วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

วันที่ 10 หัวใจแห่งการนมัสการ

จงถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า…และจงให้อวัยวะเป็นเครื่องใช้ในความชอบธรรมถวายแด่พระเจ้า
โรม 6:13

หัวใจแห่งการนมัสการคือการยอมจำนน

การยอมจำนนเป็นคำซึ่งไม่เป็นที่นิยม เช่นเดียวกับคำว่า ยอมเชื่อฟัง เพราะเป็นคำที่แสดงถึงการพ่ายแพ้และไม่มีใครอยากเป็น ผู้แพ้ คำว่ายอมจำนนกระตุ้นให้เรานึกถึงภาพชวนหม่นหมองของการยอมรับความพ่ายแพ้ในการสู้รบ ถูกทำโทษในเกม หรือยอมต่อฝ่ายตรงข้ามที่เข้มแข็งกว่า คำนี้มักจะใช้ในบริบทที่ไม่ดี อาชญากรที่ถูกจับยอมจำนนต่อเจ้าหน้าที่

ในวัฒนธรรมที่แข่งขันในปัจจุบันนี้ เราถูกสอนไม่ให้ล้มเลิกหรือยอมแพ้ ดังนัั้นเราไม่ค่อยได้ยินเกี่ยวกับการยอมจำนน ถ้าการชนะคือทุกสิ่ง การยอมจำนนก็เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ เราอยากจะพูดถึงชัยชนะ การประสบความสำเร็จ การได้เปรียบ และการพิชิตมากกว่าจะพูดถึงการยอมแพ้ การยอมอยู่ในโอวาท การเชื่อฟัง และการยอมจำนน แต่การยอมจำนนต่อพระเจ้าคือหัวใจของการนมัสการ เป็นการตอบสนองตามธรรมชาติต่อความรักและพระเมตตาอัศจรรย์ของพระเจ้า เราถวายตัวเราเองแด่พระองค์ ไม่ใช่เพราะความกลัวหรือเป็นหน้าที่ แต่เพราะเรารัก "เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน" (1 ยอห์น 4:9-10, 19)

หลังจากที่ใช้สิบเอ็ดบทแรกของพระธรรมโรมอธิบายให้เราเข้าใจถึงพระคุณอันเหลือเชื่อของพระเจ้า เปาโลก็วิงวอนให้เรายอมจำนนหมดทั้งชีวิตของเราต่อพระเจ้าในการนมัสการ "ดังนั้น พี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อคิดถึงความรักความเมตตาที่พระเจ้าทรงมีต่อเราอย่างมากมาย ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านให้ถวายตัวแด่พระองค์ เป็นเหมือนเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่รับใช้การงานของพระองค์ และทำให้พระองค์พอพระทัย นี่แหละเป็นการนมัสการอย่างถูกต้อง ที่ท่านควรจะถวายแด่พระองค์" (โรม 12:1 ประชานิยม)

การนมัสการแท้ หรือการทำให้พระเจ้าพอพระทัย เกิดขึ้นเมื่อคุณถวายตัวคุณแด่พระเจ้า สังเกตว่าคำกริยาคำแรกและคำสุดท้ายที่เปาโลบอกให้เราทำนั้นเหมือนกันคือถวาย

ถวายตัวคุณแด่พระเจ้าคือการนมัสการที่แท้จริง

การกระทำที่แสดงออกถึงการยอมจำนนส่วนตัวนี้ มีชื่อเรียกอีกหลายแบบ ได้แก่ การชำระตัวถวาย การยอมรับพระเยซูเป็นเจ้านายของคุณ การรับกางเขนของคุณ แบกการตายต่อตัวเอง การยอมจำนนต่อพระวิญญาณ สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่คุณจะเรียกมันว่าอะไร แต่อยู่ที่คุณจะลงมือปฏิบัติหรือไม่ พระเจ้าต้องการชีวิตของคุณ ทั้งหมดในชีวิตคุณ แม้แต่เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ก็ยังไม่พอ

มีอุปสรรคสามประการที่ขัดขวางไม่ให้เรายอมจำนนทั้งหมดต่อพระเจ้า ได้แก่ ความกลัว ความเย่อหยิ่ง และความสับสน เราไม่รู้ว่า พระเจ้าทรงรักเรามากเพียงไร เราต้องการควบคุมชีวิตของเราเอง และเราเข้าใจความหมายของการยอมจำนนผิดไป

ฉันไว้วางใจพระเจ้าได้ไหม ความวางใจเป็นองค์ประกอบสำคัญของการยอมจำนน คุณจะไม่ยอมจำนนต่อพระเจ้านอกเสียจากคุณจะไว้ใจพระองค์ แต่คุณจะไม่สามารถไว้ใจพระองค์จนกว่าคุณรู้จักพระองค์ดีขึ้น ความกลัวขัดขวางเราไม่ให้ยอมจำนน แต่ความรักขจัดความกลัว ยิ่งคุณรู้ว่าพระเจ้าทรงรักคุณมากเพียงไร การยอมจำนนก็ยิ่งง่ายขึ้นเท่านั้น

คุณรู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้าทรงรักคุณ พระองค์ประทานหลักฐานแก่คุณหลายอย่าง พระเจ้าตรัสว่าพระองค์ทรงรักคุณ (สดุดี 145:9) คุณไม่เคยอยู่นอกสายพระเนตรของพระองค์เลย (สดุดี 139:3) พระองค์ทรงห่วงใยทุกรายละเอียดในชีวิตคุณ (มัทธิว 10:30) พระองค์ประทานความสามารถให้คุณเพลิดเพลินกับความสุขทุกชนิดได้ (1 ทิโมธี 6:17ข) พระองค์ทรงมีแผนการที่ดีสำหรับชีวิตคุณ (เยเรมีย์ 29:11) พระองค์ทรงยกโทษบาปให้คุณ (สดุดี 86:5) และพระองค์ทรงอดทนต่อคุณด้วยความรัก (สดุดี 145:8) พระเจ้าทรงรักคุณอย่างไม่มีขีดจำกัด มากเกินกว่าที่คุณสามารถจินตนาการได้

การแสดงออกที่ดีที่สุดของพระองค์คือการยอมเสียสละพระบุตรของพระองค์เพื่อคุณ "แต่พระเจ้าทรงแสดงให้เห็นแล้วว่า พระองค์ทรงรักเรามากแค่ไหน คือว่า ที่พระเยซูทรงตายเพื่อเราทั้ง ๆ ที่เราเป็นคนบาปอยู่" (โรม 5:8 ประชานิยม) ถ้าคุณต้องการรู้ว่า คุณสำคัญต่อพระเจ้ามากแค่ไหน ก็ให้ดูพระคริสต์ขณะที่พระกรของพระองค์เหยียดออกบนกางเขน ตรัสว่า "เรารักเจ้ามากขนาดนี้ เรายอมตายดีกว่าอยู่โดยไม่มีเจ้า"

พระเจ้าไม่ใช่นายทาสที่โหดร้าย หรือนักเลงที่ใช้กำลังทารุณเพื่อบังคับเราให้ยอมเชื่อฟัง พระองค์ไม่พยายามหักหาญความสมัครใจของเรา พระเจ้าทรงเป็นคู่รักและผู้ปลดแอก และการยอมจำนนต่อพระองค์จะนำมาซึ่งเสรีภาพ ไม่ใช่พันธนาการ เมื่อเรายอมจำนนทั้งชีวิตต่อพระเยซู เราจะพบว่าพระองค์มิได้ทรงเป็นทรราชย์แต่เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ใช่เจ้านายแต่เป็นพี่ ไม่ใช่เผด็จการแต่เป็นสหาย

ยอมรับข้อจำกัดต่าง ๆ ของเรา อุปสรรคประการที่สอง ที่ขัดเจนไม่ให้เรายอมจำนนหมดทั้งชีวิตคือความเย่อหยิ่งของเรา เราไม่อยากยอมรับว่า เราเป็นเพียงสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น และไม่ได้มีอำนาจควบคุมทุกสิ่ง การล่อลวงที่เก่าแก่ที่สุดคือ "เจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า" (ปฐมกาล 3:5) ความปราถนานี้เองคือ ที่จะควบคุมทุกสิ่ง กลายเป็นต้นเหตุของความเคลียดมากมายในชีวิตของเรา ชีวิตคือการต่อสู้ แต่ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้คือ การต่อสู้ของเรานั้น แท้จริงแล้วก็เหมือนกับยาโคบคือการต่อสู้กับพระเจ้า เราอยากเป็นพระเจ้าและไม่มีทางที่เราจะชนะการต่อสู้นี้ได้

เอ. ดับเบิลยู โทเซอร์กล่าวว่า "เหตุผลที่คนจำนวนมากยังคงมีปัญหา ยังคงแสวงหาและยังคงก้าวหน้าไปเพียงน้อยนิด ก็เพราะพวกเขายังไม่ยอมจำนนอย่างราบคาบ เรายังพยายามออกคำสั่ง และขัดจังหวะของพระเจ้าภายในเรา"

เราไม่ใช่พระเจ้า และจะไม่มีวันเป็นได้ เราเป็นมนุษย์ และเมื่อเราพยายามเป็นพระเจ้า เราก็จะกลายเป็นเหมือนซาตานผู้ปราถนาสิ่งเดียวกัน

เรายอมรับความเป็นมนุษย์ของเราในทางสติปัญญา แต่ไม่ใช่ในทางอารมณ์ เมื่อเราเผชิญข้อจำกัดของตัวเอง เราก็ตอบสนองด้วยความหงุดหงิด ความโกรธ และความขุ่นเคือง เราอยากจะสูงขึ้น (หรือเตี้ยลง) ฉลาดขึ้น แข็งแรงขึ้น มีความสามารถมากขึ้น สวยขึ้นและรวยขึ้น เราอยากได้ทุกอย่างและทำทุกอย่าง แล้วเราก็หัวเสียเมื่อมันไม่เป็นเช่นนั้น พอเราเห็นว่าพระเจ้าประทานให้คนอื่นมีลักษณะบางอย่างที่เราไม่มี เราก็ตอบสนองด้วยความอิจฉาริษยา และสงสารตัวเอง

การยอมจำนนหมายถึงอะไร การยอมจำนนต่อพระเจ้าไม่ใช่การทำตัวไม่สนใจใยดีอะไร ปล่อยไปตามเวรตามกรรม หรือเป็นข้อแก้ตัวสำหรับความเกียจคร้าน มันไม่ใช่การยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ แต่อาจจะหมายถึงตรงกันข้าม คือหมายถึงการถวายชีวิตของคุณเป็นเครื่องบูชา หรือการทนทุกข์เพื่อเปลี่ยนสิ่งที่จำเป็นต้องเปลี่ยน พระเจ้ามักจะเรียกคนที่ยอมจำนนให้มาต่อสู้เป็นตัวแทนของพระองค์ การยอมจำนนไม่ใช่เรื่องสำหรับคนขี้ขลาด หรือคนแหย และเช่นเดียวกัน มันไม่ได้หมายถึงการเลิกคิดอย่างมีเหตุมีผล พระเจ้าไม่ได้ประทานสมองมาเพื่อให้มันเปล่าประโยชน์ พระเจ้าไม่ต้องการหุ่นยนต์มารับใช้พระองค์ การยอมจำนนไม่ใช่การเก็บบุคลิกภาพของคุณ พระเจ้าต้องการใช้บุคลิกภาพอันเป็นเอกลักษณ์ของคุณ การยอมจำนนจะเสริมบุคลิกภาพนั้นขึ้นไม่ใช่บั่นทอนมันลง ซี. เอส. ลุยส์ ให้ข้อสังเกตว่า "ยิ่งเราให้พระเจ้าทรงควบคุมมากเท่าไร เราก็ยิ่งเป็นตัวเราที่แท้จริงมากขึ้นเท่านั้น เพราะว่าพระองค์ทรงสร้างเรา พระองค์ทรงประดิษฐ์มนุษย์ทั้งสิ้นที่แตกต่างกันตามที่ประสงค์ให้คุณและผมเป็น… และเมื่อผมหันมาพึ่งพระคริสต์ เมื่อผมมอบตัวเองให้แก่บุคลิกภาพของพระองค์ ผมก็เริ่มมีบุคลิกภาพแท้จริงของผมเองเป็นครั้งแรก"

การเชื่อฟังคือการแสดงออกที่ดีที่สุดของการยอมจำนน ไม่ว่าพระองค์ทรงขออะไรจากคุณ คุณก็จะพูดว่า "ได้พระเจ้าข้า" การพูดว่า "ไม่ได้หรอก พระเจ้าข้า" เป็นคำพูดที่ขัดแย้งในตัวเอง คุณไม่สามารถเรียกพระเยซูว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าของคุณขณะที่คุณปฏิเสธที่จะเชื่อฟังพระองค์ หลังจากค่ำคืนที่จับปลาไม่ได้สักตัว เปโตรได้เป็นแบบอย่างของการยอมจำนน เมื่อพระเยซูตรัสบอกให้ท่านลองอีกครั้ง "พระอาจารย์เจ้าข้า ข้าพระองค์ทั้งหลายทอดอวนคืนยังรุ่งไม่ได้อะไรเลย แต่ข้าพระองค์จะหย่อนอวนลงตามพระดำรัสของพระองค์" (ลูกา 5:5) คนที่ยอมจำนนจะเชื่อฟังคำตรัสของพระเจ้าแม้ว่ามันจะไม่สมเหตุสมผล

อีกแง่มุมหนึ่งของชีวิตที่ยอมจำนนทั้งหมดคือการวางใจ อับราฮัมติดตามการทรงนำของพระเจ้าโดยไม่รู้ว่าพระองค์จะพาไปที่ไหน นางฮันนาห์รอคอยเวลาที่เหมาะเจาะของพระเจ้าโดยไม่ทราบว่าเมื่อใด มารีย์คาดหวังการอัศจรรย์โดยไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร โยเซฟวางใจพระประสงค์ของพระเจ้าโดยไม่รู้ว่าทำไม เหตุการณ์ต่าง ๆ จึงเป็นเช่นนั้น คนเหล่านี้ได้ยอมจำนนทั้งหมดต่อพระเจ้า

คุณรู้ว่าคุณยอมจำนนต่อพระเจ้า เมื่อคุณพึ่งพระองค์ให้ทรงจัดการกับสิ่งต่าง ๆ แทนที่จะพยายามบงการคนอื่น ยัดเยียดแผนการของคุณ และควบคุมสถานการณ์ คุณปล่อยมือและยอมให้พระเจ้าทำงาน คุณไม่จำเป็นต้อง "ควบคุม" อยู่ตลอดเวลา พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงยอมจำนนต่อพระเจ้า และเพียรรอคอยพระองค์" (สดุดี 37:7ก GWT) แทนที่จะพยายามมากขึ้น คุณควรวางใจมากขึ้น คุณยังรู้ว่าตนเองยอมจำนนเมื่อคุณไม่ตอบสนองต่อคำวิจารณ์และรีบปกป้องตัวเอง หัวใจที่ยอมจำนนแสดงออกชัดเจนที่สุดในความสัมพันธ์ เมื่อคุณยอมจำนนคุณจะไม่กีดกันคนอื่นออกไป คุณจะไม่เรียกร้องสิทธิและคุณจะไม่เห็นแก่ตัว

สำหรับคนจำนวนมาก เรื่องที่ยากที่สุดในการยอมจำนนคือเรื่องเงิน คนจำนวนมากคิดว่า "ผมอยากจะอยู่เพื่อพระเจ้า แต่ผมก็อยากหาเงินให้ได้มากพอที่จะอยู่อย่างสบายและเกษียณได้ในวันหนึ่งข้างหน้า" การเกษียณอายุไม่ใช่เป้าหมายของชีวิตที่ยอมจำนน เพราะว่ามันพยายามแย่งความสนใจหลักไปจากพระเจ้า พระเยซูตรัสว่า "ท่านจะปฏิบัติพระเจ้าและจะปฏิบัติเงินทองพร้อมกันไม่ได้" (มัทธิว 6:24) และ "ทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย" (มัทธิว 6:21)

ตัวอย่างสำคัญที่สุดของการยอมจำนนตนเองคือพระเยซู ในคืนก่อนการตรึงกางเขน พระเยซูทรงยอมจำนนต่อแผนการของพระเจ้า พระองค์ทรงอธิษฐานว่า "พระบิดา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้สำหรับพระองค์ ขอช่วยเอาจอกแห่งความทุกข์ทรมานนี้ พ้นไปจากลูกด้วยเถิด แต่ขอให้เป็นตามความต้องการของพระองค์ ไม่ใช่ความต้องการของลูก" (มาระโก 14:36 อ่านเข้าใจง่าย)

พระเยซูมิได้ทรงอธิษฐานว่า "พระเจ้า ถึงพระองค์สามารถยกความเจ็บปวดนี้ไป ก็ขอทรงโปรดทำเช่นนั้นเถิด" พระองค์ทรงยืนยันว่าพระเจ้าสามารถทำได้ทุกสิ่ง แต่พระองค์ทรงอธิษฐานว่า "พระเจ้า ถ้าเป็นความพอใจอย่างที่สุดของพระองค์ที่จะยกความทุกข์ทรมานนี้ออกไป ก็ขอทรงโปรดทำเช่นนั้น แต่ถ้ามันจะทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จนั่นก็เป็นสิ่งที่ข้าพระองค์ต้องการด้วย"

การยอมจำนนที่แท้จริงคือการกล่าวว่า "พระบิดา ถ้าปัญหา ความเจ็บปวด โรคภัยหรือสถานการณ์นี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้พระประสงค์และพระสิริของพระองค์สำเร็จในชีวิตข้าพระองค์ หรือในชีวิตคนอื่น ก็ขอทรงโปรดอย่านำสิ่งนั้นออกไป" ความเป็นผู้ใหญ่ระดับนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ ในกรณีของพระเยซู พระองค์ทรงทุกข์ใจอย่างมากเรื่องแผนการของพระเจ้า จนเหงื่อของพระองค์หยดออกมาเป็นเลือด การยอมจำนนเป็นสิ่งที่ยาก ในกรณีของเรา มันเป็นสงครามอันรุนแรงต่อสู้กับธรรมชาติเห็นแก่ตัวของเรา

พระพรแห่งการยอมจำนน พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนอย่างยิ่งเกี่ยวกับประโยชน์ที่คุณจะได้รับ เมื่อคุณยอมจำนนหมดทั้งชีวิตต่อพระเจ้า ประการแรก คุณจะสัมผัสกับสันติสุข "จงหยุดวิวาทกับพระเจ้า เมื่อท่านเห็นพ้องกับพระองค์ ท่านก็จะมีสันติสุขในที่สุด และสิ่งต่าง ๆ จะเป็นไปด้วยดีสำหรับท่าน" (โยบ 22:21 NLT) ต่อมา คุณจะมีเสรีภาพ "จงมอบตัวของท่านให้แก่ทางของพระเจ้า และเสรีภาพจะไม่สิ้นสุด… บัญญัติ [ของพระองค์] ทำให้ท่านมีอิสระที่จะอยู่อย่างเปิดเผยในเสรีภาพของพระองค์" (โรม 6:17 Msg) ประการที่สอง คุณจะได้รับฤทธิ์เดชของพระเจ้าในชีวิต พระคริสต์สามารถพิชิตการทดลองที่ไม่ยอมรามือง่าย ๆ รวมทั้งปัญหาที่ท่วมท้นเมื่อคุณมอบสิ่งเหล่านี้แด่พระองค์

ขณะที่โยชูวากำลังจะเข้าสู่สงครามครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของท่าน (โยชูวา 5:13-15) ท่านได้เผชิญหน้ากับพระเจ้า ได้ทรุดลงกราบนมัสการต่อพระพักตร์พระองค์ และยอมจำนนแผนการของท่าน การยอมจำนนครั้งนั้นนำไปสู่ชัยชนะอันน่าทึ่งที่เมืองเยรีโค นี่อาจดูเหมือนขัดแย้งกัน คือการยอมจำนนนำมาซึ่งชัยชนะ การยอมจำนนจะทำให้คุณเข้มแข็งขึ้นไม่ใช่อ่อนแอลง เมื่อยอมจำนนต่อพระเจ้าแล้วคุณก็ไม่ต้องกลัวหรือยอมจำนนต่อสิ่งอื่นใดอีก วิลเลี่ยม บูธ ผู้ก่อตั้งกลุ่มซัลเวชั่นอาร์มี่ กล่าวว่า "คน ๆ หนึ่งจะมีพลังยิ่งใหญ่แค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่ว่าเขายอมจำนนมากแค่ไหน"

คนที่ยอมจำนนคือคนที่พระเจ้าทรงใช้ พระเจ้าทรงเลือกมารีย์เป็นมารดาของพระเยซูไม่ใช่เพราะเธอมีความสามารถ หรือร่ำรวย หรือสวย แต่เพราะเธอได้ยอมจำนนหมดทั้งชีวิตต่อพระองค์ เมื่อทูตสวรรค์อธิบายแผนการที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เธอตอบสนองอย่างสงบว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเป็นเจ้า และข้าพเจ้าเต็มใจยอมรับทุกสิ่งที่พระองค์ประสงค์" (ลูกา 1:38 NLT) ไม่มีสิ่งใดที่ทรงพลังยิ่งกว่าชีวิตที่ยอมจำนนในพระหัตถ์ของพระเจ้า "ฉะนั้น จงยอมจำนนต่อพระเจ้า" (ยากอบ 4:7 ประชานิยม)

วิธีที่ดีที่สุดในการดำเนินชีวิต ในที่สุดแล้วทุกคนจะยอมจำนนต่อบางสิ่งหรือบางคน ถ้าไม่ใช่ต่อพระเจ้า คุณก็จะยอมจำนนต่อความเห็น หรือความคาดหวังของคนอื่น ต่อเงินทอง ต่อความขุ่นเคือง ต่อความกลัว หรือต่อความเย่อหยิ่ง ตัณหา หรืออัตตาของคุณเอง คุณถูกสร้างมาเพื่อนมัสการพระเจ้า และถ้าคุณไม่นมัสการพระองค์ คุณก็จะสร้างสิ่งอื่นขึ้นมา (รูปเคารพ) เพื่อคุณจะมอบชีวิตให้สิ่งนั้น คุณมีเสรีภาพที่จะเลือกว่าจะยอมจำนนต่อสิ่งใด แต่คุณจะไม่เป็นอิสระจากผลของการเลือกนั้น อี. สเตนรี โจนส์ กล่าว่า "ถ้าคุณไม่ยอมจำนนต่อพระคริสต์ คุณก็จะยอมจำนนต่อความวุ่นวาย"

การยอมจำนนไม่ใช่วิธีดำเนินชีวิตที่ดีที่สุด แต่มันเป็นวิธีเดียวที่จะดำเนินชีวิต วิธีอื่นนั้นใช้การไม่ได้ วิธีอื่นทุกวิธีนำไปสู่ความล้มเหลว ความผิดหวัง และการทำลายตัวเอง พระคัมภีร์ฉบับคิงเจมส์เรียกการยอมจำนนว่า "การรับใช้ที่สมเหตุสมผล" (โรม 12:1 KJV) อีกฉบับหนึ่งแปลว่า "วิธีที่ฉลาดที่สุดในการรับใช้พระเจ้า" (โรม 12:1 CEV) การยอมจำนนชีวิตของคุณไม่ใช่แรงกระตุ้นทางอารมณ์ที่โง่เขลา แต่เป็นการกระทำที่มีเหตุผล ฉลาด เป็นวิธีปฏิบัติต่อชีวิตของคุณอย่างมีความรับผิดชอบที่สุด และฉลาดที่สุดที่คุณจะทำได้นี่คือเหตุผลที่เปาโลกล่าวว่า "เหตุฉะนั้นเราตั้งเป้าของเราว่า…จะทำตัวให้เป็นที่ชอบพระทัยพระองค์" (2 โครินธ์ 5:9) ช่วงเวลาที่ฉลาดที่สุดของคุณคือนาทีที่คุณตอบตกลงที่จะมอบชีวิตแด่พระเจ้า

บางครั้งมันอาจใช้เวลาหลายปี แต่ในที่สุดคุณก็จะพบว่าอุปสรรคใหญ่หลวงที่สุด ที่ขัดขวางไม่ให้ชีวิตคุณได้รับพระพรจากพระเจ้านั้นไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นตัวคุณเอง คือการเอาแต่ใจตัวเอง ความทรนงดื้อรั้น และความทะเยอทะยานส่วนตัวของคุณ คุณไม่สามารถทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตคุณสำเร็จโดยที่คุณยังคงจดจ่ออยู่กับแผนการของคุณเองได้

ถ้าพระเจ้าจะทำงานในคุณแบบลึกซึ้งถึงแก่นแท้ มันจะเริ่มจากจุดนี้ ดังนั้น จงถวายทั้งหมดแด่พระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นความเสียใจ ปัญหาปัจจุบัน ความทะเยอทะยานในอนาคต ความกลัว ความฝัน ความอ่อนแอ นิสัย ความเจ็บปวด และความวิตกกังวลของคุณ ให้พระเยซูประทับบนที่นั่งคนขับในชีวิตคุณ แล้วปล่อยมือจากพวงมาลัย ไม่ต้องกลัว ไม่มีสิ่งใดภายใต้การควบคุมของพระองค์ที่จะควบคุมไม่ได้ คุณจะสามารถรับมือทุกสิ่งเมื่อพระคริสต์ทรงควบคุมคุณ คุณจะเป็นเหมือนเปาโลที่กล่าวว่า "ข้าพเจ้าพร้อมสำหรับทุกสิ่ง และสู้ทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ทรงเติมพลังเข้าสู่ภายในของข้าพเจ้า นั่นคือ เมื่ออยู่ในกำลังของพระคริสต์ ข้าพเจ้าก็มีกำลังเพียงพอในตัวข้าพเจ้า" (ฟีลิปปี 4:13 Amp)

นาทีแห่งการยอมจำนนของเปาโลเกิดขึ้นบนถนนไปเมืองดามัสกัส หลังจากที่ท่านล้มคะมำลงเพราะแสงจ้าจนตาบอด สำหรับคนอื่น พระเจ้าทรงดึงความสนใจของเราด้วยวิธีที่เบากว่านั้น ถึงกระนั้นการยอมจำนนก็ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียวจบ เปาโลกล่าวว่า "ข้าพเจ้าตายทุกวัน" (1 โครินธ์ 15:31) มีนาทีของการยอมจำนน และมีการปฏิบัติตามการยอมจำนน ซึ่งต้องเกิดขึ้นนาทีต่อนาทีและตลอดชีวิต ปัญหาของเครื่องบูชาที่มีชีวิตคือ มันคลานลงมาจากแท่นบูชาได้ ดังนั้นคุณอาจจะต้องยอมจำนนชีวิตของคุณวันละห้าสิบครั้ง คุณต้องทำจนเป็นนิสัยประจำวัน พระเยซูตรัสว่า "ถ้าใครต้องการติดตามเรา เขาต้องสละสิ่งที่พวกเขาต้องการ พวกเขาต้องเต็มใจสละชีวิตของพวกเขาทุกวันเพื่อติดตามเรา" (ลูกา 9:23 NLT)

ผมขอเตือนคุณว่า เมื่อคุณตัดสินใจจะดำเนินชีวิตที่ยอมจำนนทั้งสิ้น การตัดสินใจนั้นจะถูกทดสอบ บางครั้งมันหมายถึงการทำสิ่งที่ไม่สะดวก ไม่เป็นที่นิยม ต้องเสียสละอย่างสูง หรือสิ่งที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ บ่อยครั้งมันหมายถึงการทำตรงข้ามกับสิ่งที่คุณรู้สึกอยากทำ

ผู้นำคริสเตียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในศตวรรษที่ 20 คือบิล ไบรท์ ผู้ก่อตั้งองค์การแคมพัสครูเสดฟอร์ไครสต์ คนมากกว่า 150 ล้านคนได้มาเชื่อพระคริสต์ และได้อยู่ในสวรรค์ตลอดนิรันดรกาลผ่านทางเจ้าหน้าที่ขององค์การแคมพัสครูเสดทั่วโลก ผ่านทางใบปลิวหลักสัจจธรรมสี่สู่ชีวิตนิรันดร์ และผ่านทางภาพยนตร์เรื่องพระเยซู (4,000 ล้านคนได้ชมแล้ว)

ครั้งหนึ่ง ผมถามบิลว่า "ทำไมพระเจ้าทรงใช้และอวยพรคุณมากขนาดนี้" ท่านตอบว่า "เมื่อผมยังหนุ่ม ผมได้ทำสัญญากับพระเจ้า ผมเขียนจริง ๆ และลงชื่อผมข้างล่างสัญญานั้นบอกว่า "ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมเป็นทาสของพระเยซูคริสต์"

คุณเคยลงนามสัญญาทำนองนี้กับพระเจ้าหรือไม่ หรือคุณยังคงโต้แย้งและต่อสู้กับพระเจ้าในเรื่องสิทธิของพระองค์ที่จะใช้ชีวิตของคุณตามที่พระองค์พอพระทัย นี่คือเวลาที่คุณจะยอมจำนน ยอมจำนนต่อพระคุณ ความรัก และพระปัญญาของพระเจ้า

วันที่ 10 คิดถึงวัตถุประสงค์ของฉัน

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ: หัวใจแห่งการนมัสการคือการยอมจำนน

ข้อพระคัมภีร์สำหรับท่องจำ: "จงให้อวัยวะเป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรม" โรม 6:13

คำถามสำหรับการพิจารณา: มีเรื่องใดในชีวิตที่ฉันยังหวงไว้จากพระเจ้า

2 ความคิดเห็น:

  1. วันพ่อไปไหนครับน้องอรัญ นึกถึงพระคุณของพ่อพระบิดาที่มีต่อเรามากมายในแต่ละวัน อยู่กับพระคุณของพระองค์เป็นนาทีต่อนาทีเลยครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ไม่ไปไหนเลยครับคนเยอะมาก เห็นคนไปแสดงความรักต่อในหลวงแล้ว เหมือนภาพย่อส่วนสิ่งจะเกิดขึ้นในสวรรค์ที่คนทุกยุคทุกสมัย จะมาแสดงความรักต่อพระบิดานะครับ

      ลบ