกนี้ เราไม่มีความสุขอย่างสมบูรณ์ที่นี้ เพราะว่าเราไม่ควรจะรู้สึกเช่นนั้น โลกนี้ไม่ใช่บ้านสุดท้ายของเรา เราถูกสร้างมาเพื่อสิ่งที่ดีกว่านี้มาก

ปลาจะไม่มีความสุขเมื่ออยู่บนพื้นดิน เพราะว่ามันถูกสร้างมาให้อยู่ในน้ำ นกอินทร์จะไม่พึงพอใจถ้ามันไม่ได้บิน และคุณก็จะไม่รู้สึกพึงพอใจในโลกนี้ เพราะว่าคุณถูกสร้างมาเพื่ออะไรที่มากกว่านั้น คุณจะมีช่วงเวลาที่มีความสุขใจในโลกนี้ แต่ไม่มีสิ่งใดจะเทียบได้กับสิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้สำหรับคุณ

การตระหนักว่าชีวิตในโลกเป็นเพียงภารกิจชั่วคราวนั้นควรเปลี่ยนค่านิยมของคุณจากหน้ามือเป็นหลังมือ ค่านิยมนิรันดร์ควรจะเป็นตัวแปรที่คุณใช้ในการตัดสินใจ ไม่ใช่ค่านิยมชั่วคราว ตามที่ ซี. เอส. ลุยส์ ให้ข้อสังเกตว่า "ทุกสิ่งที่ไม่ยั่งยืนนิรันดร์ล้วนไร้ค่าในนิรันดรกาล" พระคัมภีร์กล่าวว่า "เราจึงไม่สนใจสิ่งที่เรามองเห็นได้ แต่สนใจสิ่งที่มองไม่เห็นเพราะสิ่งที่มองเห็นนั้นอยู่แต่ชั่วคราว แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้นอยู่ถาวรตลอดไป" (2 โครินธ์ 4:18 อ่านเข้าใจง่าย)

เป็นความผิดพลาดชนิดคอขาดบาดตายถ้าคุณคิดว่า เป้าหมายของพระเจ้าสำหรับชีวิตคุณคือความรุ่งเรืองทางวัตถุ หรือความสำเร็จตามค่านิยมของโลก ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ไม่เกี่ยวอะไรกับความมั่งคั่งทางวัตถุเลย และความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าก็ไม่ได้ประกันว่าคุณจะประสบความสำเร็จในอาชีพหรือแม้แต่ในพันธกิจ จงอย่าได้จดจ่อที่มงกุฎชั่วคราว (1 เปโตร 2:11)

เปาโลเป็นคนสัตย์ซื่อ แต่ท่านก็ลงเอยด้วยการติดคุก ยอห์นผู้ให้บัพติศมาสัตย์ซื่อ แต่ท่านถูกตัดศีรษะ คนสัตย์ซื่อนับล้านถูกฆ่า สูญเสียทุกสิ่ง หรือจบชีวิตโดยไม่มีอะไรจะอวด แต่จุดจบของชีวิตยังไม่ใช่จุดจบ

ในสายพระเนตรของพระเจ้า วีรบุรุษแห่งความเชื่อผู้ยิ่งใหญ่ไม่ใช่คนเหล่านั้นที่บรรจุถึงความมั่งคั่ง ความสำเร็จ และอำนาจในชีวิตนี้ แต่เป็นคนเหล่านั้นที่ถือว่าชีวิตนี้เป็นภารกิจชั่วคราว และรับใช้อย่างสัตย์ซื่อ โดยคาดหวังบำเหน็จที่พระเจ้าสัญญาไว้ในนิรันดรกาล พระคัมภีร์กล่าวถึงทำเนียบผู้มีชื่อเสียงของพระเจ้าว่า "คนสำคัญเหล่านี้ได้ตายไปขณะที่มีความเชื่อเต็มที่ พวกเขาไม่ได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้แก่คนของพระองค์ แต่พวกเขาก็ได้เห็นว่ามันจะเกิดขึ้นในอนาคตและรู้สึกยินดี พวกเขากล่าวว่าเขาเป็นเหมือนคนแปลกถิ่นและคนแปลกหน้าในโลก… พวกเขารอคอยบ้านเมืองที่ประเสริฐกว่า คือแผ่นดินสวรรค์ ดังนั้น พระเจ้าจึงไม่ทรงละอายเมื่อเขาเรียกพระองค์ว่าเป็นพระเจ้าของเขา เพราะพระองค์ทรงจัดเตรียมเมืองหนึ่งไว้สำหรับพวกเขาแล้ว (ฮีบรู 11:13, 16 NCV) เวลาของคุณในโลกนี้ไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมดของชีวิตคุณ คุณต้องคอยจนได้ไปอยู่สวรรค์จึงจะได้อ่านบทที่เหลือ การดำเนินชีวิตในโลกอย่างคนต่างแดนนั้นต้องอาศัยความเชื่อ

มีเรื่องเก่าแก่ที่คนมักยกมาเล่า เกี่ยวกับมิชชันนารีเกษียณอายุคนหนึ่งที่เดินทางกลับบ้านมายังสหรัฐ ฯ ในเรือลำเดียวกับประธานาธิบดี ฝูงชนก็โห่ร้อง วงดุริยางค์ทหาร พรมแดง ป้าย และสื่อมวลชนพากันต้อนรับประธานาธิบดีกลับบ้าน แต่มิชชันนารีเดินออกจากเรือโดยไม่มีใครสังเกต ท่านเริ่มบ่นกับพระเจ้าด้วยความสงสารตัวเองและขุ่นเคืองใจ แล้วพระเจ้าก็ทรงเตือนท่านอย่างอ่อนโยนว่า "ลูกเอ๋ย แต่ลูกยังไม่ได้กลับบ้านนะ"

เพียงได้เข้าสวรรค์ไปไม่ถึงสองวินาทีคุณก็จะต้องร้องออกมาว่า "ทำไมฉันจึงให้ความสำคัญกับสิ่งของชั่วคราวมากขนาดนั้น ฉันคิดอะไรของฉัน ทำไมฉันต้องเสียเวลา พลังงาน และความสนใจมากขนาดนั้นเพียงเพื่อสิ่งที่ไม่ยั่งยืน"

เมื่อชีวิตลำบาก เมื่อเราเต็มไปด้วยความสงสัย หรือเมื่อเราสงสัยว่าการอยู่เพื่อพระคริสต์นั้นคุ้มค่าแก่การทุ่มเทหรือไม่ โปรดจำไว้ว่า คุณยังไม่ได้กลับบ้าน และเมื่อเสียชีวิต คุณก็ไม่ได้ออกจากบ้าน แต่คุณกำลังจะกลับบ้าน

วันที่ 6 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: โลกนี้ไม่ใช่บ้านของฉัน

ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "เราจึงไม่สนใจสิ่งของที่เรามองเห็นได้ แต่สนใจสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะว่าสิ่งที่มองเห็นนั้นอยู่แค่ชั่วคราว แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้นอยู่ถาวรตลอดไป"

คำถามสำหรับการพิจารณา: ความจริงที่ว่า ชีวิตในโลกนี้เป็นเพียงภารกิจชั่วคราว ควรจะเปลี่ยนวิธีดำเนินชีวิตของฉันอย่างไรในเวลานี้

6 ความคิดเห็น:

  1. แปลกนะครับ ทั้งๆที่สิ่งของทั้งโลกเป็นของเราอยู่แล้ว เพียงแต่เนื้อหนังเก่าเป็นตัวอุปสรรค์สร้างความโลภให้กระเสือกกระสนดิ้นรนหาวัตถุเหล่านี้ไม่รู้จักหยุดจักพอ จนไม่มีเวลาสนใจโลกที่มองไม่เห็นด้วยตา

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ทางพระเจ้าเป็นทางแคบ คนเข้าไปก็น้อย และถูกมองว่าเป็นทางสำหรับคนอ่อนแอเท่านั้นที่ต้องพึ่งพระเจ้า ซึ่งสำหรับคนส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้คนมามองว่าเขาอ่อนแอ จึงแกล้งทำตัวเข้มแข็งปฏิเสธที่จะมาเดินร่วมชีวิตกับพระเจ้า เราต้องสื่อสารให้ชัดว่าคนป่วยต้องการหมอ คนสบายไม่ต้องการหมอ คนที่คิดว่าตนเองดีขึ้นได้เองประสบความสำเร็จได้เองได้ไปสวรรค์ได้ด้วยการพึ่งพากำลังและปัญญาของตนก็จะไม่ต้องการพระเยซู เวลานี้ผู้คนกำลังต้องการความมั่นคงที่แท้จริงมากขึ้นแต่เขาไม่รู้ว่ามันอยู่ในความสัมพันธ์กับพระเจ้าเท่านั้น

      ลบ
  2. นี่แหละมันเป็นอุปสรรค์ของหมอที่คิดว่าเขาเป็นหมอใหญ่เสียเอง คนป่วยมองดูหมอใหญ่(จริงๆไม่ใช่แค่ผู้ช่วยหมอ)แล้วส่ายหัวว่ามันก็อันเดียวกัน
    คริสตจักรตกผลึกแห่งกรอบประเพณีของการเป็นคริสเตียนจนออกนอกกรอบนี้ไปหาคนป่วยไม่ได้ คนป่วยไม่เถียงว่าเขาป่วยเขาต้องการหมอ แต่ถ้าจะให้เขาเข้าไปหาโรงพยาบาลที่เต็มไปด้วยคนดีเลิศ เขารู้สึกไม่เหมาะที่จะเข้าไป นอกเสียจากรอหมออาสาออกไปพบปะในหมู่บ้านจะสนิทใจเยอะ หมออาสาจึงเหมาะสมที่สุดสำหรับคนป่วยในเวลานี้ ยากแล้วที่จะให้คนป่วยเข้าไปหาหมอในโรงพยาบาลที่ชื่อว่าคริสตจักร

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ถูกต้องเลยครับ คริสตจักรบางแห่งปิดกั้นตัวเองด้วยเหตุผลบางอย่าง เรื่องนี้มีภาคสองครับ ในหนังสือคริสตจักรที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ครับ สนุกมากและเราจะได้เห็นรูปแบบที่จะทำให้คริสตจักรมีอิทธิพลต่อคนทั่วไปจริงๆ

      ลบ
  3. สภาพของคริสตจักรตอนนี้คือภาพเดียวกับชีวิตแซมสันตอนปลายครับ หมดเรี่ยวหมดแรง เป็นทาส ใช้แรงตนเองไม่ใช่พลังชีวิตพระเจ้า รอเฮือกสุดท้ายถ้ากลับใจก็ยังจะได้เห็นการฟื้นฟูแบบม้วนเดียวจบละครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. แซมสัน เป็นตัวอย่างที่ดีของการที่ตัวเราหรือคริสตจักรไม่ได้ใส่ใจต่อวัตถุประสงค์ชีวิตที่พระเจ้าต้องการ หมกมุ่งมัวเมากับผู้หญิงจนทำให้ตนเองตกต่ำ สำหรับเรื่องนี้ผมยิ่งชื่นชมพระปัญญาของพระเจ้ามากๆ คือ ความล้มเหลวของเราหรือของแซมสันหรือของคริสตจักรบางแห่ง พระเจ้ากลับใช้ให้เป็ประโยชน์ต่อแผนการของพระองค์จนได้ พระเจ้าชนะเสมอจริงๆ

      ลบ